กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

ยามที่ก้าวเท้าลงจากเรือนของเศรษฐีมิ่ง ผกากรองก็มองเห็นบ่าวชายร่างกายกำยำกำลังตักน้ำรดแปลงดอกไม้อยู่ที่ข้างท่าน้ำ และเพราะก่อนหน้านี้เศรษฐีมิ่งไม่อาจส่งเธอไปสู่จุดสูงสุดแห่งความปรารถนา เมื่อได้มองดูร่างกายกำยำสมส่วนของทาสหนุ่ม กลางกายสาวก็เต้นเร่า ไฟปรารถนาลุกโชนจนขนกายลุกชัน สาวเท้าลงจากเรือนด้วยสายตาเร่าร้อน

“ข้าจักกลับเรือน เอ็งช่วยไปส่งที”

ผกากรองเอ่ยเสียงราบเรียบ หล้าที่เป็นบ่าวเฝ้าท่าน้ำหน้าเรือนเศรษฐีมิ่ง เห็นหญิงสาวของผู้เป็นนายต้องการกลับเรือนก็เร่งไปเอาเรือออกโดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของหญิงสาว

“ข้าชื่อผกากรอง เอ็งชื่อกระไร”

ผกากรองเอ่ยถามขณะที่สายตามองอกแกร่งเปลือยเปล่าเบื้องหน้าด้วยสายตาเร่าร้อนลำคอแห้งผาก

“ฉันชื่อหล้า”

“เป็นทาสของท่านเศรษฐีรึ”

หล้าพยักหน้ารับ พร้อมกับหลบสายตาของหญิงงามตรงหน้าอย่างเจียมตัว ท่าทางขี้ขลาดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนปากมากเหมาะสมจะเอามาแก้ขัดพอดีเชียว

“อะ…”

ผกากรองแสร้งทำผ้าเช็ดหน้าหลุดมือ ก่อนจะโถมตัวตามจนพลัดตกน้ำ หล้าเห็นผู้หญิงของนายตกน้ำก็เร่งกระโจนลงไปช่วยคนในทันที ทว่ายามที่รวบตัวคนได้ผกากรองก็ตวัดเรียวแขนขึ้นโอบลำคอแกร่ง ส่งสายตายั่วยวนอย่างไม่ปิดบัง

“แม่ผกากรอง จะทำกระไร แม่เป็นคนของท่านเศรษฐีมิใช่รึ”

“แต่ตอนนี้ฉันอยากเป็นคนของพี่หล้า”

ลำตัวของหล้าสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสได้ถึงอกเปลือยเปล่าที่แนบชิดอกแกร่งกำยำของเขา มือเรียวนุ่มที่คล้องลำคอแกร่งขยับไล้ลงต่ำ ปลดโจงของเขาออกแล้วสอดมือเข้าไปสัมผัสในส่วนต้องห้าม

“แม่ผกากรองอย่าจับตรงนั้น อะ…”

“พี่หล้าเล่าอยากได้ฉันหรือไม่”

แม้รู้ว่าไม่ควรแต่อย่างไรเสียหล้าก็เป็นบุรุษ ยามได้แนบชิดหญิงงามอีกทั้งยังถูกปลุกเร้าอย่างเร่าร้อน ความรู้สึกผิดชอบ ละอายใจก็ละลายไปจนหมดสิ้น สติพลันขาวโพลนถูกไฟปรารถนาครอบงำจนมิอาจถอนตัว

“พี่หล้า ฉันอยากได้พี่” เสียงหวานกระเส่าเอ่ยอย่างเชิญชวน

ยามเย็นย่ำตะวันลาลับขอบฟ้ารอบกายมืดสลัวไร้ผู้คน หล้าจับผกากรองหันหน้าแนบชิดลำเรือที่ขยับมายังริมตลิ่งตื้น ก่อนจะโอบกอดจากด้านหลังเธอ แนบชิดแทรกกายอย่างเร่าร้อนจนผืนน้ำที่ไหลรินอย่างสงบกระเพื่อมไหวรุนแรง ราวกับเกิดคลื่นลูกใหญ่ใต้ผืนน้ำ และกว่าที่เขาจะไปส่งผกากรองกลับเรือนประตูหอนอนของชบาก็ปิดลงดาลไปแล้ว

“แม่ผกากรอง เรื่องวันนี้…”

“ฉันไม่พูดพี่หล้าไม่พูด เรื่องนี้ก็มิมีผู้ใดล่วงรู้”

หล้าแม้เป็นคนซื่อแต่ก็ไม่ได้โง่งมย่อมเข้าใจความหมายที่ผกากรองสื่อ

“เยี่ยงนั้นวันพุกยามย่ำรุ่งฉันจะมารับแม่ผกากรอง”

หล้าเอ่ยบอกเสียงอ่อน สายตามองใบหน้างดงามอย่างหลงใหล ยามที่ผกากรองก้าวเท้าขึ้นท่า ร่างกายของเขาก็ไม่อาจต้านแรงปรารถนาที่ตื่นตัวอีกครั้ง สาวเท้าเดินตามเธอมา ก่อนจะดึงร่างอวบอิ่มเข้ามาแนบชิด ดุนดันจนแผ่นหลังบางเอนพิงกับต้นไทรใหญ่ แล้วจับเรียวขางามข้างหนึ่งยกขึ้นเกี่ยวกระหวัดเอวสอบ บรรเลงบทรักอย่างดุดันจนขาของผกากรองสั่นสะท้านอ่อนแรง

“อื้ม…พี่หล้า”

ผกากรองร้องครวญเสียงสั่นสะท้าน เอนกายแอ่นอกรับรสรักอันหนักหน่วงจากทาสหนุ่มต่างเมืองด้วยสีหน้าเย้ายวนสุขสม

เพียงสามารถครอบครองหัวใจของทาสโง่ผู้นี้ไว้ได้ เธอก็เหมือนมีตาอยู่ที่เรือนของท่านเศรษฐีมิ่ง ไม่ต้องกังวลว่าลับหลังจะถูกหญิงอื่นมาแย่งชิงทองในหีบไป

 

“หนีกระไรมารึแม่แก้ว”

“พี่ปราบ!”

เสียงเข้มที่ดังขึ้นทำให้เท้าเล็กของแก้วหยุดชะงัก ทว่าเมื่อนึกถึงภาพที่ท่าน้ำแล้วในใจก็สั่นระรัวสองแก้มร้อนผ่าว จนเผลอลอบมองกลับไปยังทิศที่ตนเองเพิ่งวิ่งจากมา

“มีอะไรที่ท่าน้ำหน้าเรือนเอ็งรึ”

คนสงสัยไม่เพียงเอ่ยถามทว่ายังตั้งท่าจะเดินไปดู แก้วรีบคว้าต้นแขนอีกฝ่ายไว้ด้วยความตื่นตกใจ พร้อมกับเอ่ยห้ามในทันที ดวงตากลมใสสั่นไหวเล็กน้อยด้วยความตื่นกลัว

“มะ…ไม่มีจ้ะ ไม่มี…”

ผกากรองงดงามเพียงนั้น หากฉันบอกว่าไม่รู้สึกกระไรเลยก็คงผิดศีลแล้ว

คำพูดของปราบเมื่อสองปีก่อนยังคงชัดเจนในความคิด แก้วเม้มริมฝีปากบางเร่งคิดหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของชายหนุ่มจากท่าน้ำหน้าเรือน มิให้ปราบต้องไปพบเห็นภาพบาดตาบาดใจ

“ดึกมากแล้วพี่ปราบมาหาฉันมีกระไรหรือจ๊ะ”

“แม่ให้เอาขนมตาลมาให้ แต่พี่ไปหาเอ็งที่เรือนแล้วไม่เห็นจึงเดินมาดูที่เรือนน้าชบา ว่าแต่เมื่อครู่เอ็งหนีกระไรมา”

“เอ่อ…ฉันหิวพอดีเลยจ้ะ แล้วไหนขนมตาลของฉันเล่า”

แก้วเอ่ยถามหาขนมจากคนตัวโต โดยที่มือเล็กยังคงจับต้นแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ปราบมองท่าทีร้อนรนของหญิงสาวแล้วถอนหายใจยาว

“วางไว้บนเรือนหากหิวก็กลับไปกิน มาเดินตากน้ำค้างเยี่ยงนี้ประเดี๋ยวก็ได้ไข้ดอก”

ปราบเอ่ยเสียงดุไม่จริงจังนัก สายตาคมลอบมองมือเล็กที่จับเขาเอาไว้แน่น ราวกับกังวลว่าหากเผลอปล่อยมือแล้วเขาจะเดินไปยังท่าน้ำหน้าเรือน

“จ้ะ! ฉันกลับ กลับประเดี๋ยวนี้เลย”

แก้วเอ่ยรับพลางดึงแขนแกร่งสาวเท้ากลับเรือนเล็กอย่างว่าง่าย มุมปากหนายกขึ้นเล็กน้อย หากเขาคิดจะเดินไปยังท่าน้ำหน้าเรือนของชบาจริงๆ ด้วยแรงน้อยๆ ของแก้วจะห้ามเขาได้หรือไร

เรือนเล็กที่ปราบเอ่ยถึงก็คือเรือนท้ายสวนที่ชบาให้แก้วใช้เป็นที่พักอาศัยมาร่วมสิบเอ็ดปีนั่นเอง แรกเริ่มเรือนนี้เป็นเพียงกระท่อมไม้ไผ่หลังเก่าที่จวนพังเต็มที แต่เพราะได้คนตัวโตข้างกายคอยดูแลซ่อมแซมจึงทำให้เรือนหลังเล็กนี้ใช้บังแดดบังฝนได้มาหลายปี

“นั่นอะไร”

แก้วขมวดคิ้วเล็กด้วยความสงสัยกับคำถามของปราบ ทว่ายามที่มองตามสายตาคมสองแก้มก็พลันร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย

“เอ่อ…ฉันกำลังหัดกรองมาลัยจ้ะ”

แก้วตอบพลางขยับตัวมาบังสายตาคมจากพวงมาลัยของตน

“ไปเอามาให้พี่ดูหน่อย”

“พี่ปราบอย่าดูเลย ฉันเพิ่งหัดร้อย ยังมิงามนัก”

ปราบลดสายตามองคนตรงหน้านิ่งโดยไม่เอ่ยคำใด หากแต่แก้วรู้ดีว่าหากตนเองยังนิ่งเฉยไม่ไปหยิบพานดอกไม้มาให้คนตัวโตอย่างที่เขาต้องการ เขาย่อมลุกเข้าไปหยิบมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน

“เอาแต่ใจจริงๆ”

เสียงหวานเอ่ยสบถอย่างแผ่วเบาขณะที่เดินเข้าไปหยิบพานมาลัยออกมาตามความต้องการของพี่ชายข้างบ้าน

“นี่คือ…”

ปราบยกพวงดอกไม้ที่ร้อยไม่เป็นทรงอีกทั้งยังช้ำไปทั้งพวงด้วยความสงสัย สองแก้มของแก้วพลันร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย เอื้อมไปหยิบพวงมาลัยของตนกลับคืนมาจากมือหนา

“ฉันบอกแล้วอย่างไรว่ากำลังหัดร้อย ยังมิงาม”

ปราบยกยิ้มบางมองท่าทางเขินอายของคนตรงหน้าอย่างขบขันก่อนจะหยิบเข็มร้อยมาลัยขึ้นมา แล้วจับก้านดอกมะลิที่เหลืออยู่บนพานอย่างเบามือ ใช้เวลาไม่นานก็กรองเสร็จสมบูรณ์เป็นมาลัยพวงเล็กหนึ่งพวง ดวงตาของแก้วเบิกกว้าง ทั้งตื่นตกใจในความสามารถของบุรุษตัวโตทั้งละอายใจในความสามารถของตน

“พี่ปราบกรองมาลัยได้งามนัก”

“หากชอบก็เอาวางไว้ข้างหมอนนอน”

แก้วยิ้มกว้างเร่งรับมาลัยมาจากมือหนาแล้วเดินเข้าไปวางไว้ที่ข้างหมอนตามคำบอกของเขา ปราบยิ้มกว้างเอ่ยเสียงหนักตามหลัง

“ดึกแล้วเร่งเข้านอนเสีย”

เอ่ยจบปราบก็หยิบพวงมาลัยที่บิดเบี้ยวไม่เป็นทรงในพานไม้มากอบกุมอย่างทะนุถนอมแล้วก้าวกลับเรือนของตนเอง โดยไม่ลืมหักกิ่งดอกแก้วหน้าเรือนเล็กติดมือกลับมาด้วย

ยามที่กลับถึงเรือนก็เอาพวงมาลัยที่มองอย่างไรก็มิอาจหาความงดงามได้คล้องไว้ที่หัวเตียง เอนกายลงนอนมองดอกแก้วในมือด้วยรอยยิ้ม หลับตาลงโดยมีดอกแก้วกิ่งหนึ่งวางไว้ข้างหมอนเฉกเช่นทุกคืนที่ผ่านมา

 



Don`t copy text!