อมฤตาลัย ตอนที่ 30

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

 

ไวฑูรย์ อมรรัช วางหูโทรศัพท์พร้อมกับถอนใจยาวอย่างเป็นสุข เสาวภาพรรณโทรมานัดให้ไปพบเที่ยงวันนี้ ชายหนุ่มยิ้มออกมาคนเดียวอย่างครึ้มใจ ลงนั่งทำงานต่อด้วยอารมณ์สดชื่นจนแทบผิวปากออกมา…ทำงานไปได้สักครู่เสมียนสาวก็เดินเข้ามาหา

“ดอกเตอร์ชไนเดอร์กับอาจารย์อโณทัยเชิญพบค่ะ”

ไวฑูรย์กล่าวคำขอบใจแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องอย่างกระปรี้กระเปร่า

ดร.อดอล์ฟ ชไนเดอร์ ยืนเท้าคร่อมโต๊ะอยู่ตรงหน้าอาจารย์อโณทัย ธรรมธัช พอชายหนุ่มเปิดบังตาเข้าไป เขาก็หันมาทักอย่างดีใจ

“กู้ทเท่น มอร์เกน ไวฑูรย์เป็นไงมั่งวันนี้”

ไวฑูรย์ยิ้มกว้างขวาง “มีอะไรบ้างครับ”

“เรากำลังขอความร่วมมือจากศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ภุดศอร ผู้เชี่ยวชาญภาษาขอมโบราณเพื่อช่วยกันอ่านจารึกที่คุณถ่ายรูปมา ดอกเตอร์ภุดศอรเห็นรูปแล้วทึ่งมาก อยากเห็นของจริง”

ศาสตราจารย์เยอรมันตอบเรื่อยๆ ไวฑูรย์หันขวับไปทางอาจารย์อโณทัยทันที

“ไม่ได้นะครับอาจารย์ ผมบอกไว้แล้วว่ายังไงๆ ก็พาไปดูของจริงไม่ได้ บอกตรงๆ ก็ได้ว่า ผมต้องแอบเข้าไปขโมยถ่ายรูปของเขามา เจ้าของเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราแน่ๆ ครับ”

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญภาษาตะวันออกพยักหน้า

“ถ้างั้นก็เกมกัน ดอกเตอร์ภุดศอรคงผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้เห็นของจริง เขาพยายามซักไซ้ให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของจารึกกับศิลาทับหลังอันนั้น”

“ที่สำคัญก็คือ…” โปรเฟสเซอร์ชไนเดอร์กล่าวสอดขึ้นมา

“ดอกเตอร์ภุดศอรเขาเชื่อเรื่องเมืองอมฤตาลัยพอๆ กับผมน่ะแหละ เราร่วมมือกันศึกษาและสำรวจเรื่องนี้ในเขมรแทบทุกตารางนิ้ว…เขาบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากตำนาน และนิยายพื้นเมืองปรำปราของเขมรมานาน แล้วกล่าวถึงเมืองลับแลในอดีต ที่เคยรุ่งโรจน์สูงสุดเป็นยุคทองของขอม ร่วมสมัยเดียวกับหริหราลัยปุระของคิงยโสวรมัน เราพากันสำรวจหาซากเมืองนั้นที่ตำบลร่อลวยซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่นอกจากเศษจารึกที่ได้พบชิ้นเดียวนั้นแล้ว เราก็ไม่พบอะไรอีกเลยนอกจากนิทานพื้นเมืองปรำปราที่เล่ากันหนาหูในหมู่ชาวบ้านรุ่นพ่อเฒ่าพ่อแก่ในชนบทอันห่างไกลรอบนอกของเขมร กล่าวถึงนางพญาพันธุมเทวีและเวทมนตร์ของนาง ซึ่งได้มาจากแม่มดคนสำคัญแห่งเทือกเขาพนมดงรักโน้น”

“นั่นเป็นเพียงนิทาน ไม่มีหลักฐานอะไรนี่ครับ”

“แต่เขาก็มีอีกอย่างที่จะพิสูจน์ความเชื่อนี้”

“อะไรครับ” ไวฑูรย์ถามโดยตรง

แทนคำตอบ ศาสตราจารย์ชไนเดอร์โยนวัตถุอะไรอย่างหนึ่งที่กำไว้ในมือตลอดเวลาลงบนโต๊ะตรงหน้านักโบราณคดีหนุ่ม ซึ่งรีบตะปบเอาไปดูทันที

มันเป็นเหรียญกษาปณ์เงินเก่าคร่ำคร่า มีรอยบุบและสึกกร่อนตลอดทั้งอัน แต่ภาพดวงตราที่แกะสลักไว้ยังพอเห็นได้ชัดเจนอยู่ ขนาดของมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓ เซนติเมตร หรือใหญ่กว่าเหรียญบาทเล็กน้อย ด้านหนึ่งสลักนูนเป็นรูปปราสาทหินแบบขอมมีตัวอักษรล้อมรอบ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปดวงหน้าสตรีซึ่งสึกกร่อนไปจนไม่เห็นเค้าหน้ามีอักษรจารึกล้อมรอบเช่นเดียวกัน

“เงินเหรียญกษาปณ์นี่ครับ”

ไวฑูรย์กล่าวอย่างงงๆ ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันก็ยิ้มอย่างมีชัย

“ถูกแล้ว นี่ละเงินตราของเมืองอมฤตาลัย ข้อพิสูจน์อย่างจริงแท้แน่นอนว่านครนั้นมีอยู่จริง”

“ฮ้า!” ไวฑูรย์ร้องลั่น หันไปมองอาจารย์อโณทัยอย่างเหลือเชื่อ ฝ่ายนั้นผงกศีรษะอย่างเนิบๆ ขณะที่เอ่ยตอบมา

“ถูกของท่านศาสตราจารย์แล้วละ ไวฑูรย์ นี่คือเหรียญเงินสมัยอมฤตาลัยอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวอักษรที่จารึกนี้เป็นประจักษ์พยานที่แน่นอนที่สุด”

“อ่านว่ายังไงครับอาจารย์ ตัวอักษรเหล่านี้น่ะ” นักโบราณคดีหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น พลิกเหรียญเงินไปมาด้วยความสนใจระคนพิศวงยิ่งยวด

“ด้านหน้าสตรีนั่นอ่านว่า พันธุมเทวีศรียโสธรามหาราชินี ส่วนด้านรูปปราสาทอ่านว่า อมฤตาลัยปุระ เสียอย่างเดียวที่ไม่ระบุศักราชไว้ด้วย”

“โอ้โฮ อาจารย์ครับ งั้นก็ใสละซีที่ว่าเมืองอมฤตาลัยและนางพญาพันธุมเทวีมีอยู่จริงๆ น่ะครับ”

อาจารย์อโณทัยก้มศีรษะรับช้าๆ ดวงตาบอกแววพึงใจในสิ่งที่ค้นพบครั้งนี้อย่างยิ่ง หากน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ

“ถูกแล้ว เพราะอย่างนั้นศาสตราจารย์ภุดศอรถึงได้อยากขอดูศิลาจารึกที่ถ่ายรูปมานั้น เพื่อเสริมพยานวัตถุชิ้นนี้ให้หนักแน่นยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่เธอรู้ไหม ไวฑูรย์ เหรียญกษาปณ์อันนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงอารยธรรมขอมอีกอย่างว่า มีเหรียญกษาปณ์เงินใช้ตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมา คือสมัยพระเจ้ายโสวรมัน เหรียญส่วนมากที่ค้นพบเป็นเหรียญสมัยหลังจากนี้นับเป็นศตวรรษๆ ทีเดียว”

“แหม ผมเสียดายรูปสลักหน้าสตรีที่ถูกขโมยอันนั้นเหลือเกิน ม่ายงั้นจะได้ให้ศาสตราจารย์ภุดศอรพิจารณาเปรียบเทียบกับรูปในเหรียญเงินนี้ได้”

ไวฑูรย์ว่าอย่างเจ็บใจ อาจารย์อโณทัยก็ตอบขรึมๆ

“ศาตราจารย์ภุดศอรบอกว่าเคยเห็นมาแล้ว รูปแบบเดียวกันนั่นนะ เป็นรูปสลักพระนางพันธุมเทวีแท้ๆ เลยทีเดียว”

“นับว่าเราได้หลักฐานมากพอที่จะออกไปทำการสำรวจได้แล้วนะครับ”

ดร.ชไนเดอร์เอ่ยสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“ผมก็คิดอย่างนั้นแหละครับ แต่ต้องขอเวลาแปลจารึกที่ได้มาให้หมดเสียก่อน คิดว่าจะได้เค้าเงื่อนจากข้อความในจารึกนี้อีกมาก”

“ท่านศาสตราจารย์ภุดศอรมาเมืองไทยแล้วหรือครับ” ไวฑูรย์ถามอย่างตื่นเต้น

“มาได้สองวันแล้ว วันนี้กำลังจะมาที่นี่ อ้อ มานั่นแล้วไงล่ะ”

ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันตอบ มองข้ามบ่าเขาไปทางหลัง ไวฑูรย์หันขวับไปทางประตูซึ่งพอดีกับบุรุษผู้หนึ่งผลักบังตาเข้ามา

ศาตราจารย์ ดร.ภุดศอร เป็นชายในวัยสี่สิบเศษ รูปร่างสันทัดท่าทางสุภาพอ่อนโยน ดวงหน้าและแววตาแจ่มใส หน้าผากอันกว้างบอกให้รู้ถึงความเฉียบแหลมในตัว

เขาพนมมือไหว้ทุกคนรวมทั้งไวฑูรย์ด้วย และเอ่ยขึ้นด้วยภาษาอังกฤษที่มีสำเนียงฝรั่งเศสปนเล็กน้อย

“สวัสดีครับทุกๆ ท่าน ผมขอโทษที่มาช้าหน่อย การจราจรของกรุงเทพนี่ติดขัดมากเหลือเกิน”

“ไม่เป็นไร เชิญนั่งซิครับ บุคคลผู้นี้แหละที่เป็นเจ้าของภาพถ่ายศิลาจารึกและทับหลังปราสาทที่ผมให้ศาสตราจารย์ดู”

อาจารย์อโณทัยพูดพร้อมกับผายมือมาทางไวฑูรย์ ศาสตราจารย์ภุดศอรหันมาจ้องดูเขาด้วยดวงตาแสดงความทึ่งไม่น้อย

“งั้นหรือครับ ผมดีใจจริงๆ ที่ได้พบคุณ กรุณาเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่คุณพบเจ้าของจารึกนี้หน่อยได้ไหมครับ”

หนุ่มนักโบราณคดีขยับตัวอย่างอึดอัด แต่แล้วก็ลงมือเล่าตามที่เขาเคยบอกอาจารย์อโณทัยไว้แล้ว สีหน้าของศาสตราจารย์ ดร.ภุดศอรบอกความพิศวงในขณะที่เอ่ยช้าๆ

“เจ้าของจารึกนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงครับ”

ไวฑูรย์นิ่งคิดอย่างลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงย้อนถาม

“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ท่านโปรเฟสเซอร์ ท่านเชื่อแน่ใช่ไหมครับว่า พระนางพันธุมเทวีนั้นมีตัวตนจริงๆ”

“โอ เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ผมเคยโชคดีได้เห็นรูปสลักภาพเหมือนของพระนางมาแล้วที่ตำบลร่อลวย คุณพ่อของผมเป็นเจ้าเของศิลปวัตถุชิ้นนั้นเองด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ต่อมาท่านถูกลอบทำร้ายถึงชีวิต และถูกขโมยเอารูปสลักนั้นไป”

ไวฑูรย์เบิกตาโต “งั้นหรือครับ ผมเสียใจด้วย ท่านศาสตราจารย์พอจะบอกรูปลักษณะของรูปสลักอันนั้นได้บ้างไหมครับ”

“เป็นภาพศิลาสลักสูงประมาณเมตรครึ่ง มีรอยกะเทาะแตกหักออกมาจากบางส่วนของสิ่งก่อสร้างที่เข้าใจว่าเป็นผนังปราสาทหิน เป็นรูปสลักเต็มตัวของสตรีนางหนึ่งซึ่งงดงามที่สุด งามกว่ารูปสลักขอมใดๆ ที่เคยพบกันมาแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตรงฐานที่รองรับรูปนั้นมีตัวอักษรขอมโบราณจารึกหักกร่อนอ่านได้ความแต่เพียงว่าพันธุมเทวีคำเดียว แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับที่จะเชื่อว่า นางพญาองค์นี้มีอยู่จริงๆ ในประวัติศาสตร์ขอม”

“อืม แปลกมาก รูปนั้นหายไปนานแล้วหรือครับ”

“ตั้งแต่ผมยังเด็กนั่นแหละ ตอนที่พ่อของผมซึ่งเป็นนักโบราณคดีขุดได้รูปนั้นจากซากเมืองหริหราลัย เมืองหลวงเก่าของพระเจ้ายโสวรมันนั่นน่ะ ผมเพิ่งมีอายุได้ ๑๕-๑๖ ปี หลังจากขุดได้เพียงสามสัปดาห์ พ่อผมก็ถูกทำร้าย และรูปนั้นก็หายสาบสูญไป”

“คงเป็นพวกหัวขโมยลักลอบเอาไปขายให้นักค้าของเก่ากระมังครับ”

อาจารย์อโณทัยเดา แต่สีหน้าของศาสตราจารย์ภุดศอรเครียดลง ดวงตาอันแจ่มใสก็มีแววขุ่นมัวเล็กน้อยอย่างสะเทือนใจ

“ไม่ใช่หรอกครับ ขโมยต้องไม่ทำอย่างนั้นแน่ พ่อของผมถูกกัดทึ้งยับเยินไปทั้งตัวด้วยเขี้ยวของสัตว์ประหลาดบางอย่างที่แหลมคมคล้ายๆ ฟันปลา…”

ไวฑูรย์สะดุ้งเฮือกเหมือนถูกแทงเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“หา อะไรนะครับ ถูกทึ้งด้วยฟันสัตว์ประหลาดงั้นหรือครับ”

ศาสตราจารย์ภุดศอรมองดูชายหนุ่มอย่างแปลกใจ แต่ก็ก้มศีรษะรับอย่างสุภาพ

“ครับ ความตายของท่านมืดมนมาจนเดี๋ยวนี้ และก็เพราะการที่ท่านต้องเสียชีวิตลงด้วยเรื่องโบราณคดีนี่แหละครับ ที่เร้าใจให้ผมศึกษาเล่าเรียนทางนี้เพื่อเจริญรอยตามท่าน ค้นคว้าหาความลับในเรื่องนางพญาพันธุมเทวีสืบจากท่านต่อไป ผมพยายามค้นประวัตินางพญาองค์นี้เท่าไรๆ ก็คว้าน้ำเหลว จนกระทั่งได้พบ ดอกเตอร์ชไนเดอร์พบเศษจารึก และเหรียญกษาปณ์นี้ตามลำดับ ผมจึงมั่นใจเต็มที่ และเกิดกำลังใจที่จะค้นต่อไปให้พบซากเมืองอมฤตาลัยของพระนาง”

ทุกคนนิ่งอึ้งไปเมื่อศาสตราจารย์ชาวเขมรพูดจบลง ไวฑูรย์ขยับปากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็อ้ำอึ้งอึกอักอยู่ อาจารย์อโณทัยสังเกตเห็นก็ถามขึ้นทันที

“มีอะไรหรือ ไวฑูรย์”

ชายหนุ่มยิ้มกร่อยๆ “ผมติดใจเรื่องการฆาตกรรมคุณพ่อของท่านศาสตราจารย์น่ะครับ ที่ว่าถูกกัดทึ้งด้วยฟันสัตว์ประหลาดนั้น มันตรงกับคดีฆาตกรรมลึกลับที่เป็นข่าวอยู่เดี๋ยวนี้มาก อาจารย์คงทราบข่าวแล้ว ทุกศพที่พบมีรอยกัดทึ้งด้วยเขี้ยวหรือฟันแหลมเล็กเหมือนฟันปลาด้วยกันทั้งนั้น ตำรวจกำลังปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่ได้ร่องรอยอะไรเลย”

อาจารย์อโณทัยมีสีหน้าตรึกตรองในขณะที่ศาสตราจารย์ทั้งสองมองตากันอย่างไม่เข้าใจ

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ”

“นั่นน่ะซิครับ ผมคิดอะไรไม่ออก ได้แต่แปลกใจเท่านั้น ที่ร่องรอยการทำร้ายเกิดมาเหมือนกันเข้า อาจารย์ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือครับ ในเมื่อคุณพ่อโปรเฟสเซอร์ภุดศอร ท่านถูกฆาตกรรมตั้งสามสิบปีมาแล้ว สิ่งที่ทำฆาตกรรมท่านจะหวนกลับมาปฏิบัติการใหม่ในปัจจุบันนี้อีกหรือ”

อาจารย์อโณทัยนิ่งคิดแล้วก็สั่นหน้า “ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก มันอาจเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า”

ทุกคนเงียบไปอีกอย่างจมจ่อมกับความคิดของตนเองในที่สุด ดร.อดอล์ฟ ชไนเดอร์ก็พูดเป็นทำนองบอกเล่าต่อจากสหายชาวเขมรของเขา

“เราสองคนช่วยกันค้นคว้าสำรวจบริเวณที่เชื่อว่าจะเป็นที่ตั้งของนครอมฤตาลัยในเขมรจนอ่อนอกอ่อนใจ น่าประหลาดที่พอคนพื้นเมืองรู้ว่าเรากำลังค้นหาอะไรกันอยู่ เขาก็ปลีกตัวเป็นแถวๆ แม้ว่าจะให้ค่าจ้างสูงเท่าใดก็ตาม และน่าประหลาดอีกนั่นแหละครับแฮร์ธรรมธัช ชาวพื้นเมืองที่ค้นพบโบราณวัตถุของเมืองนี้มีอันเป็นล้มตายไปหลายคน เช่นเศษศิลาจารึกที่ผมให้คุณดูนั้น ผู้ขุดพบมันเป็นคนแรกถูกงูกัดตาย ผู้ครอบครองคนต่อมาเป็นไข้ป่าตาย ส่วนคนที่สามตกเหวลึก คนสุดท้ายจึงรีบมาขายให้ผมกับโปรเฟสเซอร์ภุดศอรด้วยราคาถูก”

ทุกคนยังคงเงียบเมื่อศาสตราจารย์ ดร.ชไนเดอร์จบคำพูดของเขา ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีชาวเยอรมันจึงหัวเราะและเอ่ยออกมาอีกเป็นทำนองพูดเองเออเอง

“ชาวบ้านที่ซูเปอร์สติเชียสเชื่อกันว่าเมืองนี้มีอาถรรพณ์ แต่นั่นแหละครับ ผมเชื่อว่าทุกอย่างเป็นเหตุบังเอิญทั้งนั้น ผมไม่คิดว่าอาถรรพณ์หรือแบล็กเมจิกอะไรมีอำนาจถึงกับฆ่าคนเป็นว่าเล่นได้อย่างนั้นหรอก ตัวผมเองก็ครอบครองเศษจารึกนี้มาตั้งนาน ยังไม่เห็นมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นเลย”

ไวฑูรย์ถอนหายใจยาว ชำเลืองมองอกเสื้อเชิ้ตซึ่งเปิดหราอย่างคนขี้ร้อนของ ดร.ชาวเยอรมันแล้ว จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ

“โปรเฟสเซอร์ห้อยไม้กางเขนอันนี้มาตลอดเวลาใช่ไหมครับ”

ดร.ชไนเดอร์เลิกคิ้ว ยกมือขึ้นลูบคลำกางเขนทองคำอันเล็กที่ห้อยคอโดยไม่ตั้งใจ

“หยา ทำไมหรือ ดูเหมือนคุณเองสั่งผมไว้ไม่ให้ถอดกางเขนนี้ออกด้วยซ้ำไป มีอะไรหรือครับ จะให้ผมหาดอกกระเทียมมาคล้องคอไว้ด้วยอีกไหม”

เขาพูดแล้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี ไวฑูรย์ยิ้มเรี่ยๆ ก่อนถามต่อไป

“แล้วเสียงนกใหญ่มากระพือปีกที่หน้าต่างห้องของท่านล่ะครับ ตอนนี้มันยังมาอีกหรือเปล่า”

ศาตราจารย์ชาวเยอรมันเบิกตาโตอย่างนึกขึ้นได้

“อ้อ จริงซี ผมลืมมันสนิทแล้ว ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ ผมบอกทางโรงแรมให้คอยดูๆ ไล่มัน ตอนนี้เงียบกริบเชียว ผมนอนหลับสบายทุกคืน”

ไวฑูรย์ถอนใจอย่างโล่งอก “ดีแล้วครับ ผมยินดีด้วย ง่า…ดอกเตอร์ภุดศอรครับ”

เขาหันไปทางศาสตราจารย์ชาวเขมรผู้นั่งสงบเงียบอยู่ เอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจเด็ดขาดหลังจากที่อ้ำอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“ผมคิดว่า เอ้อ ท่านจะว่าอย่างไรครับ ถ้าได้พบใครสักคนที่มีเค้าเหมือนรูปสลักพระนางพันธุมเทวีราวกับเป็นคนคนเดียวกัน”

ศาสตราจารย์ภุดศอรเลิกคิ้วขึ้นสูงมองดูนักโบราณคดีหนุ่มอย่างฉงน จ้องหน้าพลางถามอย่างกระตือรือร้น

“ที่ไหนครับ คุณไวฑูรย์ ผมอยากพบเป็นที่สุด”

“คืนวันเสาร์จะมีงานแฟนซีลีลาศที่สวมลุม ถ้าผมทายไม่ผิดเธอต้องแต่งแฟนซีเป็นนางพญาขอมไปร่วมงานด้วย โปรเฟสเซอร์จะได้พบเธอแน่ๆ ถ้าไปงานนี้ด้วยกัน”

ดร.ภุดศอรนิ่งคิด แล้วจึงตอบง่ายๆ “โอเค ตกลงครับ ผมจะไปด้วย ที่จริงผมยังมีงานอีกมาก แต่อยากพบผู้หญิงหน้าตาอย่างนั้นมากกว่า”

“ผมก็อยากไป แต่ติดงานเลี้ยงที่สถานทูต แฮร์ธรรมธัชล่ะครับ ได้ข่าวว่าต้องไปต่างจังหวัดใช่ไหม”

ดร.ชไนเดอร์ว่าพลางหันไปมองหน้าอาจารย์อโณทัย ธรรมธัช ฝ่ายนั้นผงกศีรษะรับ

“ครับ น่าเสียดายจริงๆ ไวฑูรย์อุบไว้เป็นนานไม่บอกกล่าวกันก่อนเลย…เอาอย่างนี้ซี่ ไวฑูรย์กับวิสันจะไปด้วยกันใช่ไหม แวะรับดอกเตอร์ภุดศอรที่โรงแรมเสียเลย…แล้วนัดเวลากันเอาเองนะ”

คณะนักโบราณคดีทั้งสี่นั่งปรึกษาหารือกันจนถึงเที่ยง ไวฑูรย์จึงมีโอกาสปลีกตัวออกจากห้องของอาจารย์อโณทัย เขาเผ่นไปที่รถ ขับบึ่งตรงไปยังสถานที่นัดหมายไว้กับเสาวภาพรรณทันทีด้วยหัวใจอันร้อนรน…

 



Don`t copy text!