
อมฤตาลัย ตอนที่ 29
โดย : จินตวีร์ วิวัธน์
อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้
ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี แต่งกายเสร็จเรียบร้อยลงมาจากห้องของเขาในเวลาประมาณ ๐๗ นาฬิกา ตั้งใจจะดื่มกาแฟสักถ้วยแล้วไปทำงาน เมื่อเดินเข้าไปในห้องอาหารก็เห็นมารดายืนอยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว ตาเทพ วันนี้จะไปแต่เช้าเชียวหรือลูก”
คุณหญิงศจีร้องทักอย่างอารมณ์ดีตามเคย มองดูลูกชายในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตลอดทั้งตัวอย่างชื่นชม
“ครับ ตอนใกล้รุ่งผมตื่นแล้วนอนไม่หลับก็เลยลุกขึ้นมา”
“จะกินกาแฟเดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่าจ๊ะ หรือจะรอพร้อมๆ คุณพ่อ”
“ทานเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะได้รีบไป มีงานรออยู่เยอะแยะ ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ทั้งนั้น”
คุณหญิงค้อนบุตรชายอย่างเอ็นดู “จ้า พ่อคนงานมาก วันหนึ่งๆ พ่อแม่แทบไม่ได้เห็นหน้าเลย…เดี๋ยวแม่จะชงกาแฟให้นะ”
“โอ๊ะ! ไม่ต้องครับ ผมชงเอง อย่ารบกวนคุณแม่เลย”
ผู้หมวดหนุ่มยื่นมือออกไปแตะมือมารดาที่ทำท่าจะหยิบกาแฟ คุณหญิงเหลือบตาดู…แหวนปลอกมีดทองสีดอกบวบฝังเพชรซีกเม็ดเล็กๆ แบบโบราณในนิ้วก้อยของเขาสะดุดตาอย่างจัง เพราะไม่เคยเห็นบุตรชายสวมมาก่อน
“เอาแหวนที่ไหนมาใส่จ๊ะลูก”
ร.ต.ท.ทัดเทพรีบชักมือกลับทันที โหนกแก้มเป็นสีเรื่อขึ้นในขณะที่เจ้าตัวยิ้มอายๆ “ทำไมครับ”
คุณหญิงเหลือบมองหน้าบุตรชายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “สวยไหมจ๊ะ พามาให้แม่รู้จักบ้างได้ไหมลูก”
“โธ่ คุณแม่”
ผู้หมวดหนุ่มอุทานเบาๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านั้น คุณหญิงศจีกล่าวต่อไปโดยไม่สนใจสีหน้าของบุตรชาย
“แม่จะดีใจ ถ้าเทพเจอผู้หญิงที่ถูกใจเข้าจริงๆ ที่ควงๆ อยู่แม่เห็นเทพไม่ชอบใครจริงจังเลยสักคน อย่าช้านักนะลูก แม่กลัวจะไม่ได้อุ้มหลาน”
ร.ต.ท.ทัดเทพลุกขึ้น เดินมาโอบสะเอวมารดาด้วยกิริยาอ่อนโยนนุ่มนวลอันส่อถึงความรักเคารพอย่างลึกซึ้ง
“คุณแม่ครับ สมมติว่า ง่า…คนที่ผมชอบจริงๆ เขาเป็นคนชนิดที่…จะพูดว่าอะไรดี…คือเป็นคนที่มีแต่ตัวล่ะครับ คุณแม่จะว่ายังไง”
“หมายความว่า เขายากจนน่ะหรือจ๊ะ”
“ทั้งนั้นแหละครับ จนด้วย ไม่ได้เรียนหนังสือชั้นสูงๆ ไม่มีสกุลรุนชาติ แต่เขาก็ ง่า…น่ารักและสุภาพเรียบร้อยเป็นผู้หญิงแท้เชียวละครับ คุณแม่”
คุณหญิงศจีมองหน้าบุตรชายและตอบเนิบๆ โดยไม่ลังเลด้วยใบหน้ายิ้มละไมเช่นเดิม
“แม่จะไปว่าอะไรจ๊ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวของเทพทั้งนั้น แม่เชื่อสายตาของเทพว่าต้องดูคนไม่ผิด คนเรารักกันที่ใจนะลูก ถ้าใจของเทพยอมรับโดยไม่ตะขิดตะขวง ไม่เกิดปมด้อยว่าเขาจะเคียงคู่ลูกในทุกที่ทุกแห่งได้ละก็ แม่ก็ไม่รังเกียจรังงอนอะไร แต่ขอเตือนนิดเดียวว่าการแต่งงานนั้นต้องอาศัยความรักเป็นพื้นฐานก็จริง แต่ความเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ง่ายๆ แม่ให้อิสรเสรีลูกในเรื่องนี้อย่างเต็มที่จ้ะ แหวนวงนี้…”
คุณหญิงจับมือลูกชายขึ้นพิจารณาแหวนในนิ้วก้อยของเขาอย่างใกล้ชิด
“เป็นแหวนเก่า ดูเหมือนจะไม่มีราคาก็จริง แต่ฝีมือละเอียดประณีตมาก แม่ก็มีแหวนฝีมืออย่างนี้ เป็นของเก่าของคุณยาย แสดงว่าเจ้าของแหวนไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกนักหรอกลูก”
“แต่เขาเป็นคนยากจริงๆ นะครับคุณแม่ พ่อแม่ของเขาเป็น ฮื้อ…อย่าเพิ่งพูดดีกว่าครับ ผมเองก็ยังไม่มั่นใจ เอาไว้ให้ชัวร์ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน แล้วจะพามากราบคุณแม่นะครับ”
“จริงๆ นะจ๊ะ อย่าให้แม่รอเก้ออย่างคู่ควงคนอื่นๆ ของลูกอีกนะ”
ร.ต.ท.ทัดเทพหัวเราะ แล้วราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ชายหนุ่มผลุนผลันวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนชั้นบน เมื่อกลับลงมาอีกทีก็ยื่นถุงกระดาษใบเล็กถุงหนึ่งให้มารดา
“เมื่อวานผมไปสยามสแควร์ เจอของถูกใจเลยซื้อมาฝากครับ”
ผู้เป็นมารดายิ้มอย่างปลาบปลื้ม หยิบของที่อยู่ในถุงออกดู ครั้นเห็นว่าเป็นอะไรก็อุทานเบาๆ อย่างตื่นเต้น
“สวยจริง ตาเทพเข้าใจซื้อ เข้ากับเสื้อสีโกโก้ตัวใหม่ของแม่เปี๊ยบเชียวจ้ะ”
ร.ต.ท.หนุ่มมีสีหน้าภาคภูมิใจ “ผมดีใจจังที่คุณแม่ถูกใจ นึกแล้วเชียวว่าคุณแม่ต้องชอบ”
“ฝีมือคนนั้นของลูกเป็นคนเลือกใช่ไหมล่ะจ๊ะ”
คุณหญิงดักคอ ผู้หมวดหนุ่มก็หัวเราะเฉยเสีย เขาดื่มกาแฟหมดถ้วยแล้วจึงลามารดา ขับรถคันงามออกจากบ้านไปอย่างชื่นบาน
“เคยรู้จักผู้หญิงชื่อเสาวภาพรรณบ้างไหม บัว”
ผู้ถามนั่งเอนๆ อยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดในห้องนั่งเล่น บนโต๊ะเล็กข้างตัวของหล่อนมีถาดอาหารเช้าวางอยู่ บนนั้นนอกจากน้ำส้มคั้น ๑ แก้วและผลไม้สดนิดหน่อยแล้วก็ไม่มีอะไรอีก วันนี้พินทุวดีตื่นสายผิดไปจากปกติของหล่อน ซึ่งมันตื่นแต่เช้ามืดเป็นประจำและสั่งให้ตั้งอาหารเช้าในห้องนี้แทนที่จะเป็นห้องอาหารอันหรูหราอย่างเคย
“อะไรนะคะ” สโรชินีซึ่งกำลังเดินออกไปจากห้องหลังจากนำอาหารเข้ามาให้หันมาถามอย่างงงๆ
“ผู้หญิงที่ชื่อเสาวภาพรรณน่ะ เรารู้จักมั่งหรือเปล่า”
“อ๋อ คนผิวสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาหวานๆ ใช่ไหมคะ เคยพบหนนึงค่ะที่สยามสแควร์ คุณ ง่า…ไวฑูรย์แนะนำให้รู้จักว่าเธอเป็นคนรักของคุณสภาพร”
สโรชินีเกือบหลุดปากบอกความจริงไปว่า ทัดเทพเป็นผู้แนะนำให้รู้จัก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรก็รีบเปลี่ยนตัวโดยเร็ว
พินทุวดีเลิกคิ้วอันเรียวงามขึ้นมองหญิงสาวผู้ยืนสำรวมอยู่ตรงหน้าอย่างแปลกใจ
“อ๊อ เรานี่ก็รวดเร็วดีเหมือนกันนะ บัว ฉันไม่นึกว่าเราจะรู้จักเขาได้หรอก ตอนนี้เขาเป็นแฟนคุณไวฑูรย์แล้วละ นายนั่นหลงรักหัวทิ่มหัวตำ ฉันรู้…ดีแล้ว บัวช่วยทำอะไรให้หน่อยได้ไหม ฉันอยากพบผู้หญิงคนนี้ บัวไปชวนมาพบหน่อยนะ”
ดวงตาของหญิงสาวมีแววตั้งคำถาม ในขณะที่สีหน้าแสดงความประหลาดใจจนเห็นได้ชัด พินทุวดีจึงหัวเราะ
เบาๆ ก่อนพูดว่า
“ฉันพบเขาไปกับไวฑูรย์ที่ร้านเบญญา วันนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ว่ามีอะไรอยากคุยด้วย บัวไปชวนมาทีนะ ตอนเลิกงานเย็นนี้น่ะ”
“จะให้บัวชวนว่ายังไงคะ” สโรชินีถามแผ่วเบา แวววิตกกังวลและกริ่งเกรงปรากฏชัดในดวงตา
พินทุวดีหัวเราะต่ำลึกอยู่ในลำคอ
“จริงซีนะ ถ้าชวนเอาดื้อๆ ว่าฉันอยากพบ เขาคงไม่ยอมมาหรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนี่ ถ้าเป็นยุคของฉันละก็ แค่กระดิกนิ้วเท่านั้น อย่าว่าแต่คนจะลนลานเข้ามาหาเลย ชีวิตทั้งชีวิตของคนนั้นอาจจะปลิดออกจากร่างเลยก็ได้…วิธีชวนคุณเสาวภาพรรณน่ะ เห็นจะต้องใช้อุบายกันหน่อยละบัว ฉันจะบอกให้ เรามันคนซื่อตรงคงคิดอะไรไม่ออก หน้าที่ของเราก็คือทำตามที่ฉันบอกให้แนบเนียนก็แล้วกัน”
หล่อนลดเสียงลงในขณะที่บอกวิธี ‘ชักชวน’ ผู้หญิงคนนั้น สโรชินีเต็มไปด้วยความไม่สบายใจเมื่อได้ฟังตลอดแล้ว
“ทำอย่างนี้เท่ากับหลอกเธอนี่คะ คุณผู้หญิงมีแผนการอะไรหรือคะ บัวกลัวเธอจะเป็นเหมือนคุณอลิศราไปอีกคน”
หล่อนพูดอ่อยๆ นายสาวหน้าตึงขึ้นในทันใด เสียงพูดเบาๆ เปลี่ยนกังวานทรงอำนาจทันที
“ฉันไม่ต้องการคำถาม ไปทำตามคำสั่งให้ดีๆ ก็แล้วกัน ต้องสำเร็จด้วยนะ”
สโรชินีหน้าม่อย หล่อนรับคำเบาๆ พลางหันกลับเดินออกจากห้องนั้นไปอย่างเงียบกริบด้วยความไม่สบายใจ
ทัดเทพนั่งทำงานได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้รับโทรศัพท์จากไวฑูรย์ อมรรัช
“มีเรื่องอะไรอีกวะ กวนแต่เช้า”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ร้องลั่นเป็นตุ๊กแกไปได้ ถึงมีข้าก็ไม่อยากกวนเอ็งแล้วละ…อ่านหนังสือพิมพ์เช้านี้แล้วหรือ
ยัง”
“แล้ว…ทำไมหรือวะ”
“ไม่สะดุดใจข่าวพาดหัวมั่งเรอะ”
“เออ นึกแล้วว่าเอ็งจะต้องพูดเรื่องนี้ อย่างเคยแหละวะ พบศพคนถูกฆ่าด้วยอาวุธประหลาดเหมือนฟันปลา ศพขึ้นอืดเพราะตายมาหลายวันเต็มทนแล้ว ก็เท่านั้น จับมือใครดมไม่ได้”
“อะไรกันวะ นายตำรวจพูดยังงี้หรือ”
“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไง หา ตำรวจเจ้าของท้องที่เขาก็หัวปั่นพออยู่แล้ว เอ็งจะให้ข้าวิ่งเข้าไปสอดวุ่นวายกับเขาด้วยหรือวะ”
“ไม่ใช่ยังงั้น บ๊ะ ไอ้นี่ โมโหเต่าตะเช้า…เอ็งก็รู้นี่หว่าว่าข้าหมายความว่ายังไง หมู่นี้รู้สึกว่าข่าวคนตายไม่เว้นตะ
ละวัน และล้วนแต่มีบาดแผลเหมือนๆ กันทั้งนั้น แสดงว่าเป็นฝีมือไอ้ค้างคาวทุกรายละซี่”
“ก็น่าคิดเหมือนกันว่ะ แต่เรื่องนี้เราพูดไปก็ไม่ได้ มันต้องค่อยสืบให้รู้ด้วยตนเองไปก่อน…เออ แล้วเรื่องของของเอ็งหายล่ะว่าไง”
เสียงไวฑูรย์ถอนหายใจยาวเหยียดมาตามสาย
“ข้าว่าเฉยไว้ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งบอกพินทุวดีเลย ส่วนรูปสลักที่ขอยืมพี่สันไป ข้าบอกเขาแล้วว่าของหายเลยถูกด่าเสียงอมพระรามงามพระลักษมณ์ไปเลย”
ทัดเทพหัวเราะชอบใจ “สมน้ำหน้า ขอยืมเขามาแล้วไม่รักษาให้ดี เออ เมื่อคืนนี้ไอ้หมอมันเตือนข้าเหยงๆ เรื่องงานแฟนซีลีลาศ ข้าน่ะลืมไปแล้วว่ะ เอ็งก็ต้องไปนะโว้ย แล้วเตือนๆ ไอ้สิทธิ์มันด้วย”
“ไอ้สิทธิ์น่ะไม่ต้องเตือน มันไปแหงๆ ข้าว่าจะชวนคุณภาไปด้วย แล้วก็อาจมีนักโบราณคดีอีกสักคนสองคน”
ทัดเทพหัวเราะหึๆ “นักโบราณคดีก็สนใจงานบอลล์หรูๆ ด้วยหรือวะ ข้านึกว่าสนใจแต่ระบำโบราณเท่านั้นเสียอีก”
“ไอ้…นักโบราณคดีก็มีหัวใจนะโว้ย ทำไมคนถึงคิดว่าพวกที่เรียนวิชานี้จะต้องหัวโบราณด้วยนะ ข้าไม่เข้าใจเลย”
“หน็อย ไม่เข้าใจ แล้วตัวเองล่ะ นึกว่าเอ็งทันสมัยนักเรอะ เห็นใครไว้ผมยาวหน่อยก็สวิงสวายทนไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผู้ชายไทยเรายุคพ่อขุนรามคำแหงน่ะไว้ผมมวยเสียด้วยซ้ำไป”
“เอ็งจะมาชวนข้าถกปัญหาแต่เช้าเทียวหรือวะเทพ อย่าแหย่เสือหลับนะโว้ย ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยนั่งเถียงกับไอ้สิทธิ์ถึงเรื่องนี้ทั้งคืนมาแล้ว เอ็งจะเปิดเวทีโต้คารมขึ้นกะข้าทางโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ก็เอา”
“เกล้ากระผมไม่สู้ใต้เท้าหรอกครับ รู้ดีว่าใต้เท้าฝีปากคม งับน่องใครๆ เป็นแผลมาหลายรายแล้ว…เฮ้ย เอ็งมีอะไรอีกไหมวะ ข้าจะทำงาน”
“ไม่มี บอกแล้วไงว่าเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ก็เลยโทรมา แค่นี้นะพรรคพวก เดี๋ยวจะประชุมแล้ว สวัสดี ลูกพ่อ”
นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงครึ่งเมื่อเสาวภาพรรณพาสโรชินีนั่งรถรับจ้างมาถึงหน้าประตูเหล็กสีเทาสูงใหญ่นั้น สโรชินีก้าวลงไปเคาะห่วงที่ติดกับบานประตู สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความวิตกกังวลไม่สบายใจ และกลัดกลุ้มคละกันอยู่จนแยกไม่ออก
“เป็นยังไงคะ คุณสโรชินี ค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง”
เสาวภาพรรณถามอย่างห่วงใย อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบ บานประตูเหล็กใหญ่ก็เปิดออกช้าๆ โดยปราศจากตัวคนเปิด เสาวภาพรรณหันไปพูดกับคนขับรถรับจ้างที่มองดูอย่างตื่นๆ
“ช่วยขับเข้าไปข้างในหน่อยนะจ๊ะ เพื่อนของฉันเป็นลม ยังเดินไม่ไหว”
คนขับทำตามอย่างไม่พอใจนัก หากเมื่อรถมาจอดเทียบหน้าบันไดหินอ่อนของคฤหาสน์ใหญ่ที่เงียบเชียบเหมือนปราศจากผู้คนนั้น สโรชินีหยิบเงินให้ไปจำนวนหนึ่ง มากพอที่จะทำให้สีหน้าของเขาดีขึ้น แต่ขณะที่ขับรถผ่านประตูเหล็กใหญ่ทะมึนออกไป นายโซเฟอร์อดรู้สึกเย็นสันหลังวาบไม่ได้เมื่อเห็นบานประตูสีเทาหนาหนักค่อยๆ ปิดเข้าหากันช้าๆ โดยปราศจากตัวผู้ปิดเช่นเคย
“บ้านอะไรวะ ยังกะปราสาทผีสิง” เขาพึมพำอยู่ในลำคอขณะที่พารถแล่นออกไปจากซอยนั้นโดยเร็ว
ร่างสูงระหงเป็นสง่าด้วยราศีอันผิดธรรมดาที่ยืนเด่นอยู่เหนือบันไดหินอ่อนนั้น ทำให้เสาวภาพรรณรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด ริมฝีปากได้รูปงามเหมือนกลีบดอกไม้ของเจ้าของบ้านสาวเผยอยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาวาววับจนผู้มาเยือนไม่กล้าสบตาด้วยตรงๆ
“ดิฉันพบคุณสโรชินีเป็นลมอยู่แถวที่ทำงานก็เลยพามาส่งค่ะ เธอบอกว่ากลับเองไม่ได้”
เสาวภาพรรณบอกอย่างสั้นที่สุดเพื่อจะได้เสร็จธุระลาไปให้พ้นจากร่างอันทรงสง่าราศีนี้โดยเร็ว แต่เจ้าของบ้านสาวยิ้มน้อยๆ ในขณะที่ขยับก้าวลงมาหาช้าๆ ดวงตาวาววับด้วยประกายประหลาดและรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำให้หญิงสาวผู้มาใหม่อยากจะหันหลังวิ่งหนีไปให้โดยเร็ว
“เชิญขึ้นมานั่งพักก่อนค่ะ คุณเสาวภาพรรณ คุณมีบุญคุณต่อสโรชินีและฉันมาก เรายังไม่ยอมให้คุณจากไปง่ายๆ หรอกค่ะ”
น้ำเสียงไพเราะมีกังวานชัดเจนน่าฟังนัก แต่ก็มี ‘อะไร’ บางอย่างในนั้นที่ผู้ฟังเกิดความไม่สบายใจ เสาวภาพรรณฝืนยิ้ม หันไปทางสโรชินีซึ่งยืนนิ่งหน้าซีดจนขาวเงียบกริบอยู่อีกทางหนึ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณสโรชินีปลอดภัยแล้ว ดิฉันก็โล่งใจ ต้องขอกลับก่อนละค่ะ เย็นมากแล้ว กว่าจะถึงบ้านก็พอดีค่ำ”
“อย่าเพิ่งค่ะ เชิญขึ้นมาก่อน เดี๋ยวฉันจะให้นายชินขับรถไปส่ง”
น้ำเสียงที่พูดเรียบก็จริง แต่เสาวภาพรรณรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ในนั้นที่รู้สึกสะกิดใจ เงยหน้าขึ้นมองดวงตาใหญ่ดำสนิทที่มองตรงมา ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนหญิงสาวรู้สึกงงงัน สมองเริ่มวิงเวียนและนัยน์ตาพร่าพราย ขณะที่น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นใกล้หูเหมือนประกาศิต
“ขึ้นมาข้างบน คุณเสาวภาพรรณ ฉันมีธุระกับคุณ อย่าขัดขืน”
อย่างงงงันเหมือนตกอยู่ในภวังค์สะกด เสาวภาพรรณก้าวขึ้นไปหาร่างงามสง่านั้นช้าๆ ไม่แม้แต่จะเหลียวไปทางสโรชินีซึ่งยืนหน้าซีดเผือดอยู่นั้นเลย หญิงสาวผู้นั้นขยับจะเอ่ยอะไรออกมา แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาใหญ่เบิกกว้างที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ สโรชินีก็หน้าเสียหลบตาต่ำลง แล้วผละเดินลงบันไดไปโดยเร็ว ปราศจากร่องรอยคนเป็นลมเมื่อครู่ก่อนแม้แต่น้อย…
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 38
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 37
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 36
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 35
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 34
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 33
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 32
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 31
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 30
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 29
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 28
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 27
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 26
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 25
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 24
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 23
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 22
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 21
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 20
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 19
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 18
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 17
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 16
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 15
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 14
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 13
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 12
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 11
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 10
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 9
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 8
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 7
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 6
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 5
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 4
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 3
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 2
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 1