อมฤตาลัย ตอนที่ 18

อมฤตาลัย ตอนที่ 18

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

จุลจิราและช่างเสื้อสาวๆ ของร้านเบญญาพากันตกใจ เมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวร่างผอมบางที่ลงจากรถโซซัดโซเซเข้ามาทรุดกายคู้บนเก้าอี้ในร้านอย่างปวกเปียก สีหน้าซีดขาวจัดกับดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกเต็มที่ บอกให้รู้ว่า อาการทางใจของอลิศราไม่ใช่น้อยเลย

“อลิศ อลิศ เป็นอะไรไป”

จุลจิราปราดเข้าประคองเพื่อนสาว เสียงที่กระชั้นถามบอกความวิตกเป็นห่วงอย่างเต็มเปี่ยม ถึงแม้ดูเผินๆ หล่อนกับอลิศราจะทะเลาะเบาะแว้งแข่งดีกันอยู่ตลอดเวลา แต่ลึกลงไปแล้ว ทั้งสองสาวเป็นเพื่อนรักใคร่กันอย่างสนิทยิ่ง

“อลิศ ตายจริง ดูซิ เป็นลมไปแล้ว รัตน์ เอายาดมมาเร็วๆ ต๊ายหน้าซีดเชียว เร็วเข้ารัตน์”

“ยาดมที่ไหนล่ะคะ หนูไม่มีนี่”

“ในกระเป๋าถือของฉันนั่นไง เซ่อจริง หยิบมาเร็วๆ ดูซิ อลิศเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าดมยาไม่ฟื้นจะทำไงนี่”

จุลจิรากุลีกุจอจ่อยาดมชนิดแท่งเข้าไปรอที่จมูกเพื่อนสาวซึ่งนอนหน้าซีดเผือดจนเขียว หายใจรวยๆ ไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้ยาว ดารัตน์ช่างเย็บเสื้อสาวรุ่นขยี้พิมเสนมาให้ดมอีกแรงหนึ่ง และคนอื่นๆ ช่วยถูตามแขนขาพร้อมกับเรียกชื่อ ไม่นานเปลือกตาของอลิศราก็เริ่มขยับและมีเสียงครางลอดออกมาจากริมฝีปากเบาๆ

“อุ๊ย ฟื้นแล้ว อลิศ อลิศ รู้ตัวแล้วเรอะ เป็นอะไรไปน่ะ”

“โอ๊ย กลัวแล้ว” เสียงคนเจ็บครวญครางส่ายหน้าไปมา ยกมือขึ้นปัดป้องเหมือนจะให้พ้นภัยอะไรสักอย่าง

“กลัวอะไรกัน อลิศ นี่พวกเราเองทั้งนั้น เป็นอะไรไปน่ะ”

“เสือ…เสือดำ โอ๊ย น่ากลัวเหลือเกิน…แยกเขี้ยวขาว ทำท่าจะเข้ากัดฉัน…แล้วพญานาคนั่นอีก โอ๊ย! กลัวแล้ว!”

“อะไรกัน เสือสางที่ไหนนะ อลิศ เอ๊ะ…นี่เมาหรือเปล่านะ”

จุลจิราก้มลงไปใกล้ หากลมหายใจเพื่อนสาวที่รวยรินออกมานั้นปราศจากกลิ่นแอลกอฮอล์ใดๆ ทั้งสิ้น

“อืม ไม่เมานี่หว่า เป็นอะไรไปยะ อลิศ สงบใจหน่อยซิ นี่พวกเราทั้งนั้นนะ ไม่ใช่เสือสางที่ไหนหรอก”

พร้อมกับพูด มือก็สาละวนเทโอเดอโคโลญลงบนผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ ที่ช่างเย็บเสื้อนำมาให้ บรรจงลูบไล้ตามใบหน้าและลำคอของอลิศรา สัมผัสเย็นฉ่ำชื่นนั้นดูเหมือนจะเรียกสติของนางแบบสาวชื่อก้องให้คืนมาสู่ตัว หล่อนลืมตาขึ้น กวาดไปรอบๆ แล้วมาจับอยู่ที่ดวงหน้าของจุลจิรา

“จุ่นหรือ นี่ฉันอยู่ไหน”

“ก็ที่ร้านน่ะซิ ฟื้นแล้วเรอะ เฮอ โล่งอกไปที เป็นอะไรไปยะ”

อลิศรากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ผงกศีรษะทำท่าจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ทิ้งตัวลงโดยแรง

“โอย มึนหัวจัง งงไปหมดเลย ฉันมาที่นี่ได้ยังไงนี่”

“อ๊าว ก็ขับรถมาน่ะซียะ อะไร ไม่รู้ตัวหรอกหรือ”

“ไม่…จำได้เลือนๆ ว่าขับรถมา มีเสียงใครก็ไม่รู้บอกให้ขับมาทางนี้ มันดูรางเลือนพิกล จำอะไรไม่ได้ถนัดเลยมาถึงนี่ได้ยังไงก็ไม่รู้”

“เอ๊อ ดีนี่ ไม่ขับรถชนหมาชนคนมาตลอดทางก็โชคดีเต็มฟัดแล้ว ไปทำอะไรมาล่ะถึงได้เป็นยังงี้”

อลิศรากะพริบตาเหมือนทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แล้วภาพที่ผ่านเข้ามาในห้วงคิด ก็ยิ่งบีบคั้นความรู้สึกอย่างแรง หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าบิดกายไปมาอย่างทุกข์ทรมานด้วยความหวาดกลัว

“เสือ…เสือดำนั่นน่ะ จุ่น มันจะกัดฉัน…พญานาคก็จะเข้ามาฉก โอ๊ย…น่ากลัวจริงๆ นะจุ่น…บ้านผีสิงแท้ๆ แม่นั่นก็เป็นผี ไม่ใช่คนหรอกจุ่น มันไม่ใช่คน”

จุลจิรามองเพื่อนอย่างกลุ้มใจ ดารัตน์ยื่นหน้ามาให้ความเห็น

“ตามหมอดีไหมคะ คุณ”

“หมอไหนดีล่ะ ไม่รู้จักใครนี่ เอาไปโรงพยาบาลเลยดีกว่ามั้ง”

“หมอประจำตัวคุณเบญญาไงคะ อย่าเอาไปโรงพยาบาลเลย คุณอลิศจะตายเสียก่อนได้ตรวจนะคะ”

จุลจิรานิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้า ดารัตน์ลุกไปที่เครื่องรับโทรศัพท์หมุนหมายเลขและพูดติดต่อสักครู่ก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าผิดหวัง

“หมอไม่อยู่ค่ะ วันนี้ปิดร้านไปธุระ จะทำยังไงดีคะ ลองพาไปคลินิกดีไหม”

จุลจิรามองดูนาฬิกาอย่างร้อนใจ

“ทำไงดีล่ะ ตั้งห้าโมงกว่าแล้ว ฉันต้องเฝ้าร้านแทนคุณเบญญาด้วย ดารัตน์พาไปได้ไหม ฮื้อ เอายังงี้ดีกว่า ฉันว่าลองโทรไปหาแฟนเขาดีไหม คุณทัดเทพน่ะ เผื่อเขาจะมีไอเดียอะไรมั่ง”

“เบอร์อะไรคะ”

“เปิดสมุดโทรศัพท์ดูซิ บ้านพ่อเขานะ พลตำรวจตรีทัดพงศ์ พิษณุเศรณี นั่นแหละ”

ดารัตน์ค้นสมุดโทรศัพท์ แล้วต่อสายไปตามหมายเลขนั้น สีหน้าดีขึ้นทันทีเมื่อพูดประโยคต่อไป

“คุณทัดเทพหรือคะ รัตน์ เอ๊ย หนู ง่า…เดี๊ยนโทรมาจากร้านเบญญาค่ะ คุณอลิศราเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ท่าจะเสียสติค่ะ คุณมาดูหน่อยได้ไหมคะ เราอยู่กันผู้หญิงสองสามคนเท่านั้น ไม่รู้จะทำยังไง ตามแล้วค่ะ หมอไม่อยู่ ไม่ทราบซีคะ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง พูดเพ้อถึงแต่เสือสางอะไรก็ไม่รู้ ค่ะ พูดจาเลอะเทอะเหมือนคนเสียสติน่ะค่ะ ก็คงอย่างงั้นแหละค่ะ แต่ไม่ทราบว่าไปตกใจอะไรมา คะ คุณจะพาหมอมาด้วยหรือคะ อูว์ ดีจัง มาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ค่ะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

วางหูโทรศัพท์ลงแล้ว ดารัตน์ก็หันมาทางจุลจิรา ยิ้มอย่างโล่งใจให้

“เดี๋ยวคุณทัดเทพจะรับหมอมาด้วยเลยค่ะ แหม แกดีจังนะคะ บอกว่าผมจะไปเดี๋ยวนี้ มีแฟนยังงี้รักตายเลย”

จุลจิรามีสีหน้าดีขึ้นทันใด หล่อนหันไปปลอบเพื่อนสาว

“ใจเย็นๆ ไว้นะ อลิศ เดี๋ยวแฟนตัวจะมา รู้ไหม เดี๋ยวคุณทัดเทพก็จะมาแล้ว สงบใจหน่อยซี”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เก๋งคันงานของ ร.ต.ท.ทัดเทพก็ปราดเข้ามาจอดหน้าร้านเบญญา ผู้หมวดหนุ่มพร้อมกับชายร่างใหญ่ผิวขาวจัดก้าวลงมาอย่างเร่งร้อน จุลจิราปราดออกมารับอย่างยินดี

“สวัสดีค่ะ ขอบคุณเหลือเกินที่รีบมา อลิศทำท่าจะแย่แล้วค่ะ เป็นอะไรไปก็ไม่รู้”

“อย่าเพิ่งตกใจครับ นี่เพื่อนผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ หมอรู้จักคุณจุลจิรานางแบบชื่อดังเสียซี่ คุณจุลจิราครับ นี่นายแพทย์ ม.ร.ว.สโรชพันธุ์ สโรชา จิตแพทย์มือเยี่ยมครับ”

หญิงสาวพนมมือเคารพอย่างรวดเร็วตามนิสัย “ยินดีจริงๆ ค่ะที่ได้รู้จักคุณหมอ เชิญข้างในเถอะค่ะ”

ชายหนุ่มทั้งสองเดินตามนางแบบสาวเข้าไปข้างใน ร่างที่นอนทุรนทุรายอยู่บนเก้าอี้ยาว ทำให้ทัดเทพปราดเข้าไปหาโดยเร็ว

“อลิศรา เป็นอะไรไปครับ ผมมาเยี่ยม”

น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนนั้นช่วยได้อย่างประหลาด อลิศราหยุดร้องครวญคราง ลดมือที่ปิดหน้าลงมองดูเขาอย่างตื่นๆ

“ทัดเทพ…นี่คุณจริงๆ หรือคะ”

“ครับ ผมมาแล้ว ทำใจให้สบายเถอะ อลิศรา เพื่อนผมก็มาด้วย เขาเป็นหมอ จะช่วยคุณได้ทีเดียว”

ม.ร.ว.สโรพันธุ์ สโรชา ก้าวเข้ามาหา ใบหน้าอันยิ้มแย้มอย่างใจดี และดวงตาอันอ่อนโยนเต็มไปด้วยแววเห็นอกเห็นใจและปรานีลึกซึ้ง ทำให้นางแบบสาวเคราะห์ร้ายคลายความหวั่นผวาลง และด้วยการปลอบประโลมและตะล่อมอย่างถูกจุดของจิตแพทย์หนุ่ม อลิศราก็สามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดได้ และเล่าให้ชายหนุ่มทั้งสองฟังอย่างละเอียดทุกประการ

ผู้หมวดหนุ่มและนายแพทย์เชื้อพระวงศ์นิ่งฟังอย่างสนใจ สำหรับทัดเทพนั้นนึกในใจว่าอีหรอบเดียวกับเจ้าช่วงอีกแล้ว ส่วนนายแพทย์จากเยอรมันไม่ได้แสดงอะไรออกนอกหน้าแม้แต่น้อย เว้นแต่ดวงตาซึ่งเปล่งแววสนใจเท่านั้น เขาตรวจดูอาการของอลิศราและพูดจาปลอบโยนอย่างนุ่มนวลจนหล่อนค่อยคลายใจ แล้วจัดยาระงับประสาทให้ชุดหนึ่ง อาการของหญิงสาวก็ค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ

“เทพ อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ อยู่กับอลิศก่อน อลิศกลัวเหลือเกินค่ะ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ดูมีอะไรประหลาดลึกลับเหลือเกิน บ้านช่องใหญ่โตยังกับวัง แต่เงียบเหมือนป่าช้า”

“หลับเสียเถอะครับ อลิศรา ผมจะเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนจนกว่าคุณจะหลับสบาย หมอก็อยู่ด้วยครับ คุณปลอดภัยอย่างที่สุดแล้วละ”

ทัดเทพตอบอย่างนิ่มนวล นางแบบสาวยิ้มออกมาได้ จับมือของเขาไปกุมไว้แน่น นัยน์ตาที่ช้อนขึ้นมองนายตำรวจหนุ่มเต็มไปด้วยแววรักใคร่บูชาอย่างลึกซึ้งจนทัดเทพต้องลอบถอนหายใจยาว

อลิศราหลับไปแล้วอย่างสงบ หมอสโรพันธุ์มองดูนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว จึงชวนเพื่อนเกลอลากลับ จุลจิราขอบใจสองสหายอย่างอ่อนหวาน ส่วนสาวๆ ในร้านมองตามทัดเทพตาละห้อย โดยนายตำรวจหนุ่มรับปากว่า วันรุ่งขึ้นและวันต่อๆ ไปจะมาเยี่ยมอาการของอลิศราทุกวัน

ขณะนั่งรถไปด้วยกัน ทัดเทพเอ่ยขึ้นมา

“ไปหาไอ้ฑูรย์กันไหม หมอ บ้านมันอยู่ไกลหน่อย แต่นี่ก็ยังหัวค่ำจะได้ชวนมันออกไปกินข้าวด้วย”

“ดีเหมือนกัน”

สหายของเขาตอบสั้นๆ หยุดเว้นระยะแล้วจึงเอ่ยต่อไปอย่างครุ่นคิด

“เล่าเรื่องผู้หญิงที่ชื่อพินทุวดีให้ฟังหน่อยซีเทพ อยากรู้”

ร.ต.ท.ทัดเทพอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบเสียงต่ำๆ

“ก็อย่างที่รู้ๆ กันน่ะแหละ เป็นคนสวยลึกลับไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า อยู่บ้านใหญ่ยังกะวัง แต่ในบ้านมีคนอยู่หยิบมือเดียว ชอบสะสมของเก่าและมีความรู้ในทางโบราณคดีค่อนข้างดี”

“อืม ชักอยากเห็นตัว”

“แล้วก็จะได้เห็นแน่ๆ ว่ะ งานแฟนซีลีลาศปลายเดือนนี้เจ้าหล่อนจะไปร่วมงานด้วย เอ็งคอยดูคอยวิจัยให้ดีก็แล้วกัน ว่าแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับอลิศรานี่ เอ็งว่าไงล่ะ”

“เอ็งล่ะ”

ร.ต.ท.ทัดเทพยักไหล่ “ประสาทหลอนใช่ไหม”

นายแพทย์เชื้อพระวงศ์นิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ “อาจใช่ก็ได้ หรือม่ายงั้นก็ถูกสะกดจิต”

“สะกดจิต” ทัดเทพหันขวับมามองหน้าเพื่อนโดยเร็วจนหน้ารถแฉลบ

“หมายความว่าไงวะ”

“ก็หมายความว่าถูกสะกดจิตน่ะซีโว้ย คุณอลิศราของเอ็งคงเป็นคนจิตอ่อน ถูกคนที่มีพลังจิตเข้มแข็งกว่าบังคับให้มองเห็นไปต่างๆ นานา นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานอย่างเดาสุ่มเอานะ เอ็งอย่าเพิ่งเชื่อถือเอาเป็นจริงจังนัก”

“อืม แปลกมาก ข้าพบคนเป็นอาการยังงี้มาสองรายแล้วว่ะ”

แล้ว ร.ต.ท.ทัดเทพก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าช่วงให้สหายฟังพลางสรุปว่า

“ไอ้ฑูรย์มันก็เคยเจอ ข้าถึงอยากพาเอ็งไปหามันในคืนนี้ไงล่ะ เผื่อจะช่วยให้เอ็งวิเคราะห์อะไรๆ ได้มั่ง ข้าเองงงจนหัวแทบแตกแล้วว่ะ”

“ถ้าเชื่อว่าต้นตอทั้งหมดมาจากคุณพินทุวดี ข้าก็อยากพบเธอสักหน่อย รู้สึกว่าจะเป็นคนประหลาดๆ อยู่ ตามความเห็นของเอ็งล่ะ ถ้าตัดความสงสัยออกไปเสีย เอ็งเห็นว่าเธอเป็นคนยังไงวะ”

“ก็บอกแล้วไงว่า พินทุวดีก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความหลังฝังใจมากผิดปกติ เธอชอบพูดถึงความรุ่งเรืองในอดีตอยู่เสมอ คงเสียดายฐานันดรศักดิ์ที่สูญไปแล้วนั่นแหละ แต่บอกตรงๆ ว่ะหมอ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะเป็นคนลึกลับที่บงการเรื่องร้ายๆ ให้เกิดขึ้นได้ ถึงแม้เหตุผลของไอ้ฑูรย์จะดูเข้าที แต่ข้าก็เชื่อไม่ลงว่ะ…เอ้า ถึงซะที ไอ้ฑูรย์อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”

ทัดเทพพาเก๋งคันงามของเขาจอดเทียบหน้าประตูบ้านพักนักโบราณคดี แล้วลงไปกดออดที่ประตู ครู่ต่อมาไวฑูรย์ อมรรัช ก็โผล่หน้ายิ้มร่าออกมาดู

“บ๊ะ ตามหาพ่อถึงนี่เชียวหรือลูก ไอ้หมอก็อุตส่าห์มากับเขาด้วย ได้ข่าวว่าไปมั่วดอกเตอร์นวดจนไม่ลืมหูลืมตาหรือวะ เข้ามาข้างในซี”

“ม่ายละ จะมารับเอ็งไปกินข้าวด้วยกัน ไปไหม”

“มีหรือจะไม่ไป ของกินฟรีหาได้ง่ายที่ไหน รอประเดี๋ยวนะลูก ขอผลัดกุงเกงเดี๋ยวเดียว”

ไวฑูรย์หายเข้าไปชั่วอึดใจก็กลับออกมากระโดดขึ้นนั่งทางตอนหลังอย่างว่องไว

“ไปได้เลย คุณพี่…นึกยังไงถึงได้มาชวนน้องไปเลี้ยงล่ะ”

“นึกห่วงเอ็งน่ะซี ไอ้อะไรที่คุณพินทุวดีเอามาให้ดูตอนกลางวันน่ะ เอ็งเอาไว้ไหน”

“ไว้ที่บ้าน ทำไม”

“ไม่ทำไมหรอก ถามดู รู้ไหมวันนี้อลิศราเขาตามไปจนถึงบ้านพินทุวดี”

“ฮ้า ไปทำไมวะ คุณแม่มดเจ้าเสน่ห์อีเปิดบ้านต้อนรับคนแล้วเรอะ ตั้งแต่เอ็งไปบุกเบิกไว้นี่ ดูแม่คุณชักจะคบค้าสมาคมกับมนุษย์ถึงบ้านถึงช่องมากขึ้นนะ”

“เมื่อก่อนเป็นคนชัตอินเรอะ” นายแพทย์สโรชพันธุ์ถามอย่างสนใจ

“ใครว่า ตรงข้ามโว้ย อีเป็นคนเฟลิตแบบประหลาดๆ ว่ะ คือคบคนมาก แต่ไม่ยอมให้ใครเข้าบ้านเลยซักคน ต้องให้ไอ้เทพไปบุกเบิกเป็นคนแรก แม่คุณถึงได้เปลี่ยนท่าที…ว่าไง อลิศราไปทำไมที่บ้านนั้นล่ะ”

ทัดเทพตีหน้าปุเลี่ยน นายแพทย์เชื้อพระวงศ์จึงเป็นผู้ตอบเสียเอง

“ก็ไปหึงไอ้เทพมันน่ะซี จะมีอะไร ถึงข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็ยังพอเดาออกหรอกน่ะ”

“จริงๆ เรอะ บ๊ะ ถึงงั้นเชียว”

“เฮ้ย ไม่มีอะไรหรอก อลิศราเล่าว่าเห็นข้ากับพินทุวดีที่หน้าอู่ก็ตามไปจนถึงบ้าน…แล้วก็ ง่า…ถามไอ้หมอดูซีวะ ร้อนถึงต้องไปรับไอ้หมอมาดูอาการนั่นแหละ!”

“ไง อลิศราเป็นอะไรไปวะหมอ”

จิตแพทย์หนุ่มถอนใจ “ถ้าไม่เป็นเพราะประสาทหลอนก็คงถูกสะกดจิต แต่ข้าคิดว่าเป็นเพราะอย่างหลังมากกว่า คนไข้ถึงได้เห็นอะไรน่ากลัวผิดธรรมดาจนขวัญเสียไปเลย”

“หมายความว่าพินทุวดีเป็นคนสะกดจิตอลิศราให้เห็นอะไรๆ น่ากลัวยังงั้นใช่ไหม”

“ก็ทำนองนั้นแหละ” คราวนี้ทัดเทพตอบอย่างว่องไว แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนเกลอฟัง

“งั้นเอ็งคงเชื่อแล้วละซิ ว่าบ้านพินทุวดีมีอะไรประหลาดๆ อย่างที่ข้าว่าจริง”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปอย่างนั้นโว้ยฑูรย์ อย่างมากที่ข้าทำได้เวลานี้ก็แค่เดาเอา แต่เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นคล้ายคลึงกันหลายหนก็ต้องตั้งข้อสังเกตไว้ก่อน เอ็งจะให้ข้าเชื่อว่าพินทุวดีเลี้ยงผีตามคำบอกเล่าของคนบ้าอย่างเจ้าช่วงหรือวะ พูดให้ใครฟังเขาจะได้หัวเราะเอาตายปะไร…นี่เจ้าช่วงมันมีอาการดีขึ้นเยอะแล้ว รออีกไม่นานคงพอสอบปากคำมันได้
ละวะ”

ไวฑูรย์เงียบไป หากหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นบอกให้รู้ว่า เขากำลังคิดอยู่อย่างหนักหน่วง อาการร่าเริงสนุกสนานหายไปหมด เหลือแต่ความเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังเข้ามาแทน

“ข้าว่าพินทุวดีเป็นต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมดละโว้ย ยังไงๆ ก็ไม่เปลี่ยนความคิดหรอก มันเกี่ยวโยงไปจนถึงเรื่องผู้ชายหายตัวและศพสยองเหล่านั้นด้วย”

“ยังไม่มีหลักฐานก็อย่าเพิ่งเชื่อมั่นอะไรเลยวะ เออ…แล้วเกียรติมุขอะไรของเอ็งนั่นล่ะ พิจารณาดูให้เขาแล้ว
หรือยัง”

“ยังเลย ทำไม เอ็งเป็นห่วงอะไรเรื่องนี้นักหรือวะ”

“มันนึกตะครั่นตะครอในใจชอบกลว่ะ ถึงข้าจะไม่สงสัยคุณพินทุวดีไปในทางร้ายอย่างเอ็ง แต่ดูๆ เธอไม่ชอบหน้าเอ็งเลยนี่หว่า อาจมีแผนอะไรซ่อนอยู่ในเบื้องหลังเรื่องเกียรติมุขนี่ก็ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพินทุวดีจะไม่รู้จักที่มาของรูปหินอันนั้น เธอมีความรู้ทางโบราณคดีดีกว่าเอ็งซะอีก ไม่น่าจะต้องมาพึ่งเอ็งเลย เพราะงี้แหละข้าถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก มันอาจเป็นสังหรณ์ก็ได้”

“ข้าก็คิดอยู่แล้วโว้ย เทพ แต่จะติดตามดูให้ถึงที่สุด ยอหอ อย่าห่วงเลยพวก ข้ามีของดีคุ้มกันอยู่แล้ว”

“นี่เอ็งพูดเรื่องอะไรกันวะ”

หมอสโรพันธุ์ซึ่งนิ่งฟังเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ ไวฑูรย์จึงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องทั้งหมดตลอดจนข้อสงสัยของเขาเกี่ยวกับสตรีโฉมงามนามพินทุวดีคนนั้นให้ฟังอย่างละเอียดลออ จิตแพทย์เชื้อพระวงศ์นิ่งฟัง ตาเบิกโพลงด้วยความสนใจถึงขนาด พอเล่าจบก็ร้องขึ้นลั่นรถ

“ว้าว! วันเดอร์ฟูล! เป็นอันว่าเอ็งเชื่อว่าคุณพินทุวดีมีอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองอมฤตาลัยลึกลับนั่น ตลอดจนเรื่องประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ด้วยหรือวะ”

“ข้าอยากเชื่อ แต่ไม่มีหลักฐานก็ต้องทำอย่างไอ้เทพมันว่า คือรอดูต่อไป”

“ผ่าเถอะ ข้าอยากรู้จักคุณพินทุวดีของเอ็งเร็วๆ จังเลยว่ะ ทำไงจะได้พบล่ะ”

“เหอะน่า ถ้าอยากรู้จักจริงๆ พรุ่งนี้จะพาไปหาที่บ้าน คุณพินทุวดีเป็นนายจ้างของคนไข้ที่ข้าว่าจะพามาหาเอ็งนั่นไง”

“ง้านเรอะ ดีซี่ พรุ่งนี้ขอไปรู้จักหน่อยนะ ข้าสนใจแม่มดสมัยใหม่เต็มแก่แล้วว่ะ ให้ตายซี นี่พระนางอัชฌาเทวีกับพระนางชีบาคืนชีพขึ้นมาหรือไงวะ วูนเดอบาร์!”

ไวฑูรย์หัวเราะ “ต่อให้สาวสองพันปีอย่างพระนางอัชฌาเทวี หรือราชินีเจ้าเสน่ห์อย่างพระนางชีบารวมกันเข้าก็สู้ไม่ได้หรอกวะ ถ้าความเชื่อของข้าเป็นจริง พินทุวดีอาจร้ายกาจอย่างที่จิตแพทย์อย่างเอ็งคาดไม่ถึงทีเดียวไอ้หมอเอ๊ย เชื่อพ่อเหอะลูก”

 



Don`t copy text!