ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

แม้จักรักใคร่พระโอรสเพียงใด พระนางตาราก็ทรงมิสามารถทัดทานคำทำนายเรื่องอุกฉกรรจ์ต่อบ้านเมืองได้ อีกทั้งพระสวามีก็ทำพระทัยตัดโอรสแฝดองค์เล็กได้ง่ายดายจนมิคิดหาหนทางออกประการอื่นให้ พระนางจึงจำพระทัยปฏิบัติตามความเชื่อเลวร้ายนั้น โดยพยายามถ่วงเวลาให้พี่น้องได้อยู่ร่วมกัน ให้พระนางได้ดูแลบุตรในอุทรออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จักทรงทำได้ ทรงเลี้ยงพระโอรสแฝดให้เติบโตมาด้วยกันได้เจ็ดชันษา จึ่งถึงกาลที่เจ้าชายรัตตกรต้องสละพระยศ สละตัวตนทั้งปวง สู่เพศนักพรตดาบส โดยที่พระองค์เองก็มิได้เข้าพระทัยหรือเต็มพระทัยสักนิด

“เหตุใดเป็นลูกที่ต้องไป แลมิใช่เจ้าพี่เขนหลวงเล่า” เจ้าชายน้อยตัดพ้ออย่างขมขื่น “พวกเราเกิดพร้อมกัน มิมีสิ่งใดต่างกันสักเสี้ยว ลูกก็เป็นเขน…เป็นดวงจันทราดวงหนึ่งเหมือนกันกับเจ้าพี่ พวกโหรเฒ่าเอาสิ่งใดมาตัดสินว่าเป็นลูกที่ต้องถูกขับไสไล่ส่ง” เขาหันไปทางพระมารดา ก้มลงกอดพระชงฆ์พระนางอ้อนวอน

“เจ้าพ่อมิรักลูกนั้นลูกพอเข้าใจ แต่เจ้าแม่เล่า มิรักเขนน้อยผู้นี้อีกแล้วหรือ ไยจึงจักผลักไสได้ลงคอ”

“แม่จนใจเหลือเกินเขนน้อย” อัสสุชลพระนางหลั่งริน “แม่ทำทุกทางแล้วลูกเอ๋ย แต่แม่ก็เป็นเพียงพระสนม มิได้สลักสำคัญเท่าไร เอ่ยอันใดไปหาได้เปลี่ยนฟ้าพลิกแผ่นดินได้ไม่”

“เจ้าพี่เล่า มิใคร่ช่วยน้องเชียวหรือ” รัตตกรหันมาเขย่าหัตถ์พระเชษฐา “ช่วยน้องด้วยเถิดเจ้าข้า”

ครั้นเห็นพระเชษฐานิ่งงันดุจศิลา มิได้เอื้อนเอ่ยถ้อยความใดเพื่อยื้อตนไว้ รัตตกรก็เริ่มโกรธเกรี้ยว

“อ้อ ฤๅเพราะใฝ่ฝันจักได้นั่งบัลลังก์ตามคำทำนายชั่วร้ายนั้น จึงได้กลัวน้องเป็นเสี้ยนหนาม สู้กำจัดให้พ้นทางเสียคงดีกว่า มิได้เห็นแก่ความเป็นพี่น้องที่เกิดมาพร้อมกันสักน้อย เจ้าพี่เขนหลวงพระทัยร้ายเหลือใจ สุดท้ายก็เห็นแก่ตนเอง”

“พี่เห็นแก่เจ้าต่างหากเขนน้อย หากฝืนชะตา เจ้าจักเจ็บไข้จนตาย”

“ข้ามิเชื่อ!” รัตตกรตวาด “หากต้องตายก็คงด้วยถูกเอาไปทรมานเป็นนักพรตเป็นแน่”

เจ้าชายกัษษกรได้แต่มองพระอนุชาที่วิ่งเล่นด้วยกันมาเดินจากไปสู่โลกแห่งนักบวชด้วยความงุนงงและเจ็บปวด หากก็จนปัญญาจักทักท้วงได้ ด้วยพระองค์เองก็เป็นเพียงยุวกุมารวัยเจ็ดชันษา มิได้เดียงสาเข้าใจโลกการเมืองอันโหดร้ายในราชสำนักมากพอ อีกทั้งทรงถูกย้ำว่าดวงชะตาของเขนน้อยเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง แลต่อตัวพระอนุชาเอง การตัดขาดจากราชบัลลังก์สู่วิถีดาบสเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดต่อทุกฝ่ายแล้ว

“สักวันเขนน้อยจักเข้าใจ ว่าทั้งหมดนี้เราทำเพื่อความสุขสวัสดิ์ของตัวเขาและบ้านเมือง”

พระเจ้าหริมิตรรับสั่งกับกัษษกรเช่นนี้เสมอตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่…

แลทั้งสองพระองค์ก็เชื่อเช่นนั้นจากก้นบึ้งหฤทัย

ทว่าผู้ที่ถูกเชื่อว่าได้รับความหวังดีกลับยิ่งทวีความน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยเมื่อละฐานันดรทั้งปวงสู่ดาบสวิถี ต้องกลายเป็นเด็กชายธรรมดาสามัญ ไร้คนยำเกรง จำต้องแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบ มิได้นอนเปลหรือพระที่อ่อนนุ่มแต่เป็นพื้นกระดานแข็งๆ ปูด้วยผ้าบางจนระคายผิว มิมีคนหุงหาอาหารจัดเตรียมกระยาหารชั้นเลิศอีกต่อไป จำต้องกินอาหารดุจชาวป่า ได้ศึกษาร่ำเรียนกับนักบวชแก่เฒ่าที่ล้วนเย่อหยิ่งถือตัวและมักลงโทษเขาอย่างสาหัส ต้องอดทนสวดมนต์ภาวนาตามวิถีนักพรตที่ตนรู้สึกสะอิดสะเอียน ด้วยรู้สึกเสมือนต้องคำสาปให้เข้ามาอยู่ในเส้นทางนี้ โดยมิมีสิทธิ์อุทธรณ์วอนขอความเห็นใจใดๆ

ขณะที่พระเชษฐาฝาแฝด แม้เป็นเพียงเจ้าชายเล็กๆ มิได้ใหญ่โตเปี่ยมยศศักดิ์ดั่งเจ้าชายรัชทายาทสินมหัต หากก็ดำรงชีวิตสุขสบาย มีข้าราชบริพารรับใช้พรั่งพร้อม ได้ร่ำเรียนสรรพศาสตร์อย่างราชบุรุษไชยา ทั้งยังได้ใกล้ชิดพระชนกและพระชนนี ให้ผู้เป็นน้องมองอย่างไรก็เห็นแต่ความอยุติธรรมทั้งสิ้น จึงตั้งใจว่าจักต้องดึงตัวเองให้พ้นจากสภาพต้อยต่ำ ถีบตนให้สูงขึ้นกว่าเหล่าโหรพราหมณ์นักพรตให้จงได้ แลหนทางที่จักนำไปสู่เป้าหมายนั้นได้คือวิชาความรู้…

เพราะความรู้คืออำนาจ ยิ่งรอบรู้เท่าไร ยิ่งมองได้ไกลเท่านั้น

“คณะพราหมณ์แจ้งว่าเจ้าชาย…เอ้อ รัตติฤๅษีมีปัญญาฉลาดปราดเปรื่อง เรียนรู้วิชาได้คล่องแคล่วกว่าผู้ใด” นิธูรรายงานราชัน “กระหม่อมจึงยิ่งเห็นสมควรว่าต้องเก็บเขาไว้ในเงามืด มิให้มีตัวตน มิให้ฉายแสงโดดเด่นเป็นที่สนใจเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจักกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจได้พระเจ้าข้า”

รัตติฤๅษีจึงมิเคยได้รับคำชื่นชม ไร้โอกาสแสดงปัญญาความสามารถ ถูกกดไว้มิให้มีบทบาทแม้ในกลุ่มนักบวชก็ตาม เป็นเพียงยุวดาบสผู้หนึ่งที่ไร้ตัวตน ไร้ความสลักสำคัญ ถูกกลืนหายไปมิต่างจากข้ารับใช้มากมายดาษดื่น

เขาตั้งปณิธานแรงกล้า…จักมิยอมจำนนต่อชะตากรรมอันขมขื่นเยี่ยงนี้ตลอดกาลเป็นอันขาด

ครั้นทราบข่าวว่าเจ้าชายกัษษกรถูกเลือกให้นิราศสู่นครละโว้ จึงตัดสินใจทูลขอพระราชานุญาตติดตามพระเชษฐาไปด้วย ด้วยเหตุผลว่าตนจักได้พ้นร่มเงาแผ่นดินไชยา มิอยู่เป็นกาลกิณีให้ราชันระแวงแคลงพระทัยไปตลอดพระชนม์ พระเจ้าหริมิตรได้สดับก็คล้อยตามอยู่มิน้อย ด้วยระคายพระทัยอยู่เป็นทุนเดิม กอปรกับความรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งตัดขาดพระโอรส หากมีหนทางใดที่ช่วยให้บุตรเป็นอิสระแลมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ พระองค์ก็พร้อมยอมความเสมอ

พระนางตาราก็ทรงเห็นเป็นโอกาสงามที่พระโอรสองค์เล็กจักหลุดพ้นจากคำทำนายอัปมงคลได้

“เช่นนี้เจ้าจักเป็นอิสระเสียทีเขนน้อย แม้มิได้เป็นราชบุตร อุปราช หรือรัชทายาทอย่างพี่ๆ เจ้าก็อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจไปเลย บัดนี้เป็นโอกาสของเจ้าแล้วที่จักลืมตาอ้าปากเสียที มีหนทางใดที่จักปลดแอกไปเริ่มต้นใหม่ได้จงอย่ารีรอ”

“แม้จักหมายถึงการจากลาไชยา จากลาท่านชั่วนิรันดร์เช่นนั้นหรือ”

“อย่างไรก็ย่อมดีกว่าอยู่บนแผ่นดินที่คนต้องการกำจัดเจ้า” พระมารดารับสั่งอย่างเด็ดเดี่ยว “หากเรามีบุญวาสนาต่อกัน ย่อมได้พบกันอีก จำไว้ว่าแม่รักลูกเสมอ…แลเมื่อเกิดวิกฤติใดในชีวิต ให้ลูกตั้งมั่นในคุณความดี อันความดีนั้นจักเป็นหลักประจำใจ เป็นแสงนำทางให้เราได้เสมอ”

ความดีเช่นนั้นหรือ ความดีช่วยอันใดข้าได้บ้าง นอกจากความอัปยศอดสู…

แม้คิดเช่นนั้น หากรัตติฤๅษีในวัยสิบสองปีมิได้เอ่ยออกไปให้ระคายพระทัยเจ้าหญิงตารา

“ลูกจักจำไว้เจ้าข้า”

บางที…เขาอาจจะหนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที่อย่างที่เจ้าแม่พยายามตรัสเป็นนัยก็ได้

ทว่าโหรนิธูรอีกนั้นแลที่มิวายทัดทานต่อพระพักตร์พระเจ้าหริมิตรแลพระนางตารา

“กระหม่อมเกรงว่ารัตติฤๅษีจักฉวยโอกาสนี้คิดหลบหนี เราต้องเข้มงวดกับเขาให้มาก ให้เขาอำพรางตัวตนให้รัดกุมยิ่งกว่าเดิม แลมิอาจเปิดเผยชาติกำเนิดโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจเป็นภัยต่อเจ้าชายกัษษกรได้เช่นกันพระเจ้าข้า”

อดีตเจ้าชายจึงได้ร่วมขบวนเสด็จของพระเชษฐาแฝดสู่ลวปุระด้วยเงื่อนไขแน่นหนารัดกุมยิ่งขึ้น เขามิได้ไปในฐานะดาบส หากเป็นเพียงข้ารับใช้คณะพราหมณ์ฤๅษีเพื่อป้องกันมิให้ฉายแสงสร้างสมอำนาจบารมี ทั้งยังต้องพอกผิวกายด้วยผงถ่านดำสนิทเสมอ แลปิดบังอำพรางใบหน้ามิให้คนจดจำได้ว่าเหมือนเจ้าชายกัษษกร

แม้ก้าวออกจากนครแห่งจันทราอย่างไชยามาสู่แผ่นดินแสงอุทัยอย่างลวปุระ เขากลับยังคงต้องอยู่ในเงามืด เฝ้ามองพระเชษฐาเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา จนแทบจักได้ครอบครองบัลลังก์ละโว้ในกาลข้างหน้าอยู่รอมร่อ

เรื่องอันใดที่ข้าจะยอมซ่อนตัวอยู่ใต้เงาเจ้าพี่เล่า…

มือตีนข้าก็มี วิชาปัญญาข้าก็มิได้ด้อยกว่าผู้ใด…ไกลหูไกลตาไชยาไม่รู้เท่าไร คิดว่าข้าจักจำนนแค่เป็นข้ารับใช้ดาบสเท่านั้นหรือ เจ้าพี่นั้นโง่เขลา ถึงเดามิออกว่า…ข้าหาใช่กุลีรับใช้อีกแล้ว

ยิ่งบีบให้ข้าปิดหน้าอำพรางตนมากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีต่อข้าเท่านั้น…

เพราะข้าจักกลายเป็น ‘ใคร’ ­ขึ้นมาก็ได้ทั้งสิ้นโดยไร้คนเฉลียวใจ

ใครก็ได้…แม้กระทั่งสวามีแห่งเจ้าหญิงชวาลา!



Don`t copy text!