อมฤตาลัย ตอนที่ 9

อมฤตาลัย ตอนที่ 9

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ในวันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ไวฑูรย์ อมรรัช ปิดหนังสือเล่มใหญ่ลงพร้อมกับบิดตัวอ้าปากหาวยาวยืด ชำเลืองมองนาฬิกาที่หัวเตียงนอน มันบอกเวลาเกือบ ๐๒ นาฬิกาแล้ว หนุ่มนักโบราณคดีสะบัดศีรษะขับไล่ความมึนงง เขาไม่รู้สึกถึงความง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย ในสมองเต็มไปด้วยเรื่องครุ่นคิดนานาประการจนสับสนไปหมด โบราณวัตถุที่บ้านของพินทุวดี วงศ์ยโสธร กับชื่อเมืองอมฤตาลัยซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน รบกวนจิตใจเขาอย่างหนัก ถึงจะค้นประวัติศาสตร์และตำนานอาณาจักรขอมโบราณมาอ่านเท่าใดก็ยังมืดแปดด้านอยู่นั่นเอง เพราะไม่มีหน้าใดตอนใดกล่าวถึงเมืองชื่อประหลาดนี้เลยแม้แต่น้อย…ชายหนุ่มนึกทบทวนถึงข้อความในเศษศิลาจารึกที่ ดร.อดอล์ฟ ชไนเดอร์ นำมาให้ดู เขาจำมันได้ขึ้นใจทีเดียว

… จึ่งให้ชื่อเมืองว่า อมฤตาลัย…แห่งนางพญาพันธุเทวี ราชินีผู้อมตะ…ราชธิดาแห่งพระบาท…ยโสวรมัน…ก็แลอันว่าเมืองนี้…

นั่นคือข้อความที่อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณตะวันออกแปลออกมาได้จากชิ้นส่วนที่แตกออกมาจากจารึกหลักใหญ่ บางตอนของชิ้นส่วนนั้นกร่อนไปทำให้ตัวอักษรลบเลือน จึงอ่านได้ใจความเพียงเท่าที่ปรากฏนี้เท่านั้น ไวฑูรย์นึกถึงเสาศิลาจารึกสูง ๓ ฟุตในห้องท้องพระโรงของบ้านพินทุวดีแล้วก็ต้องใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง เขาเชื่อแน่ว่าชิ้นส่วนที่ดร.ชไนเดอร์ได้ไว้จะต้องแตกหักออกมาจากเสาศิลาใหญ่นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมหนอ…ทำไมพินทุวดีจึงมีท่าทางตกใจเมื่อรู้ว่าเขารู้จักชื่อเมืองนี้และกีดกันอย่างออกหน้าออกตาเมื่อเขาประสงค์จะศึกษาโบราณวัตถุของหล่อน

ความประหลาดใจใคร่รู้ทำให้หนุ่มนักโบราณคดีค้นตำราและตำนานขอมมาอ่านอย่างละเอียด โดยเฉพาะตอนที่กล่าวถึงรัชสมัยของพระเจ้ายโสวรมันที่ ๑ แต่ก็ไม่ได้ความกระจ่างขึ้นมาแต่อย่างใดนอกจากส่วนที่เขารู้อยู่แล้วว่า พระองค์คือกษัตริย์ผู้เกรียงไกรของอาณาจักรกัมพูชาครั้งกระโน้น ครองราชย์อยู่ในระหว่างปี พ.ศ.๑๔๓๒ – ๑๔๔๓ ทรงมีราชธานีอยู่ที่เมืองหริหราลัย อันเป็นพระนครหลวง ต่อมาเมืองหริหราลัยเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นจนผู้คนหลั่งไหลมาแออัดยัดเยียดมากเกินกว่าพื้นที่ พระเจ้ายโสวรมันจึงทรงขยายราชธานีไปตั้งใหม่ที่เมืองยโสธรปุระ ซึ่งกลายเป็นพระนครหลวงของอาณาจักรกัมพูชาสืบจนเสียเอกราช พระองค์ทรงสร้างศิลปะและสถาปัตยกรรมขอมไว้มาก ปราสาทหินบนเขาพระวิหารก็สร้างขึ้นเหนือทิวเขาพนมดงรักโดยบัญชาแห่งพระองค์ เพื่อให้เป็นเทวสถานของพระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิศาสนาพราหมณ์…และก็เท่านั้นเองที่เขารู้จากประวัติศาสตร์ขอม ไม่มีข้อความใดเลยที่ระบุถึงพันธุเทวี ราชธิดาของพระองค์และเมืองอมฤตาลัยอันลึกลับของพระนาง

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยขบ แล้วทันใดเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในฉับพลัน…

ผิวหนังของเขาร้อนวูบวาบเหมือนถูกไฟจี้ ไวฑูรย์ยกมือขึ้นลูบคลำแขนขาเนื้อตัวของตนเอง…มันเป็นปกติ ไม่ได้ร้อนระอุแต่อย่างใด ความร้อนนั้นเหมือนเกิดขึ้นจากภายในกายของเขาเอง มันแผ่ซ่านออกไปทั่วร่าง จิตใจและสมองตื่นตัวเต็มที่เหมือนเตรียมเข้าสู้รบ และสังหรณ์บางอย่างในส่วนลึกที่สุดของหัวใจเตือนให้เขาระแวงว่ากำลังมีภยันตรายบางอย่างเข้ามาใกล้กาย

นักโบราณคดีหนุ่มหยุดยืนชะงักอยู่ในท่าเดิมอย่างครุ่นคิด…เขารู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นที่อยู่ๆ ที่เกิดสังหรณ์ขึ้นมาฉับพลันทันด่วนเช่นนี้…อาการที่เกิดขึ้นนั่นเหมือนมีโทรจิตจากที่ใดที่หนึ่งพุ่งเข้ากระทบกระแสจิตอันตื่นตัวเต็มที่ของเขา และบอกให้สำเหนียกถึงภัยบางอย่างที่มองไม่เห็น ไวฑูรย์เดินตรงไปที่โต๊ะหัวเตียงนอนเปิดลิ้นชักหยิบลาม่าออโตเมติกคู่มือออกมาถือกระชับ แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อแลเห็นอะไรบางอย่างบนโต๊ะเล็กตัวนั้น

วัตถุดำๆ ชิ้นหนึ่งยาวประมาณ ๑ คืบขนาดใหญ่เท่าแท่งดินสอดำวางสงบเสงี่ยมอยู่ที่นั่น

ว่านครุฑพลของเขานั่นเอง!

ไวฑูรย์ก้าวไปหยิบมันขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจและงงงัน เขาจำได้แม่นยำว่าตั้งแต่ได้รับมันมาจากส่วยปง นายพรานใหญ่เชื้อเขมรและหมอผีแห่งเทือกเขาดงรักแล้ว เขาก็ซุกมันไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดเวลา และคืนนี้เมื่อกลับถึงบ้าน เขาจำได้ดีว่าเมื่อหยิบกระเป๋านั้นออกมาจากกางเกงแล้ว ก็ซุกมันไว้ในลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงใกล้ๆ กับปืนพกคู่มือนั่นเอง แต่บัดนี้ มันปาฏิหาริย์ออกจากกระเป๋าสตางค์มาอยู่บนโต๊ะได้อย่างไร เขานึกไม่ออกเลย

วูบหนึ่ง ไวฑูรย์นึกถึงคำพูดของส่วยปง ขณะที่ยื่นว่านนี้ให้เขาแล้วฉับพลันก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นทั้งตัว

‘รับไว้เถอะขรับ นาย นายเป็นคนดีมีศีลธรรม ว่านนี้จะคุ้มครองนายจากศัตรูได้ ของดีๆ ก็ควรจะอยู่กับคนดีๆ แหละขรับ…นายพกติดตัวไว้ ผีสางหรืออะไรก็ตามที่เข้ามาอย่างประสงค์ร้ายจะทำอันตรายนายไม่ได้เลย…ปู่ของปู่ของส่วยปงบอกว่า ว่านนี้เกิดจากกำลังของพญาครุฑ งูเงี้ยวตลอดจนพญานาคเองก็ต้องแพ้ อำนาจพิเศษของว่านนี้ก็คือ จะคอยบอกเหตุร้ายให้รู้ตัวล่วงหน้าได้ทุกทีไปอย่างแม่นยำที่สุดขรับ…’

บอกเหตุร้ายล่วงหน้า แสดงว่าที่ว่านนี้สำแดงปาฏิหาริย์ออกจากกระเป๋าของเขามาก็เพื่อจะบอกเหตุร้ายละกระมัง

และนั่นก็หมายความว่าขณะนี้มีอันตรายมาใกล้ตัวเขากระนั้นหรือ

อย่างระมัดระวัง ไวฑูรย์ อมรรัช ดับไฟดวงเล็กที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วย่องไปแอบอยู่ที่ข้างหน้าต่างเยี่ยมมองออกไปข้างนอก บริเวณบ้านเงียบสงบเป็นปกติของมันอยู่ในแสงเดือนหรุบหรู่ แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ไวฑูรย์ก้าวโหย่งๆ ไปที่เตียง จัดแจงเอาหมอนข้างมาวางกลางที่นอนและเอาผ้าห่มคลุมไว้ให้มองผาดๆ เหมือนคนนอนคลุมโปง เสร็จสรรพแล้วจึงย่องไปนั่งซุ่มอยู่หลังเก้าอี้นวมมุมห้องซึ่งเป็นชัยภูมิอันเหมาะสมที่สุด คอยสังเกตการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยใจเต้นระทึก

เวลาผ่านไปและผ่านไป ไวฑูรย์เริ่มรู้สึกชาที่ขาและเท้าด้วยความเมื่อยขบที่ต้องนั่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน เขาขยับกายจะเปลี่ยนท่านั่ง แต่ทันทีนั้นก็ต้องรีบหยุดนิ่งแทบไม่หายใจ เมื่อได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในความมืดข้างนอก

มันเป็นเสียงเหมือนเสียงกระพือปีกของนกขนาดใหญ่ พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกิ่งไม้ใหญ่ริมหน้าต่างห้องนอนไหวยวบ และลั่นดังเปาะเหมือนสิ่งมีน้ำหนักบางอย่างโผลงเกาะที่กิ่งนั้น

ประสาททุกส่วนของชายหนุ่มเครียดเขม็ง ใจเต้นรัวแรงเหมือนตีกลอง มือที่กำปืนแน่นชื้นไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาจับนิ่งอยู่ที่หน้าต่างบานนั้นซึ่งเปิดอ้าอยู่ มีเพียงบานมุ้งลวดเท่านั้นที่ปิดสนิท

กลิ่นเหม็นสาบสางของอะไรอย่างหนึ่ง โชยมาตามลมกระทบฆานประสาทฉุนกึกจนแทบสำลัก กลิ่นนั้นลอยอ้อยอิ่งอยู่ทั่วไป และเพิ่มความแรงยิ่งขึ้นจนชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก หนังตาหนักอึ้งแทบลืมไม่ขึ้น และสมองเริ่มหมุนคว้าง…นักโบราณคดีหนุ่มนึกรู้ทันทีว่าเจ้ากลิ่นนั้นมีอำนาจเหนือยาสลบอยู่ในตัวของมันเองด้วย

ในขณะที่พลังจิตของเขากำลังต่อสู้เพื่อเอาชนะอำนาจลึกลับนั้นเอง ไวฑูรย์ก็หวนนึกถึงว่านครุฑพลและคำพูดของส่วยปงที่แว่วเข้ามาในสำนึกอันรางเลือน

‘…ผีสางหรืออะไรก็ตามที่เข้ามาอย่างประสงค์ร้ายจะทำอันตรายนายไม่ได้เลย…’

น่ามหัศจรรย์นัก! เพียงแต่นึกเท่านั้น ความอึดอัดระคนง่วงงุนเหมือนถูกรมยาสลบก็ค่อยๆ คลายไปทีละน้อย…ทีละน้อย จนปลาสนาการไปหมดสิ้น และแล้วในความมืด และความเงียบเหมือนความตายนั้นเอง จู่ๆ ไวฑูรย์ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าต่างอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว

เขาเห็นสกรีนมุ้งลวดถูกกระชากทิ้งออกโดยแรงจนขาดกระจุยด้วยกำลังอันมหาศาลของอะไรอย่างหนึ่งที่ยังมองไม่เห็น และทันทีที่บานมุ้งลวดขาดออกจากที่ของมันนั่นเอง ร่างดำทะมึนร่างหนึ่งพร้อมกับอะไรบางอย่างแผ่ออกไปรอบตัวเหมือนปีกก็โผเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไวฑูรย์จ้องมองมันอย่างตะลึงงันอยู่หลังเก้าอี้ด้วยความตระหนกระคนสยองกลัวจนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

ด้วยสายตาที่ชินกับความมืดของห้องเป็นอันดี นักโบราณคดีหนุ่มมองเห็นร่างนั้นได้ถนัด มันเป็นร่างประหลาดมหัศจรรย์พันลึกที่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีอยู่ในโลก เป็นร่างของสัตว์ประเภทนกแต่ไม่ใช่นกเพราะเดินได้ตรงด้วยขาหลัง ๒ ขาของมัน ดวงหน้าที่อยู่ในความมืดสลัวนั้น ชายหนุ่มเห็นไม่ถนัด แต่ก็รู้ว่ามันเป็นดวงหน้าของมนุษย์มากกว่าสัตว์ปีกกว้างใหญ่ที่แผ่รอบตัวมีลักษณะเหมือนปีกค้างคาวไม่มีผิด และที่ปลายปีกนั้น มีอุ้งเล็บแข็งแรงเงื้อง่าอยู่อย่างประสงค์ร้าย

มันถาโถมเข้าไปที่เตียงของเขาอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามแหลมลึกดังอยู่ในลำคอใหญ่เทอะทะนั้นอย่างน่าขนพอง…กลิ่นเหม็นสาบสางฉุนแรงขึ้นจนไวฑูรย์ทนแทบไม่ได้ อุ้งเล็บที่กางร่าอยู่ปลายปีกตะปบลงไปบนสิ่งที่เหมือนตัวคนคลุมโปงอยู่บนเตียงนั้นด้วยกำลังแรงมหาศาล…มีเสียงดังคว่าก และเสียงร้องคำรามในลำคออย่างดุดัน

พริบตานั้นเอง เหมือนมีอะไรมากระตุ้น ไวฑูรย์เผ่นลุกขึ้นจากท่านั่งคุกเข่าหลังเก้าอี้ ปืนในมือยกขึ้นอย่างรวดเร็วหมายร่างทะมึนนั้นเป็นเป้าแล้วเหนี่ยวไกทันทีโดยไม่หยุดคิดอะไรอีก

ปัง ปัง ปัง!

สามนัดซ้อนจากลาม่าออโตเมติกคู่ใจเข้ายังเป้าใหญ่โตที่อยู่ห่างไม่ถึง ๓ เมตรทุกนัด…และเหมือนฟ้าถล่มทลายลงมาให้ห้องนอนของเขา ร่างทะมึนนั้นหมุนพลิกกลับโดยแรง ปีกทั้งสองขยายกางออกและหุบเข้าหากันเหมือนจักรผัน เสียงร้องยาวแหลมก้องด้วยความเจ็บปวดระคนโกรธแค้นดังลั่นขึ้นในความเงียบของราตรี…

“แก๊ก…”

เท้าไวเท่าความคิด หนุ่มนักโบราณคดีผวาไปยังสวิตช์ไฟใกล้ตัว กดมันในทันทีนั้น แสงไฟสว่างไสวก็สาดส่องไปทั่วห้อง ไวฑูรย์ยืนตะลึงงันอยู่กับที่เหมือนถูกสาปเมื่อมองเห็นร่างนั้นถนัดตา

มนุษย์ค้างคาว ความรู้สึกบอกเขาเช่นนั้นพร้อมด้วยความรู้สึกหนาวเยือกในใจจนขนลุกซ่า ปีกใหญ่โตนั้นเป็นแผ่นหนังหนาสีน้ำตาลเข้มปราศจากขน และดวงหน้านั้นเล่า…เหมือนหลุดออกมาจากขุมลึกที่สุดของโลกันตร์…เป็นใบหน้าของปีศาจร้ายชัดๆ ประกอบด้วยดวงตาใหญ่ถลนโปนกลมดิกลุกแดงเหมือนถ่านคุไฟ จมูกโตบานเหมือนสิงโต ปากหนากว้างแสยะเห็นฟันซี่เรียวเล็กแหลมคมถี่เหมือนฟันปลาเต็มทั้งแถวล่างแถวบน มุมปากมีเขี้ยวใหญ่ยาวโง้ง ทั้งผิวหนังมีขนอ่อนขึ้นบางๆ ปกคลุมเต็มไปหมด บนหัวมีปอยขนขมวดเป็นวงแหลมขึ้นไปและหูทั้งสองข้างนั้นก็เรียวแหลมเหมือนหูวัว น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนภูตนรกไม่มีผิด!

ทันทีที่แสงไฟกระทบตัว เจ้าสัตว์กึ่งมนุษย์ตนนั้นสะดุ้งพรวดขึ้นสุดตัวส่งเสียงร้องแก๊กยาวๆ ออกมาอีกคำหนึ่งอย่างเดือดดาล แล้วผละออกจากที่นั้นวิ่งหัวซุกหัวซุนไปยังหน้าต่างที่มันเข้ามา ถาโถมออกไปโดยเร็วแล้วมีเสียงถล่มลงไปกระทบพื้นข้างล่างดังสนั่น

เสียงนี้เองปลุกไวฑูรย์ให้ตื่นจากอาการตกตะลึงจังงัง วิ่งไปที่หน้าต่างโดยเร็ว เขามองเห็นเจ้ามนุษย์ค้างคาวนั้นกระเสือกกระสนอยู่กลางสนามหญ้าด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ชายหนุ่มยกปืนขึ้นส่องยิงไปยังร่างนั้นอีก ๑ นัด มันถูกพื้นดินพลาดเป้าไปเพียงนิดเดียว เจ้าอมนุษย์แผดเสียงร้องลั่นออกมาอีกอย่างโกธรเคือง กระเสือกกระสนลุกขึ้นแล้วกลับถลาล้มคะมำลงไปอีก

ไวฑูรย์ถลาวิ่งออกจากห้องลงบันไดโครมๆ ออกไปยังสนามหน้าบ้านโดยเร็ว หมายใจจะจ่อยิงเจ้าค้างคาวชนิดเผาขนเลยทีเดียว แต่ทว่าช้าไปเสียแล้ว ณ ที่สนามนั้นว่างเปล่าปราศจากร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์แม้แต่เงา มีเหลือให้เห็น
เป็นประจักษ์พยานก็เพียงแต่กองเลือดกองโตสีแดงคล้ำอยู่กลางสนามเท่านั้นเอง!

 

กริ๊ง…กริ๊ง…กริ๊ง…

เสียงโทรศัพท์ดังรัวสนั่นขึ้นในห้องทำงานของกองโบราณศิลป์ เสมียนพิมพ์ดีดสาวยื่นมือออกไปรับ กรอกเสียงที่ดังจนหวานเกินความจำเป็นลงไป

“ฮัลโหล กองโบราณศิลป์ค่ะ”

“ขอพูดกับไวฑูรย์ อมรรัช ครับ”

“คุณไวฑูรย์ยังไม่มาเลยค่ะ จะสั่งอะไรไว้บ้างไหมคะ”

“ขอบคุณครับ ช่วยบอกด้วยว่า ผม ร.ต.ท.ทัดเทพโทรมา ถ้าเขามาถึงที่ทำงานแล้ว ขอให้รีบติดต่อผมด่วนด้วยนะครับ”

“อ้อ เดี๋ยวนะคะ คุณไวฑูรย์เข้ามาพอดี เชิญพูดได้เลยค่ะ”

ไวฑูรย์พาร่างอันอ่อนระโหยและใบหน้าซีดเซียวเข้ามาในห้อง ยิ้มให้เสมียนสาวผู้รับโทรศัพท์นิดหนึ่ง แล้วจึงเดินมารับสาย

“ไวฑูรย์ครับ อ้อ ไอ้เทพเองเรอะ เออ สิบโมงแล้วเรอะนี่ ป๊ะ เร็วจริงแฮะ เปล่า ไม่ใช่ตื่นสายหรอก มันเรื่องเยอะ แล้วจะเล่าให้ฟัง หา ไอ้สิทธิ์เรอะ ทำไมนะขับรถชนคน? ฮ้า ตายไหมวะ เออ เออ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้พบกันที่โรงพยาบาลนะโว้ย”

ไวฑูรย์วางหูโทรศัพท์ดังโครม ท่าทางอันอ่อนกะปลกกะเปลี้ยนั้นหายไปเกือบหมด ก้าวพรวดๆ ไปยังประตูห้องโดยเร็ว พอผ่านโต๊ะเสมียนสาวก็หันมาบอกเสียงลั่น

“ถ้าหัวหน้ากองเรียกผมก็ช่วยบอกด้วยนะครับว่า ผมป่วยหนักจับไข้หัวโกร๋นเกลี้ยงหมดทั้งหัวเลย”

เสมียนสาวหัวเราะคิก ไวฑูรย์ลงบันไดตึกด้วยอาการถลาตรงมาที่เฟียตเล็กเก่าๆ ของเขา ควบปุเลงออกไปทันที

 

นายตำรวจหนุ่มเจ้าของร่างสูงสง่าคมสันผู้นั้นเดินเอามือไพล่หลังกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องปฐมพยาบาล ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆ ก็หันมาโดยเร็ว พอเห็นชัดว่าเป็นใคร สีหน้าขรึมขมวดนั้นก็ค่อยคลายออก เดินเข้ามาหาทันที ไวฑูรย์เช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วถามอย่างร้อนรน

“ไอ้สิทธิ์เป็นไงวะ”

“ไม่เป็นไร ฟกช้ำดำเขียวหัวแตกนิดหน่อย แต่เจ้าคนถูกชนนั่นซีแย่”

“สาหัสเรอะ”

“ยิ่งกว่าซะอีก ข้าว่า มันจะเป็นบ้าเอาเลยทีเดียวว่ะ”

“ฮ้า!”

“เออ ตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว พูดจาป้ำเป๋อเลอะเทอะเหมือนกลัวอะไรสุดขีดยังงั้นแหละ หมอก็ยังสงสัยเลยว่า แค่ถูกรถชนไม่น่าจะกลัวมากมายถึงยังงั้น”

“คนถูกชนเป็นใครวะ”

“ตำรวจท้องที่บอกว่าเป็นตีนแมวชั้นเซียน ชื่อเจ้าช่วง เคยขับเคี่ยวกับตำรวจมานักต่อนักแล้ว ไอ้สิทธิ์มันบอกว่ามันขับรถมาดีๆ แล้วไงไม่รู้ เจ้าคนนี้โผล่พรวดออกมาตัดหน้ารถกะทันหัน มันเบรกเสียจนรถเสียหลักเข้าชนต้นก้ามปูข้างทาง เคราะห์ดีที่ไม่บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่”

“ไอ้นั่นมันเป็นบ้าอยู่ก่อนแล้วมั้ง”

“ทีแรกข้าก็ว่ายังงั้นแหละ แต่ตำรวจท้องที่เขาว่าไม่ใช่ ก่อนถูกรถชนไม่กี่วัน เขายังพบมันดีๆ อยู่เลย”

“นี่เจ้าสิทธิ์ทำแผลอยู่เรอะ”

“อือ เอ็งมานั่งก่อนซีไม่สบายไปหรือวะ หน้าตาโหลเหลพิกล”

สองสหายทุรดตัวลงนั่งบนม้ายาวหน้าห้องปฐมพยาบาล วันนั้นผู้คนที่รอทำแผลน้อยกว่าปกติ ทั้งสองจึงคุยกันได้ตามสบายโดยไม่ต้องห่วงว่าเสียงจะรบกวนใคร

ไวฑูรย์จุดบุหรี่สูบแล้วนิ่งพ่นควันเฉยอย่างครุ่นคิด ทัดเทพเห็นท่าทางเพื่อนผิดสังเกตก็ถามขึ้นอีก

“ไม่สบายไปหรือวะ”

ไวฑูรย์ถอนใจยาว “ไอ้เทพ ถ้าข้าจะเล่าอะไรให้ฟังสักอย่าง เอ็งอย่าหาว่าข้าบ้านะเว้ย”

ทัดเทพมองหน้าเพื่อนเกลออย่างพินิจพิจารณา  แล้วหัวเราะออกมาค่อยๆ

“วันนี้เป็นวันอะไรวะ เจอแต่คนใกล้บ้าทั้งนั้น ไอ้สิทธิ์ทำท่าจะเป็นจะตายเอา เจ้าช่วงเป็นบ้าไปจริงๆ นี่เอ็งก็เอากะเขาด้วยอีกคน ข้าฟังมากๆ ก็คงเป็นบ้าเสียเองแหละวะ เอา มีอะไรก็ว่าไปซี เอ็งไม่เล่าแล้วข้าจะตรัสรู้ทราบได้ยังไงว่าเอ็งบ้าหรือไม่บ้า”

ไวฑูรย์อัดควันบุหรี่ลึกแล้วนิ่งเฉยไปอีก ครั้นแล้วเหมือนตัดสินใจเด็ดขาด เขาลงมือเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นให้เพื่อนเกลอฟังอย่างละเอียด

ตลอดเวลา ทัดเทพนิ่งฟังเงียบกริบไม่ปริปาก หากแต่ดวงตาและสีหน้าเท่านั้นที่ฉายแววประหลาดใจฉงนฉงาย ไม่เชื่อถือ และสงสัยเคล้าระคนกัน ครั้นไวฑูรย์เล่าจบลงเขาก็นิ่งอึ้งไปนาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำลึก

“แปลกมาก…แปลกเหลือเกินว่ะ ฑูรย์ แปลกประหลาดจนข้างงไปหมด เอ็งว่าไอ้ตัวประหลาดที่เข้าไปเล่นงานเอ็งนั่นเป็นกึ่งคนกึ่งค้างคาวหรือวะ”

“ฮื่อ มนุษย์ค้างคาวจริงๆ ข้าเห็นถนัดชัดเจนในระยะห่างกันแค่สามเมตรเท่านั้น มีปีกแผ่ออกไปกว้างและดูเหมือนมันจะบินได้อย่างค้างคาวอีกด้วย ที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่ามันโกรธเคืองอะไรข้า เข้ามาถึงได้ก็ทั้งฉีกทั้งกัดเลย”

“แล้วเอ็งไม่ยอมแจ้งความ?”

ไวฑูรย์ส่ายหน้าอย่างหนักแน่น

“ไม่แจ้งแน่ เดี๋ยวตำรวจเขาจะหาว่าข้าบ้า แค่ชาวบ้านแตกตื่นมาถามว่ายิงปืนทำไม และเสียงอะไรดังสนั่นในบ้าน ข้ายังต้องหาทางโกหกพกลมซะแทบแย่”

“ชาวบ้านแถวบ้านเอ็งจะมีซักกี่คนวะ ข้าเห็นเปลี่ยวจะตาย ซอยนั้นน่ะ”

“ก็ไม่รู้ละ พอรุ่งเช้าก็แห่กันมาเต็มบ้านเลยเชียว”

ร.ต.ท.ทัดเทพเอามือลูบคางนั่งคิดอย่างอัดอั้นตันใจอยู่นาน ไวฑูรย์อดรนทนไม่ได้ก็เอ่ยถามขึ้น

“เอ็งคิดยังไงวะเรื่องนี้”

“อืม” ร้อยตำรวจโทหนุ่มครางอยู่ในลำคอ

“ข้าว่ามันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่านิยายเรื่องผีดิบดูดเลือดอีกว่ะ ฑูรย์ เพราะเจ้าช่วง ไอ้ตีนแมวที่ถูกไอ้สิทธิ์ขับรถชนน่ะมันพร่ำเพ้อรำพันถึงเรื่องแบบนี้เหมือนกัน มันพูดถึงมนุษย์ค้างคาวอย่างเดียวกับที่เอ็งเล่านี่แหละ แล้วก็ยังพูดถึงเรื่องผีสางอะไรต่อมิอะไรให้เปรอะไปหมด ข้าว่ามันจะยังไงอยู่นะเรื่องนี้”

“จริงหรือวะ” ไวฑูรย์ชะโงกเข้ามาถามเสียงหลง สีหน้าบอกแววตื่นเต้นประหลาดใจสุดขีด

“เจ้าช่วงมันบอกด้วยหรือเปล่าว่า เห็นมนุษย์ผีห่านั่นที่ไหน”

“ไม่รู้เหมือนกัน ถามอะไรมันก็พูดไม่รู้เรื่องเลย อ้อ นั่นหมู่หนิดพามันออกมาแล้ว เอ็งอยากรู้พยายามถามันดูก็ได้”

 



Don`t copy text!