กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (2)
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
โครม! เสียงบางอย่างกระแทกประตูหอนอนรับรองด้านข้างดังลั่นเรือน คุณพริ้มเบิกตากว้างมองดูร่างของขวัญทาสสาวคนสนิทที่ตนเลี้ยงดูอบรมมาตั้งแต่เยาว์วัยกลิ้งกระเด็นออกมา พร้อมกับร่างของผกากรองที่ก้าวตามออกมา กระชากผมที่ท้ายทอยของขวัญแล้วฟาดฝ่ามือลงที่แก้มเนียนถึงสามหน
“หยุดนะแม่ผกากรอง!”
ผกากรองได้ยินเสียงที่ร้อนรนของคุณหญิงก็ยกมุมปากเย้ยหยัน ฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของทาสสาวตรงหน้าอีกครั้งอย่างจงใจยั่วยุอารมณ์อีกฝ่าย
“แม่ผกากรอง! ข้าบอกให้หยุด”
ผกากรองตวัดสายตามองทาสสาวตรงหน้าแล้วยกยิ้มอย่างดูแคลน ก่อนจะยอมปล่อยมือแล้วเหยียดตัวตรง พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือราวกับการสัมผัสใบหน้าของขวัญเมื่อครู่เป็นเรื่องสกปรกยิ่ง
“หยุด…ก็ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้รับอิสระขวัญก็เร่งคลานเข่ามาหานายเก่า ผกากรองจ้องตาเขม็งใช้พัดจีบในมือชี้ไปที่อีกฝ่ายแล้วตวาดก้อง
“อีขวัญ มึงกลับมาประเดี๋ยวนี้”
“กูไม่กลับ อีคางคกขึ้นวอ มึงก็เป็นทาสเยี่ยงกู มีสิทธิ์อันใดมาให้กูรับใช้ อีขี้ครอก”
ผกากรองมองทาสสาวที่คลานเข้าไปกอดขานายเก่าแล้วขบกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าเงยหน้าขึ้นสบตาคุณพริ้ม
“คุณหลวงยกมันให้บ่าวแล้ว คุณพริ้มทำเช่นนี้เท่ากับมิเชื่อฟังคุณหลวงนะเจ้าคะ”
“ที่อีขวัญพูดมันก็ถูก จะว่าไปเอ็งเป็นทาสได้มาอยู่บนเรือนใหญ่ก็นับว่าเป็นบุญหัวแล้ว หากยังมิเจียมตัวอย่าหาว่าข้าไม่เตือน อีเดือนพาอีขวัญมันไปทายา แล้วก็มิต้องให้ใครมารับใช้แม่ผกากรองอีก เป็นทาสแต่มิเจียมตัวประเดี๋ยวขี้กลากจะขึ้นหัวเอา”
“เจ้าค่ะ”
ผกากรองมองกลุ่มคนที่เดินจากไปแล้วกำมือขบกรามแน่น หากแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเมียกลางเมือง การปะทะซึ่งหน้าผลเสียย่อมตกที่ตนดังนั้นผกากรองจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนอดทน
อดทนรึ! เหตุใดกูต้องทน อีพริ้มวันหนึ่งกูจะเอาคืนให้หนัก
ดวงตาเรียวแข็งกระด้างมองไปที่กาน้ำชาร้อนแล้วหยิบยกขึ้นเทราดบนหลังมือตนเองเล็กน้อยพอให้เป็นรอยแดง ก่อนจะเอาผ้าขาวมาพันมือ เตรียมเล่นละครชุดใหญ่
แลเป็นไปตามที่ผกากรองคาดการณ์ ยามที่หลวงโยธาธิบาลกลับเรือนมายังมิทันยกน้ำขึ้นดื่มคุณพริ้มก็โวยวายเสียยกใหญ่เรื่องที่ผกากรองทำร้ายคน
“ให้คนไปตามแม่ผกากรองมา”
ริมฝีปากของคุณพริ้มยกขึ้นอย่างยินดี นางทาสชั้นต่ำมิเจียมตัวคิดจะผยองเทียบเคียงเธอยังต้องรอวาสนาอีกหลายชาตินัก
ผกากรองเดินก้มหน้ามานั่งลงที่พื้นข้างตั่งหลวงโยธาธิบาล จงใจยกมือที่พันผ้าเอาไว้กราบลงบนเท้าของอีกฝ่าย
“คุณหลวงกลับมาเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ ให้บ่าวลงไปยกของว่างแลน้ำฝนมาให้ดีหรือไม่”
ความใส่ใจนี้ของผกากรองทำให้หลวงโยธาธิบาลรู้สึกยินดียิ่ง ตวัดหางตาไปทางเมียเอกที่วันๆ มีแต่เรื่องริษยาผู้อื่นมิเคยใส่ใจตนเยี่ยงนี้ จนหลงลืมไปแล้วว่าตนเองเรียกหาผกากรองมาด้วยเหตุผลประการใด
“ขอบน้ำใจเอ็งนักผกากรอง แต่อีกประเดี๋ยวก็ได้เวลามื้อเย็นแล้วเอ็งมิต้องยุ่งยากดอก”
“เยี่ยงนั้นให้บ่าวไปเตรียมผ้าผลัดให้คุณหลวงดีหรือไม่เจ้าคะ อาบน้ำผลัดผ้าจะได้คลายเหนื่อยเจ้าค่ะ”
“อืม…ดีเหมือนกัน”
พริ้มเห็นนางทาสชั้นต่ำออดอ้อนเอาใจหลวงโยธาธิบาลโดยไม่ไว้หน้าตนเองที่เป็นเมียกลางเมือง ก็เกิดโทสะลุกขึ้นกระทืบเท้าพร้อมกับตวาดลั่นอย่างลืมตัว
“หยุดนะอีผกากรองมึงยังไปไหนมิได้! คุณหลวงลืมเรื่องเมื่อครู่ไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“เอาเถิดน่าคุณพริ้ม เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นจะใส่ใจไปไย อีขวัญก็มิได้เจ็บหนักกระไรมิใช่รึ”
ผกากรองยิ้มกว้างเอาใจหลวงโยธาธิบาล หากแต่ยามที่จะลุกขึ้นไปเตรียมผ้าผ่อนให้อีกฝ่ายกลับจงใจใช้มือที่พันเอาไว้ด้วยผ้าขาวเท้าลงบนพื้น
“โอ๊ย!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของผกากรองดึงความสนใจของคุณหลวง เมื่อสังเกตเห็นว่าที่มือเรียวมีผ้าพันเอาไว้คิ้วสีดอกเลาก็ขมวดมุ่น
“มือไปโดนกระไรมากันแม่ผกากรอง”
“เอ่อ…คือ”
“จะโดนกระไรได้ คงเป็นลูกไม้แสร้งสำออยว่าเจ็บมือละสิ มึงคิดว่าคุณหลวงจักโง่งมตามมิทันรึ”
“คุณพริ้ม!”
หลวงโยธาธิบาลตวาดดุภรรยาที่เอ่ยวาจากระแนะกระแหนคนอย่างไร้มารยาท คุณพริ้มพลันบันดาลโทสะเป็นทบทวีที่ถูกผัวดุต่อหน้าผู้อื่นจึงโวยวายเสียงลั่นอีกระลอก
“อิฉันมิเชื่อว่ามือมันจักเป็นแผลจริงๆ อีขี้ครอกแสร้งสำออย อีเดือนไปแกะผ้าบนมือมันออก”
ผกากรองแสร้งบีบน้ำตาเมื่อถูกบ่าวของคุณพริ้มร่วมกันจับตรึงแกะผ้าบนมือ หลวงโยธาธิบาลขบกรามแน่น ในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคือง ยิ่งยามที่เห็นว่าบนหลังมือของผกากรองมีรอยคล้ายถูกน้ำร้อนลวกโทสะในใจของเขาก็ทบทวีคูณตวัดสายตามองไปยังผู้เป็นภรรยาเอก
“คุณหลวงอย่าไปเชื่อมันนะเจ้าคะ มัน…”
“เมื่อเช้าบ่าวรู้สึกคอแห้งจึงขอให้แม่ขวัญรินชาร้อนให้ดื่ม แต่แม่ขวัญบอกว่า…”
ผกากรองแสร้งหยุดสะอื้นไห้ ก้มหน้าเม้มริมฝีปากเอาไว้ให้ชวนเวทนา หลวงโยธาธิบาลทรุดตัวลงจากตั่งจับไหล่เล็กเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
“มันว่ากระไรรึแม่ผกากรอง”
ผกากรองแสร้งช้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองคุณพริ้มแล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือคล้ายหวาดกลัว
“แม่ขวัญบอกว่า…บ่าวเป็นทาสมิมีสิทธิ์อันใดให้มันรับใช้ จึงเอาน้ำร้อนราดมือบ่าวแลหนีกลับไปหาคุณพริ้ม พอบ่าวไปตามกลับคุณพริ้มก็เห็นพ้องเช่นเดียวกับแม่ขวัญเจ้าค่ะ คุณหลวงเจ้าขาเป็นบ่าวผิดเองที่มิเจียมตัวจึงทำให้คุณพริ้มมิพอใจแลขัดคำสั่งคุณหลวงเช่นนี้”
พริ้มได้ยินคำพูดของผกากรองใบหน้าก็แดงก่ำด้วยความโกรธ ลุกขึ้นเดินเข้ามากระชากคนจากมือ หลวงโยธาธิบาล แล้วฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายจนผกากรองเซถลาล้มลงไปกองกับพื้น
“อีผกากรอง อีหญิงจัญไร! มึงคิดยั่วยุคุณหลวงให้ชังกูรึ”
หลวงโยธาธิบาลเบิกตากว้าง ก่อนหน้านี้ก็มิพอใจที่ภรรยามิเคารพตนอยู่แล้ว เพลานี้เห็นคนโปรดถูกทำร้ายในใจก็ยิ่งเดือดดาลตวาดลั่นเรือน
“คุณพริ้มหยุด!”
“อิฉันไม่หยุด วันนี้จักสั่งสอนอีขี้ครอกนี่ด้วยตนเอง”
เมื่อถูกเมียเอกขัดคำสั่งซึ่งหน้าความอดทนของหลวงโยธาธิบาลก็ขาดสะบั้น คุณพริ้มมิทันลงมือตบผกากรองเป็นครั้งที่สอง ต้นแขนก็ถูกกระชากใบหน้าถูกฝ่ามือของผัวฟาดลงจนล้มลงไปกองกับพื้น บ่าวไพร่ต่างรีบก้มหน้า ทำเป็นมิเห็นการกระทำที่หยามเกียรตินี้ของหลวงโยธาธิบาล
“คุณหลวง…ตบอิฉันหรือเจ้าคะ”
หยาดน้ำใสไหลลงอาบแก้มคุณพริ้ม เธอตบแต่งอยู่กินกับหลวงโยธาธิบาลมาร่วมสามสิบปี แม้อีกฝ่ายจะมีหญิงมาเคียงกายมิซ้ำหน้าแต่ก็ให้เกียรติและยกย่องเธอเสมอ จนกระทั่งหญิงอัปรีย์นางนี้ก้าวเข้าเรือนมา
“อีเดือนพานายมึงเข้าหอนอนไป แลทบทวนการกระทำของตนเองให้มาก”
หลวงโยธาธิบาลตวาดลั่น เดินเข้าไปประคองผกากรองลุกขึ้น ท่าทางห่วงใยของเขาทำให้ผกากรองกระหยิ่มยิ้มย่อง จงใจวางมือที่มีรอยลวกแดงก่ำให้เขาเห็น
“ไปลากตัวอีขวัญมาขึงขื่อโบยให้หลังแตก มันจะได้จดจำว่าการขัดคำสั่งกูเป็นเยี่ยงไร”
ความโปรดปรานของหลวงโยธาธิบาลที่มีต่อผกากรองเป็นที่เล่าลือไปทั้งเรือน บรรดาบ่าวไพร่ต่างตื่นตกใจแลหวาดหวั่นเมียทาสคนใหม่นี้กันถ้วนทั่ว ทุกวันขึ้นมาบนเรือนใหญ่จึงรับใช้ให้เกียรติมิต่างจากคุณพริ้ม เรื่องนี้ทำให้คุณพริ้มขุ่นเคืองเดือดดาลเป็นทบทวี ยามค่ำคืนได้ยินเสียงพลอดรักที่เร่าร้อนมาจากห้องข้างมิพอ ยามกลางวันยังต้องมาแสลงตามองหญิงชั้นต่ำวางท่าเหนือตนเช่นนี้
“สักวันกูจะกระชากหน้ากากของมันออกมาให้คุณหลวงท่านเห็น”
“คุณพริ้มอย่าไปยุ่งกับมันดีกว่าเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่ายามอยู่ที่เรือนเศรษฐีเพชร ใครที่มีเรื่องกับมันล้วนตกตายไปหมดสิ้นเจ้าค่ะ”
“กูหาใช่คนโง่เช่นคนเรือนเศรษฐีเพชร หญิงร่านสันดานต่ำเยี่ยงอีผกากรอง กูจะทำให้มันเผยธาตุแท้อันชั่วช้าของมันด้วยตัวมันเอง”
คุณพริ้มกำมือแน่นจนพัดจีบหักคามือ ทอดสายตาแค้นเคืองไปยังสตรีหน้าหนาที่เอนนั่งบนตั่งข้าง ห้อมล้อมไปด้วยบ่าวไพร่บีบนวดพัดวี
“คุณพริ้มเจ้าคะ มีแม่หญิงชื่อแก้วมาขอพบเจ้าค่ะ”
คิ้วเรียวของคุณพริ้มพลันขมวดมุ่น ทว่ายามที่จะบอกปัดไม่พบคน บ่าวข้างกายกลับกระซิบบอกสถานะของคนมา
น้องสาวแสนชังของผกากรองอย่างนั้นรึ
“บ่าวได้ยินคนที่เรือนท่านเศรษฐีเพชรเล่าว่าอีผกากรองมันให้ไอ้ก้อนผัวเก่าไปตามรังแกน้องสาวถึงกลางตลาด โชคดีที่หลวงอภัยวานิชท่านพาคนไปช่วยทันเจ้าค่ะ”
“สันดานชั่วรังแกได้แม้กระทั่งน้องสาวตนเอง ทว่าพี่น้องก็คงสันดานมิต่างกันนัก นี่คงหมายมาพึ่งบารมีอีพี่สาวอัปรีย์อยากเป็นเมียคุณหลวงของกูอีกคนกระมัง อีเรืองมึงไปพาคนขึ้นมา กูอยากดูน้ำหน้าอีผกากรองตอนที่น้องมันร้องขอเป็นเมียคุณหลวงอีกคน”
“เจ้าค่ะ”
ริมฝีปากของพริ้มยกยิ้มเย้ยหยันบ้วนน้ำหมากลงกระโถนแล้วซับปากที่แดงสดของตน ก่อนจะมองเห็นหญิงสาวใบหน้าอ่อนละมุนเดินคลานเข่าขึ้นมาบนเรือน ท่วงท่าอ่อนช้อยกิริยาอ่อนนุ่ม หากมิเคยเห็นธาตุแท้ของผกากรอง พริ้มก็คงหลงคิดว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นใสซื่ออ่อนโยนเยี่ยงใบหน้าของเธอ
“อิฉันชื่อแก้วเจ้าค่ะ เป็นน้องสาวของพี่ผกากรอง”
“มาหาพี่มึงรึ”
“มิใช่เจ้าค่ะ อิฉันมาขอพบคุณหลวง”
เมื่อได้ยินว่าคนตรงหน้ามาขอพบคนเป็นผัวพริ้มก็เดือดดาลกำมือแน่น เป็นหญิงหน้าหนา สันดานร่านเยี่ยงพี่ของมึงมิผิด พริ้มสูดลมหายใจเข้าสงบโทสะในใจของตนเอง แสดงเพียงท่าทางที่สงบนิ่งสูงส่ง เมื่อควบคุมโทสะได้แล้วก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
“หากมึงอยากมาเป็นเมียคุณหลวงท่านอีกคนก็ต้องไปขอพี่มึงเสียก่อน ดูสิว่าพี่มึงจะยอมหรือไม่”
แก้วขมวดคิ้วแน่น คิดเอ่ยปากจะปฏิเสธทว่ากลับช้ากว่าเสียงเล็กแหลมที่แผดออกมาจากหอข้าง
“อีแก้ว! มึงคิดจะแย่งผัวกูรึ!”
มิพูดพร่ำทำเพลงอันใด ผกากรองก็ตรงเข้ามากระชากผมของน้องสาวแล้วตบลงบนแก้มนวลจนแก้วล้มลงไปกับพื้น
“พี่ผกากรอง ฉันเปล่านะจ๊ะ”
“เปล่ารึ! แล้วเยี่ยงนั้นมึงมาหาผัวกูทำไม มึงคงริษยาที่กูได้ผัวเป็นขุนน้ำขุนนางมากยศศักดิ์ใช่หรือไม่”
ผกากรองชี้หน้าน้องสาวตะเบ็งเสียงลั่นด้วยความคับแค้นอก แม้จะมั่นใจในความงามของตนเอง ทว่าขึ้นชื่อว่าบุรุษย่อมมักมากมิมีที่สิ้นสุด ยิ่งเพลานี้แก้วนั้นมีหน้าตาหมดจดงดงาม อ่อนหวาน ชวนให้นึกทะนุถนอม ชายใดได้พบก็ย่อมเกิดความปรารถนาครอบครอง แน่นอนว่าผกากรองย่อมไม่ยินดี
“ฉันเปล่าจ้ะพี่”
แก้วเอ่ยร้องบอกเสียงสั่นเครือ ในใจเจ็บปวดเหลือคณาที่พี่สาวมองเจตนาของตนผิดไป
“ฉันมิเคยริษยาพี่เลยนะจ๊ะ ฉันแค่จักมาขอไถ่ตัวพี่”
แก้วส่งถุงเงินใบใหญ่ให้คนเป็นพี่ ผกากรองจึงยอมปล่อยมือออกรับถุงเงินมาดูก่อนจะยกยิ้มเย้ยหยันโยนถุงเงินคืนบนตักของคนเป็นน้อง
“เก็บเศษเงินของมึงเอาไว้เถิด ในหอนอนกูมีมากกว่านี้มิรู้กี่เท่า อีปิ่นไปยกมาให้น้องกูสักหีบปะไร”
“เจ้าค่ะ”
แก้วน้ำตาคลอ มองหีบเงินใบเล็กที่พี่สาวให้บ่าวเอามามอบแก่ตนด้วยสายตาน้อยใจ ผกากรองโน้มใบหน้าลง ใช้พัดจีบในมือเชยคางที่ชุ่มน้ำตาของน้องสาวเงยขึ้นแล้วเอ่ยวาจาเย้ยหยันดูแคลน
“หน้าตาเยี่ยงมึงคุณหลวงกูมิชายตามองดอกอีแก้ว กลับไปหาผัวไพร่ของมึงเถิด ส่วนเงินในหีบนี่ถือว่ากูให้เป็นทานก็แล้วกัน”
“ช่างเป็นพี่สาวที่มีน้ำใจยิ่งนัก แม่แก้วเอ๋ย…เอ็งดูเอาเถิด พี่สาวเอ็งเป็นแค่เมียกลางทาสี คุณหลวงท่านยังโปรดมอบข้าวของเงินทองมากมายเพียงนี้ หากเอ็งมาเป็นเมืองกลางนอกย่อมได้มากกว่านี้หลายเท่านัก ให้ข้าช่วยส่งเสริมดีหรือไม่”
“มิดี!…ขอรับ”
เสียงทุ้มต่ำตวาดดังขึ้นก่อนที่หน้าเรือนจะปรากฏชายร่างสูงโปร่งก้าวเดินมาประคองหญิงสาว
“แย่งชิงเมียผู้อื่นมาเป็นเมียตน เรื่องนี้หากถูกเล่าลือออกไปเกรงว่าคุณหลวงคงตกที่นั่งลำบากไม่น้อย”
พริ้มตวัดสายตาขุ่นเคืองมองชายหนุ่มที่ก้าวขึ้นเรือนมา พิจารณาจากการแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบคงมิใช่ขุนนางมากศักดิ์ที่ไหน ขี้คร้านจักเป็นทาสเป็นไพร่เสียมากกว่า เยี่ยงนั้นแล้วกล้าดีอย่างไรมาใช้วาจาข่มขู่เธอเยี่ยงนี้
“ไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงมึงกล้าดีอย่างไรมาเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กับกู”
“เท่าที่กระผมทราบ แม้บิดาของคุณพริ้มจักเป็นถึงพระยา แต่มารดาก็เป็นไพร่เช่นกันมิใช่หรือ… ขอรับ”
วาจายอกย้อนเจ็บแสบของอีกฝ่ายทำเอาคุณพริ้มจุกแน่นไปด้วยโทสะ ทว่ากลับโต้แย้งออกมามิได้แม้เพียงครึ่งคำ
“แม่แก้วเป็นเมียของกระผม หวังว่าเรื่องเช่นวันนี้จักมิเกิดขึ้นอีก มิเช่นนั้นอย่าได้หาว่ากระผมมิเกรงใจ”
แขนแกร่งกระชับร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น จดจ้องไปยังหญิงสาวตรงหน้าอย่างแค้นใจ กล้าทำร้ายแม่แก้วของเขา เขาย่อมมิปล่อยเอาไว้อย่างแน่นอน ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ผกากรอง
“ทำคุณกับคนใจหยาบล้วนไร้ประโยชน์ กลับเรือนกันเถิดแม่แก้ว”
แก้วเม้มปากพนมมือไหว้เอ่ยลาคุณพริ้มแลผกากรองอย่างมีมารยาท ก่อนจะเดินลงเรือนไป โดยไม่แม้แต่จะแตะหีบเงินของผกากรอง คนถูกเมินขบกรามแน่น มองตามแผ่นหลังของน้องสาวอย่างแค้นเคือง
อีแก้ว! อีชะตาไพร่ดวงกาลกิณี คิดเทียบบารมีแข่งวาสนากับกู รอตายแล้วเกิดใหม่เถิด
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทส่งท้าย
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ