อมฤตาลัย ตอนที่ 6

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

เสียงกริ่งโทรศัพท์จากเครื่องพ่วงในห้องนอนของ ร.ต.ท.ทัดเทพ พิษณุเศรณี ดังรัวขึ้นสนั่น ผู้หมวดหนุ่มปรือตาขึ้นอย่างเยือกเย็น ขยับกายจากท่านอนอันสบายที่สุดยื่นมือออกไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงขึ้น กรอกเสียงที่ยังไม่หายงัวเงียลงไป

“สวัสดีคร้าบ ทัดเทพพูดครับ”

“เทพหรือ” เสียงร้อนรนมาตามสายดังลั่น จนทัดเทพต้องขยับหูฟังออกห่างหูของเขา

“ทำอะไรอยู่หรือเปล่า ลุงมีเรื่องร้อนใจ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของนายสุนทรบิดาของสถาพรนั่นเอง เขาชำเลืองดูนาฬิกาที่โต๊ะเล็กหัวเตียงแล้วทำตาเหลือก รีบพรวดพราดลุกขึ้นนั่งบนที่นอนทันที เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา ๙ โมงเช้าแล้ว

“ว่างครับ คุณลุงมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“เทพเจอไอ้พรมันมั่งหรือเปล่า”

เป็นคำถามที่กระตือรือร้น แสดงความใคร่รู้อย่างร้อนรน ทัดเทพขมวดคิ้วอีกครั้ง น้อยครั้งนักที่นายสุนทรบิดาของสถาพร ไพสิฐกุล เพื่อนเกลอของเขาจะพูดด้วยสำเนียงร้อนรนอย่างนี้ ทุกครั้งที่พบกับบิดาของสหายมักมีท่าทางเรื่อยๆ อารมณ์ดีอยู่เสมอ

“พบเมื่อสี่ห้าวันก่อนครับคุณลุง เราไปงานด้วยกันทั้งสี่คน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่พบอีกเลย มีอะไรหรือครับ”

“มีซิ ไอ้พรมันไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่คืนที่ออกไปเที่ยวงานที่สวมลุมครั้งนั้นแหละ”

“ฮ้า” นายตำรวจหนุ่มร้องลั่นอย่างแปลกใจ

“ไม่ฮ้าละ มันหายต๋อมไปทั้งรถทั้งคนเลยแหละ ตอนเช้ามันไม่กลับบ้าน ลุงก็ไม่คิดอะไร นึกว่างานเลิกดึกมันคงไถลไปนอนบ้านเพื่อนอย่างเคย พอวันที่สองที่สามไม่เห็นวี่แวว งานก็ไม่ไปทำ ลุงชักร้อนใจ ออกถามตามบ้านเพื่อนๆ ของมันที่ลุงรู้จักก็ไม่ได้ความ ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย ลุงกลุ้มใจ นี่เข้าวันที่ห้าแล้วเลยโทรมาหาเทพนี่แหละ”

“มันออกไปต่างจังหวัดละมังครับ”

ทัดเทพซักอย่างร้อนใจขึ้นมาบ้าง ก็ได้รับคำตอบทันควันว่า

“ไม่ใช่หรอก ทุกครั้งที่ไปต่างจังหวัดเป็นเรื่องใหญ่ ไอ้พรต้องเบิกเงินลุงติดตัวไปทีละมากๆ กับเตรียมเสื้อผ้าเป็นโกลาหลเสมอแหละ แล้วระยะนี้ก็ไม่มีงานต่างจังหวัด ช่วยสืบหามันทีเถอะ ลุงสังหรณ์ใจว่าเรื่องมันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว นี่ลุงก็ไปแจ้งความไว้แล้ว ไม่มั่นใจเลยต้องขอแรงเทพอีกคน”

“ครับคุณลุง ผมจะช่วยตามหาให้ อย่าห่วงเลยครับ ว่าแต่คุณลุงแน่ใจนะครับว่าเจ้าพรมันหายไปในคืนที่ออกไปงานสวนลุมคืนนั้นแน่”

“อ๋อ แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกเทพ มันยังบอกลุงเลยว่า จะไปรับคุณพินทุวดีอะไรของมันนั่นแล้วก็ขับรถปร๋อออกไป ท่าทางมันดีอกดีใจยังกะปลากระดี่ได้น้ำเชียว”

“รับคุณพินทุวดี จริงซีครับ”

ทัดเทพอุทานอย่างนึกขึ้นได้ หวนระลึกไปถึงสีหน้าอันแสดงความปลาบปลื้มลำพองเต็มที่ของเพื่อนเกลอ ในขณะที่เคียงข้างไปกับหญิงสาวแสนสวยรวยเสน่ห์ในคืนนั้น

“ผมนึกออกแล้ว คืนนั้นเห็นว่ามันไปส่งคุณพินทุวดีด้วย รถของเธอเสีย ผมก็ไม่สนใจเพราะผมกลับก่อน ศุภสิทธิ์มันเล่าให้ฟังทีหลังว่า ไอ้พรตัดหน้ามันไปส่งคุณพินทุวดีที่บ้าน ถ้างั้นคนสุดท้ายที่พบพรก่อนมันหายตัวก็เป็นคุณพินทุวดีนี่เอง เอาเถอะครับคุณลุงแล้วผมจะส่งข่าวครับ ไม่เหลวแน่ครับ สวัสดีครับ”

วางหูลงแล้ว ร.ต.ท.ทัดเทพนั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียงอีกครู่ วันนั้นเป็นวันสุดสัปดาห์เขาจึงไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำงานเหมือนอย่างเคย แล้วจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ภายในสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เดินลงมาข้างล่าง

พล.ต.ต.ทัดพงศ์ พิษณุเศรณี กับคุณหญิงศจี บิดามารดาของเขานั่งอยู่ด้วยกันในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นบุตรชายเดินเข้าไป นายพลผู้บิดาก็เงยหน้าขึ้นขยับแว่นดู

“จะไปไหนอีกล่ะนั่น” ท่านถามเสียงห้าวๆ

“ไปหาเพื่อนครับ ทานข้าวกันหรือยังครับนี่ ผมตื่นสายไปหน่อย หิวจัง”

คุณหญิงศจีเงยหน้าขึ้นทันที “หิวหรือลูก พ่อกับแม่ทานแล้ว เทพจะเอาอะไรล่ะ เครื่องฝรั่งหรือข้าวต้ม แม่จะไปสั่งให้”

ทัดเทพรีบโบกมือห้าม “ไม่ต้องครับคุณแม่ เดี๋ยวผมไปสั่งเอง คุณแม่จะทำอะไรเชิญตามสบายเถอะครับ”

ชายหนุ่มว่าเท่านั้นแล้วก็รีบผละออกจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องอาหารโดยเร็ว เพราะรู้ดีว่าถ้าอยู่ต่อหน้าบิดามารดาต่อไป คุณแม่ผู้แสนดีของเขาก็คงต้องวุ่นวายปรนนิบัติเป็นการใหญ่ การเป็นลูกชายคนเดียวทำให้ทัดเทพเกิดความรำคาญในบางครั้งเหมือนกัน เพราะความเอาอกเอาใจของบิดามารดา หากแต่พื้นเพนิสัยของเขาอยู่ในระดับดี ทัดเทพจึงไม่ใช่คนเอาแต่ใจตัวหรือ ‘เสียเด็ก’ สิ่งแวดล้อมทั้งหลายกลับช่วยให้เขามีจิตใจอ่อนโยนและอัธยาศัยน่าคบหาสมาคม
อยู่เสมอ

ผู้หมวดหนุ่มสวนกับเด็กรับใช้ในครัว เขาจึงสั่งกาแฟ ขนมปังปิ้ง และไข่กวนเป็นอาหารเช้า เสร็จแล้วก็ฉวยหนังสือพิมพ์ตรงเข้าไปนั่งอ่านรออยู่ในห้องอาหาร

“ไง ไอ้เสือ วันนี้จะออกไปตะครุบเหยื่อที่ไหนอีกวะ” เสียงทักอย่างแจ่มใสดังขึ้นที่ประตูห้อง

ทัดเทพลดหนังสือพิมพ์ลงจากระดับตา พอเห็นเจ้าของเสียงที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้าถนัด เขาก็แทบจะกระโดดขึ้นด้วยความยินดี

“ไอ้ฑูรย์ บ๊ะ! ทำไมรู้ใจยังงี้วะ ข้ากำลังจะออกไปหาเอ็งอยู่เดี๋ยวนี้เชียว เฮ้ย กินอะไรกันก่อนนะ ข้ากำลังจะล่อมื้อเช้าอยู่พอดี”

ว่าพลางโดยไม่รอคำตอบ ทัดเทพหันไปกดกริ่งข้างๆ ตัว เด็กคนรับใช้คนหนึ่งโผล่เข้ามาทันใดเหมือนคอยฟังเสียงเรียกอยู่แล้ว ชายหนุ่มสั่งอย่างรวดเร็ว

“เอากาแฟ ขนมปัง ไข่กวน เพิ่มอีกที่หนึ่งนะ เร็วๆ เข้า ฉันมีแขก อ้อ เปลี่ยนไข่กวนเป็นไข่ดาวหมูแฮมดีกว่าเพื่อนมันชอบหมูแฮม”

เด็กรับใช้เดินอมยิ้มออกไปจากห้อง ไวฑูรย์ตรงเข้ามานั่งข้างสหาย

“ไอ้ห่ะ สั่งเสียไม่หายใจหายคอเชียวนะ ไม่ถามสักคำว่าข้าเรียบร้อยมาหรือยัง”

“เออ ถามก็ได้ กินอะไรมาแล้วยังวะ”

ไวฑูรย์ยักคิ้ว ตอบแผ่วเบาหน้าตาเฉย “ยังว่ะ”

“ไอ้…ข้ากำลังจะไปหาเอ็งพอดีรู้ไหม”

“รู้แล้ว เอ็งแหกปากบอกเมื่อตะกี้นี้เอง มีอะไรล่ะ”

“เอ็งล่ะ มาวันนี้มีอะไรเรอะเปล่า”

ไวฑูรย์ยักไหล่ “ไม่มี ดุ่ยมางั้นแหละ อยู่บ้านไม่ได้มันร้อนวิชา เอ็งจะไปหาข้าทำไมวะ”

ทัดเทพมีสีหน้าเคร่งลง “เอ็งได้ข่าวไอ้พรมั่งไหม”

ไวฑูรย์สั่นศีรษะ

“ไม่เลย เออ เมื่อวานนี้เจอคุณอลิศราของเอ็ง อีเข้ามาต่อว่าต่อขานข้าใหญ่ แล้วฝากบอกมาถึงเอ็งด้วยว่าคุณพินทุวดีน่ะเปลี่ยนแฟนใหม่แล้ว ควงไอ้สิทธิ์หราเชียว เอ็งอย่าโดดลงสังเวียนกับเขาเลย อีว่าพินทุวดีใช้ผู้ชายเปลืองยิ่งกว่าผงซักฟอกอีกว่ะ”

ทัดเทพมีสีหน้าครุ่นคิดหนักขึ้น เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเพื่อนเกลอ

“ก็นี่แหละทำให้ข้ากำลังจะไปหาเอ็งอยู่พอดี รู้จักบ้านคุณพินทุวดีไหมวะ”

ไวฑูรย์ทำตามถลนจ้องมองเพื่อนเกลออย่างไม่เชื่อหู

“หน็อย ไอ้นี่ เห็นหงิมๆ หยิบชิ้นปลามันเชียวนะ รู้จักเขาหนเดียวจะบุกแหลกถึงบ้านเชียวเร้อ เอ็งจะเป็นคู่แข่งไอ้สิทธิ์กับไอ้พรมันหรือไงวะ”

ทัดเทพจุปาก “ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกน่า รู้ไหมฑูรย์ ไอ้พรหายจากบ้านไปห้าวันแล้ว”

คราวนี้ไวฑูรย์อ้าปากค้าง นิ่งงันอยู่ในท่านั้น อึดใจหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาเกือบชิด เสียงที่ถามร้อนรน

“จริงหรือวะ เทพ เอ็งรู้ได้ยังไง”

“พ่อมันโทรมาบอกข้าเมื่อตะกี้นี้เอง ขอให้ช่วยเหลือสืบเรื่องให้ ข้าก็เลยคิดจะไปหาเอ็งเพื่อพาไปบ้านคุณพินทุวดีนั่น”

“หมายความว่า…”

“ข้ายังไม่หมายความอะไรทั้งนั้นโว้ย ฑูรย์ เพียงแต่ข้ารู้ว่า ก่อนหายตัวไปไอ้พรมันอยู่กับคุณพินทุวดีเป็นคนสุดท้าย ข้าอยากไปฟังลาดเลาดูว่าคุณนั่นแกรู้อะไรเรื่องนี้บ้าง”

ไวฑูรย์เอามือลูบคางอย่างตรึกตรอง นัยน์ตาฉายแววกังวลขึ้นรำไร

“บ้านคุณพินทุวดีน่ะข้าพอรู้จัก ไอ้พรมันเคยชี้ให้ดูตอนที่มันคลั่งขนาดไม่เห็นหน้า ขอให้เห็นหลังคาบ้านก็ยังดีนั่นแหละ แต่ไม่รับรองนะว่าจะได้เข้าบ้านหรือเปล่า ได้ข่าวว่าคุณนี่แกไม่เคยให้ใครเข้าบ้านเลย”

“ก็ต้องลองเสี่ยงดู”

“ว่าแต่เอ็งคิดไหมเทพ…ว่า”

ไวฑูรย์พูดเพียงนั้นแล้วก็ชะงัก ต่อเมื่อทัดเทพมองหน้าจึงกล่าวต่อไปอย่างลังเล

“ไอ้พรมันอาจจะเป็นเหยื่อลึกลับที่หายไป เป็นคนที่ห้าก็ได้นะ”

ทัดเทพนิ่งคิดอย่างกังวล “นั่นซี ข้าก็กลัวว่าจะเป็นยังงั้นเหลือเกินว่ะฑูรย์ ผู้ชายคนอื่นๆ ที่หายไปไม่มีใครพบร่องรอยอีกเลย ยกเว้นคนแรกที่พบศพตายอย่างทุเรศนั่นเท่านั้น”

“ว่าแต่ทางตำรวจได้เบาะแสคนร้ายมั่งหรือยังวะ”

ทัดเทพส่ายหน้า “ยัง ได้แต่เดากันว่าคนอื่นๆ ที่หายไปน่าจะเป็นฝีมือเจ้าผู้ร้ายคนเดียวกันกับคนแรก เพียงแต่มันซ่อนศพมิดชิดไม่ให้ประเจิดประเจ้ออย่างศพแรกเท่านั้น”

เด็กรับใช้ยกอาหารเช้า ๒ ที่วางตรงหน้าสองสหาย ไวฑูรย์มองดูหมูแฮมชิ้นใหญ่ทอดควันกรุ่นหอมหวาน และไข่ดาวสองฟองสุกกำลังพอดี ขนมปังปิ้งใหม่ๆ สีทองอร่าม เนยสดและแยมผิวส้มตรงหน้าแล้วก็กลืนน้ำลาย คว้ามีดกับส้อมขึ้นมาถือไว้ ทัดเทพช่วยรินกาแฟให้เพื่อนเกลอ

“คนหายทุกรายเป็นคนที่รู้จักกับพินทุวดีทั้งนั้นใช่ไหม”

ไวฑูรย์ถามเมื่อกลืนไข่ดาวหมูแฮมคำแรกลงไปแล้ว

“ใช่ เพราะงั้นนะซีข้าถึงอยากไปหาเธอ”

ไวฑูรย์ใช้เวลาที่เคี้ยวอาหารครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หัวคิ้วขมวดมุ่นและสีหน้าก็เอาจริงเอาจังขึ้น

“เกี่ยวกับคุณพินทุวดีนี่น่ะ เอ็งรู้สึกอะไรเหมือนข้าไหมวะเทพ”

“อะไร”

“ข้าว่าเธอเป็นคนลึกลับมากและก็น่ากลัวด้วย เอ็งว่ายังงั้นไหมวะ ทั้งๆ ที่สวยออกยังงั้นก็เถอะ ทุกครั้งที่เข้าใกล้ข้ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กลัวเธอทุกทีเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไง”

ทัดเทพขยับปากจะพูด แต่แล้วก็นิ่งเฉยเสีย ฟังเพื่อนเกลอต่อไปโดยไม่ปริปาก

“หน้าตาเธอก็อีกเหมือนกันน่ะแหละ ไม่ค่อยจะเหมือนหน้าคนสมัยนี้เลย ข้าว่าเหมือนคนโบราณว่ะ อย่า…เอ็งอย่าเพิ่งค้านว่าข้าอยู่กับของโบราณเสียจนเห็นอะไรโบราณไปหมด ข้านึกยังงั้นจริงๆ ผ่าวะ รู้สึกเหมือนคุ้นหน้าคล้ายๆ จะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่นึกไม่ออกเท่านั้นแหละ”

“ไอ้ฑูรย์เอ๊ย เอ็งนี่สติเฟื่องไปกันใหญ่แล้ว ระงับอกระงับใจมั่งซีวะ อีกหน่อยก็คงพลอยเห็นข้าเหมือนคนสมัยพระเจ้าพีล่อโก๊ะไปด้วยหรอก”

“อ้าว เอ็งอย่าเพิ่งเบิลโว้ยเทพ ข้ารู้สึกจริงๆ นะว่า ผู้หญิงคนนี้มีอะไรประหลาดเร้นลับอยู่ในตัว ข้าถึงอยากเข้าใกล้อยากศึกษาเธอ แต่ในเวลาเดียวกันสัญชาตญาณหรืออะไรก็ไม่รู้เตือนให้ออกห่างไว้ เอ็งรู้สึกยังงี้มั่งไหมวะ”

“ข้ารู้สึกแต่ว่า คุณพินทุวดีเป็นคนมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจที่ต้องระวังตัวไว้ให้ดี ม่ายงั้นจะตกหลุมเสน่ห์ของเธอ เอาง่ายๆ ก็เท่านั้นแหละ”

มีเสียงกระแอมดังขึ้นที่ประตู แล้วบิดาของทัดเทพก็โผล่เข้ามาในห้อง ขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งสองให้ชะงักไว้เพียงนั้น ไวฑูรย์ลุกขึ้นยืนยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ท่านนายพลทักทายสองสามคำแล้ววกเข้าสู่เรื่องที่ท่านสนใจ

“เรื่องกรุพระที่พบใหม่ว่าไงล่ะไวฑูรย์ มีหวังบ้างไหมหลาน”

“ครับ มีหวังเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เอาไว้ผมไปลพบุรีคราวหน้าจะเช่ามาเลยครับ”

“ดีจริง ขอให้เป็นของแท้เถอะน่า เท่าไหร่ๆ ลุงก็สู้”

“ของแท้แน่ๆ ครับ ผมรับรองได้”

“แหม ดี ลุงเซ็นเช็คให้เลยเอาไหม”

“อย่าเลยครับคุณลุง ผมยังไม่ทราบราคาแน่นอน คิดว่าคงไม่แพงนักหรอกครับ”

“นี่คงไม่คิดว่าลุงเอาสมบัติของชาติมาเป็นส่วนตัวหรอกนะ พระในกรุเขาเอาออกให้เช่าได้ไม่ใช่หรือ แบบกรุวัดราชบูรณะนั่นไง…อะไรที่ผิดกฎหมายลุงไม่เล่นด้วยนา เดี๋ยวจะว่าอิเหนาเป็นเอง”

ท่านนายพลว่าแล้วก็พาตัวเดินออกไปจากห้อง ทัดเทพหันมาทางเพื่อนอย่างงงๆ

“อะไรวะ ฑูรย์”

“พระโว้ย มีคนขุดกรุพระสมัยขอมได้ที่ลพบุรี ข้าไปเห็นเข้ารู้ว่าคุณลุงคงชอบก็เลยจองเอาไว้ให้ก่อนที่จะประกาศให้เช่าเป็นทางการ”

ผู้หมวดหนุ่มยักไหล่อย่างไม่สนใจ

“พระเก่าแน่หรือวะ ข้ากลัวว่าจะเป็นหลวงพ่อบวชใหม่แล้วเอาไปฝังดินไว้คอยเบิกเนตรนักเลงพระชาวกรุงน่ะน่า”

“ไอ้บ้า เอ็งพูดยังกะข้าไม่ใช่นักโบราณคดี ที่ว่านี่น่ะพระสมัยขอมแท้โว้ย คาดว่าคงสมัยชัยวรมันที่ ๗ ที่สถาปนานครธมใหม่ มหาราชองค์สุดท้ายของขอมนั่นแหละ”

“ขอมของเอ็งน่ะอะไรวะ”

ทัดเทพถามอย่างมืดแปดด้าน ไวฑูรย์ก็มองเพื่อนอย่างปลงอนิจจัง

“ไอ้เทพเอ๊ย เอ็งเคยสอบวิชาประวัติศาสตร์ได้เกินห้าคะแนนมั่งไหมวะ เอ็งไม่รู้เรอะว่าดินแดนที่เป็นลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี่เคยเป็นแหล่งอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดมาแล้วหลายซับหลายซ้อน หลายอาณาจักร เหลืออาณาจักรขอมก็เป็นแหล่งวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองที่สุดสืบเนื่องมาจากสมัยทวารวดีนั่นเทียว มีอาณาจักรอยู่ในบริเวณเขมรเดี๋ยวนี้และกินเรื่อยมาทางตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของไทยด้วย พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เป็นผู้ปลดแอกทวารวดีออกไป และทำให้ขอมมีอำนาจขึ้นในราวปี ๑๓๔๕ เป็นต้นมา ขอมมีเมืองหลวงสืบกันมาหลายเมือง เช่น อินทรปุระ มเหนทรบรรพต หริหราลัย และจนกระทั่งถึง พ.ศ.๑๗๒๔ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์สุดท้าย ขอมเจริญรุ่งเรืองที่สุด แต่ต่อมาไม่นานก็เสื่อมลงเป็นลำดับจนกระทั่งถูกกองทัพไทยไปตีเอาไว้เป็นเมืองขึ้นในสมัยพระเจ้าสามพระยาของเรานั่นไง”

“ง้านเรอะ แหม ฟังซะเกือบหลับ แต่ขอมนับถือศาสนาพราหมณ์ไม่ใช่หรือวะ ทำไมจึงมีพระพุทธรูปด้วย”

“เซ่ออีกแล้ววะ ลูกพ่อ ขอมนับถือทั้งพุทธทั้งพราหมณ์นั่นแหละวะ สมัยไหนที่พระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพุทธ ปราสาทหินต่างๆ ก็สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานทางพุทธไป เช่นปราสาทหินพิมายเป็นต้น สมัยไหนพระเจ้าแผ่นดินนับถือศาสนาพราหมณ์ก็ทำลายพระพุทธรูปตามศาสนสถานเสีย แล้วตั้งเทวรูปหรือศิวลึงค์ไว้บูชาแทน เข้าใจไหม อย่างเช่นปราสาทพนมรุ้ง บุรีรัมย์ที่ข้าพาเอ็งไปดูก็เป็นศาสนสถานพราหมณ์แห่งหนึ่งด้วย”

“อือ น่าสนใจเหมือนกันนิ”

ทัดเทพเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จุดบุหรี่สูบฟังหนุ่มนักโบราณคดีเล่าอย่างสนใจนิดๆ  รำคาญหน่อยๆ เพราะรู้ดีว่าถ้าคุยเรื่องนี้เมื่อใดไวฑูรย์มักไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ

“วิชาโบราณคดีน่าสนใจทั้งนั้นแหละพวก ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเรามากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่าบนแผ่นดินที่เราอยู่นี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้วเพียงใด ในอดีตโน้นยิ่งขุดค้นพบซากโบราณสถานด้วยยิ่งน่าสนุกว่ะ เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกขึ้นได้ เมื่อสองสามวันก่อน ศาสตราจารย์ชไนเดอร์แกมาจากเขมร คุยให้พวกเราฟังว่า แกค้นพบจารึกชิ้นหนึ่งในแถบตำบลร่อลวยของเขมร ซึ่งในสมัยพระเจ้ายโสวรมัน ดินแดนตรงนั้นเคยเป็นที่ตั้งเมืองหลวง ชื่อหริหราลัยมาก่อน จารึกนั้นมีใจความประหลาดมากว่ะ”

“ประหลาดไงวะ เป็นลายแทงขุมทรัพย์เพชรพระอุมา หรือว่าปริศนาใบ้หวย” ทัดเทพขัดขึ้นอย่างขันๆ

“ยิ่งกว่าขุมทรัพย์อีกโว้ย ตาศาสตราจารย์บอกว่าถ้าเชื่อตามจารึกนั้นก็มีเมืองโบราณหลงการสำรวจอยู่อีกเมืองหนึ่งซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักได้ยินชื่อมาก่อนเลย”

“งั้นเรอะ”

“เออ…เมืองนี้ชื่อ ‘อมฤตาลัย’ ตั้งขึ้นโดยพันธุมเทวี ราชินีองค์แรกซึ่งเป็นธิดาของพระเจ้ายโสวรมันของขอมนั่นเอง”

“เลอะแล้ว ไอ้ฑูรย์ ทำท่าจะเป็นนิยายอย่างเรื่องจามเทวีอีกมั้ง ที่ว่าผู้หญิงครองเมืองน่ะเป็นไปได้ยังไง”

ไวฑูรย์ตบเข่าตัวเองดังฉาด

“เอ็งมันไม่รู้อะไร เทพ ไม่ใช่เรื่องจามเทวีเรื่องเดียวที่มีผู้หญิงเป็นกษัตริย์ ตามตำนานของอาณาจักรฟูนันและอิศานปุระก็มีนางพญาครองอาณาจักรทั้งสองนี้มาแล้วเหมือนกัน…อีตาศาสตราจารย์ชวนพวกเราเหยงๆ ให้ไปสำรวจหาซากเมืองนี้ด้วยกัน แกเชื่อเอาจริงๆ จังๆ ว่าเมืองนี้อยู่ในบริเวณทิวเขาดงรักในเขตไทยนี่แหละ แต่ยังไม่มีใครรับปากยอมไปด้วย กลัว ผกค.มันส่องเอา”

“เอ็งไม่รับอาสามั่งหรือ จะได้เป็นวีรบุรุษแห่งเทือกพนมดงรักบ้าง”

“ก็คิดอยู่เหมือนกันแหละพวก อย่าท้านา ข้าจะขออนุญาตผู้ว่าขึ้นไปสำรวจแถวๆ นั้นดูสักตั้ง เผื่อจะพบเมืองที่ว่านี่ น่าสนใจมากว่ะ…อมฤตาลัย ฟังชื่อดูมีอาถรรพณ์ลี้ลับไม่หยอก โดยเฉพาะพระนางพันธุมเทวีนั่นจะสวยสักแค่ไหนหนอ”

“อาจสวยไม่เท่าพินทุวดีสมัยนี้ก็ได้นะโว้ย”

ทัดเทพพูดเรื่อยๆ โดยไม่มีความหมาย แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนเกลอสะดุ้ง สีหน้าที่หมกมุ่นครุ่นคิดนั้นคลายออกทันที มันมีแววแจ่มใสขึ้นเหมือนคนที่คิดแก้สมการอันยุ่งยากออกได้ในปัจจุบันทันด่วน

“พินทุวดี เออ…จริงซีวะ ไอ้เทพลูกพ่อ เอ็งช่วยให้ข้าคิดออกเดี๋ยวนี้เองที่ข้าว่าพินทุวดีหน้าเหมือนใคร นึกไม่ออกนั่นนะ เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่ะ เจ้าหล่อนหน้าเหมือนรูปสลักนางอัปสรตรงปราสาทหินของขอมนั่นเองแหละวะ ถึงแม้จะสวยกว่ามากแต่ก็ไม่ทิ้งเค้าเดิมเลย แน่แล้วไอ้เทพ พินทุวดีเหมือนรูปนางอัปสรจริงๆ ว่ะ อัปสรขอมที่มีอายุร่วมพันปีมาแล้วยังไงก็ยังงั้นเลยเชียว!”

 



Don`t copy text!