
อมฤตาลัย ตอนที่ 28
โดย : จินตวีร์ วิวัธน์
อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้
ดวงหน้าที่หันมาสู่สายตาชายหนุ่มในขณะนี้แทบจะทำให้ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ หัวใจหยุดเต้นไปในบัดดล…
มันเป็นดวงหน้าที่จะพบได้ก็แต่ในฝันร้ายเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นดวงหน้าที่หลุดออกมาจากขุมนรกที่ลึกที่สุด…ศุภสิทธิ์ตะโกนก้องบอกตัวเองอยู่ในใจขณะที่ดวงตาเบิกโพลงจ้องดูร่างนั้นเขม็งแทบไม่กะพริบ พร้อมด้วยหัวใจเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมานอกอก
มันเป็นดวงหน้าของหญิงแก่ที่คำนวณอายุไม่ได้…แผ่นหนังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผิวหน้านั้น เป็นสีน้ำตาลกระดำกระด่างแบบเดียวกับที่มือเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยซับซ้อนไปทั่วทั้งหน้าจนหาเค้าเดิมไม่พบ หนังตาย่นยู่ แต่ทว่าดวงตาที่ลึกลงไปข้างใต้กลับพองใหญ่และแดงก่ำเหมือนละเลงด้วยเลือดสดๆ จมูกฟุบแฟบไม่มีดั้ง ริมฝีปากหายไปหมด ตรงที่เป็นช่องปากขึงด้วยหนังเหี่ยวย่นบางๆ แห้งเกราะที่เขยื้อนแสยะมองเห็นฟันผุซี่กระดำกระด่างอยู่ภายใน ส่วนตรงที่เป็นแก้มทั้งสองก็คือเศษหนังห้อยย้อยย่นเป็นกลีบจนดูไม่ใช่เนื้อหนังมนุษย์
ที่เพิ่มความน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งขึ้นก็คือ ผมอันยาวสยายลงมาจนถึงกลางหลังของร่างนั้นเป็นสีขาวโพลนแห้งกรอบยุ่งเป็นกระเซิงรุงรัง เมื่อมันสยายอยู่รอบๆ ดวงหน้าอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยิ่งเพิ่มความน่าสยองยิ่งขึ้นอีกเป็นทวีคูณ…
อากัปกิริยาที่ร่างนั้นเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเหมือนกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านใจถึงขนาด ปากอันเป็นเพียงแผ่นหนังเหี่ยวย่นแสยะอ้าอย่างดุร้ายปะงาบๆ เป็นระยะ ซึ่งศุภสิทธิ์เดาเอาว่าคงเป็นเสียงพึมพำคร่ำครวญอะไรสักอย่าง อากัปกิริยาที่แสดงอยู่นั้น หากเจ้าตัวไม่อยู่ในภาวะขุ่นเคืองรำคาญใจเต็มที่แล้ว ก็คงจะหิวโหยทรมานเป็นที่สุด…ร่างประหลาดเดินงุ่นง่านกลับไปกลับมาอยู่เป็นครู่ แล้วก็ผลุนผลันตรงไปยังฝาห้อง เอามือกดตรงนั้นด้วยท่าทางดุดัน
ศุภสิทธิ์แทบจะหลุดปากอุทานออกมาให้ได้เมื่อเห็นฝาผนังห้องด้านนั้นค่อยๆ เลื่อนออกด้วยอาการหมุนกลับเหมือนประตูกล เผยให้เห็นช่องมืดสนิทอยู่ภายใน ร่างชราแร้งทึ้งที่คะเนอายุไม่ถูกผลุนผลันเข้าไปในช่องอย่างรวดเร็วผิดคาด แล้วบานประตูกลก็ค่อยๆ หมุนเข้าหากันดังเดิม…
ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ แนบหน้ากับบานประตูกระจก ความเย็นขึ้นจากละอองน้ำค้างช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามสะกดอารมณ์ผ่อนคลายความตึงเครียดและความตื่นเต้นตกใจที่ได้รับอย่างเต็มความสามารถ ครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น แล้วรวบรวมกำลังใจให้กล้าหาญแข็งใจไต่จากระเบียงลงสู่ชานใต้หน้าต่างแล้วย่องกลับไปที่เดิม
ที่ห้องโถงกลางยังว่างเปล่า ชายหนุ่มย่องลงบันไดไปอย่างระมัดระวังสู่ห้องชั้นล่าง เปิดประตูออกอย่างแผ่วเบา ยื่นหน้าออกไปมองสำรวจด้านนอก เมื่อไม่เห็นมีอะไรผิดปกติก็ย่องหนับๆ ออกไป แล้วลงบันไดหินอ่อนหน้าบ้านเลาะลัดไปตามพุ่มไม้ที่ตัดแต่งเป็นรูปตัวสัตว์อย่างเป็นระเบียบภายในอาณาบริเวณกว้างใหญ่และเงียบวังเวงนั้น
ยังไม่ถึงครึ่งทาง ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เขาหยุดชะงักเบียดตัวบังพุ่มไม้ทึบที่ตัดเป็นรูปช้างหมอบทันที เสียงฝีเท้าเบาๆ สม่ำเสมอที่ใกล้เข้ามา แสดงว่าอาจมีใครสักคนเห็นการกระทำของเขาเข้าแล้ว…
ด้วยใจอันเต้นระทึก ศุภสิทธิ์เอียงหน้ามองผ่านพุ่มไม้ใบหนาออกไป เขาเห็นชายผู้หนึ่งเดินมาตามถนนคอนกรีตที่ทอดผ่านหน้าพุ่มไม้นั้น ลักษณะอาการเดินของชายผู้นั้นทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความพิศวงอีกวาระหนึ่ง…
แข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ อาการก้าวขาแต่ละข้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก แขนทั้งสองห้อยแนบลำตัวไม่เคลื่อนไหว ดวงหน้าตั้งตรงมองแน่วไปข้างหน้าไม่เหลียวซ้ายแลขวา และในท่ามกลางแสงดาวอันวอมแวมเต็มฟ้านั้นศุภสิทธิ์ยกมือขยี้ตาอย่างงุนงงเมื่อเห็นดวงหน้านั้นถนัด
นัยน์ตาอันเบิกโพลงมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่กะพริบ ทำให้เขาประหลาดใจมากก็จริง แต่ยังไม่เท่าดวงหน้านั้น…ดวงหน้าที่ทำให้ศุภสิทธิ์ถึงกับลืมตัว กระโดดผลุงลุกขึ้นยืนเผ่นออกไปหาทันที
“สถาพร เฮ้ย ไอ้พรจริงๆ หรือวะ”
พร้อมกับคำพูดละล่ำละลักอย่างดีใจเต็มที่ ศุภสิทธิ์ยื่นมือออกไปจับแขนผู้เป็นเพื่อนเกลอบีบแน่น แต่แล้วก็สะดุ้งอีกครั้ง เพราะแขนชายหนุ่มผู้หายตัวลึกลับนั้นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งไม่มีผิด
ความดีใจที่ได้พบเพื่อนอย่างกะทันหันไม่คาดคิด ทำให้ศุภสิทธิ์ไม่สนใจความผิดปกติใดๆ เขาเองก็เชื่อเช่นเดียวกับเพื่อนเกลอคนอื่นๆ ว่า สถาพร ไพสิฐกุล คงล้มหายตายจากโลกนี้ไปแล้ว จึงไม่ได้ข่าวคราวร่องรอยเลย ครั้นมาพบตัวเข้าโดยไม่คาดฝันจึงอดตื่นเต้นดีใจไม่ได้ โดยลืมแม้แต่จะระแวงจับผิดที่ว่าเขากำลังพบเพื่อนผู้ทำตนเป็นคู่แข่งในสนามของความรักอยู่ภายในบ้านของสตรีที่เขาหลงใหลและในเวลาวิกาลเสียด้วย!
“ไอ้พร วู้! ทำไมหายหัวมาอยู่ที่นี่วะ”
ศุภสิทธิ์เขย่าแขนเย็นเฉียบไปมา แล้วความตื่นเต้นยินดีก็จางไปทีละน้อย เมื่อเห็นอากัปกิริยาของผู้เคยเป็นเพื่อนรัก สถาพรผู้ซึ่งหยุดยืนนิ่งเฉยในทันทีที่เขาแตะต้องตัว ค่อยๆ หันมาช้าๆ เป็นการหันทั้งตัวอย่างแข็งทื่อผิดธรรมดา ศุภสิทธิ์มองดูอย่างฉงน และเมื่อเพื่อนเกลอหันมาทั้งตัว ได้เผชิญหน้ากันในระยะประชิดเช่นนั้น ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ ก็ต้องผงะไปทั้งตัวด้วยความตกใจระคนสนเท่ห์สุดขีด
เพราะใบหน้านั้นซีดเหลือเกิน ซีดขาวเหมือนแผ่นกระดาษเห็นได้ชัดในแสงดาวกระจ่างและแสงเดือนข้างขึ้นอ่อนๆ แววตาที่มองดูเขาตรงๆ นั้นแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อน ไม่กะพริบ และปราศจากแววอย่างแท้จริง มองดูเหมือนลูกแก้วใสๆ ในเบ้าตา ริมฝีปากที่เผยอเล็กน้อยยิ่งทำให้หน้านั้นดูน่ากลัว ผิดกับใบหน้าสดชื่นแจ่มใสของสถาพรคนเดิมลิบลับ แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าที่คอของเขาซึ่งทำให้ศุภสิทธิ์สะดุ้งเฮือกขนลุกเกรียวทันทีที่สังเกตเห็น…ตรงคอนั้นมีรอยแผลแดงก่ำพาดจากด้านหนึ่งไปสู่ด้านหนึ่งเห็นได้ชัด ลักษณะเหมือนกับถูกปาดด้วยมีดคมกริบไม่มีผิด
“อะไร…อะไรกันนี่”
ศุภสิทธิ์เอ่ยตะกุกตะกักออกมา มือหลุดผล็อยลงจากแขนของสหายโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่หลุดจากการเกาะกุมร่างของสถาพร ไพสิฐกุล ก็หันกลับ เป็นการหันทั้งตัวอย่างแข็งทื่อเช่นเดิม แล้วเดินออกไปจากที่นั่นด้วยอาการเหมือนตุ๊กตาไขลาน ไม่แม้แต่จะชำเลืองมาทางเขาอีกเลย
“เดี๋ยวพร…”
ศุภสิทธิ์เรียกอย่างกระวนกระวาย รู้สึกสับสนไปหมด ท่าทีของสถาพรทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน ทั้งหวาดและฉงนฉงายระคนกัน…ร่างที่ออกเดินดุ่มแข็งทื่อไปนั้น ทำให้ศุภสิทธิ์ตัดสินใจก้าวตามทันที…จะยังไงก็ตาม เพื่อนเรานี่หว่า… เขาคิดในใจ…พลางเร่งฝีเท้าจะให้ทัน…แต่แล้วเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทางเบื้องหลังก็ทำให้เขาสะดุ้งหันขวับมาทันทีอย่างระแวงภัย
ทว่า…ช้าเกินไปเสียแล้ว พร้อมๆ กับศุภสิทธิ์หันขวับมานั่นเอง ร่างดำทะมึนพร้อมด้วยปีกแผ่กว้างออกไปรอบตัวก็ถลาโถมเข้าถึงตัว ชายหนุ่มรู้สึกถึงกำลังปะทะอันหนักหน่วงเหมือนถูกทุ่มด้วยกระสอบข้าวสารทั้งกระสอบ กลิ่นเหม็นสาบสางคลุ้งไปทั่วบริเวณ ในขณะที่เขาเสียหลักล้มลงบนพื้นหญ้า และกรงเล็บอันแข็งแกร่งแหลมคมของร่างประหลาดนั้นตะปบเข้าที่ช่วงไหล่ทั้งสองข้างกระชากให้หงายขึ้น ส่วนหัวอันน่าเกลียดน่ากลัวก้มใกล้ลงมา ศุภสิทธิ์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเขี้ยวยาวแหลมคมขย้ำลงที่หัวไหล่ของเขา พร้อมกับกางเล็บตะกุยตามเนื้อตัวเหมือนจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างเมามันและโหดร้ายทารุณ!
ด้วยความเจ็บปวดและสัญชาตญาณป้องกันตัว ศุภสิทธิ์ดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดแรง ทั้งๆ ที่ตระหนักดีว่าพละกำลังของสัตว์ประหลาดที่คุกคามเขาอยู่ขณะนี้มีมากมายผิดมนุษย์ปานใด มือของเขาควานไปพบไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งใกล้ตัว ชายหนุ่มคว้ามันกระชับไว้มั่นเอี้ยวตัวออกแรงสะบัดเต็มเหนี่ยว ส่วนหัวที่ก้มงุดลงมากัดเขาเบนห่างออกไปซึ่งเป็นช่วงนาทีทองของศุภสิทธิ์ เขาเงื้อไม้ขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟาดกระหน่ำที่หัวของมันสุดแรงเกิด
ได้ผล! ร่างพิกลพิการนั้นผงะออกไปพร้อมกับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด ศุภสิทธิ์ดีดตัวลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วที่เขาเองก็ประหลาดใจ มีเสียงคำรามอย่างดุร้ายมาจากสัตว์กึ่งคนกึ่งนกนั้น แล้วมันก็โผผวาเข้ามาอย่างโกรธจัด ชายหนุ่มกระโดดหลบไปทางหนึ่งพร้อมกับหวดไม้เต็มแรง ถูกปีกกว้างใหญ่ข้างหนึ่งดังสนั่นเรียกเสียงคำรามลั่นมาอีก คราวนี้มันเปลี่ยนวิธีใหม่กระพือปีกใหญ่หนาแข็งแรงทั้งสองข้างเข้ารุกไล่เขา พร้อมทั้งอุ้งเล็บอันแหลมคมก็พยายามคว้าตะกุยอย่างบ้าดีเดือด
แล้วเขาก็เสียท่าเข้าจนได้เมื่อปีกข้างหนึ่งของมันตีถูกร่างอันอ่อนแรงเพราะเลือดไหลมาก ถลาล้มลงไปบนสนามหญ้าอีกครั้ง สัตว์ประหลาดคำรามลั่น คราวนี้อย่างลำพองในชัยชนะ มันกางปีกเข้าคร่อมเขาไว้อย่างไม่ยอมให้หลบหลีกไปได้ อุ้งเล็บทั้งสองตะปบไหล่ให้เขาตรึงอยู่กับพื้น หัวใหญ่ที่มีปากแสยะกว้างมองเห็นลิ้นแดงแจ๋พร้อมทั้งเขี้ยวขาววับและฟันซี่เล็กๆ เรียงซ้อนกันเป็นแถวเหมือนฟันปลาอ้าร่อนอย่างหิวกระหาย
ศุภสิทธิ์หลับตาลง รอคอยวาระสุดท้ายอย่างหมดอาลัยตายอยาก น่าประหลาดที่อารมณ์ของเขาสงบลงจนสามารถนึกถึงพระพุทธคุณได้ในวาระเช่นนั้น
“เวตาล!”
เสียงแหบๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะของเขาเหมือนปาฏิหาริย์จากสวรรค์
สัตว์ร้ายเงยหัวขึ้นทันที แต่อุ้งเล็บยังคงกดไหล่ชายหนุ่มไว้มั่น เสียงแหบๆ สั่นเครือนั้นจึงดังมาอีกอย่างหนักแน่นเอาจริง
“เวตาล ปล่อย!”
อุ้งเล็บที่จิกแน่นบนไหล่ของศุภสิทธิ์คลายออกเล็กน้อย มีเสียงคำรามเบาๆ ลอดมาจากลำคอหนาใหญ่นั้น
“บอกให้ปล่อยเขา เชื่อข้าสิ! เวตาล”
คราวนี้เจ้าสัตว์ร้ายปล่อยอุ้งมือจากชายหนุ่มอย่างเสียดาย มันทรงกายลุกขึ้นยืนช้าๆ พลางคำรามในคออย่างไม่พอใจ
ศุภสิทธิ์ลืมตาขึ้น พร้อมๆ กับมือหนึ่งผอมบางแต่อบอุ่นยื่นมาดึงแขนเขาเบาๆ
“ลุกขึ้น แล้วรีบไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด พ่อหนุ่ม” เสียงแหบๆ นั้นกระซิบอย่างร้อนรน
ศุภสิทธิ์ลุกขึ้นช้าๆ เขามองหน้าผู้ที่ปาฏิหาริย์เข้ามาช่วยในนาทีสุดท้ายอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงหน้าเหี่ยวย่นส่อแวววิตกกังวล และหลังอันคุ้มงอ พร้อมด้วยผมทรงดอกกระทุ่มขาวโพลนนั้น เขาจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับหญิงชราที่เขาเห็นเดินงกเงิ่นลงบันไดในห้องบนตึกเมื่อตะกี้นี้นั่นเอง
“ขอบ ขอบพระคุณ…”
ศุภสิทธิ์พึมพำอย่างยากเย็น รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวจนสุดจะทนได้ หญิงชรามองดูบาดแผลทั่วร่างเลือดไหลแดงชุ่มฉานของเขาอย่างวิตกกังวล พร้อมกับหันไปทางสัตว์กึ่งมนุษย์ที่ยืนนิ่งอยู่ทางหนึ่ง
“ไปซิ เวตาล ไปที่อื่น นี่ไม่ใช่เหยื่อของเจ้า อย่ายุ่ง แล้วก็ไม่ต้องบอก ‘เขา’ นะว่าเจ้าพบเห็นอะไรในคืนนี้ ม่ายงั้นเวลาเจ้าถูกทำโทษข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกต่อไป”
ศุภสิทธิ์เห็นดวงตาแดงก่ำโปนถลนของสัตว์ร้ายที่เหลือบมองดูหญิงชรานั้น มีแววเหมือนตาสุนัขมองดูเจ้านายที่โยนชิ้นเนื้อไปห่างจากปากของมัน มันทำอิดๆ เอื้อนๆ อยู่ จนหญิงชราสำทับอีกครั้งจึงหันหลังกลับเดินโหย่งๆ ด้วยอาการของนกออกไปจากที่นั่น
“ไป พ่อหนุ่ม รีบหนีไปเสีย โถ! ดูซี เลือดออกมากเหลือเกิน ยายไม่รู้จะช่วยได้ยังไง เจ้าเวตาลนี่มันร้ายนัก แต่จะโทษมันก็ไม่ได้ มันถูกสั่งให้คอยดูแลบ้านในเวลากลางคืนเสียด้วย”
“มันเป็นอะไรครับ น่ากลัวเหลือเกิน”
ศุภสิทธิ์เอ่ยถามแผ่วเบา ในขณะที่หญิงชราพยุงเขาหลบเข้าหลังพุ่มไม้
“อ๋อ เวตาลน่ะ มันเป็นสัตว์เลี้ยงของ ‘เขา’ ละ ‘เขา’ หอบหิ้วเอามาด้วยจากแดนไกลโพ้น เอ้า อย่ามัวถามอยู่เลย พ่อหนุ่มพอเดินไหวไหม ยายจะพยุงไปถึงที่ประตู รีบๆ ออกไปเสีย เดี๋ยวจะเป็นอย่างพวกก่อนๆ อีกคน…นี่คงหลงเสน่ห์เขาอีกรายละซี บุกเข้ามาจนถึงบ้านช่อง หาเรื่องใส่ตัวเองไหมล่ะ”
“เพื่อน…เพื่อนของผม…สถาพร…” ศุภสิทธิ์เอ่ยตะกุกตะกัก รู้สึกเวียนหัวหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมจนต้องหยุดพิงพุ่มไม้หลับตานิ่งอยู่
“นั่นแหละ เป็นเหยื่อของ ‘เขา’ ไปเสียแล้วละ พ่อหนุ่มก็เถอะ ขืนชักช้าจะเป็นอย่างนั้นไปอีกคน รีบไปเถอะ พ่อคุณ ‘เขา’ ร้ายกาจมากนัก”
“เขา…เขาน่ะใครครับ”
“ก็ ‘เขา’ น่ะซิ เอ้า อย่ามัวรีรออยู่เลย เวลาไม่คอยท่า นี่ยังโชคดีนะที่คืนนี้เขาเป็น…ฮื้อ…เลยอ่อนแรงลงมาก
ไม่รับรู้อะไร…ถ้า ‘เขา’ เป็นปกติละก็ พ่อหนุ่มไม่ได้รอดมาอย่างนี้หรอก”
“พินทุวดี…ผมเห็น…ในห้องของเธอ…ใครก็ไม่รู้…”
จากแสงดาวศุภสิทธิ์คิดว่าได้เห็นแววหวาดหวั่นปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาสีน้ำข้าวของหญิงชราผู้อารี แกทำท่าเหมือนจะพูด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันมากึ่งลากกึ่งจูงพาเขาตรงไปยังประตูบ้านอย่างทุลักทุเล แกเหลียวซ้ายแลขวา
อย่างรอบคอบ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแน่แล้ว จึงกดปุ่มลับข้างประตู บานเหล็กอันหนาหนักทั้งสองค่อยๆ เผยออกจากกันอย่างช้าๆ โดยปราศจากเสียง หญิงชรารุนหลังเขาออกไปทันที
“ไปเสียเถอะ พ่อคุณ ไปตายเอาดาบหน้า ดีกว่าอยู่ในนี้ น่าสงสารเหลือเกิน ขืนอยู่ก็จะเป็นอย่างพ่อสถาพรอีกราย ทุเรศทุรังแท้ๆ โชคดีนะพ่อนะ”
แล้วโดยไม่รอฟังคำพูดของเขา หญิงชรากดปุ่มปิดประตูทันที บานประตูทั้งสองงับปิดเข้าหากันโดยไม่มีสุ้มเสียง ทิ้งเขาให้อยู่ในโลกมนุษย์ภายนอกตามลำพัง
สำนึกอันรางเลือนของศุภสิทธิ์เตือนเขาให้นึกถึงรถ ซึ่งจอดอยู่ในซอยเล็กแยกจากถนนใหญ่ เขาโซซัดโซเซออกไปด้วยความแข็งใจจนถึงที่สุด รู้สึกว่าระยะทางจากซอยบ้านพินทุวดีออกสู่ถนนใหญ่นั้นช่างห่างไกลเสียนี่กระไร…อาการหน้ามืดเพิ่มรุนแรงขึ้นจนแทบทรงกายไม่อยู่เมื่อออกมาสู่ถนนใหญ่แล้ว ในสายตาอันฝ้าฟาง ชายหนุ่มคิดว่าเขาเห็นไฟหน้ารถจ้ามาแต่ไกล เขาผวาออกไปริมถนนทันที ยกมือทั้งสองขึ้นโบกอย่างอิดโรยได้ครั้งเดียวก็หมดแรง ทรุดฮวบลงกองข้างถนนหมดสติไปทันทีนั้นเอง…
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 38
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 37
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 36
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 35
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 34
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 33
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 32
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 31
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 30
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 29
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 28
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 27
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 26
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 25
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 24
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 23
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 22
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 21
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 20
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 19
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 18
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 17
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 16
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 15
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 14
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 13
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 12
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 11
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 10
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 9
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 8
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 7
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 6
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 5
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 4
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 3
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 2
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 1