กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

ในขณะที่แก้วกำลังง่วนอยู่กับการเริ่มต้นขายน้ำอบแลแป้งร่ำ ชีวิตของผกากรองที่ได้เสียเป็นเมียผัวกับก้อนบ่าวในเรือนทาสของเศรษฐีเพชรก็นับว่าสุขสบายราวกับมิได้เป็นทาส งานหนักงานเบาใดๆ ก้อนก็อาสาทำแทนไปเสียหมด  ทว่าสุขสบายแล้วอย่างไรชีวิตที่ต้องหมอบกราบอยู่ใต้ตีนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ผกากรองมิอาจยอมรับ และไม่ยินดีเป็นเยี่ยงนี้ไปจนตายอย่างแน่นอน

“ข้าได้ยินว่าแม่แก้วน้องสาวที่เอ็งดูแคลนหนักหนา เพลานี้ได้ดิบได้ดีเป็นคนโปรดของคุณหุ่น
ภรรยาของจมื่นเมฆขุนนางใหญ่ไปแล้ว นี่ละหนาที่พระท่านกล่าวว่า แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งมิได้”

เย็นมองใบหน้าที่หมองคล้ำอาบไปด้วยไฟริษยาของผกากรองแล้วให้รู้สึกสะใจนัก เมื่อจับจุดอ่อนได้ก็จงใจเน้นเสียงกล่าวดูแคลนเปรียบเทียบอีกประโยค

“หญิงร่านมากผัวเยี่ยงมึงให้งามหยาดฟ้าก็เป็นได้แค่ที่สนองตัณหาบุรุษ ไม่เหมือนน้องมึงที่แม้กายมิงามแต่จิตใจงามนักจึงมากวาสนามิตกต่ำเยี่ยงมึง”

ผกากรองฟังคำของเย็นที่มาเอ่ยเย้ยหยันถึงหน้าเรือนแล้วขบกรามแน่นด้วยโทสะก้าวขาลงเรือน อาศัยที่อีกฝ่ายกำลังหันหลังจะจากไปยกเท้าถีบเข้ากลางหลังจนเย็นล้มหน้าทิ่มลงพื้น

“อีผกากรองมึงกล้าถีบกูรึ อีอัปรีย์ชาติชั่ว”

“กูมิใช่แค่กล้าถีบ ยังกล้าตบมึงด้วย ปากดีนักใช่หรือไม่อีเย็น วันนี้กูจักตบให้เลือดกบปากเลยทีเดียวมึง”

ผกากรองสาวเท้าขึ้นคร่อมคนที่นอนโวยวายอยู่บนพื้น มือหนึ่งจับยึดกระชากผม อีกมือง้างขึ้นฟาดบนแก้มของอีกฝ่ายจนปากที่เอ่ยวาจาชวนให้เธอโมโหอาบไปด้วยโลหิต

“อีผกากรองมึง!”

ทว่าเย็นหาใช่คนที่จะยอมโดนรังแกโดยง่ายฝ่ายเดียว อาศัยที่ตนเป็นทาสมาตั้งแต่เด็ก แรงกายมีมากกว่าผกากรองที่มิเคยได้ออกแรงหนัก จับร่างกระชากผมของผกากรองแล้วดึงพลิกตัวเธอลงบนพื้นกลับกลายเป็นฝ่ายขึ้นคร่อม เหวี่ยงฝ่ามือของตนลงบนแก้มขาวจนเป็นริ้วรอยนิ้วมือ

“อีเย็นปล่อยกูนะ โอ๊ย!”

เสียงโหวกเหวกตบตีของคนทั้งสองดังลั่นไปจนถึงโรงครัว บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายจึงได้พากันมาห้ามปรามจับแยก

“มึง! อีผกากรอง อีร่าน! อีหญิงใจทราม! คนเยี่ยงมึงให้งามเพียงใดก็หาเจริญไม่”

ในใจของผกากรองคล้ายมีกองเพลิงโหมกระหน่ำในทันที ดวงตาเรียวจดจ้องเย็นอย่างอาฆาต หากแต่คนที่ทำให้เธอคับแค้นใจมากที่สุดก็คือ แม่แก้ว ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นตัวกาลกิณี เป็นหญิงที่ผู้คนชิงชังเดียดฉันท์ เหตุใดจึงได้ดิบได้ดีเหนือตน

หลังจากได้เห็นท่าทีของผกากรองที่มีต่อน้องสาวแล้ว เย็นก็จับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ เมื่อหางตาแลเห็นผกากรองเดินมายังโรงครัวก็จงใจเอ่ยถึงแก้ว

“ข้าได้ยินมาว่ามีหญิงชาวบ้านทำน้ำอบแป้งร่ำมาขายที่ตลาดน้อยราคามิแพงนัก แลกลิ่นยังหอมตรึงใจยิ่ง ผู้คนแย่งซื้อกันตั้งแต่แม่ค้าเทียบท่าจนเรือแทบล่มเลยทีเดียว”

“จริงรึอีเย็น น่าเสียดายที่เราเป็นเพียงทาส เบี้ยอัฐหามีไม่ คงไร้วาสนาใช้ของดีเช่นผู้อื่น”

“จะต้องเปลืองเบี้ยเปลืองอัฐไปไย เอ็งอยากได้ก็ให้อีผกากรองไปขอเอา”

เมื่อถูกเอ่ยถึง สายตาของผกากรองก็มองไปยังคนเล่าเรื่องในโรงครัวล่างด้วยความสงสัยระคนไม่พอใจ

“เหตุใดต้องเป็นกู”

“แม่แก้วก็น้องมึงมิใช่รึเหตุใดจะขอมิได้ แต่จะว่าไปขายของดีถึงเพียงนั้นน่าจะเอาเงินมาไถ่ตัวมึงให้พ้นทาสหรือว่า… เขารับพี่สาวสันดานต่ำ ร่านไม่เลือกเยี่ยงมึงมิได้จึงไม่คิดช่วยไถ่ถอนตัวมึงออกไป”

แม้รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงการยั่วยุของเย็น แต่ผกากรองก็ยังคงรู้สึกแค้นอยู่ในอก ยิ่งคิดตามคำของอีกฝ่ายความรู้สึกริษยาในตัวแม่แก้วผู้เป็นน้องก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคับแค้นใจโดยที่ผกากรองไม่รู้ตัว

“ได้ยินว่าน้องมึงออกเรือนไปกับพ่อปราบลูกแม่สายข้าเก่าของคุณหุ่น ถึงแม้จะไม่ได้เป็นขุนนางใหญ่โต แต่ใครๆ ต่างก็เกรงใจเพราะถือเป็นคนของจมื่นเมฆ อนาคตน้องมึงมีแต่รุ่งเรืองเห็นๆ มิเหมือนมึง!”

“มิเหมือนกูอย่างไรอีเย็น มึงพูดให้มันดีๆ หาไม่กูจะตบให้หน้าคว่ำ”

“มึงคิดว่ามีมือมีตีนคนเดียวรึอีผกากรอง ไม่กลัวกูเอามีดกรีดหน้าของมึงก็ลองเข้ามา!”

ผกากรองมองมีดในมือของเย็นแล้วขบกรามแน่น แม้ใจจะมีโทสะแต่เธอมิใช่คนที่จะพุ่งเข้าไปใส่อีกฝ่ายแบบไม่คิด

“กลัวละสิ คนเยี่ยงมึงหากหน้าอัปลักษณ์ไปแล้วก็หามีอันใดดีอีกไม่ เกิดมาเป็นไพร่แต่สันดานต่ำเสียยิ่งกว่าทาส ร่านเสียยิ่งกว่าหญิงในโรงรับชำเราบุรุษ”

“อีเย็น! อีปากไม่มีหูรูด หุบปากนะ!”

เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่อาจเสแสร้งของผกากรอง เย็นก็ยกยิ้มเย้ยหยันลุกขึ้นกำมีดเดินเข้าหาอีกฝ่าย

“กูไม่หุบ มึงจักทำไม!”

ผกากรองเห็นว่าหากบุ่มบ่ามเข้าสู้ก็มีแต่จะตกเป็นรอง จึงทำได้เพียงขบกรามเอ่ยเสียงสั่น

“เอาเถิดมึงอยากพูดกระไรก็พูดไป ดีชั่วกูรู้ตัวดี”

“เหอะ! คนเยี่ยงมึงรู้ดีรู้ชั่วด้วยรึ กูว่าคงรู้แต่ยั่วบุรุษเสียมากกว่ากระมัง”

มือของผกากรองกำเข้าหากันแน่น หากไม่เพราะเย็นถือมีดเล่มใหญ่เอาไว้ในมือ เธอย่อมไม่อดกลั้นถึงเพียงนี้ สุดท้ายเมื่อไม่อาจสู้ฝีปากอีกฝ่าย ผกากรองก็หมุนตัวสาวเท้าเร็วๆ กลับเรือน ในดวงตาเรียวสั่นไหวแดงก่ำด้วยความแค้นเคือง

พระท่านทำนายชะตาแม่ผกากรองเอาไว้ ภายหน้าจะมีวาสนาเป็นเมียขุนนางใหญ่ ส่วนอีแก้วชะตาไพร่ดวงกาลกิณี ทำดีทั้งชีวิตก็มิอาจได้ดีเกิดเป็นไพร่ยามตายก็เป็นเพียงไพร่

เป็นคำที่ผกากรองลอบได้ยินบุญมีเคยบอกแก่ชบา ดังนั้นในใจของผกากรองจึงถือว่าตนสูงส่งกว่าแม่แก้วมาโดยตลอด อีกทั้งชีวิตของเธอตั้งแต่เล็กก็พานพบแต่คำสรรเสริญเยินยอ เรื่องพวกนี้ต้องเป็นแม่แก้วผู้มีชะตากาลกิณีมิใช่หรือที่ต้องพบเจอ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเธอที่ต้องแบกรับ ขณะที่แม่แก้วกลับได้รับการยกย่องชื่นชมแทน หยาดน้ำตาแห่งความคับแค้นใจไหลลงอาบแก้ม สองมือกำเข้าหากันแน่นอย่างไม่ยอมรับกับชะตาที่พลิกผันนี้ของตนเอง

“ผกากรองเป็นกระไร ใครทำอะไรเอ็ง”

ก้อนเห็นเมียเดินร้องไห้กลับเรือนมาก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย ในใจของผกากรองเพลานี้ทั้งแค้นเคือง ทั้งหงุดหงิด หากแต่ก็ยังคงท่าทีบีบน้ำตาตีหน้าเศร้า ร่ำไห้จนตัวโยน

“อีเย็นรึ”

“พี่เย็นมิได้ทำกระไรข้าดอก เพียงแต่…”

“แต่กระไร”

“ข้าเพียงน้อยใจชะตาตนเองเท่านั้น ก่อนหน้าข้าเคยสงสัยเหตุใดแม่แก้วจึงต้องรังแกแลใส่ความข้ากับน้าเขย ทั้งที่ข้ารักและเอ็นดูแม่แก้วถึงเพียงนั้น ยามนี้จึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะแม่แก้วต้องการปัดข้าให้พ้นจากเส้นทางรักของตนเองกับพ่อปราบ จึงได้ทำเรื่องเช่นนี้กับข้า”

ผกากรองเอ่ยพลางสะอื้นไห้ ก่อนจะโถมตัวเข้าโอบเอวหนาของก้อนเอาไว้

“แต่ข้ามิเคยมีใจให้พ่อปราบเลยสักนิด แม้แต่ท่าทีชม้ายชายตาก็หาเคยไม่ เหตุใดแม่แก้วจึงต้องทำร้ายข้า ทำให้ข้าเป็นหญิงมีราคี ผู้คนติฉินว่าทำเรื่องอัปรีย์เยี่ยงการเล่นชู้กับน้าเขยตัวเองเช่นนี้”

“โธ่… แม่ผกากรองของพี่ มิเป็นไร มิต้องร่ำไห้ พี่จักหาทางทวงคืนแค้นนี้ให้เอ็งเอง”

ก้อนโอบกอดเมียรักเข้าแนบอก ไอ้อีคนใดกล้ารังแกแม่ผกากรองให้มัวหมอง เขาจะทำให้อีกฝ่ายมัวหมองกว่าเป็นทบทวี ผกากรองลอบเหลือบมองแววตาแค้นเคืองของก้อนแล้วยกยิ้มพึงพอใจ



Don`t copy text!