กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
แก้วยกกระจาดแป้งร่ำออกมาตากแดด ทว่ายามที่หางตามองเห็นนางสายกำลังขนผลหมากรากไม้ออกมาจากสวนก็เร่งลงจากเรือนมาช่วยงานด้วยท่าทีเร่งรีบ
“พี่สินกับเมียยังมาไม่ถึง ผลไม้พวกนี้ฉันเอาไปขายเองนะจ๊ะแม่”
“มิต้องดอกแม่แก้ว แค่มะม่วงแลมะพร้าวไม่กี่หาบเท่านั้น เอ็งไปดูน้ำอบแลแป้งร่ำของเอ็งเถิด”
“น้ำอบยังมิได้ที่ ส่วนแป้งร่ำฉันก็เพิ่งยกออกตากแดด เพลานี้ไม่มีกิจใดแล้ว แม่ให้ฉันช่วยเถิดนะจ๊ะ”
เมื่อเห็นท่าทีแข็งขันของหญิงสาว นางสายก็ใจอ่อนไม่คัดค้านต่อความอันใดอีก แก้วจึงไปผลัดเปลี่ยนชุดสวมเสื้อผ้าที่รัดกุมแลลงเรือพายข้ามฟากไปยังตลาดน้อย
“อ้าวแม่แก้ว วันนี้มิเอาน้ำอบมาขายรึ”
เสียงของหญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยถามเป็นภาษาโปรตุเกส แก้วยิ้มกว้างเอ่ยตอบด้วยภาษาต่างถิ่นอย่างช่ำชอง
“ยังอบร่ำมิได้ที่จ้ะ น่าจะอีกสักสองสามวันจึงจะเอามาขายได้”
ตั้งแต่หกขวบแก้วก็ติดเรือของนางสายนั่งข้ามฟากมาขายผลหมากรากไม้ที่ย่านตลาดน้อยเกือบทุกวัน ดังนั้นไม่เพียงแต่ภาษาโปรตุเกสเท่านั้นที่แก้วสามารถพูดได้ แม้แต่ภาษาจีนซึ่งหลากหลายตามท้องถิ่นที่แต่ละคนล่องเรือสำเภามาแก้วก็สามารถเจรจาโต้ตอบได้ทั้งสิ้น
“หากอบร่ำจนแล้วเสร็จก็เก็บไว้ให้ฉันด้วย คราวก่อนฉันซื้อไปหอมทนนัก”
เนื่องจากน้ำอบแลแป้งร่ำที่แก้วทำนั้นได้วิชาความรู้มาจากคุณหุ่นซึ่งเธอเรียนรู้มาจากในรั้วในวังอีกที ดังนั้นจึงหอมทนและจรุงใจกว่าผู้อื่นทำอยู่มากโข นำมาวางขายมินานชื่อเสียงก็ขจรไปทั่วทั้งตลาดน้อย ตั้งแต่ตะวันตกจรดตะวันออกมิมีหญิงใดไม่รู้จักน้ำอบแป้งร่ำจากร้านของแก้ว
“ได้เลยจ้ะ”
แก้วตอบรับก่อนจะผูกเรือหยิบผลไม้ใส่คานหาบเดินไปยังเขตย่านตลาดเจ้าสัวสอนแลจัดวางผลไม้ในคานหาบลงบนแผงไม้ไผ่ ตะโกนเรียกลูกค้า
“แม่แก้ววันนี้มิขายน้ำอบรึ”
ทองจีน บุตรสาวของจีนจูเจ้าของร้านเครื่องกังไส เดินมาถามแก้วด้วยท่าทีเสียดายเมื่อเห็นว่าบนแผงร้านมิมีน้ำอบแป้งร่ำเช่นวันก่อน
“มิมีดอกจ้ะ น้ำอบยังอบร่ำมิได้ที่ ส่วนแป้งร่ำก็ยังมิแห้งดี”
“เยี่ยงนั้นวันนี้เอ็งขายกระไรบ้าง”
“วันนี้มีมะม่วงแลมะพร้าวจ้ะ อ้อ… สมุนไพรเครื่องเทศก็มีนะจ๊ะ แม่ทองจีนอยากได้ไปปรุงอาหารหรือไม่”
ทองจีนยิ้มกว้างกำลังจะเลือกสรรข้าวของแรงจากฝ่าเท้าของคนผู้หนึ่งก็ปะทะเข้าที่แผงร้านจนข้าวของตกกระจาย ทองจีนที่ไม่ระวังก็ล้มลงไปด้วย แก้วรีบรับตัวทองจีนเอาไว้ ก่อนจะจับเธอมายืนด้านหลัง
“เรามิเคยมีเรื่องบาดหมางต่อกันเหตุใดจึงมาทำลายข้าวของกันเยี่ยงนี้”
“กูจะทำ มีกระไรหรือไม่”
มิเพียงเอ่ยบอกแต่ชายแปลกหน้ายังยกเท้าขึ้นถีบอีกครา ข้าวของบนแผงที่แก้วจัดวางขายกระเด็นตกพื้นเสียหายจนหมดสิ้น
“ทำเยี่ยงนี้มิกลัวโทษตามพระราชกำหนดหรืออย่างไร”
“หญิงกาลกิณี อัปรีย์ ที่รังแกได้แม้กระทั่งพี่สาวเยี่ยงมึงกล้าเอ่ยเรื่องโทษตามพระราชกำหนดกับกูรึ”
หญิงกาลกิณี ตั้งแต่ออกจากเรือนของชบามาเป็นเมียของปราบก็หามีใครเรียกขานแก้วเช่นนี้ไม่ แต่ไม่มีใครตอกย้ำก็ไม่ได้หมายความว่าแก้วจะหลงลืมเรื่องชะตาที่แสนต่ำต้อยนี้ของตนเอง
“ก็ลองดูหากกูต้องโทษกูจะโพนทะนาเสียให้ทั่วว่ามึงมันเป็นตัวกาลกิณี คนทั้งย่านหลังวัดท่าเกวียนต่างเดียดฉันท์มิกล้าซื้อข้าวของของมึง มึงจึงต้องมาเร่ขายไกลถึงตลาดน้อยเยี่ยงนี้”
แก้วเม้มริมฝีปากบางมองดูคนที่เริ่มมุงดูตนเองวิวาทกับชายแปลกหน้าด้วยความตื่นตระหนกหวั่นใจ ก้อนเห็นสีหน้าของแก้วทั้งซีดทั้งตื่นกลัวก็ยิ้มเย้ยหยัน
“ดวงชะตาเป็นกาลกิณี ยังทำตัวอัปรีย์รังแกได้แม้กระทั่งพี่สาว ใส่ความจนนางเสื่อมเสียเพื่อให้ตนเองสุขสบาย”
เมื่อได้ยินชายตรงหน้าเอ่ยถึงพี่สาวเป็นครั้งที่สองแก้วก็ขมวดคิ้วเรียวแน่น เหตุใดคนผู้นี้จึงต้องกล่าวถึงพี่ผกากรองของเธอด้วย ทว่าไม่ทันถามไถ่ชายอันธพาลก็สาวเท้าเข้ามาคล้ายจะทำร้ายกัน แก้วหันไปหยิบพร้าชี้หน้าพร้อมแผดเสียงก้อง
“หากยังเข้ามารังแกกันอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ”
“คนเยี่ยงมึง จะทำกระไรกูได้”
“แต่กูทำได้!”
เสียงตวาดห้าวดังก้องอย่างขุ่นเคืองพร้อมกับแรงปะทะที่สีข้างด้านขวา ก้อนที่ตั้งใจมาสั่งสอนแก้วพลันเซถลาล้มลง เมื่อหันมาเห็นว่าคนที่ลงมือคือปราบก็ขบกรามแน่น มิใช่ว่าปราบเพิ่งล่องเรือลงใต้ไปกับพ่อครูดอกหรือเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน เรื่องฝีมือเชิงมวยแลเพลงดาบของปราบนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ก้อนรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปราบก็ไม่รอให้ถูกกระทำซ้ำรีบลุกขึ้นเตรียมวิ่งหนีในทันที แต่กลับช้ากว่าคนของหลวงอภัยวานิชซึ่งเดินมาพร้อมกันกับปราบ
“กล้าสร้างเรื่องในตลาดกูเชียวรึ ส่งตัวไปให้กองโปลิศคอนสเตเบิล”
กองโปลิศคอนสเตเบิล แม้จะเป็นกองกำลังที่เพิ่งก่อตั้งได้ปีเศษแต่เป็นที่รู้กันดีว่ากองโปลิศคอนสเตเบิลนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกัปตันเอมส์ หรือ หลวงรัถยาภิบาลบัญชา ผู้ที่มีความเที่ยงตรงและเด็ดขาด ใบหน้าของก้อนพลันซีดเผือด ไม่คิดว่าอารมณ์ชั่ววูบที่อยากระบายความโกรธให้เมียรักจะนำพาความยุ่งยากมาให้ตนเช่นนี้
“คุณหลวงเมตตาด้วยขอรับ กระผมผิดไปแล้ว”
ก้อนคุกเข่าลงกราบไหว้ขอเมตตาจากหลวงอภัยวานิช ปราบปรายตามองสายตาแข็งกร้าวพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างหักห้ามใจมิให้ลงมือทำร้ายคนตรงหน้าอีกรอบ
“เมื่อครู่มึงรังแกผู้อื่นยังไม่คิดเมตตา เพลานี้กล้ามาขอให้ผู้อื่นเมตตาช่างหน้าหนาเสียจริง”
หลวงอภัยวานิชมองดูคนที่ทั้งตัวแผ่ไอโทสะออกมาแล้วถอนหายใจยาว แม้ศักดิ์ฐานะของพ่อปราบจะเป็นเพียงไพร่ ทว่าด้วยความสัมพันธ์ที่แนบชิดกับจมื่นเมฆ และหน้าที่อันมิอาจแสดงตน ที่แม้แต่ขุนนางระดับคุณพระก็ยังต้องไว้หน้า เยี่ยงนี้แล้วหลวงอภัยวานิชเช่นเขาจะกล้าทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้อย่างไรกัน
“ไอ้ยอดส่งตัวไป”
“ขอรับ”
เมื่อคนพาลจากไปแล้ว แก้วก็หันมาปลอบโยนแม่หญิงทองจีนที่ตัวสั่นด้วยความตกใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งที่ในใจตนก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
“หมดเรื่องแล้วแม่ทองจีน ให้ฉันไปส่งกลับร้านดีหรือไม่”
แก้วเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน ทองจีนหันมาพยักหน้ารับในทันทีมือนุ่มยังคงจับต้นแขนของแก้วเอาไว้มั่นราวกับว่าเธอคือความปลอดภัยเดียวของทั้งชีวิต หลวงอภัยวานิชเห็นคนข้างกายขมวดคิ้วหนา จ้องมองแก้วด้วยความห่วงใยก็ถอนหายใจยาวเอ่ยอาสาไปส่งคนแทน
“ให้ฉันไปส่งเถิด หากมีเรื่องกระไรขึ้นอย่างน้อยฉันก็เป็นบุรุษ”
แก้วหันมาสบตาหญิงสาวข้างๆ เมื่อเห็นว่าทองจีนเห็นด้วยกับคำอาสาของหลวงอภัยวานิชก็ปล่อยมือจากหญิงสาว ด้วยสายตาห่วงใยจนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถอนหายใจยาว
“มิต้องกังวลไปดอก แม่ทองจีนแม้เป็นเพียงบุตรสาวพ่อค้าจีนร้านเครื่องกังไสแต่ก็นับเป็นญาติร่วมแซ่กับขุนสมุทรโคจร ในกรมท่าซ้าย หามีผู้ใดกล้ารังแกไม่หากจะมีก็คงเป็นพวกโง่เง่ามิรู้ความเท่านั้น”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมีบารมีขุนนางใหญ่คุ้มครองแก้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่ปราบขยับก้าวเท้ามาประชิดจับตัวเมียรักหมุนไปมาเพื่อสำรวจหาร่องรอยบาดเจ็บบนตัวนาง
“เจ็บตรงไหนหรือไม่”
“มิเจ็บสักตรงจ้ะ”
“ยังมายอกย้อนทำราวกับเป็นเรื่องขบขัน หากเมื่อครู่พี่มามิทันจะเป็นเยี่ยงไรเคยตรองบ้างหรือไม่”
“มีพี่ปราบอยู่ ฉันมิตื่นตระหนกกลัวเกรงอันใดดอกจ้ะ อีกอย่างเมื่อครู่ชายคนนั้นก็มิได้มีท่าทีจะทำร้ายอะไรฉัน คล้ายจะเมาเสียมากกว่า ฉันว่าเราปล่อย…”
“ไม่ได้! แลแม่แก้วก็มิต้องมาใช้วาจาตะล่อมพี่ อย่างไรเสียเรื่องนี้พี่ก็มิปล่อยไปโดยง่าย”
แก้วเม้มริมฝีปากบาง ในใจเกิดความกังวล ฟังจากคำพูดของชายคนนั้นแล้วคล้ายว่าเรื่องนี้ผกากรองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แก้วไม่ต้องการให้ผู้เป็นพี่สาวเดือดร้อนจึงได้คิดพูดให้ปราบปล่อยคน ดวงตากลมช้อนมองคนดุอย่างเว้าวอน ปราบสบสายตาของแก้วแล้วถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำอีกหนักแน่น
“มีน้ำใจต่อคนพาลหาควรไม่ หากมีคราแรกก็จะมีคราต่อไปจึงต้องจัดการให้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
“จ้ะ”
เมื่อไม่อาจเอ่ยปากช่วยได้ แก้วก็ได้แต่ยอมรับถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในใจได้แต่ภาวนาให้ตนเองคาดการณ์ผิด ขออย่าให้ผกากรองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ