อมฤตาลัย ตอนที่ 11

อมฤตาลัย ตอนที่ 11

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

เสร็จจากส่งศุภสิทธิ์แล้ว ไวฑูรย์ขับรถเอื่อยๆ ไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ความคิดที่จะกลับไปทำงานหายไปหมดสิ้น เมื่อได้รับทราบเรื่องราวที่โรงพยาบาล เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วงเกี่ยวกับถ้อยคำกระท่อนกระแท่นของเจ้าช่วง ซึ่งเข้ากันได้ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อคืนนี้ เจ้าช่วงได้เห็นสัตว์ประหลาดกึ่งมนุษย์ค้างคาว และได้ยินคำสั่งให้มันไปฆ่าผู้ชายรูปร่างผอมสูงสวมแว่นตาซึ่งก็ตรงกับลักษณะของเขานั่นเอง แต่ทำไม…ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เขาได้ทำให้ใครเคียดแค้นจนต้องส่งสัตว์มหัศจรรย์นั้นมามุ่งร้ายหมายขวัญกระนั้นหรือ และสัตว์กึ่งมนุษย์อันประหลาดพิสดารนั้นก็เหมือนกัน ไวฑูรย์อยากจะคิดว่ามันเป็นฝันร้ายมากกว่า เพราะถึงจะได้พบมากับตัวเองในระยะกระชั้นชิดแล้วก็ตาม นักโบราณคดีหนุ่มยังแทบไม่อยากปลงใจเชื่อว่า สัตว์อย่างนั้นจะมีอยู่ได้จริงๆ ในพิภพนี้…

สมองของชายหนุ่มครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ปล่อยให้มือเท้าทำหน้าที่ขับรถไปเรื่อยๆ โดยอัตโนมัติ…จากปากคำของเจ้าช่วง เขาพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวออกว่า ตีนแมวคนนี้ดอดขึ้นไปบ้านใหญ่หลังหนึ่งแถวชานเมือง ซึ่งมีหญิงสาวสวยเป็นเจ้าของ ได้เห็นเหตุการณ์อันพิสดารพันลึกจนสุดที่จะควบคุมสติได้ จึงถึงกับวิปลาสไป และวิ่งหนีออกมาถูกรถของศุภสิทธิ์ชนเอา จากถ้อยคำของตำรวจ เจ้าของสถานที่บ้านใหญ่สะดุดตาในละแวกนั้น ก็มีบ้านของพินทุวดี วงศ์ยโสธรเพียงผู้เดียว…รูปการณ์จึงดูคล้ายกับว่า พินทุวดีก็คือเจ้าของบ้านประหลาดหลังนั้น ซึ่งสั่งให้สัตว์เลี้ยงอันแสนน่าสะพรึงกลัวของหล่อนลอบเข้าไปทำร้ายเขาในคืนวันนั้นนั่นเอง

แต่ทำไมเล่า…ทำไมหญิงสาวสวยรวยเสน่ห์ผู้นั้น จึงอำมหิตพอที่จะทำได้ลงคอ…อะไรเป็นสาเหตุแห่งความโกรธขึ้งชนิดมุ่งเอาชีวิตกันถึงขนาดนี้…เขาทำอะไรให้หล่อนโกรธแค้นนักหรือ…นี่สิเป็นเรื่องที่ไวฑูรย์ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจและไม่สบายใจเอาเสียเลย

ท่วงทีและสีหน้าอันแสดงความไม่พอใจของพินทุวดีในวันที่เขาขอดูโบราณวัตถุของหล่อนแวบเข้ามาในความคิด…ไวฑูรย์จำได้ว่าเมื่อเขาเอ่ยชื่อเมืองอมฤตาลัย ท่าทางของหญิงสาวได้เปลี่ยนไปทันที ทั้งตกใจ ประหลาดใจ และไม่พอใจรวมกัน แล้วรีบตัดบททันทีที่เขาซักถาม มีสายสนกลในอะไรอยู่ในเรื่องนี้ด้วยหรือ

หรือว่า นักโบราณคดีหนุ่มสะดุ้ง เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วพยายามปัดมันออกไปโดยเร็ว เขาไม่อยากคิดว่าโบราณวัตถุเหล่านั้นถูกลักลอบเบียดบังมาโดยมิชอบ ลักษณะของมันไม่เหมือนศิลปะขอมสมัยใดที่เขารู้จัก และไม่เหมือนชิ้นส่วนปราสาทหินหลังใดในประเทศไทยเลย พินทุวดีจะขโมยมาจากที่ใด และหากมันมาจากเมืองอมฤตาลัยจริงๆ แล้ว ก็เมืองนั้นตั้งอยู่ ณ ที่ใดในภูมิภาคแถบนี้เล่า

ไวฑูรย์ขับรถเอื่อยๆ ไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง สมองคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วก็ต้องเบรกสุดแรงเกิดโดยอัตโนมัติเมื่อรถคันหน้าหยุดติดไฟแดง ชายหนุ่มตื่นจากห้วงคิดอันสับสน เหลียวมองไปรอบกาย แล้วก็ถอนใจเฮือกเมื่อประจักษ์ว่า เขาขับรถห่างจากจุดตั้งต้นมาไกลเพียงใด และบัดนี้ เมื่อเขาเข้าสู่ใจกลางเมือง ความแออัดจอแจและการจราจรติดขัด ทำให้ชายหนุ่มปล่อยใจคิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้อีกแล้ว ไวฑูรย์พักความคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพียงนั้น…นัยน์ตาที่เหลือบมองไปตามบาทวิถีโดยไม่ตั้งใจปะทะเข้ากับร่างเพรียวในชุดสีเหลืองสดใสที่ยืนอยู่ข้างป้ายจอดรถประจำทาง หัวใจของชายหนุ่มพองขึ้นด้วยความปีติยินดี รีบกดแตรสั้นๆ ๒-๓ ครั้ง ครั้นร่างนั้นหันมามอง เขาก็ชะโงกหน้าออกไปยิ้มให้อย่างกว้างขวาง ทำมือทำไม้ชักชวนให้ขึ้นมาบนรถ

หญิงสาวในชุดเหลืองนิ่งอยู่ชั่วอึดใจเหมือนตรึกตรอง แต่แล้วก็สาวเท้าลงจากบาทวิถีมาหาเขา ไวฑูรย์รีบเปิดประตูรับหล่อนขึ้นมาทันที

“คุณภาไปไหนมาครับ”

“มาหาซื้อผ้าแถวนี้แหละค่ะ แล้วนี่กำลังจะกลับไปทำงาน คุณฑูรย์ล่ะคะจะไปไหน”

“ไปเรื่อยๆ แหละครับ วันนี้เกงานสักวัน เบื่อเต็มที”

เสาวภาพรรณหัวเราะเบาๆ “เพิ่งได้ยินคุณฑูรย์บ่นวันนี้แหละค่ะ ทุกทีเห็นเอางานเอาการยังกะอะไร จนสถาพรล้ออยู่บ่อยๆ”

พอนามนั้นหลุดออกจากปากโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าแฉล้มของหญิงสาวก็จางลง ไวฑูรย์พลอยรู้สึกแห้งๆ ในหัวใจไปด้วย

“ป่านนี้พรไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” เสาวภาพรรณพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“ผมยังอยากเชื่อว่ามันไม่ไปไหนหรอกครับ อาจจะไปเพลินอยู่กับซับเอเยนต์ต่างจังหวัดก็ได้ เจ้าคนนี้มันยิ่งชอบสนุกอยู่ด้วย”

หญิงสาวสั่นหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ภาว่าคงไม่ใช่หรอกค่ะ นี่ตั้งหลายวันแล้ว ถ้าไปต่างจังหวัดจริงๆ ป่านนี้ก็น่าจะกลับ หรือไม่ก็โทรเลขมาบอกบ้างแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง คุณฑูรย์ก็คงทราบว่าสถาพรน่ะเป็นโรค ‘ติดบ้าน’ ไม่ค่อยอยากจากไปไหนนานๆ เพราะไม่มีที่ไหนจะสะดวกสบายเท่าที่บ้าน หายเงียบไปอย่างนี้ ภาว่าน่าจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างแน่เชียวค่ะ”

“คุณภาคิดว่าเป็นเรื่องอะไรล่ะครับ”

“ไม่ทราบซิคะ เพียงแต่สังหรณ์ใจชอบกล”

เสียงพูดของหญิงสาวขาดหายไป ดวงตามีน้ำใสๆ เอ่อเต็ม

“แล้วเรื่องพี่มณเฑียร พี่ชายของเพื่อนภาอีก จนป่านนี้ยังไม่ได้วี่แววเลย ใครจะรู้คะว่าป่านนี้ทั้งสองคนอาจเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายอย่างศพแรกที่คุณทัดเทพเล่านั่นก็ได้”

ดวงตาของไวฑูรย์เป็นประกายวูบอย่างนึกขึ้นได้ เขาหันมาทางหญิงสาวทันที

“จริงซีครับ ผมลืมเรื่องนี้ไปถนัด คุณภาจำรายละเอียดเรื่องศพได้ดีใช่ไหมครับ ช่วยทบทวนให้ผมฟังหน่อยเถอะ”

“ก็ไม่มีอะไรมากนี่คะ หนังสือพิมพ์ลงข่าวประโคมว่าพบศพชายหนุ่มเพลย์บอยที่หายไปอยู่ในที่ดินเปลี่ยวในซอยใกล้บ้านคุณฑูรย์นั่นแหละค่ะ มีรอยถูกกัดแทะด้วยฟันเล็กๆ ที่คมกริบจนขาดวิ่นไปทั้งตัว คุณทัดเทพยังบอกว่ารอยฟันนั้นประหลาดมาก ไม่ใช่เขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายใดๆ ที่คนรู้จักมาก่อนเลย”

“อืม” ไวฑูรย์คราง นึกไปถึงอมนุษย์ตนนั้นที่เข้าไปรุกรานเขาถึงในห้องนอนแล้วก็ขนลุกซู่ ฟันของมันเท่าที่เขาสังเกตเห็นเป็นซี่เล็กแหลมคมเหมือนฟันปลา จะเป็นไปได้ไหมที่เขี้ยวของสัตว์ชนิดนี้แหละที่กัดทึ้งศพหนุ่มเคราะห์ร้ายผู้นั้นจนไม่มีชิ้นดี…

เขาคิดเพลินจนขับรถเคลื่อนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ต่อเมื่อเสียงอ่อนๆ เขาเสาวภาพรรณเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจจึงรู้ตัว

“คุณฑูรย์จะไปไหนคะ”

“โอ๊ะ ตายเลย ผมเป๋ออีกแล้ว นี่มันไม่ใช่ทางไปที่ทำงานคุณภาซักหน่อย ขอโทษทีครับ เดี๋ยวผมจะกลับรถตรงนี้ไปส่งคุณภาเลย รับรองไม่ช้าหรอกครับ”

ชายหนุ่มจัดการพาเสาวภาพรรณไปส่งหน้าที่ทำงานของหล่อน สายตาแสดงความชื่นชมพึงพอใจของเขาแลตามหญิงสาวไปจนลับตาแล้วถอนใจยาวอย่างเศร้าหมองในขณะที่ถอยรถกลับออกจากที่นั้น

 

“เวตาล! เจ้าทำพลาดอีกแล้ว”

เสียงเกรี้ยวกราดดังลั่น พร้อมกับเสียงผลักฝาโลงเปิดดังปังใหญ่ หญิงสาวเจ้าของเสียงมีอากัปกิริยาเกรี้ยวกราดดุจงูถูกตีขนดหาง ดวงหน้างามบึ้งตึง แข็งกระด้าง และดุดันดูไม่ผิดอะไรกับรูปสลักตามปราสาทหิน ฝาโลงใหญ่ที่ถูกปัดเลื่อนไปตกอยู่กับพื้นด้วยกำลังแรง เผยให้เห็นร่างสัตว์กึ่งมนุษย์ผู้บาดเจ็บหนักนอนตาปริบๆ อยู่ในนั้น มันห่อไหล่งอด้วยความหวาดกลัวต่อประกาศิตที่แหวมาจากร่างงามสง่าผู้ยืนค้ำอยู่เหนือโลง ส่วนที่มุมห้อง หญิงชราผมขาวโพลนผู้ที่ซุกตัวอยู่ในมุมมืดนั้น ทำท่าเหมือนจะชำแรกเข้าไปกับผนังเสียให้ได้ เมื่อเห็นความเกรี้ยวกราดของสตรีสาวผู้เลอโฉมนั้น

“เสียแรงหอบหิ้วกันมานาน ใช้อะไรก็ไม่ได้เรื่องเลย สองครั้งแล้วนะที่เจ้าทำพลาด ครั้งแรกบังอาจกินศพเหยื่อของข้า แล้วลอบเอาไปทิ้งไว้ให้เขาโจษขานกันไปทั้งเมือง บัดซบ! ครั้งนี้เจ้าก็เสียทีเขาอีก…คนธรรมดาแท้ๆ ไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไรเลยก็แพ้เขา จะให้ลงโทษอย่างไรดีถึงจะสาสม! ฮึ เวตาล”

อาการตัวคู้อยู่ในโลง และปากสั่นตัวสั่นของสัตว์ประหลาดดูเหมือนจะทำให้หญิงสาวผู้ทรงอำนาจคลายโทสะลงนิดหนึ่ง

“เอาเถอะ เจ้ารู้สำนึกก็ดีแล้ว ข้าจะงดเว้นการลงโทษอีกสักครั้ง อีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ แต่ไม่ใช่เพราะเมตตาปรานีหรอก ข้าเห็นว่าเจ้าได้รับโทษพอแล้ว บาดแผลที่ได้รับมันคงทรมานมากทีเดียว นี่ดีแต่ว่ายังมีว่านขนดนาคราชช่วยไว้หรอก เจ้าถึงไม่แตกดับในคราวนี้”

มนุษย์กึ่งค้างคาวครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดจนระงับไม่อยู่ พินทุวดีชำเลืองดูนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อไปอย่างไม่
ไยดี

“ความผิดพลาดของเจ้า ร้อนถึงข้าต้องรีบวิ่งไปรับหน้าเขาแต่เช้าที่หน้าโรงพยาบาล กลัวพวกนั้นจะสงสัยเอา…ไอ้นายไวฑูรย์คนนั้นมันมีอะไรดีนักนะถึงรอดมือเจ้าไปได้ อยากรู้นัก…เจ็บใจจริง มันเห็นเจ้าเสียแล้วยังงี้ เห็นจะต้องปลุกเกียรติมุขขึ้นมาทำการเสียแล้ว…เจ้าตาน้ำข้าวก็อีกคนหนึ่ง”

ว่าพลางก็เหลือบตาอันคมวาวดุดันไปยังร่างคุ้มงอที่นั่งบดยาด้วยโกร่งแบบเก่าอยู่มุมห้อง ร่างนั้นดูจะคุ้มหนักลงไปอีกพร้อมกับกระเถิบชิดฝาผนังเข้าไป

“อุษาสวรรค์!”

เสียงดังเหมือนประกาศิต ทำให้หญิงชราตัวสั่นงันงกจนโกร่งหลุดจากมือ

“บดว่านเสร็จแล้วก็เอามาทาให้เจ้าเวตาลเสียทีซิ งุ่มง่ามชักช้าอยู่นั่นแหละ ทำอะไรละก็ไม่ได้อย่างใจเลย”

หญิงชราเดินงกเงิ่นมายังโลงที่ร่างสัตว์ประหลาดนอนตัวสั่นอยู่ นัยน์ตาของแกที่เหลือบประสานกับดวงตาสัตว์ร้ายเต็มไปด้วยแววสมเพชเวทนาลึกซึ้ง ชะรอยกระแสจิตนั้นจะซึมเข้าสู่การรับรู้ โดยสัญชาตญาณของเวตาล นัยน์ตาของมันที่มองดูหญิงชราจึงเต็มไปด้วยแววกตัญญูรู้คุณ เจ้าอุษาสวรรค์ควักยาที่บดละเอียดลักษณะคล้ายใบไม้ตำสีเขียวเขละๆ ในโกร่งออกมาบรรจงทาบาดแผลให้เจ้าเวตาลอย่างเบามือ พร้อมกับพึมพำปลอบประโลมอยู่ในลำคอ มันก็หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย

“เสร็จแล้วก็เก็บยาไว้เสีย”

ประกาศิตเฉียบขาดดังมาอีก หญิงชราทำตามอย่างเกรงกลัวแล้วรีบปิดฝาโลงเจ้าเวตาลเสียอย่างมิดชิด

“หมู่นี้ถูกทำโทษบ่อยนะอุษาสวรรค์ ถ้าขืนยังไม่ดีละก็เห็นจะต้องใช้วิธีรุนแรงกันบ้างละ นี่ยังให้โอกาส เพราะเห็นว่าเป็น…เฮ้อ แต่อย่างว่าแหละฉันไว้ใจเลยคอยแต่เห็นขี้ดีกว่าไส้อยู่เรื่อย มันเรื่องอะไรกัน เราถึงได้เที่ยวบอกใครๆ ว่าเป็นลูกของฉัน บอกมาซิ!”

หญิงชราเงยหน้าขึ้น สบตาเกรี้ยวกราดคู่นั้นอย่างหวั่นเกรง

“ก็…ก็อยากให้แม่หยุดทำอย่างนี้เสียที…”

“หยุดนะ!” พินทุวดีตวาดก้อง นัยน์ตาลุกวาวโรจน์ด้วยความโกรธอันรุนแรง

“อย่าเรียกฉันอย่างนั้นอีกเป็นอันขาด! เข้าใจไหม จำใส่ใจไว้ให้ดีว่าฉันเป็นลูก ฉันเป็นลูก จำไว้ ต่อไปนี้ถ้ามีใครมาบ้านก็อย่าได้เที่ยววิ่งไปบอกเขาอีกล่ะ ตัวของตัวน่ะรู้จักระวังรักษาให้ดีเถอะ อย่ามัวเป็นห่วงชีวิตคนโน้นคนนี้อยู่เลย…หน็อย! ใจอ่อนขี้สงสาร อุตส่าห์วิ่งไปบอกสถาพรหวังจะให้เขาเชื่อ แล้วผลเป็นยังไง ดูซิ! นอนแหงแก๋อยู่นี่ก็ใครล่ะ”

พูดจบมือขาวนวลเรียวงามก็ผลักฝาโลงอีกใบหนึ่งให้เปิดดังปังใหญ่ด้วยกำลังแรงอันผิดจากสตรีธรรมดา เผยให้เห็นร่างชายหนุ่มผู้นอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น ใบหน้าอันซีดจนเขียวคล้ำมีเค้าว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่คงจะคมสันน่าดู รอบคอมีรอยปาดเป็นแนวยาว เลือดแห้งยังเห็นกรังอยู่รอบบริเวณนั้น

เจ้าอุษาสวรรค์ผู้ชราเบือนหน้าหนีอย่างสุดจะทนดูได้

“อย่า อย่า ขอที ขออย่าให้ดูเลย”

พินทุวดีเงยหน้าขึ้นหัวเราะก้อง

“กลัวรึ หรือว่าสยดสยอง ชะ แม่คนขวัญอ่อน แกนี่เสียแรงเกิดมาอยู่กับฉันเสียจริงๆ ถ้ากลัวก็จำไว้ อย่าเที่ยวปากพล่อยทำเป็นคนมีเมตตากรุณาไปบอกใครต่อใครอีก ปล่อยฉันไปตามเรื่องของฉันเข้าใจไหม หน้าไหนจะมาห้าม แม้แต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็ยังห้ามฉันไม่ได้เลยนี่นา”

“แต่ ทำไม…ทำไม” หญิงชราพึมพำขาดเป็นห้วงๆ

“ทำไมจะต้องทำแบบนี้ วิธีอื่นก็ยังมี ทำไม…”

อีกครั้งหนึ่งที่เสียงหัวเราะของสตรีสาวผู้โสภิตดังก้องไปทั้งห้อง

“ทำไมน่ะหรือ แกไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันนะ วิธีนี้น่ะง่ายและสะดวกที่สุดแล้วรู้ไว้เสียด้วย อืม แกนี่แก่จนหลงจริงๆ ด้วย…รู้สึกว่าจะไม่มีประโยชน์สำหรับฉันเสียแล้ว…”

หญิงสาวชะงักประโยคสุดท้ายลง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น หล่อนก้มลงปิดโลงศพก่อนจะออกปากอนุญาตให้เข้ามา

นายชินพาร่างสูงใหญ่เปิดประตูเข้ามาเงียบๆ ยืนประสานมือนิ่งรอฟังคำสั่งอย่างสำรวม พินทุวดีลดเสียงลงในขณะที่สั่งอย่างเฉียบขาด

“เอาโลงศพนายสถาพรไปไว้ในห้องใต้ดิน ประเดี๋ยวฉันจะทำพิธี แล้วยกเศียรเกียรติมุขไปไว้หน้าที่บูชาด้วย ฉันจะชุบมันขึ้นมา!”

 

 



Don`t copy text!