
อมฤตาลัย ตอนที่ 13
โดย : จินตวีร์ วิวัธน์
อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้
รถคันงามของทัดเทพแล่นมาจอดหน้าประตูเหล็กใหญ่ของคฤหาสน์นั้น นายตำรวจหนุ่มหันมาทางเพื่อนเกลออย่างกังวลนิดๆ
“เอ็งจะทำไง ถ้าคนในบ้านเขาไม่ให้เราเข้าไป”
ไวฑูรย์ยักคิ้วแผล็บ “เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ เทพ ข้าจะพูดให้เขาเปิดประตูจนได้แหละน่า”
ว่าพลางก็ขมีขมันลงจากรถไปที่ประตูบ้าน จับห่วงเหล็กใหญ่กระแทกบานประตูเสียงดังสนั่นหลายครั้งจนทัดเทพตะโกนห้าม ไม่ช้าช่องเล็กเหนือห่วงนั้นก็เปิดออก ดวงหน้าของสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่อยู่ในนั้น
“คุณผู้หญิงไม่อยู่ค่ะ สั่งไว้ว่าบ่ายๆ จะกลับ มีอะไรจะให้เรียนไหมคะ”
“งั้นหรือครับ” ไวฑูรย์ว่า ทำหน้าตาผิดหวังอย่างสมจริงสมจัง
“หมวดทัดเทพกับผมมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนเสียด้วยซีครับ คุณพินทุวดีเองเคยบอกว่าจะให้ปากคำเรื่องคนหาย เอ แล้วเราจะทำไงดีล่ะครับ ต้องพบวันนี้เสียด้วย ให้เราเข้าไปรอข้างในได้ไหมครับ”
หญิงกลางคนมีสีหน้าลังเล “อิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ คุณผู้หญิงไม่เคยให้ใครเข้าบ้านเวลาไม่อยู่สักที บ่ายๆ ค่อยมาใหม่ไม่ดีกว่าหรือคะ”
“ฟังนะครับ” ไวฑูรย์ปั้นหน้าให้เคร่งขรึม พูดอย่างคาดคั้นเอาจริง
“เพื่อนของผมคนนี้เป็นตำรวจ จำเป็นจะต้องรีบทำคดีเรื่องคนหายด่วน ต้องรอพบคุณพินทุวดีให้ได้ จะให้เราเทียวไปเทียวมาเสียเวลาแย่ คุณน้าก็ทราบว่าแถวนี้รถติดยังกะอะไรดี กว่าจะไปจะมาไม่ทันกินหรอกครับ นี่ก็จวนจะบ่ายแล้ว ผมนั่งรอไม่นานคุณพินทุวดีก็คงมา คุณน้าไม่มีอะไรต้องห่วงนี่ครับ คนที่มานี่ก็เป็นตำรวจซึ่งคุณผู้หญิงของคุณน้าเองอนุญาตให้มาที่นี่ได้ทุกเวลา”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนในช่องยังมีแววลังเลไม่แน่ใจ ไวฑูรย์จึงสำทับอีก ๒-๓ คำ นางจึงเปิดประตูให้อย่างไม่เต็มอกเต็มใจ
ทัดเทพขับรถไปจอดหน้าบันไดคฤหาสน์ด้วยใจเต้นเล็กน้อย สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว แล้วประกายตาก็แจ่มใสพร้อมกับสีหน้าแสดงความยินดีจนเห็นได้ชัด เมื่อร่างอรชรบอบบางที่เขามีใจจดจ่อถึงก้าวลงมาตามขั้นบันได
“สวัสดีครับ คุณสโรชินี วันนี้มารบกวนคุณอีกแล้ว ทราบแล้วครับว่าคุณพินทุวดีไม่อยู่ เราจะขอนั่งรอนะครับ คุณคงไม่รังเกียจ”
สีหน้าของหญิงสาวส่อแววว้าวุ่นใจ “เอ้อ ค่ะ แต่ว่า…”
“อ๋อ อย่าห่วงเลยครับ คุณพินทุวดีอนุญาตไว้แล้วให้เรามาติดต่อเรื่องนี้ได้ทุกเวลา เรื่องด่วนอย่างนี้ถ้าผมย้อนมามันเสียเวลามากครับวันนี้รถติดมากเหลือเกิน แถมเจ้าฑูรย์ก็หน้ามืดเป็นลมด้วย”
ไวฑูรย์สะดุ้งโหยง แล้วรีบตีสีหน้าแหยๆ เมื่อสโรชินีหันมามองอย่างเป็นห่วง
“ตายจริง เป็นลมหรือคะ เดี๋ยวบัวจะหายาดมให้”
“โอ๊ย อย่าเลยครับ ผมมีแล้ว เพียงแต่ขอนั่งพักสักครู่เท่านั้นเองก็คงค่อยยังชั่ว”
“งั้นก็เชิญข้างในค่ะ”
ร่างโปร่งงามหมุนตัวกลับ เดินขึ้นบันไดตรงไปยังประตูห้องท้องพระโรงที่รับแขก ทัดเทพเดินตามไปติดๆ เขามองดูหล่อนทุกอิริยาบถด้วยความติดเนื้อพึงใจอย่างแท้จริง!
“คุณสโรชินีไม่ออกไปไหนเลยหรือครับ เวลาคุณผู้หญิงของคุณไม่อยู่ เลขาก็น่าจะมีเวลาแวบได้บ้าง”
ทัดเทพเอ่ยอย่างชวนคุย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ยิ้มเศร้าๆ และแววตาหมองนั้นสั่นหัวใจชายหนุ่มอย่างแรงทัดเทพสังเกตเห็นว่าดวงหน้าของหล่อนค่อนข้างซูบซีด ผิวนวลที่แก้มแม้จะสดใสด้วยวัยสาวแต่ก็ปราศจากโลหิตซับให้ดูเปล่งปลั่งอย่างสตรีอื่นในวัยเดียวกัน
“เรียกชื่อบัวดีกว่าค่ะ สั้นดี บัวไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ ต้องช่วยแม่ทำงาน เราไม่ค่อยมีใคร แม่ทำคนเดียวเหนื่อยค่ะ”
สีหน้าของผู้หมวดหนุ่มแสดงความประหลาดใจ
“แม่…คุณแม่ของคุณบัวอยู่ในบ้านนี้ด้วยหรือครับ”
“ค่ะ ก็คนที่เปิดประตูบ้านให้คุณนั่นไงคะ แม่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน พ่อก็ทำหน้าที่ขับรถและดูแลสวนทั้งหมด เราทุกคนเป็นลูกจ้างคุณพินทุวดีทั้งนั้นค่ะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียบเรื่อย ไม่แสดงความน้อยเนื้อต่ำใจหรือเห็นปมด้อยแต่อย่างใด หากดวงตางามทั้งคู่หม่นหมองเหมือนดาวที่ถูกหมอกบังดวงหน้าเศร้าสวยซึ้งนั้นก็พลอยทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความสะเทือนใจโดยไม่รู้ตัว
สโรชินีเปิดประตูห้องใหญ่ แล้วหันมายิ้มให้สองหนุ่ม “เชิญข้างในซิคะ”
ทัดเทพรีบรุนเพื่อนเข้าไปข้างในโดยเร็ว “เข้าไปนั่งพักผ่อนซีวะ ฑูรย์”
เขาปิดประตูตามหลังเพื่อนแล้วหันหลังยืนพิงไว้ พลางบอกกับหญิงสาว
“ให้เจ้าฑูรย์มันพักเงียบๆ เถอะครับ ประเดี๋ยวก็หาย ส่วนผมขออยู่ข้างนอกก่อนดีกว่า ข้างในร้อน”
“ร้อนหรือคะ ใครๆ ก็ว่าห้องนี้เย็นเยือกทั้งนั้น บัวเองก็รู้สึกเย็นๆ เหมือนกันเวลาเข้าไป”
ทัดเทพหัวเราะ “ผมอยากคุยกับคุณบัวสักครู่ด้วยครับ อยากขอถามอะไรเกี่ยวกับคุณพินทุวดีนิดหน่อย หวังว่าคงไม่รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจค่ะ แต่ขอเวลาเดี๋ยว บัวจะไปยกน้ำมาให้”
“โอ๊ะ ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง พวกผมเรียบร้อยมาแล้ว ว่าแต่คุณบัวบอกว่าบ้านนี้มีคนอยู่เท่าที่เห็นนี้เองหรือครับ ไม่น่าเชื่อเลย บ้านใหญ่โตมากยังงี้น่าจะมีบริวารสักสิบคนเป็นอย่างน้อย”
“บัวก็สงสัยค่ะ เคยถามแม่ แม่บอกว่าคุณพินทุวดีมีเครื่องทุ่นแรงมา บัวดูๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย คุณผู้หญิงเป็นคนหัวเก่าเสียด้วยซ้ำค่ะ ในบ้านไม่มีแม้แต่โทรทัศน์”
“เอ๊ะ แปลกเหมือนกัน ผู้หญิงสาวๆ สวยจัดอย่างคุณพินทุวดีไม่น่าจะหัวเก่าเลย ดูเธอวิ่งตามแฟชั่นยังกะอะไรดี”
“ก็ไม่เชิงหัวเก่านักหรอกค่ะ…” สโรชินีรีบขัดเหมือนจะแก้แทนนายจ้างของหล่อน
“เพียงแต่เธอ แหม บัวก็พูดไม่ถูก เธอชอบของเก่าแล้วก็ชอบพูดอะไรแปลกๆ ถึงอดีตที่บัวฟังไม่รู้เรื่องน่ะค่ะ…เสื้อผ้าของเธอก็เหมือนกันแหละ คุณทัดเทพคงไม่เข้าใจเรื่องแฟชั่นผู้หญิงหรอก ผ้าที่ใช้ตัดเสื้อนั่น คุณผู้หญิงคุยเล่นๆ ว่าทอมาตั้งแต่พันปีแล้วค่ะ ไม่ใช่ของใหม่ เธอไม่ยอมใช้ผ้าทอสมัยใหม่เลย แต่ว่าเราพูดถึงคุณผู้หญิงมากแล้ว พอเสียทีดีไหมคะ บัวไม่อยากได้ชื่อว่าช่างนินทานาย”
ทัดเทพยิ้ม มองหญิงสาวอย่างเอ็นดู
“ไม่ใช่นินทาหรอกครับ เราพูดถึงเธออย่างชื่นชมต่างหาก งั้นเปลี่ยนเรื่องพูดถึงเรื่องของคุณบัวดีกว่านะครับ ผมรู้สึกว่าคุณคงจะไม่ค่อยสบายนัก หน้าตาซีดๆ หาหมอบ้างหรือเปล่าครับ”
สีหน้าของหญิงสาวหม่นลงอีก หล่อยยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง นัยน์ตาที่มองดูเขามีแววพรั่นพรึง
“จริงหรือคะ ซีดจนคุณสังเกตเห็นเชียวหรือคะ”
“ครับ ผมเห็นวันแรกก็รู้เลยว่าคุณคงไม่ค่อยแข็งแรงนัก เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ ขอโทษที่ถาม แต่ผมมีเพื่อนเป็นหมอเก่งๆ อยู่หลายคนอาจจะช่วยได้ถ้าคุณบัวต้องการ”
“บัวไม่ทราบหรอกค่ะว่าเป็นอะไร แต่ต้องทานยาก่อนนอนทุกคืน แม่บอกว่าเป็นยาทานให้แข็งแรง แต่บัวเคยแอบได้ยินแม่พูดกับพ่อว่าเป็นยาแก้พิษ พอบัวถามแม่ก็ปฏิเสธทุกทีเลยค่ะ”
“แก้พิษ พิษอะไรครับ”
“บัวก็ไม่ทราบค่ะ ทั้งพ่อทั้งแม่กำชับไม่ให้บัวพูดถึงมันอีก ตายจริง ดูซิบัวเผลอพูดกับคุณจนได้”
อาการตกใจของหล่อนดูไร้เดียงสา และปราศจากจริตมารยาจนทัดเทพจับตามองอย่างพึงใจ
“ดีแล้วละครับที่คุณเผลอพูดออกมา ผมอาจช่วยได้ ยาที่ทานทุกคืนน่ะคงเป็นยาแผนโบราณอีกกระมังครับ”
“ค่ะ เป็นยาลูกกลอนทั้งขมทั้งขื่น เม็ดเบ้อเร่อ ทานแล้วร้อนวูบวาบไปทั้งตัว”
“คุณบัวอยากลองยาแผนปัจจุบันไหมล่ะครับ เม็ดเล็กนิดเดียว สีสวยๆ ไม่ขมไม่ขื่นเลยสักนิด”
“ฮื่อ จะทานได้ไงคะ ในเมื่อบัวเองไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร”
“นี่แหละครับ เข้าประเด็นละ ผมอยากให้คุณบัวไปหาหมอสักหน่อย ผมจะพาไปเองครับ ถ้ารู้ว่าเป็นโรคอะไรคงรักษาได้ไม่ยาก”
สโรชินีส่ายหน้าจนผมกระจาย นัยน์ตามีแววหวั่นกลัวจนเห็นได้ชัด
“ตายละ บัวทำงั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณผู้หญิงจะเอ็ดเอาตาย คุณผู้หญิงไม่ชอบของใหม่ทุกอย่างเลยนี่คะ ยิ่งยาหรือหมอด้วยแล้ว เธอดูถูกเอาเสียด้วยซ้ำ หาว่ามีคุณภาพไม่ถึงครึ่งของว่านอะไรต่อมิอะไรที่มีอยู่ เธอจะพูดจริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะว่า ว่านบางอย่างถึงขนาดชุบคนตายให้ฟื้นก็ยังได้”
“ถึงงั้นเชียว” ทัดเทพทำเสียงสูงอย่างขบขัน แต่ดวงตาจุดแววประหลาดขึ้นวูบหนึ่งอย่างฉุกใจได้
“เธอบอกหรือเปล่าครับว่า เป็นว่านอะไร”
“ไม่ค่ะ พอบัวถามเธอก็ดุเอา”
“แล้วคุณบัวเองล่ะครับ เธอเคยบอกหรือเปล่าว่า เป็นโรคอะไร”
“ไม่อีกเหมือนกันค่ะ บัวไม่กล้าถาม เธอดุค่ะ เป็นคนดุทีเดียว ทุกคนกลัวหงอทั้งนั้น…แต่บัวรำคาญตัวเองเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร คุณทัดเทพเคยเป็นบ้างไหมคะ อาการฝันเรื้อรังน่ะค่ะ”
“ฝันเรื้อรัง เป็นยังไงครับ”
“ก็ฝันติดต่อกันไปทุกคืนไงคะ ถ้าเป็นฝันธรรมดาก็ไม่เป็นอะไรหรอก นี่เป็นฝันร้ายทั้งนั้น ตื่นขึ้นทีไรใจสั่นตัวสั่นเหงื่อออกจนเหนียวตัวไปหมด แล้วก็เหนื่อยด้วยค่ะ นี่เองที่ทำให้บัวหน้าซีดเซียวอยู่เรื่อยละมัง”
“คุณบัวฝันเห็นอะไรบ้างครับ”
ทัดเทพถามอย่างสนใจจริงจัง หญิงสาวถอนใจยาว หน้างามหมองลงไปอีก มีแววพรั่นพรึงร่วมอยู่ด้วย
“หลายอย่างค่ะ น่ากลัวทั้งนั้น เห็นผีดิบมั่ง สัตว์ประหลาดมั่ง คนแก่มากมั่ง แล้วก็อะไรๆ อีกเยอะ บางทีก็เห็นรางเลือน บางทีก็เห็นถนัดชัดเจน น่าแปลกที่สิ่งที่เห็นในฝันมันไม่เคยทำร้ายบัว แต่มันก็น่ากลัวจนบัวตกใจขนหัวลุกทุกทีเลยค่ะ”
สีหน้าของนายตำรวจส่อแววตริตรองลึกซึ้งในขณะที่เอ่ยช้าๆ
“ผมคิดว่าท่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้วละครับ คุณบัว ผมอยากให้คุณบัวลองปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันดูนะครับ เชื่อผมเถอะ ผมจะติดต่อนัดเพื่อนผมให้ มันเพิ่งมาจากเยอรมัน รับรองฝีมือดีแน่ครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณผู้หญิงคงไม่ยอมแน่ๆ”
“ก็อย่าให้รู้ซีครับ คุณบัวแอบออกไปเงียบๆ โทรศัพท์ถึงผมก่อนก็ได้ ผมจะได้ติดต่อนัดหมอให้ แล้วคุณบัวแอบออกไปพบผมที่ไหนสักแห่ง ผมจะไปคอยรับ เห็นไหมครับไม่ยากเลยสักนิด”
หญิงสาวนิ่งฟังอย่างสนใจ ร.ต.ท.หนุ่มพยายามใช้วาทศิลป์เต็มที่ จนท่าทางของหล่อนชักจะโอนเอนเห็นดีกับเขาเข้าทุกที
“ต้องขอบัวปรึกษาแม่ก่อนนะคะ คุณทัดเทพ บัวไม่เคยปิดบังแม่เลย ยังไงๆ ก็ต้องให้แม่อนุญาตก่อน”
“ครับ ผมเชื่อว่าคุณแม่ของคุณบัวคงเห็นด้วยแน่”
“อ้าว บัว ดูซิ ปล่อยคุณผู้หมวดยืนขาแข็งอยู่ได้ น้ำท่าก็ไม่หามาให้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องหลัง ทั้งสองหันไปทันที หญิงวัยกลางคนที่เปิดประตูบ้านรับทัดเทพยืนอยู่ตรงเชิงบันได สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายเศร้าหมอง นัยน์ตาซึมๆ นั้นมองตรงมาอย่างสงสัย
“ไม่เป็นไรครับ คุณน้า ผมเรียบร้อยมาแล้ว จะขอดูตะโกดัดพวกนี้และคุยกับคุณบัวด้วยครับ”
“ถึงงั้นก็เถอะค่ะ บัวไปหาน้ำมารับแขกซิจ๊ะ อ้าว คุณอีกคนไปไหนล่ะคะ”
“อยู่ในห้องรับแขกครับ เขาไม่ค่อยสบาย ผมเลยให้นั่งพักเงียบๆ”
นายตำรวจหนุ่มตอบพลางมองตามร่างระหงที่ผละออกไปอย่างแสนเสียดาย แล้วจึงหันมาพิจารณาดูมารดาสตรีที่เขาต้องตา นางปทุมมารดาของสโรชินีมีประพิมพ์ประพายคล้ายลูกสาว รูปร่างหน้าตามีเค้าว่าเมื่อสาวๆ คงเป็นคนสวยมากทีเดียว แต่บัดนี้กาลเวลาและความเหน็ดเหนื่อยท้อแท้กับความทุกข์ทรมานอะไรสักอย่างฝากริ้วรอยไว้บนดวงหน้านั้นจนดูหม่นหมองและแก่เกินวัย
“อิฉันว่า เชิญผู้หมวดในห้องรับแขกดีกว่าค่ะ ตรงนี้ประเดี๋ยวแดดจะส่อง”
ยังไม่ทันขาดคำ ประตูท้องพระโรงที่รับแขกก็เปิดออก ไวฑูรย์เดินออกมาด้วยใบหน้าแจ่มใส
“ไง?”
ทัดเทพทักสั้นๆ นักโบราณคดีหนุ่มก็ยิ้มกว้างขวาง
“เรียบร้อย อ้อ คุณน้าครับ จนป่านนี้แล้วเราเห็นจะรอคุณพินทุวดีไม่ไหวละครับ บ่ายมากแล้วเห็นจะต้องขอกลับก่อน เอ้า เทพ ฝากโน้ตสั้นๆ ไว้ถึงคุณพินทุวดีหน่อยซีวะ เธอจะได้รู้ว่าเรามารอพบด้วยเรื่องอะไร”
“อ้าว ไม่รออีกนิดหรือคะ ไหนๆ ก็มารอตั้งนานแล้ว”
นางปทุมถาม สีหน้าตึงขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ง่า…ครับ ทีแรกผมคิดว่าคุณพินทุวดีคงจะมาเร็ว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานด่วนรออยู่ เห็นจะคอยพบคุณผู้หญิงของคุณน้ายังไม่ได้ละครับ หรือเทพว่าไง”
ทัดเทพเหลือบไปตามทางที่ร่างระหงลับหายไปเมื่อครู่แล้วก็ถอนใจ
“เอา คอยนานแล้วนี่ เธอคงกลับเย็น เราไปเสียทีก็ดีเหมือนกัน”
ว่าพลางก็หยิบนามบัตรออกมา เขียนข้อความสลักหลัง ๒-๓ ประโยค ยื่นให้นางปทุมอย่างสุภาพ
“ผมฝากให้คุณพินทุวดีด้วยนะครับ แล้วจะติดต่อมาอีกที ผมลาละครับคุณน้า ฝากลาคุณบัวด้วยนะครับ”
สองสหายยกมือไหว้นางปทุม ซึ่งรีบรับไหว้และอุทานเบาๆ อย่างตกใจ เพราะไม่เคยได้รับเกียรตินั้นมาก่อน นายตำรวจหนุ่มสอดสายตาหาบุตรสาวของนางปทุมทั่วบริเวณ เมื่อไม่พานพบแม้แต่เงาก็ถอนใจยาวอย่างไม่สมหวัง ไวฑูรย์สังเกตเห็นอาการนั้นโดยตลอดจึงยิ้มอยู่ในหน้าและเอ่ยขึ้นเบาๆ พอได้ยินสองคน
“เอ้า มัวแต่ทอดถอนหฤทัยไปมาอยู่นั่นแหละ ตอนนี้บุษบาหนีเข้าม่านไปแล้ว อิเหนากลับเสียทีวะ”
ชายหนุ่มทั้งสองเดินลงไปยังรถ โดยมีสายตาของนางปทุมมองตามไปอย่างครุ่นคิด และเบื้องหลังเสาหนึ่ง สโรชินียืนแอบอยู่ที่นั่น ชะเง้อมองตามรถสีฟ้าใสคันนั้นจนลับตาด้วยอาการทอดถอนใจใหญ่เช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนั้น บนรถฟอร์ดลินคอล์นคันโอ่อ่า สตรีสาวผู้สง่างามนั่งเอนพิงเบาะหลังอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่นายชินทำหน้าที่ขับเคลื่อนยานยนต์คันมหึมาออกจากบ้านของศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ อย่างช้าๆ
“อาการของเขาไม่เป็นอะไรมากหรอก ชิน คุณทัดเทพโทรมาบอกเสียตกอกตกใจ นึกว่าจะตายมิตายแหล่ ที่แท้ลูกไม้น่ะ”
“ครับผม” นายชินตอบรับ สีหน้าเรียบเฉยไม่มีความรู้สึกเช่นเดิม
“ชิน แวะร้านเบญญาให้ฉันหน่อย”
“ครับผม”
ฟอร์ดใหญ่เคลื่อนเข้าเทียบหน้าร้านอย่างนิ่มนวล พินทุวดีก้าวลงด้วยท่าทางสง่างามตามเคย ผู้คนบนบาทวิถีเดินผ่านไปมาเหลียวมองเป็นตาเดียว แต่หญิงสาวไม่สนใจ ก้าวฉับๆ ผลักประตูร้านเข้าไปทันที
“อุ๊ย คุณพินทุวดี”
เจ้าของร้านสาวใหญ่ทักทายอย่างดีใจ นัยน์ตาจับอยู่ที่ถุงกระดาษในมือของหญิงสาว
“วันนี้ตัดเสื้อหรือคะ”
“ค่ะ”
พินทุวดีรับคำสั้นๆ พลางดึงผ้าออกมาจากถุงกระดาษสีสวยที่ถือมานั้น พอแลเห็นถนัดเบญญาก็เบิกตาโต
“โอ้โฮ ผ้าอะไรคะนี่ ทำไมสวยยังงี้ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย คุณพินทุวดีสั่งทอเองหรือคะ ไหมที่ไหนเอ่ย”
รอยยิ้มเร้นลับผุดขึ้นที่ริมฝีปากของหญิงสาว “คุณเบญญาลองทายซิคะ”
สาวใหญ่ลูบคลำผ้าชิ้นนั้นอย่างพึงใจระคนฉงนฉงาย มันเป็นผ้าไหมทอพิเศษงามวิจิตรเหมือนสาวจากใยรุ้ง ลักษณะเป็นไหมที่นุ่มที่สุด บางเบาที่สุด และเหนียวแน่นทนทาน สีแดงของผืนผ้านั้นสดจ้าประหลาดผิดกับสีแดงอื่นจนเห็นได้ชัด ประกายสีทองระยับในเนื้อผ้าแต่งแต้มให้ดูงามวูบวับจับตาอย่างทรงคุณค่า ไม่ฉูดฉาดแต่สะดุดตาทุกคนที่ได้เห็นอย่างแรง
“วุ้ย ทายไม่ถูกหรอกค่ะ ไม่เคยเห็นเลย เหมือนผ้าไหม แต่ดูๆ ไปก็ไม่ยักกะใช่ ริ้วทองในเนื้อนี้ก็ไม่ใช่แล่งทองหรือยกทอง ผ้าอะไรคะคุณพิน”
“นี่แหละ ผ้าไหมขอม เอ๊ย เขมรขนานแท้และดั้งเดิมละค่ะ”
กระแสเสียงที่ตอบส่อความภูมิใจจนปิดไม่มิด
“คนสมัยใหม่ทอไม่ได้อย่างนี้หรอกค่ะ นี่เป็นผ้าชิ้นเดียวกับภูษาทรงของกษัตริย์ขอมเชียวนะคะ คุณเบญญาคงไม่ทราบถึงความเหนียวแน่นทนทานของมัน สามารถเก็บไว้ได้เป็นร้อยๆ หรือถึงพันปีได้โดยไม่เปื่อยเลยค่ะ”
“หรือคะ” เจ้าของห้องเสื้อใหญ่อุทานอย่างตื่นเต้น ลูบคลำผ้าอย่างสนใจ
“ต๊าย คุณพินทุวดีได้มาจากไหนคะ แหม ถ้าสมัยนี้ทอได้อย่างนี้อีกละก็ คงฮือกันไปทั้งเมืองเชียวละค่ะ”
“อย่าให้เปิดเผยเลยค่ะ ฉันไม่อยากดังแข่งกับผ้ามัดหมี่ของอีสาน ว่าที่จริงกรรมวิธีทอก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ เพียงแต่เทคนิคและฝีมือคนโบราณกับสมัยใหม่นี้แตกต่างกันไกลอย่างทาบไม่ติดเท่านั้น และนี่ก็เป็นของในราชสำนัก ฝีมือจึงต้องประณีตขึ้นอีกเป็นทวีคูณ”
เบญญามองหน้าสวยสะดุดตาของหญิงสาวผู้ทรงเสน่ห์นั้น แล้วก็เอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างเกรงใจ
“ดิฉันเคยทราบมาว่า คุณพินทุวดีมีเชื้อสายพระราชวงศ์เขมรเพิ่งจะแน่ใจวันนี้เองค่ะ แต่…แต่ทำไมไม่ใช้คำแสดงฐานันดรศักดิ์นำหน้าชื่อล่ะคะ ขอโทษถ้าดิฉันละลาบละล้วง แต่ไม่สบายใจเลยที่พูดกับคุณแบบคนธรรมดาอย่างนี้”
หญิงสาวยิ้มพรายอีก ในขณะที่ก้มลงล้วงอะไรจากถุงกระดาษอีกใบหนึ่งในมือ!
“เรียกอย่างนี้ดีแล้วค่ะ ขณะนี้ฉันเป็นราษฎรไทยเต็มขั้น อดีตและยศศักดิ์อะไรๆ ไม่มีความหมายในขณะนี้หรอกค่ะ เอ้อ ฉันอยากได้เสื้อแบบนี้นะคะ ให้เหมือนเปี๊ยบเลยนะ คุณเบญญาพอตัดได้ไหมคะ”
กล่าวจบ พินทุวดีก็วางแผ่นกระดาษแข็งขนาดกว้าง ๑ ฟุตลงบนโต๊ะตรงหน้าช่างเสื้อชื่อดัง
สตรีสาวใหญ่เบิ่งตามองกระดาษนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา หยิบขึ้นมองดูในระยะประชิด แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้อมยิ้มอย่างชอบอกชอบใจอยู่ตรงหน้า
“วุ้ย ชุดท็อปเลสนี่คะ คุณพินทุวดี”
กระดาษแผ่นนั้นเป็นรูปเขียนลายเส้นสตรีโบราณนางหนึ่งซึ่งเกล้ามวยสูงประดับศิราภรณ์งดงาม แต่ที่น่าสนใจก็คือ เรือนกายท่อนบนของสตรีนั้นเปลือยเปล่าจนถึงสะดือ อาภรณ์ท่อนล่างเป็นผ้านุ่งกรอมเท้าจีบทั้งตัวเหมือนผ้าพลีต คาดทับด้วยปั้นเหน่งระย้ารูปร่างประหลาด ชายพกผ้านุ่งอันยาวนั้นทำให้ดูลักษณะคล้ายผ้าจีบหน้านางแต่ก็ไม่ใช่เพราะชายผ้าด้านหน้าป้ายทบเข้าหากันอย่างหมิ่นเหม่นัก
“แปลกใจหรือคะ ถ้าฉันจะแต่งชุดนี้”
สาวใหญ่ยกมือขึ้นลูบอกพลางกลืนน้ำลาย
“ดิฉันคิดว่า ตำรวจคงไม่เห็นด้วยนักหรอกค่ะ…คุณพินทุวดีจะแต่งไปงานไหนคะ”
“งานแฟนซีลีลาศสิ้นเดือนนี้ไงคะ คุณเบญญา ตัดทันไหม”
“อีกหลายวันคิดว่าคงทันค่ะ ดิฉันจะเร่งให้เป็นพิเศษ ว่าแต่คุณพินทุวดีอย่าล้อเล่นน่า หัวใจจะวายตาย ต้องการแบบนี้จริงๆ หรือคะ”
พินทุวดีหัวเราะอย่างขบขัน “ถ้าคุณเบญญากระอักกระอ่วนนักละก็ ฉันเปลี่ยนแบบก็ได้ค่ะ ตรงท่อนบนทำเป็นเสื้อไม่มีคอไม่มีแขนแนบตัวดีไหมคะ ใช้ผ้าสีเนื้อที่ฉันเตรียมมานี่ มันค่อนข้างใกล้เคียงสีผิวพรรณมนุษย์หน่อย”
ว่าแล้วก็กรีดนิ้วหยิบผ้าชนิดเดียวกัน แต่เป็นสีเนื้อละมุนเหมือนผิวสาวรุ่นขึ้นมาจากถุงกระดาษ
เบญญาถอนใจอย่างโล่งอก “อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย คุณพินทุวดีแต่งแฟนซีชุดอะไรคะ”
“นางอัปสรค่ะ หรือนางเทพธิดาก็ได้ รูปที่คุณมองตาลุกอยู่นี่เป็นรูปเขียนนางอัปสรจากปราสาทหินของขอม ซึ่งแต่งตัวท็อปเลสอย่างนี้ทุกรูปเลย”
“หรือคะ ดิฉันเพิ่งทราบ นางอัปสรก็คือนางฟ้าใช่ไหมคะ”
“ค่ะ เป็นนางฟ้าประเภทฟ้อนรำถวายเทวดาอีกทีหนึ่ง เกิดขึ้นจากการกวนน้ำอมฤตของเทวดา…ที่จริงชุดอย่างนี้ไม่ใช่ของใหม่นี่คะ พวกระบำโบราณคดีสมัยลพบุรีเขาก็แต่งกันอย่างนี้แหละ”
“ค่ะ ค่ะ ดิฉันลืมไป เห็นรูปท็อปเลสก็มัวแต่ตกใจ นึกว่าคุณพินทุวดีจะแต่งอย่างนี้จริงๆ”
หญิงสาวหัวเราะอีก ดวงตาแวววับด้วยความขบขันระคนแววเร้นลับอย่างที่ไม่มีใครรู้ความหมาย
“ที่จริงฉันเคยแต่งแบบนี้มาแล้วอย่างสบายมาก ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ สวมสร้อยคอระย้าขนาดใหญ่เข้าไปสักเส้นก็ไปไหนต่อไหนได้ทั่วเมือง”
เบญญาทำตาเหลือก จ้องหน้าสตรีผู้ลึกลับอย่างไม่เชื่อหู
“อะไรนะคะ คุณพินทุวดีน่ะหรือเคยแต่งชุดท็อปเลสเดินไปทั่วเมืองมาแล้ว ต๊ายตาย เป็นไปได้ไงคะ”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ฉันมีชุดอย่างนี้ออกเยอะไป”
พินทุวดีพูดทีเล่นทีจริง แล้วรีบกล่าวต่อไปเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเจ้าร้านสาวใหญ่
“ฉันหมายความว่า สมัยโบราณโน้นน่ะค่ะ นางกษัตริย์ขอมต้องแต่งองค์แบบนี้ทุกราย ฉันซึ่งสืบเชื้อสายโดยตรงลงมาก็คงต้องเคยแต่งอย่างนี้แน่ ในยุคโน้นน่ะค่ะ”
เบญญาถอนหายใจอีกครั้งอย่างโล่งอกทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก
“โล่งอกไปที นึกว่าคุณพินทุวดีแต่งอย่างนี้จริงๆ ในสมัยนี้เสียอีก เชิญวัดตัวดีกว่าค่ะ ดิฉันจะเย็บให้สุดฝีมือเลย รับรองว่าคืนวันนั้นคุณพินทุวดีต้องเป็นนางอัปสรตัวจริงเลยทีเดียว”
หญิงสาวโฉมงามยักไหล่ เสียงที่ตอบต่ำลึกอยู่ในคอ
“จะแปลกอะไรคะ ฉันเคยเป็นมาแล้ว ยิ่งกว่านางอัปสรธรรมดาเสียอีก”
ครั้นเห็นดวงตาแสดงความไม่เข้าใจและพิศวงของเบญญาจ้องเขม็งมา พินทุวดีก็รีบเสหัวเราะกลบเกลื่อนเสีย
“คือขอมโบราณเชื่อว่า พระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์สืบเชื้อสายมาจากเทพน่ะค่ะ ตามความเชื่อนี้ฉันก็ต้องเป็นเทพธิดาน่ะซีคะ เหนือชั้นกว่าอัปสรเสียอีก แหมวันนี้ฉันพูดเลอะเทอะให้คุณเบญญางงเสียแล้วละ ขอโทษเถอะค่ะ กำลังรู้สึกครึ้มใจที่จะได้ไปงานแฟนซีลีลาศเลยสติเฟื่องไปหน่อย ก็เมืองเราไม่ค่อยจัดกันบ่อยนักนี่คะ งานประเภทนี้น่ะ… คุณเบญญาวัดตัวเถอะ อย่าสนใจที่ฉันพูดเลยค่ะ”
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 36
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 35
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 34
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 33
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 32
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 31
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 30
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 29
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 28
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 27
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 26
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 25
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 24
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 23
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 22
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 21
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 20
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 19
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 18
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 17
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 16
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 15
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 14
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 13
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 12
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 11
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 10
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 9
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 8
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 7
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 6
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 5
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 4
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 3
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 2
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 1