
อมฤตาลัย ตอนที่ 17
โดย : จินตวีร์ วิวัธน์
อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้
อลิศราเหลียวมองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นๆ ความกว้างขวางโอ่อ่าส่อคุณค่าราคาแพงที่เห็นอยู่ ทำให้หญิงสาวนึกแหยงในใจ ดวงตาของเทวรูปแต่ละองค์ที่สอดมาสบดูเยือกเย็นและแฝงเลศนัยลึกลับ…ม่านปักด้วยมือผืนใหญ่มุมห้องไหวน้อยๆ เหมือนมีใครแอบอยู่เบื้องหลัง…อลิศรารู้สึกหนาวเยือกไปในใจ ขณะที่ความเชื่อมั่นตนเองเริ่มคลอนคลายลง
“หง่าว!”
เสียงดังก้องขึ้นทางเบื้องหลัง นางแบบสาวสะดุ้งสุดตัว เหลียวขวับไปทันที แล้วก็ต้องยืนอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อ ดวงตาเหลือกลานเบิกจ้องมองสิ่งที่ปรากฏขึ้นด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ
เสือ เสือดำตัวใหญ่ยืนแอบอยู่ข้างเก้าอี้ประดับมุกตัวมหึมามุมห้อง สีของมันกลมกลืนกันกับเก้าอี้ตัวนั้นจนหล่อนไม่ทันสังเกตเห็นความแตกต่างตั้งแต่แรก ดวงตาสีเหลืองจัดจ้าเบิกโตจ้องมองหล่อนอย่างประสงค์ร้าย ปากแสยะอ้ากว้างเห็นลิ้นแดงแจ๋ และเขี้ยวยาวขาววับดูตัดกันกับขนอันดำสนิทนั้นจนน่าขนลุก อลิศราอยากจะร้องออกมาให้ก้องโลกแต่เท่าที่ทำได้ก็คือริมฝีปากทั้งคู่เผยอขึ้นลงโดยไม่มีเสียงใดลอดออกมาแม้แต่คำเดียว
เสือดำปลอดตัวนั้นจ้องมองหล่อนเขม็งอย่างไม่ลดละ หนวดยาวของมันกระดิกไปมา พร้อมกับหูที่ลู่ไปข้างหลัง และปากแสยะขู่คำรามเบาๆ แต่กระหึ่มอยู่ในลำคอ อลิศราผงะไปเบื้องหลังอย่างแรง ปะทะกับเสากลางห้อง หล่อนชะงักทันทีโดยอัตโนมัติ หันขวับไปดู และ…ทันใดก็ต้องกรีดร้องออกมาสุดเสียงสัญชาตญาณผลักหล่อนให้ผวาไปที่ประตูห้องซึ่งยังปิดสนิทอยู่ แต่หมดเรี่ยวแรงพอที่จะทำอะไรต่อไปได้แต่ยกมือปิดหน้าตัวสั่นเทาอยู่ตรงนั้นด้วยความสยองกลัวสุดขีด
ข้างเสาที่หล่อนเซไปปะทะนั้น มีศิลาสลักรูปนาค ๗ เศียรตั้งอยู่ขนาดสูงไม่เกิน ๔ ฟุต ทว่าในขณะที่อลิศราหันไปมองนั้น ศีรษะของพญานาคทั้งเจ็ดพองโตขึ้นจนใหญ่เท่าบาตรพระ ดวงตาอันเคยเป็นเบ้าหินว่างเปล่าดูเหมือนจะมีแสงแวบออกมา…แต่ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นและทำให้อลิศรามืออ่อนทำอะไรไม่ถูกก็คือ ลำคออันยืดยาวของรูปสลักนั้น…คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถิด…หญิงสาวภาวนาอยู่ในใจอันเต้นสะท้านปานจะระเบิดออกมานอกอก…ลำคอทั้ง ๗ นั้นยืดออกได้ และมันกำลังเอี้ยวมาดูหล่อน พร้อมด้วยปากแบะหนาแสยะออกจากกัน หล่อนเห็นมันขยับกว้างออกทีละน้อย…ทีละน้อย เขี้ยวยาวขาววับและศีรษะทั้ง ๗ ค่อยๆ ส่ายไปมาอย่างแช่มช้า ทว่าเอาเป็นเอาตายด้วยอาการของงูพิษอย่างแท้จริง!
เสียงหวีดร้องของนางแบบสาวก้องไปทั่วในความเงียบสงัดของห้อง เนื้อตัวหล่อนสั่นเทาเหมือนเจ้าเข้า หญิงสาวพยายามที่จะวิ่งหนีไปให้พ้นจากภาพอันทรมานใจอย่างสุดแสนเหล่านั้น แต่ขามันไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวราวกับเกิดรากงอกฝังอยู่กับพื้นห้องฉะนั้น
“อะไรกัน คุณอลิศรา”
เสียงเรียบทว่ากังวานทรงอำนาจดังขึ้นใกล้ตัว หญิงสาวผู้อกสั่นขวัญแขวนเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามืออย่างตกใจ กลัวเหลือเกินที่จะได้เห็นภาพร้ายกาจปรากฏต่อหน้า หากผู้ที่ยืนยิ้มเย็นอยู่ริมประตูห้องนั้นตรงข้ามกับความน่ากลัวใดๆ อย่างสิ้นเชิง
สูงระหง อ้อนแอ้น แต่สง่าทรงอำนาจด้วยราศีอันผิดธรรมดาภายในชุดกระโปรงแม็กซี่อยู่กับบ้านสีเขียวมรกตลายม่วงนั้น คือ เจ้าของบ้านสาวผู้ที่อลิศราหมายมั่นปั้นมือจะมาพบเพื่อ ‘ตีให้แตก’ ให้จงได้ แต่บัดนี้ในยามที่สติกำลังเพริดออกจากตัวด้วยความตกใจถึงขนาด การได้พบมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเช่นหล่อนในยามที่แวดล้อมด้วยสิ่งน่าสะพรึงกลัวรอบด้านเช่นนี้ ทำให้อลิศราลืมความตั้งใจเดิมเสียสิ้นเชิง หล่อนผวาเข้าไปหาร่างนั้น เกาะแขนอันกลมกลึงขาวผ่องดุจงาช้างไว้แน่นด้วยอาการดีใจจนเนื้อเต้น พร่ำรำพันละล่ำละลักด้วยเสียงสั่นเครือแตกพร่าจนฟังไม่ได้ศัพท์
“ชะ ช่วยด้วย…ช่วยฉันด้วย เสือ…เสือดำใหญ่ โอ๊ย! มันจะกัดฉัน ช่วยด้วย รูปนาคนั่นอีก มัน…มันเคลื่อนได้…โอ๊ย!”
นางแบบผวาร้องออกมาสุดเสียงอีกครั้ง เนื้อตัวอ่อนเปียกจนแทบทรุดลงกองกับพื้น หากแขนเรียวงามกลมกลึงข้างที่เป็นอิสระจากการเกาะกุมยื่นออกมาฉุดไว้…น่าประหลาดมหัศจรรย์นัก! แขนนั้นก็เรียวงามอย่างอิสตรีธรรมดาทั่วไป แต่ทำไมจึงมีพละกำลังมหาศาลเหลือเกิน ด้วยแขนข้างเดียวนั้นฉุดนางแบบสาวผู้เกือบจะรูดลงไปกองอยู่บนพื้นให้ยืนตรงขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เหมือนหยิบกระดาษแผ่นเดียว…
“อะไรกัน คุณอลิศรา ระงับอกระงับใจหน่อยซี เสือสางอะไรจะมาอยู่ในบ้านคน”
เสียงกระซิบนั้นค่อนข้างดุ ฟังดูเหมือนเสียงขู่ฟ่อของงูพิษ อลิศราค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตาที่จ้องมองมาเขม็งอย่างจังก็สะดุ้งสุดตัวเหมือนถูกไฟดูด…ดวงตาทั้งคู่นั้นทั้งกว้างทั้งใหญ่ทั้งเรียวยาวอย่างประหลาด อายไลเนอร์สีดำสนิทเขียนเสริมขอบตาให้ดูเรียวยาวยิ่งขึ้น และอายแชโดว์สีเขียวที่ระบายทั่วเปลือกตาก็ยิ่งทำให้ดวงตาทั้งคู่ดูลึกลับและลึกลับมากขึ้นในขณะนี้ มันเบิกโตกว่าเดิม เพ่งจ้องมองดวงตาของหล่อนอย่างสะกดจิต
“ระงับใจ แล้วฟังนี่” เสียงขู่ฟ่อดังต่อไปอีก แผ่วเบาและลากยาวน่าสยองนัก
“คุณเห็นอะไร บอกซิ อลิศรา เห็นอะไรในห้องนี้”
น่าประหลาดที่จิตใจฟุ้งซ่านของหญิงสาวคลายความหวั่นไหวลง…อลิศราทรงตัวแข็งขืนขึ้นจากอาการเอนพิงแขนขาวงามที่รับน้ำหนักหล่อนเต็มที่ด้วยพลังอันน่าประหลาดนั้น แล้วมองไปรอบกายอย่างหวาดๆ
ห้องนั้นไม่มีอะไรผิดปกติเลย เสือดำใหญ่ที่ยืนแสยะอวดเขี้ยวขาววับอยู่มุมห้องอันตรธานไปเสียแล้วส่วนนาคราชเจ็ดเศียรข้างเสากลางห้องก็แข็งทื่อในสภาพหินทั้งแท่ง…ไม่มีเค้าเลยว่าเมื่อชั่วครู่มานี้เองมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ และเอี้ยวคออันยาวเหยียดออกอย่างน่าอัศจรรย์นั้นส่ายเข้ามาฉกกัดหล่อน
นางแบบยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างงงงัน มองกวาดไปทั่วห้องอีกครั้งแล้วจึงหันกลับมายังผู้ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า สีหน้าของหล่อนบรรยายได้ยากเย็นจนดวงตาที่มองอย่างทรงอำนาจทั้งคู่เริ่มพราวระยับ ด้วยแววขบขันและริมฝีปากที่แย้มอย่างเหี้ยมเกรียมก็ค่อยคลี่คลายเป็นยิ้มเยาะอย่างเปิดเผย
“คุณเห็นอะไรคะ คุณอลิศรา”
นางแบบสาวถอนใจยาว ดวงหน้าอันซีดเผือดและดวงตาที่ยังไม่คลายจากแววหวาดหวั่น กับเนื้อตัวยังสั่นน้อยๆ เรียกยิ้มอย่างสมเพชและสะใจให้เพิ่มมากขึ้นบนริมฝีปากอันงามดุจกลีบกุหลาบทั้งคู่ของพินทุวดี
“ดิฉันเห็น เห็นจริงๆ ค่ะ เห็นเสือดำตัวโตยืนแยกเขี้ยวอยู่ที่มุมเก้าอี้ดำตัวนั้น ดิฉันตกใจเลยถอยมาปะทะเสากลางห้อง รูปหัวนาคข้างเสาก็ทำท่าเคลื่อนไหวจะเข้ามากัด ดิฉันก็เลย…เลยร้องออกมา”
“เดี๋ยวนี้ล่ะคะ คุณยังเห็นอยู่อีกหรือเปล่า”
เสียงเย็นเยือกถามมาเนิบๆ อลิศราส่ายหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ
“ไม่ค่ะ ไม่เห็น แต่สาบานได้จริงๆ ดิฉันเห็นมันกับตา เสือดำแน่ๆ เชียวยืนตรงนั้น แล้วก็พญานาคนี่อีก”
“อ๋อ คงเป็นกุเลนน่ะค่ะ”
เจ้าของบ้านสาวอุทานอย่างเข้าใจ และด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยประหลาดบนใบหน้า หญิงสาวเดินกรายไปมุมห้อง ก้มลงมองหลังเก้าอี้ตัวใหญ่นั้นแล้วร้องเรียกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงบอกความรักใคร่เอ็นดู
“กุเลน ออกมานี่ซิ ชอบเล่นตลกอีกแล้ว อย่าดื้อนะ ออกมานี้กุเลน”
ร่างดำๆ ที่วิ่งออกมาจากเบื้องหลังเก้าอี้พนักสูงใหญ่ตัวนั้น ทำให้อลิศราสะดุ้งเฮือก แต่แล้วก็สงบลงได้เมื่อมองเห็นถนัดตา
“เห็นไหมคะ กุเลนเองน่ะแหละ มันน่ารักออกจะตาย”
นางแบบสาวมองดูร่างงามสง่าซึ่งโน้มลงคว้าเจ้าแมวดำปลอดตัวใหญ่ถนัดใจขึ้นอุ้มไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ และแนบหน้าอันผุดผ่องลงกับหัวกลมใหญ่ของมัน…เสียงที่เอ่ยบอกจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
“แต่ตะกี้…ตะกี้ มันโตกว่านี้นี่คะ มันเป็นเสือดำจริงๆ ไม่ใช่แมว”
“คุณตาฝาดไปน่ะค่ะ คุณอลิศรา”
เจ้าของบ้านสาวว่าพลางก้าวไปทรุดนั่งเอนอิงอยู่ที่เก้าอี้ไม้ดำฝังมุกตัวใหญ่อย่างวางสง่า ลักษณะของเก้าอี้และท่าทางผู้ที่นั่งพิงพนักนั้นมองดูเหมือนนางพญาประทับบนบัลลังก์ไม่มีผิด อลิศรามองดูแล้วก็สะท้านใจด้วยความรู้สึกหวั่นเกรงอย่างประหลาด
“นั่งซิคะ แล้วเริ่มธุระของคุณได้”
เสียงเฉียบขาดดังมาอีก มือเรียวงามขาวผ่องลูบไล้หัวแมวตัวใหญ่ที่หมอบสบายอยู่บนตัก ขนดำมันขลับของมันดูเป็นมันเลื่อมยิ่งขึ้นเมื่ออยู่บนตักอันคลุมด้วยแพรสีเขียวแกมม่วงนั้น ปลอกคอประดับอัญมณีทอแสงแวววาวเหมือนเพชรออกมาจากรอบคอของมัน
อลิศราทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวเตี้ยที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดด้วยท่าทางเหมือนจับไข้ หล่อนยังคงส่ายหน้าไปมาด้วยอาการของคนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่นั่นเอง
“ไม่มี ไม่มีธุระอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่…ดิฉันเห็นคุณมากับทัดเทพก็เลยตามมา เพื่อที่จะ…”
หญิงสาวหยุดชะงัก สีหน้าอันเผือดซีดจัดนั้นแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย หลบตาลงมองมือของตนเองที่ขยับบีบกันเองอยู่บนตักอย่างประหม่าเก้อเขิน…รอยยิ้มเยาะอย่างเปิดเผยจึงผุดพร่างขึ้นบนริมฝีปากของพินทุวดี
“เพื่อที่จะทำไมคะ”
“เอ้อ ไม่มีอะไร เพียงแต่ ง่า…ดิฉันอยากบอกคุณว่าดิฉันกับทัดเทพรักกัน และ เอ้อ…คิดจะแต่งงานกันเท่านั้นค่ะ”
คำบอกเล่าอันตะกุกตะกัก แสดงว่าเจ้าตัวไม่แน่ใจและไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเดิมเสียแล้ว พินทุวดีเลิกคิ้วขึ้นข้างเดียวอย่างฉงน
“งั้นหรือ ต้องการให้แสดงความยินดีกับคุณหรือคะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เอ้อ…” นางแบบสาวมีท่าทางอึกอักมากขึ้น มือที่กำกันแน่นบีบแล้วก็คลายออกจากกันอย่างว้าวุ่นใจ
“ฉันไม่ค่อยมีเวลามากนักหรอก คุณอลิศรา ถ้าคุณต้องการตามห้ามไม่ให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับคุณทัดเทพละก็ คุณคิดผิดถนัด ฉันขอบอกให้แจ่มแจ้งวันนี้เลยว่า คนอย่างฉันไม่มีวันเป็นคู่แข่งใคร ฉันอยากได้อะไรก็ต้องได้ อย่าว่าแต่คนอย่างคุณจะขัดขวาง พระราชาผู้ยิ่งด้วยอำนาจราชศักดิ์ก็ยังห้ามฉันไม่ได้ แล้วประสาอะไรกับคนอย่างคุณจะมาห้าม คนอย่างทัดเทพไม่คู่ควรกับผู้หญิงอย่างคุณหรอกอลิศรา เขามีอดีตที่รุ่งโรจน์เรืองรองยิ่งกว่านี้นัก…เป็นถึงขุนพลแก้วของแผ่นดิน เจ้าหญิงใหญ่น้อยพากันลุ่มหลงพะวงรักเขา และก็มีอิสตรีเลิศศักดิ์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชนะใจเขาได้ ไม่ใช่คนอย่างคุณแน่ อลิศรา!”
น้ำเสียงกังวานทรงอำนาจแจ่มชัด เน้นทุกคำอย่างจงใจเสียดแทง เยาะหยัน และปรามาสนั้นสุดที่อลิศราจะฟังต่อไปได้ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจในความหมายนัก แต่น้ำเสียงและคำพูดประโยคสุดท้ายก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความอดทนของนางแบบสาวสิ้นสุดลง ความเจ็บแสบแค้นใจ และอัปยศอดสูแล่นทับทวีเข้ามาจนแน่นหน้าอก อลิศราผุดทะลึ่งขึ้นทันที หันหลังออกวิ่งไปโดยเร็ว กระแทกบานประตูให้เปิดออก แล้วซอยเท้าถี่ลงบันไดไปยังรถของหล่อนเกือบจะชนกับสตรีสาวโฉมงามอีกคนหนึ่งที่ประคองถาดเครื่องดื่มสวนขึ้นมา ฝ่ายหลังอุทานเบาๆ พร้อมกับขยับหลบอย่างว่องไว แต่อลิศรา
ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หล่อนวิ่งซอยเท้าไปยังรถ เปิดประตูแล้วสตาร์ตเต็มแรงพารถกระตุกพรืดออกไปจากที่นั่น
สโรชินีหันไปมองจนลับตาด้วยความแปลกใจ แล้วจึงประคองถาดเดินไปยังห้องรับแขก ที่ประตูอันเปิดอ้านั้น พินทุวดียืนอยู่อย่างสงบ ดวงตาที่ทอดจับตามทิศทางที่รถคันเล็กของนางแบบสาวแล่นไปมีแววเยาะแกมสมเพชแฝงอยู่เต็มเปี่ยม
“นั่นเค้าเป็นอะไรไปคะ คุณ” สโรชินีถามค่อยๆ ด้วยความแปลกใจอย่างแท้จริง
เสียงหัวเราะแผ่วต่ำฟังดูเหมือนคำรามดังมาจากลำคอระหงนั้น
“เขาเป็นโรคหึง เข้าใจไหม”
“หึงใครคะ บัวทายว่าคงเป็นคุณศุภสิทธิ์”
รอยยิ้มเยาะบนริมฝีปากของพินทุวดีเพิ่มมากขึ้นจนดูเป็นแสยะ
“ผิดถนัดเลยจ้ะ เขามาบอกว่าเขาเป็นแฟนคุณทัดเทพ ตะกี้นี้ คุณทัดเทพมาส่งฉัน เขาเห็นเข้าเลยตามมาหึง”
สีหน้าอ่อนละมุนของหญิงสาวเผือดลงทันที มือที่ถือถาดเงินใบเล็กสั่นเล็กน้อยจนต้องเกร็งจับขอบถาดไว้มั่น
“เขาเป็นคนรักของคุณทัดเทพหรือคะ” เสียงที่ถามแผ่วเบา ซึ่งเจ้าตัวพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้สั่นผิดปกติ
“ก็เขาว่ายังงั้นนี่”
“แล้ว แล้วนี่เขาเป็นอะไรไปคะ ถึงได้รีบร้อนออกไปยังงั้น”
พินทุวดีแหงนหน้าขึ้นหัวเราะเต็มเสียง
“ฉันก้อเล่นกลให้ดูนิดหน่อยน่ะซี รู้แล้วนี่ว่าจะมาร้ายก็เลยสะกดจิตให้มองเห็นอะไรแปลกๆ น่าขันไหม เขาเห็นกุเลนกลายเป็นเสือดำ และก็เห็นอนันตนาคราชส่ายหัวได้ ฉันเห็นสีหน้าเขาตอนนั้นขันแทบตาย”
เจ้าของบ้านสาวยังคงหัวเราะด้วยความขบขันต่อไปอีก แต่สีหน้าผู้รับฟังเรียบเฉย ซ่อนแววกังวลใจไว้ในส่วนลึก
“กิเลนน่ะ อย่าว่าแต่ผู้หญิงอย่างคุณอลิศราเลยค่ะ คุณไวฑูรย์เป็นผู้ชายแท้ๆ ยังตกใจกลัวเลย”
อาการหัวเราะอย่างขบขันของพินทุวดีชะงักไปทันที เมื่อนามนั้นหลุดออกจากปากของสาวน้อยตรงหน้า สโรชินีเองก็รู้สึกถึงความผิดปกตินั้นได้ สีหน้าหม่นจึงซีดเซียวลงอีกขณะที่ขยับตัวจะเดินออกไป แต่เสียงพึมพำต่ำลึกเหมือนคำรามอยู่ในคอของนายสาว ทำให้ชะงักเหลือบมองผู้ที่ยืนตรงหน้าอย่างขลาดๆ
“เจ้าฑูรย์ตัวดีนั่นอีกเหมือนกัน แส่รู้ดีนัก คอยดูเถอะ เจอเกียรติมุขเข้าแล้วจะรู้ฤทธิ์”
“คุณว่าอะไรคะ”
“ไอ้เจ้าไวฑูรย์ของเราน่ะซี ฉันเจ็บใจนัก มันมีของดีอยู่ในตัวพอแรงทีเดียว”
“ทำไมคุณทราบคะ หรือ หรือว่า…”
สีหน้าของสโรชินีซีดลงไปอีก ดวงตาเบิกกว้างมีแววตระหนก พินทุวดีมองอย่างสงสัยระคนหวาดระแวง
“อะไร เรานึกว่าฉันทำอะไรเจ้าไวฑูรย์หรือ”
“ปละ เปล่าค่ะ บัวเพียงแต่นึกว่า เอ้อ คุณจะล้อเขาเล่นอย่างเดียวกับที่ล้อคุณอลิศรา”
สตรีสาวผู้ลึกลับขบฟันแน่น เสียงที่พูดลอดออกมาตามไรฟันฟังดูราวเสียงขู่ของนางงูเห่า
“ล้อมันเล่นง่ายๆ ไม่ได้หรอกเจ้าคนนี้ ต้องเอาถึงตายนั่นแหละ…ไม่มีอะไรหรอก บัวอย่าคิดนอกลู่นอกทางไปหน่อยเลย เกลียดขี้หน้าที่มันชอบมายุ่งกับของของฉันเท่านั้น…เคยลองสะกดจิตดูเหมือนกันแหละแต่ไม่สำเร็จ จิตใจเขาแข็งมากยังกะมีอะไรคุ้มกันอยู่งั้นแหละ…ไปได้แล้วละบัว น้ำส้มคั้นนั่นก็เอาไปกินเสียเถอะ แล้วช่วยขัดเครื่องเพชรให้ด้วย ฉันจะแต่งไปงานแฟนซีลีลาศ รู้แล้วใช่ไหมว่าชุดไหน เราก็เตรียมเครื่องแต่งตัวไว้ด้วยนะบัว ฉันจะเอาเราออกงานด้วย เป็นคนแบกกลดให้ฉัน”
สโรชินีรับคำเบาๆ หมุนตัวออกจากที่นั่น ดวงหน้าของหล่อนหม่นหมองและใจคอหดหู่อย่างประหลาด เมื่อเสียงของพินทุวดีดังย้ำกระหน่ำอยู่ในใจเหมือนตีซ้ำบาดแผลฉกรรจ์…คนรักของทัดเทพ พิษณุเศรณี ตามมาหึงถึงบ้าน ช่างน่าอับอายอดสูอะไรอย่างนั้น นายตำรวจหนุ่มท่าทางน่านับถือของหล่อน ในที่สุดก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่จะต้องมีผู้หญิงแอบซ่อนไว้สับหลีกไม่น้อยกว่า ๒-๓ คนเสมอ แล้วตัวของหล่อนเองเล่า…การที่เขามีท่าทางเอื้ออารีอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนจริงใจยิ่งนัก มิหนำซ้ำยังขันอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจที่จะรักษาโรคให้ด้วยนั้น เป็นแต่เพียงชั้นเชิงชายเจ้าชู้ที่มุ่งหมายจะเข้าใกล้ชิดติดพันหรือว่ามีความปรารถนาดีจริงจังสักเพียงใดกัน สโรชินีถามตัวเองวุ่นวายด้วยความระแวงสงสัย
ด้วยความคิดว้าวุ่นเช่นนั้นในสมอง สโรชินีเดินใจลอยไปหลังบ้านทรุดตัวลงนั่งใต้ซุ้มการเวกอันส่งกลิ่นตลบด้วยอาการครุ่นคิดเหม่อลอย และในที่สุดความคลางแคลงไม่แน่ใจก็ชนะ หญิงสาวสะบัดหน้าเหมือนขับไล่ความคิดทั้งปวง ฉวยถาดลุกขึ้นยืนอย่างขมีขมัน บอกตัวเองว่า หล่อนเลิกล้มความคิดที่จะปรึกษาแม่เรื่องการไปรักษาตัวตามคำแนะนำของทัดเทพอย่างสิ้นเชิงแล้ว
‘เขาหลอกเรา ฮึ เขาจะมาหวังดีอะไรกับคนอย่างเรานักหนา คนรักของเขาเก๋ไก๋ทันสมัยออกอย่างนั้น เขาจะสนใจอะไรจริงกับเด็กกะโปโลอย่างเรา!’
และด้วยความคิดอย่างนี้ในใจ ครั้นเมื่อนางปทุมถามลูกสาวในคืนนั้นขณะนั่งอยู่เคียงกันว่า
“บัวบอกว่ามีอะไรจะปรึกษาแม่หรือจ๊ะ”
สโรชินีจึงตอบอย่างหนักแน่นว่า “เปล่าจ้ะแม่ ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 36
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 35
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 34
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 33
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 32
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 31
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 30
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 29
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 28
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 27
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 26
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 25
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 24
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 23
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 22
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 21
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 20
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 19
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 18
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 17
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 16
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 15
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 14
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 13
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 12
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 11
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 10
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 9
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 8
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 7
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 6
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 5
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 4
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 3
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 2
- READ อมฤตาลัย ตอนที่ 1