พระเอกพยับแสง บทที่ 10 : เหตุประหลาดยามวิกาล

โดย : ตรี อภิรุม

พระเอกพยับแสง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ โดย ตรี อภิรุม เมื่อการปรากฏตัวของเขาในวันสุริยุปราคราเต็มดวงสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชุมชนที่เคยสงบ ทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเขา ผู้ที่มากับลัทธิประหลาดที่นำพาผู้คนมากมายให้ศรัทธาใช่ไหม เขาคือใคร ‘เทวา’…’ซาตาน’ หรือปีศาจในคราบนักบุญ

สถานที่พักของนางจันทน์ทองเป็นเรือนทรงไทยสองหลังแฝด นอกชานแล่นกลาง สิ่งที่เป็นจุดเด่นก็คือ หลังคาปีกนก อกไก่ ปั้นลม เหงาปั้นลม พรหมหน้าจั่ว ลูกฟักหน้าจั่ว ฯลฯ

เครือมาศพักอยู่ห้องริม มุมเยื้องกลับห้องนอนของบุพการี จากประตูที่เปิดโล่ง แลเห็นอ่างบัวตั้งที่นอกชานเรียงรายนับสิบ ปลูกบัวสายนานาชนิด ออกดอกสีม่วง ชมพู และแดงงามสะพรั่ง

เด็กสาวเก็บตัวเงียบ หงอยเหงาเศร้าสร้อย ครุ่นคิดถึงแฟนหนุ่มที่พลัดพราก อะไรต่อมิอะไรรอบๆ ดูเหมือนจะรำคาญหูรำคาญตาไปหมด เครือมาศบ่นอุบอิบ

“เราแนะให้กรุหน้าต่างบานลวดกันยุง แต่คุณยายอ้างว่าจะเสียเอกลักษณ์เรือนทรงไทย ตอนพลบค่ำสุมไฟที่พื้นดิน จะไปกันยุงได้สักเท่าไหร่เชียว เรากางมุ้งนอนเชยแหลก”

หวนระลึกถึงโยคีนันทปุโร หนุ่มใหญ่รูปงามคล้ายเจ้าชายแขก ตนเก็บก้อนหินจิ๋วสีประกายมุกที่สำนัก ยังไม่บอกให้นางทองจันทน์ทองทราบ คำพูดตอนหนึ่งของนักพรต หล่อนจำได้สนิทหู

‘สีกาจะเศร้าโศกไปทำไม เปล่าประโยชน์ สิ่งที่ดีกว่าเหนือกว่ากำลังจะมาถึง อาจจะเป็นคืนนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืน เมื่อสีกาพบสิ่งนั้นก็จะลืมแฟนเก่าสนิท’

จำได้ว่าเครือมาศขัดแย้ง โดยไม่สนใจว่านางจันทน์ทองจะมองค้อน

‘ถึงยังไง หนูก็ไม่มีวันลืมพี่กฤษณ์ค่ะ’

หลังจากอาหารค่ำ สาวน้อยผู้พลาดรักก็เก็บตัวอยู่ในห้องเช่นเคย ไม่ออกไปชมรายการโทรทัศน์ร่วมกับนางจันทน์ทองและญาติ หูฟังซาวนด์อะเบาต์ซึ่งซุกเครื่องในเสื้อวอร์มผุดลุกผุดนั่ง บางครั้งเดินวนไปเวียนมาหน้าเตียงแบบเก่า

ในที่สุด เครือมาศก็หยุดยืน แหงนมองภาพพระแก้วมรกตที่ใส่กรอบแขวนผนังเหนือศีรษะ

“เจ้าประคุณ! ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้คุณยายยอมรับพี่กฤษณ์เป็นหลานเขย”

เวลาผ่านไปจนกระทั่งสี่ทุ่ม บุพการีโผล่เยี่ยมประตู ใบหน้าตกกระใจดีจีบย่นเล็กน้อย

“นอนดึกเสียสุขภาพนะลูก”

“ยังไม่ดึกค่ะ คุณยาย” หลานสาวคนสวยจีบปาก เกือบจะกระฟัดกระเฟียด “ง่วงหนูก็นอนเองน่ะแหละ โปรดอย่าควบคุม หนูไม่ชอบ”

“เออ…ตามใจแก”

นางจันทน์ทองหลบวูบ

เครือมาศปิดประตูลั่นดาล เหน็บหูฟังซาวนด์อะเบาต์ นอนกลิ้งเกลือก แม้เพลงสไตล์อัลเทอร์เนทีฟจะสนุกรื่นเริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ที่เหงาหงอยสดชื่นได้เท่าใดนัก

อดีตรักทำบททำกลในจิตสำนึก กฤษณ์รูปหล่อกอดจูบ ปฏิบัติการอันสุนทรีย์เร่าร้อน ทั้งวันทั้งคืนตักตวงแต่ความเสพสุข หล่อนลืมทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยกเว้นวิมานฉิมพลีที่เพริศแพร้วลอยฟ่อง

ใช่…หากคุณยายไม่ยื่นคำขาด ขัดขวาง เครือมาศก็ยังครองรักกับกฤษณ์

‘ต่างฝ่ายต่างเป็นนักเรียน ไม่มีอาชีพ จะกัดก้อนกินเกลือยังงั้นเรอะ เผื่อท้องโตจะทำยังไงยะ เรียนสำเร็จเมื่อไหร่ค่อยคิดเรื่องนี้’

เด็กสาวรู้ว่านางจันทน์ทองเกลียดชังกฤษณ์ เจตนาให้พลัดพรากชั่วชีวิต

ลมบนพัดแรง เกิดเสียงประหนึ่งนกยักษ์บินพึ่บพั่บเบื้องสูง ไฟฟ้าหรี่ลงคล้ายกระแสไฟตก และดับวูบหล่อนเปิดตะเกียงแบบไฟฉายที่ตั้งโต๊ะ มันส่องแสงสว่างสลัว

โอ…โน่นอะไรกันเล่า

หินสีมุกที่เก็บจากสำนักผู้ทรงศีลเฉดประกายรุ้ง สวยงามดุจของวิเศษในนิทานปรัมปรา

“อุ๊ยตาย!”

เครือมาศหยิบก้อนหินก้อนจิ๋ววางในฝ่ามือ ครั้งแรกคิดว่าจะวิ่งไปอวดนางจันทน์ทอง แต่ฉุกคิดได้ว่าป่านนี้บุพการีคงจะเข้านอนแล้ว

เสียงกระพือร่อนลงต่ำ ระดับเดียวกันกับหน้าต่าง ผู้ชายพูดกังวานทุ้มอย่างที่เรียกว่าเสียงหล่อ

“โปรดเอาภาพพระแก้วมรกตออกนอกห้องครับ และเชิญผม ผมจะเข้าไปคุยกับคุณมาศ”

ผู้ฟังขนลุกเกรียว หูตนเพี้ยนเช่นนั้นหรือ มือหนึ่งกำวัตถุประหลาด อีกมือชูตะเกียงส่อง ด้วยพุทธานุภาพแห่งพระแก้วมรกต ทำให้เครือมาศไม่เห็นภาพใดๆ ภายนอก สัมผัสแค่ลมปีกที่พัดโบกแรง จนมุ้งไหวพลิ้ว

“ผีหลอกละมั้ง”

“ผมไม่ใช่ผี” เสียงห้าวทุ้มโรแมนติกวิงวอน “ปลดภาพพระที่แขวนไว้ออกไป แล้วคุณจะเห็นผม ได้โปรด”

หลานสาวนางจันทน์ทองเหลียวล่อกแล่ก เห็นแค่เงาของแมกไม้และท้องฟ้ามืดทะมึน หายใจแรง ทรวงอกสะท้อน เส้นผมแทบพองฟูทั้งหัว

“ใคร…สูงระดับหน้าต่างเชียวเรอะ”

“ปีนขึ้นมาฮะ สักครู่จะอธิบาย” ลมปีกกระพือพัดไม่หยุด “รับรองผมเหนือกว่ากฤษณ์หลายเท่า คุณมาศจะลืมไม่ลง”

ตัดสินใจฉับพลัน วางตะเกียงกับก้อนหิน หล่อนเปิดหน้าต่างลั่นดาล

อีกสองนาทีไฟนีออนก็เริ่มสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ เครือมาศปิดสวิตช์ตะเกียงแบตเตอรี่ ครั้นก็ได้พบก้อนหินกลมเหลี่ยมสิ้นแสง คืนสภาพเดิม

“ประหลาด ฉันฝันไปหรือเปล่าเนี่ย”

 

สตรีผู้นั้นวัยห้าสิบห้า แต่ยังสาวพริ้งเหมือนวัยสักสี่สิบแปด สมฤดีเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนอนุบาล ใบหน้าหล่อนประพิมพ์ประพายคล้ายอาภันพัทธ์ ใครเห็นทั้งคู่ต้องรู้ว่าแม่ลูก

“แม่บอกกับพัทธ์ตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าควรย้ายกลับกรุงเทพ ช่วยงานแม่ที่โรงเรียน”

อาภันพัทธ์ถอนใจน้อยๆ พยายามซ่อนความเบื่อหน่ายไว้ในทรวง

“หนูเบื่อกรุงเทพ รถติดทั้งปี สูตรกลิ่นคาร์บอนมอนอกไซด์ เผลอๆ เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคปอด ลานสกาเมืองสงบ อากาศบริสุทธิ์”

“ฉันรู้ พ่อแมงป่องเสี้ยมสอนพัทธ์ใช่ไหมล่ะ เขาเจตนาพลัดพราก ไม่ให้สองแม่ลูกพบปะเจอะเจอ”

“โธ่! แม่…” สาวสวยร้อง แสดงอาการเจ็บปวดส่วนลึก “หนูคนกลางนะคะ ทางโน้นพ่อพูดกระทบ ทางนี้แม่พูดกระทบ จะไม่ให้หนูอยู่เป็นผู้เป็นคนหรือไงคะ พัทธ์เคยบอกแม่แล้วว่าไม่ชอบสอนหนังสือเด็กเล็ก จุกจิกจู้จี้ขี้แย ดีไม่ดีเป็นโรคประสาท”

อาจารย์สมฤดีทำท่าทีเสมือนอ่อนระโหยโรยแรง

“เป็นความผิดของแม่หรือจ๊ะ แม่มีพัทธ์คนเดียว อยากอยู่ใกล้ชิดลูก”

“ทำไมพัทธ์จะไม่เคยอยู่กับแม่ แม่ตีกรอบหนูยิ่งกว่าพ่อเสียอีก พ่อแค่หยุมหยิม ละเอียดถี่ถ้วนมัธยัสถ์ บางครั้งเหมือนตัวตลก แต่ยอมจำนนด้วยเหตุผล”

เท่านั้นเอง มารดาก็ตีโพยตีพายว่าลูกสาวไม่รักตน รำพึงรำพันน้ำตาไหลอาบแก้ม ทำให้อาภันพัทธ์ต้องหุบปากเงียบ ขืนโต้เถียงจะกลายเป็นลูกอกตัญญู

ถ่ายทอดประวัติคุณอรุณเทศซ้ำซาก เคยติดตามไปกับกองถ่ายภาพยนตร์ เคยร่วมกิจกรรมหลายประเภทกับเพื่อนฝูง หรือบุคคลระดับสูง ธุรกิจทุกประเภทที่มีเขาเกี่ยวข้องด้วย ลงเอยที่ขาดทุนย่อยยับ เลิกกิจการทั้งสิ้น

“นายทุนพินาศวอดวาย แต่นายอรุณรอดตัวทุกครั้ง ได้เงินจำนวนหนึ่งจากการเบิกล่วงหน้ากู้ยืม ใช่…ผลลัพธ์ก็คือโกงเขานั่นแหละ บรรดานายทุนเข็ดขยาดกัน เขาจึงหนีไปตั้งหลักอยู่ที่ลานสกา เปิดมินิมาร์ต”

นี่เป็นความจริงที่อาภันพัทธ์ยอมรับ บิดาเล่ห์เหลี่ยมแต้มดูเหนือเมฆ ภายใต้อาการซื่อๆ เชื่องช้านุ่มนวล เขาสามารถทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมเชื่อถือในระยะแรก ก่อนจะตลบหลัง มีวิธีการขจัดความผิดให้พ้นตัวอย่างแนบเนียน

สาวโสภาแต่งกายเรียบร้อย หิ้วกระเป๋าเดินทางลงจากชั้นบน พนมมือไหว้สมฤดี

“หนูกลับลานสกาละค่ะ แม่”

“ลูกน่าจะรอให้ผู้พันเกริกไปส่ง”

“กลับเองสะดวกกว่าค่ะ พัทธ์ไม่อยากรบกวนผู้พันเกริก”

สตรีอาวุโสดึงอาภันพัทธ์เข้ามากอด กำชับว่าให้มาเยี่ยมเยียนหล่อนอีก บุตรสาวสัญญาว่าจะเลือกช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ควบวันนักขัตฤกษ์

 

นางจันทน์ทองไปนมัสการโยคีนันทปุโรเช่นเคย โดยนำก้อนหินเหลี่ยมทรงกลมไปปรึกษาหารือ

นายเปล่งศิษย์เอกช่วยรับวัตถุจากมือคหปตานีสูงอายุยื่นต่อให้นักพรตรูปงาม ท่านพินิจพิจารณาในฝ่ามือด้วยท่วงท่าสงบ นัยน์ตาโตสวยภายใต้คิ้วดกดำแฝงประกายยิ้ม เอ่ยเสียงห้าวทุ้มสำรวจแบบผู้ทรงศีล

“เป็นไปได้เชียวรึโยม หินเล็กๆ ที่แม่หนูเก็บจากสำนักอาตมา ยามค่ำคืนเปล่งแสงประกายรุ้ง”

“ดิฉันไม่เห็นกับตาค่ะ ฟังจากคำบอกเล่าของเครือมาศ เธอยืนยันว่าขณะนั้นมีลมพัดแรง มีเสียงนกใหญ่บินโฉบร่อน ชายหนุ่มพูดนอกหน้าต่าง แต่ไม่เห็นตัว เธอกลัวมากคิดว่าผีหลอก”

ขนตายาวงอนกะพริบสองแวบ จมูกโด่งรับกับใบหน้าคมสัน โยคีนันทปุโรแย้มสรวล ยื่นสะเก็ดหินพิสดารให้ศิษย์นำมาคืนนางจันทน์ทอง

“อาตมาคิดว่าแม่หนูสติฟั่นเฟือน หรือไม่ก็วางแผนอยากจะหนีกลับไปอยู่กับแฟนหนุ่ม โยมเฉยๆ เสียอย่าตำหนิติเตียน แสดงคล้ายกับว่าเชื่อ ไม่ช้าอาการของแม่หนูก็สงบเอง”

“มีอะไรแปลกอยู่อย่างหนึ่งค่ะ”

“ว่าไปโยม”

ดวงหน้าแบบเจ้าชายอาหรับพยักเนิบนุ่มนวล สร้อยประคำสีน้ำตาลแก่สะท้อนเงาแดด

“เจ้าเจตน์หลานห่างๆ ของดิฉัน อายุสี่สิบแล้ว โสด ปัญญาอ่อน ติงต๊อง มันเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงลมพัดและนกยักษ์บิน”

“คำพูดของคนปัญญาอ่อนเชื่อถือได้หรือโยม” ริมฝีปากได้รูปสวยคลี่ยิ้ม เผยไรฟันขาวสะอาด “นกใหญ่นกยักษ์ที่ไหนจะมาบินยามค่ำคืน”

เศรษฐินีสูงวัยกล่าวอำลาพระคุณเจ้า ญาติธรรมที่เฝ้าแหนต่างขยับเข้าไปแทนที่ สนทนากับโยคีนันทปุโร ท่านมักจะพูดผสมพุทธภาษิตเสมอ ใช้ภาษาบาลีสันสกฤตคล่องแคล่ว เคร่งสังวรศีลปานพระนักปฏิบัติ

ครู่หนึ่ง นักพรตก็เพ่งสายตาที่ทางลูกรังระหว่างป่าชุมชน สงบนิ่งเสมือนใช้ญาณวิเศษสำรวจ พลันไหวกายน้อยๆ วางนิ้วยาวเรียวที่ตำแหน่งทรวงอก

“โอ! อาตมาอ่อนระโหยโรยแรงเหลือเกิน อาการคล้ายโรคหัวใจกำเริบ ขอจำวัดสักชั่วโมงหนึ่ง”

พูดแล้ว มุนีหนุ่มใหญ่ก็ลงจากแท่นอาสนะ เหล่าพุทธบริษัททางหลีกทางเป็นช่องโล่ง บางรายกราบก้มประณมกรด้วยความคารวะสูงสุด

ท่านเดินกระฉับกระเฉง ไม่บอกสักนิดเดียวว่าเจ็บป่วย อ้อมต้นกร่าง ขึ้นกุฏิมุงแฝก สั่งศิษย์ปิดประตูไม้ค้ำ สาวกจำนวนหนึ่งอารักขารอบนอกกันพวกญาติธรรมรบกวน

ขณะเดียวกัน ทรงกลดจอดช็อปเปอร์ที่พาร์กกิงชั่วคราว สินีนุชที่นั่งซ้อนเลื่อนกายลงยืน ทั้งสองถอดหมวกกันน็อก ปัดฝุ่นสีแดงที่จับเนื้อตัวเสื้อกางเกง ดรุณีแสนสวยบ่นอุบอิบ

“แหม ฝุ่นแยะจัง แม้จะสวมหมวกก็เถอะ กลับไปนุชก็ต้องสระผมอยู่ดีน่ะแหละ”

ชายหนุ่มฝากรถจักรยานยนต์ พนักงานเฝ้าแจกบัตรเป็นหลักฐาน คนทั้งสองแหวกฝูงชนที่นั่งบ้างยืนบ้างไม่เป็นระเบียบ ส่วนหนึ่งหลบมุมในเต็นท์หรือใต้ร่มพฤกษ์

ครั้นแล้วก็ประจักษ์ว่าอาสนะโล่ง นายเปล่งศิษย์ก้นกุฏิแจ้งข้อมูลแก่ญาติธรรมซ้ำๆ ซากๆ ว่า

“พระคุณเจ้าอ่อนเพลีย เนื่องจากเมื่อคืนไปปลีกวิเวก จำวัดเอาแรง คงอีกนานกว่าจะตื่น คุณๆ ที่มีธุระกลับไปก่อนก็ได้นะครับ”

คำอธิบายนั้นสะดุดความรู้สึกวูบ ทรงกลดถามทันที

“ท่านอาจารย์ไปปลีกวิเวกที่ไหนครับ คุณลุง”

ชายสูงอายุชี้มือไปยังป่าละเมาะขุนเขา

“หลวงพ่อไม่ได้บอกผม แต่คาดว่าคงแถวๆ โน้นกระมัง ท่านมีอภิญญาณ ตาทิพย์ สามารถเดินในความมืด อสรพิษหรือสัตว์ร้ายจะหลีกหนีท่านเอง”

ชาวบ้านที่รายล้อมต่างขนลุกด้วยความศรัทธาเลื่อมใส คุณยายคนหนึ่งพึมพำว่า โยคีนันทปุโรบริสุทธิ์เคร่งเยี่ยงพระอรหันต์ เป็นเนื้อนาบุญของชาวพุทธ

สินีนุชสะกิดทรงกลดออกมาห่างกลุ่มญาติธรรม

“กลับกันเถอะค่ะ พี่กลด เย็นนี้เราตกลงกันจะไปเผาศพเจ๊เฮียง เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”

“เออ…จริงสิ ผมเกือบลืมแน่ะ”

ทันทีที่ช็อปเปอร์พาสองหนุ่มสาววิ่งป๊อกๆ พ้นจากบริเวณสำนัก ประตูไม้ค้ำกุฏิก็เปิด โยคีนันทปุโรเคลื่อนกายลงมา แช่มช้า สำรวม จริยวัตรงามพร้อม พุทธบริษัทที่รายล้อมต่างพนมมือไหว้สลอน

พระคุณเจ้ายกฝ่ามือเรียวสวยตั้งขึ้นเชิงประทานพร

“ดูกรโยม อโรคยาปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง”

สานุศิษย์ต่างโปรยกลีบดอกไม้ให้ท่านเหยียบย่ำ สตรีเพศถูกกันออกห่าง เพราะโยคีถือเพศพรหมจรรย์เคร่งครัดนัก

สักประเดี๋ยวก็สถิตบนแท่นอาสนะร่มรื่น กลิ่นนกพิราบโชยฉุย ฝูงวิหคร้องจิ๊บเซ็งแซ่บนต้นกร่าง เหนือศีรษะนักพรตผู้มุ่นมวยผม

โยคีนันทปุโรดำรงเสียงห้าวทุ้มอ่อนโยน ประหนึ่งจะแผ่เมตตาธรรมไปยังเวไนยสัตว์ทั้งปวง

“บางเวลาอาตมาชอบจงกรมปลีกวิเวก เมื่อพุทธบริษัทมานมัสการก็จะไม่พบ อยากจะสร้างรูปปั้นอาตมาท่ายืนแบบพระพุทธรูปปางลีลาสูงเจ็ดฟุต ยืนบนแท่นกลางแจ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งอาศรมแสวงบุญ พวกญาติโยมจะเห็นสมควรประการใด”

“สมควร-สมควร!”

หลายเสียงร้องประสาน ชูมือประกอบ

“งั้นเชิญบริจาค มากน้อยแล้วแต่จะศรัทธาไม่บังคับ”

คณะศิษย์ถือบาตรเปล่าเดินขอเรี่ยไรชาวพุทธ เพียงชั่วครู่ก็ได้เงินตั้งร่วมสองหมื่น ดอกเตอร์นักเขียนนอกใจถึงบริจาคพันบาท แม้เขาจะสวมแว่นสายตาก็ยังเห็นดวงตาธรรมแจ่มชัด

 

งานฌาปนกิจศพเฉิดโฉมผู้คนชุมนุมนับร้อย ส่วนหนึ่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น ส.ส. ปลัดจังหวัด ผู้กำกับ สารวัตรใหญ่ แขกมากมายเสียจนจำนวนหนึ่งต้องยืนรอบนอก เพราะเก้าอี้เสริมชุดหลังไม่ค่อยสะอาด

“พ่อนั่งเถอะค่ะ”

อาภันพัทธ์ชวน คุณอรุณเทศสั่นหน้าดิก

“ช่างเถอะ ฉันชอบยืน”

“หนูรู้นะ พ่อชอบเดินต่างหาก” ลูกสาวคนสวยดักคอ “เร่ทักทายคนนู้นคนนี้แบบงานสังคม กึ่งดำเนินธุรกิจ น่าเกลียดค่ะ พ่ออาวุโสแล้ว งานศพควรจะสงบสำรวมไม่ใช่ปลาไหลเลื้อยไปทั่ว”

จี้ใจดำชะงัด!

สุภาพบุรุษวัยหกสิบเศษ รู้สึกคล้ายเคี้ยวบอระเพ็ดทั้งดุ้น มองธิดาตาขวาง

“เจอคนรู้จักกัน ไม่ทักทาย เขาก็จะหาว่าใจดำ”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เอาไว้ให้บังเอิญประจันหน้ากันเสียก่อน”

“สู่รู้ เลิกทำตัวเป็นแม่ฉันเสียทีพัทธ์”

“โธ่! หนูหวังดีนะคะ ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของพ่อเสื่อมเสีย”

คุณอรุณเทศหน้ามุ่ย เม้มริมฝีปาก เหลียวซ้ายมองขวาล่อกแล่ก กิริยาอาการผิดจากเดิมที่เคยเชื่องช้าเยี่ยงคนสูงอายุ พลันตาลุก ปีกจมูกพองๆหุบๆ พิกล

“โน่นไง…ฉันเจอจำเลย เจ็บใจนักไม่รู้จักบุญคุณของเรา เดี๋ยวต้องแกล้งเตร่ไปให้เห็น”

“พัทธ์ขอร้อง อายเขาค่ะพ่อ”

“แกอย่ายุ่งกับพรหมลิขิตของฉัน”

เจ้าของคุ้มเกล้าปลดมือบุตรสาวที่ยึดแขน สะบัดเดินลิ่วขอทางกลุ่มคน

 



Don`t copy text!