นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี

นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

“ฉันยอม” ท่ามกลางความลุ้นระทึกในใจของโชติเสียงชายวัยกลางคนผู้อ้างความชอบธรรมในการเป็นเจ้าของชีวิตของบุตรสาวดังขึ้นพร้อมกับที่หญิงสาวลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก  “ตกลงขายมันให้คุณก็ได้”  แม้สีหน้าของนายฉ่ำยังเคืองขุ่นหากแววตาเริ่มสงบลงแล้ว

“ขอบใจนะจ๊ะน้า  ฉันสัญญาจะดูแลกลอยอย่างดี  มิให้ต้องลำบากแลจะไม่ใช้งานเยี่ยงทาสแต่จะให้ติดตามฉันไปทุกที่เสมอ”

“เรื่องนั้นมิใช่เรื่องที่ฉันกังวล  เพราะว่านังกลอยมันถูกขายมันก็ย่อมจักต้องทำงานตอบแทนเงินที่ได้รับมา  เพียงแต่ว่าฉันยอมเพราะเห็นแก่นังแม่มัน”  เขาเอ่ยอย่างปลง ๆ ด้วยตระหนักในสิ่งที่นางทองก้อนพูดเมื่อครู่  ครั้นมาคิดทบทวนจึงทำให้ได้สติว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีกับทุกคนในครอบครัวมากกว่าการดึงดันขายบุตรสาวเพียงเพื่อสนองความต้องการเรื่องเงินทองของตนเองแต่ฝ่ายเดียว

“อย่างไรเสียก็ขอบใจน้ายิ่งนักที่เห็นแก่กลอยนะจ๊ะ  วันพรุ่งน้าสองคนพากลอยไปที่บ้านลานได้เลยนะจ๊ะ  ฉันจะรีบบอกแม่ให้เตรียมอัฐไว้ให้”  โชติมองไปทางเด็กหญิงที่ขณะนี้มีมารดานั่งเคียงข้าง   แววตาของเด็กหญิงแสดงความดีใจออกมาท่วมท้นส่วนผู้เป็นมารดาก็คลายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อครู่พร้อมกับการตัดสินใจของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว

“เป็นบุญของนังกลอยมันแท้ ๆ ที่ได้มาเจอคุณ”  นางทองก้อนรำพันนำ้ตาคลอพร้อมกับพนมมือไหว้หญิงสาวอย่างสำนึกบุญคุณ  โชติรู้ดีว่ามีถ้อยคำอีกมากมายที่อีกฝ่ายอยากจะพรั่งพรูออกมาหากแต่เมื่อเมฆหมอกผ่านไปแล้วก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องหวนหาถึงอดีตอันน่าเศร้าใจอีก  เพราะการยิ้มรับกับแสงแดดสดใสเมื่อฟ้าเปิดย่อมดีกว่าเสมอ

“มิใช่ดอกจ้ะน้า  กลอยเป็นเด็กดี  ย่อมต้องได้รับสิ่งดี ๆ อยู่แล้ว”

“กลอย  เอ็งไปอยู่กับคุณเขาก็ทำตัวดี ๆ รู้ไหม”  มารดากำชับบุตรสาวพลางสะกิดให้เด็กหญิงไหว้โชติด้วยความสำนึกในบุญคุณ

“จ้ะแม่”  เด็กหญิงยิ้มแววตาเป็นประกาย  ผมที่เปียกลู่แนบศีรษะเริ่มแห้งแล้ว  แม้ว่าเสื้อผ้ายังคงเปียกชื้นหากเจ้าตัวกลับไม่ใส่ใจสักนิด  “ฉันจะทำตัวดี ๆ แลช่วยเหลืองานพี่โชติทุกอย่าง”

“เอ็งเรียกนายว่าพี่ได้เยี่ยงไร  ทำตัวตีเสมอคุณท่านแบบนี้ไม่ได้นะ”  นางทองก้อนทำท่าเงื้อมือจะตีที่ต้นแขนขณะติงบุตรสาวที่กำลังเอี้ยวตัวหนีพัลวัน

“มิเป็นไรดอกจ้ะน้า  ฉันบอกแล้วว่าจะดูแลกลอยให้ดีเยี่ยงน้องสาว  จะให้กลอยคอยติดตามฉัน  ไปด้วยทุกที่  เรียกพี่เช่นเดิมแหละจ้ะกลอย”  ประโยคสุดท้ายหญิงสาวหันไปกำชับกับเด็กหญิง  “เด็กที่ไปเรียนหนังสือบ้านมิสซิสเฮาส์ก็เรียกฉันว่าพี่กันทุกคน  ฉันถือว่าพวกเรามีครูคนเดียวกันก็เปรียบเสมือนพี่น้องกันจ้ะน้า”

“จ้ะ  พี่โชติ”

เด็กหญิงแววตาเป็นประกายสดใสต่างจากเมื่อตอนแรกที่กลุ่มของโชติมาเยือนเรือนนี้  บัดนี้ดูท่าทางนายฉ่ำคลายความแข็งกร้าวลงแล้ว  โชติคิดว่าคงเพราะเขาตระหนักได้อย่างดีว่าหากขาดภรรยาไปเขาคงหมดทางที่จะใช้ชีิวิตอย่างสุขสบาย  และคงเห็นแก่ความยากลำบากที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน  ที่สำคัญสุดเขาไม่ได้เสียอะไรไปเพราะยังได้เงินเช่นเดิมและลูกสาวก็ไม่ได้ไปตกระกำลำบากด้วยตัวเธอรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะเรื่องการดูแลกลอย

ซึ่งโชติก็หมายความเช่นที่ได้เอ่ยวาจาไปเช่นนั้นจริง

 

เรือนริมน้ำของหมอเฮาส์ที่ใช้เป็นสถานศึกษาอบรมเด็กหญิงชาวสยามดูคึกคักกว่าปกติด้วยบัดนี้เด็กหญิงผมจุกทั้งหลายรวมถึงเด็กหญิงที่เพิ่งเข้าสู่วัยสาวหลายคนต่างมายืนเมียงมอง รวมถึงมุงดูชายชาวฝรั่งเศสที่แม้ผมเผ้าเริ่มแห้งแล้วหากแต่เสื้อผ้าชุดหนาของเขานั้นยังคงเปียกชื้นอยู่

“เดี๋ยวครูไปเอาเสื้อผ้าของหมอมาให้เปลี่ยนก็แล้วกัน”  มิสซิสเฮาส์กล่าวกับหญิงสาวและชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงกันหลังจากที่ทุกคนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าของบ้านฟังอย่างละเอียด  ท่าทีของศิษย์รักดูไม่ต่อต้านชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าหากก็ยังสงวนท่าทีสมกับเป็นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“ค่ะครู  ฉันไปด้วยนะคะ”  โชติไม่รีรอที่จะตามไปหากแต่เมื่อออกเดินก็ต้องหยุดชะงักทันที

“มิต้องดอกแม่โชติ  เธออยู่ที่นี่แหละ  ครูไปกับลอราดีกว่า  เธอจะได้ช่วยดูน้อง ๆ ด้วย  เห็นไหมว่าแต่ละคนมิมีสมาธิทำสิ่งใดกันแล้ว”  มิสซิสเฮาส์หันไปมองเด็กหญิงที่จับกลุ่มกันอยู่อย่างระอาในความช่างอยากรู้ตามประสาเด็กเพราะต่างละจากงานในมือมายืนเมียงมองอยู่ไม่ห่าง

“แม่พุดตานคงจะนำคนอื่นเป็นแน่”  โชติมองไปยังเด็กหญิงแก้มยุ้ยซึ่งยืนจ้องมิเชลอย่างอยากรู้อยากเห็น  “มานี่เลยแม่พุดตาน”  หญิงสาวกวักมือเรียกอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

“คุณพี่ขา  ได้เรื่องแม่กลอยไหมคะ”  เจ้าตัววิ่งมาหาโชติอย่างรวดเร็วราวคาดคะเนไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเรียกหา

“ถามพี่หรือถามใครจ๊ะ”  โชติถามกลับเมื่อเห็นท่าทีที่อีกฝ่ายจ้องมองชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสไม่วางตา

“แหม  ก็ถามคุณพี่สิคะ”  เด็กหญิงทำท่ากระฟัดกระเฟียดราวสาวน้อยแรกรุ่น  ซึ่งความจริงด้วยวัยของพุดตานก็เป็นเช่นนั้นหากแต่โชติรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีความเป็นเด็กหญิงที่ไร้จริตหญิงสาวมากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน  เพราะไม่ว่าพุดตานจะทำตัวเป็นสาวมากเพียงใดแต่กลับมองดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่พยายามเลียนแบบผู้ใหญ่อยู่ร่ำไป

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ  พี่จะให้แม่ของพี่ซื้อตัวแม่กลอยให้มาอยู่กับพี่  ตอนแรกน้าฉ่ำก็ไม่ยอมต้องกล่อมกันอยู่นานจนน้าทองก้อนขู่ว่าหากไม่ยอมจะขายตัวเองกับกลอยแล้วออกจากบ้านไปเสีย  ทีนี้น้ำฉ่ำเลยยอมจ้ะ  พี่เลยบอกให้น้าทั้งสองคนพาตัวกลอยไปที่บ้านพี่ในวันพรุ่ง”

“ดีจริงเชียวค่ะคุณพี่  ฉันนั่งลุ้นเสียจนมิเป็นอันทำสิ่งใด  ดูสิคะ  มือเย็นเฉียบเลย”  อีกฝ่ายส่งมือให้โชติจับตามที่พูด

“อู้งานน่ะสิไม่่ว่า”  โชติจับแก้มยุ้ยของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

“หามิได้นะคะ  ฉันเป็นห่วงแม่กลอยต่างหากเล่า”  เด็กหญิงยืนต่อปากต่อคำพลางลอบมองชายหนุ่มอย่างสนใจ  “ชายผู้นี้ไปกับคุณพี่หรือคะ  เขาไปทำอันใดมาถึงตัวเปียกปอนเยี่ยงนี้คะ”  เสียงกระซิบกระซาบที่ดังพอควรทำเอาผู้ถูกกล่าวถึงเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกเอ่ยถึงแม้จะฟังภาษาสยามไม่ออกก็ตาม  มิเชลมองเด็กหญิงแก้มยุ้ยอย่างเอ็นดูในท่าทีเปิดเผยแล้วถามโชติว่าเขาคือผู้ถูกกล่าวถึงในบทสนทนาของหล่อนใช่หรือไม่

“ค่ะ  แม่พุดตานถามว่าคุณไปทำอะไรมาเสื้อผ้าแลเนื้อตัวจึงเปียกเยี่ยงนี้”

“บงชูร์  พุดตาน”  มิเชลทักทายเด็กหญิงเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างเอ็นดู

“อันใดกันคะคุณพี่  ฝรั่งผู้นี้พูดภาษาใด  มิใช่ภาษาอังกฤษ”  เด็กหญิงสงสัยหากแต่แววตาสนใจใคร่รู้ด้วยเพราะชอบเจรจาพาทีเป็นทุนเดิม  แม้มิได้มีทักษะในการเรียนภาษามากเท่าคนอื่นหากแต่ความสนใจของพุดตานนั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง

“ภาษาฝรั่งเศสจ้ะ  เขาทักทายหล่อนน่ะแม่พุดตาน”

“บง  อะไรนะคะคุณพี่”  เด็กหญิงหันไปถามโชติอย่างขอความช่วยเหลือ

“บงชูร์”

“บงชูร์  มิสเตอร์  ฉันชื่อพุดตาน”  เด็กหญิงกล่าวทักทายภาษาฝรั่งเศสตามเจ้าของภาษาและแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษที่เพียรฝึกฝนมาอย่างชัดเจน

“ผมชื่อมิเชล  ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”  เขาตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษบ้าง

“มิเชลเขาลงไปช่วยแม่กลอยขึ้นจากน้ำน่ะ”

“แม่กลอยตกน้ำหรือคะ  ทำเยี่ยงไรตกน้ำตกท่าได้  ออกจะว่ายน้ำคล่องแคล่ว”

“เรียกว่าตกน้ำก็ไม่เชิงดอกจ้ะ  แม่กลอยตั้งใจกระโดดลงไปมากกว่า”

“ว่าอย่างไรนะคะคุณพี่  ตั้งใจ  หมายถึงตั้งใจตั้งกระโดดน้ำตายหรือคะ  โถ  แม่กลอยคงคับข้องใจมากนะคะ”  พุดตานเอ่ยอย่างเห็นใจพลางมองหน้าโชติ  “ดีนะคะที่คุณพี่แลคุณมิเชลไปช่วยไว้”

“ต้องขอบใจพุดตานด้วยนะจ๊ะที่รีบบอกพี่  ถือได้ว่าพวกเราช่วยกันนะจ๊ะ”

“ค่ะคุณพี่  นั่นครูมาแล้วค่ะ”  เด็กหญิงมองไปทางเรือนใหญ่ซึ่งเจ้าของบ้านกำลังเดินตรงมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ

“นี่เสื้อผ้าของสามีฉันเอง  อาจหลวมนิดหน่อยแต่คงพอใส่กันได้”  มิสซิสเฮาส์ส่งเสื้อผ้าให้มิเชล  อย่างเต็มใจ

“ขอบคุณครับ”

“ไปเปลี่ยนเสียก่อนเถิด  หากช้าไปกว่านี้คุณจะป่วยไข้เอา”

“ครับ”  เขาเดินตามลอราไปยังห้องชั้นล่างซึ่งเจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้า

“ตกลงว่าเธอรับแม่กลอยไปดูแลแถมยังให้เงินพ่อแม่เขาอีกนะแม่โชติ”  มิสซิสเฮาส์เอ่ยอย่างเข้าใจสถานการณ์

“เรียกอย่างนั้นถูกต้องที่สุดค่ะครู  ทำอย่างไรได้คะ  บ้านเมืองฉันเรื่องซื้อขายแรงงานเป็นเรื่องปกติ  แต่ฉันมิได้คิดว่าการซื้อกลอยมาจะต้องขูดรีดเอาแรงงานจากกลอยดอกนะคะ  อย่างที่บอกครูไปแล้วว่าฉันจะดูแลเหมือนน้องแลให้ติดตามไปด้วยทุกที่”

“ครูเข้าใจจ้ะ  เธอเป็นคนจิตใจดี  ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรด้วยนะจ๊ะ”

“สาธุค่ะครู”  โชติยกมือไหว้อย่างขอบคุณผู้อาวุโสกว่า  แม้ต่างศาสนาแต่คุณความดีที่ยึดเหนี่ยวทำให้ต่างเข้าใจในการกระทำของกันและกันเสมอ

เด็ก ๆ ต่างแยกย้ายกันไปนั่งทำงานตามมุมต่าง ๆ เมื่อมิเชลเปลี่ยนเสื้อผ้าลงจากเรือนและตรงมาที่สนามหน้าตึกเขาจึงแปลกใจเล็กน้อยที่บรรยากาศวุ่นวายเมื่อครู่กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

“เหตุใดเด็ก ๆ จึงหายไปกันหมดครับ”  เขาถามเมื่อรับถ้วยชาร้อนจากเจ้าของบ้าน

“มิได้หายไปไหน  แต่กลับไปทำหน้าที่ตามปกติจ้ะ”  มิสซิสเฮาส์ตอบอย่างสุขุม

“ต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะที่ตัดสินใจช่วยแม่กลอย  เหตุการณ์จึงจบลงด้วยดี”  โชติเอ่ยอีกครั้งจากใจ  แววตาของหญิงสาวเป็นมิตรและไว้ใจเขามากขึ้น

“เป็นเรื่องที่ผมต้องทำอยู่แล้ว  ถือว่าพวกเราได้ช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”

“ค่ะ  ฉันก็คิดเยี่ยงนั้น”  ทั้งสองมองตากัน  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายแรงกล้าจนหญิงสาวต้องหลบตาเสมองไปยังมหานทีเบื้องหน้าด้วยอาการนิ่งงันหากภายในใจกลับรู้สึกราวกับกำลังฝ่าคลื่นลมในนาวาอยู่กลางแม่น้ำตรงหน้าก็ไม่ปาน

“วันพรุ่งคุณจะมาที่นี่หรือไม่”  เขาไม่รอให้เธอได้มีเวลาไตร่ตรองความรู้สึกตัวเองแต่รีบรุกเร้าเพื่อให้ได้ใกล้ชิดมากขึ้น

“อาจไม่มาค่ะเพราะต้องจัดการเรื่องกลอยให้เรียบร้อยเสียก่อน”

“เช่นนั้น  วันมะรืนเล่า  มาหรือไม่”

“คงมาค่ะ  หากไม่มีเหตุใดมาทำให้ต้องงดการมาเรียนฉันก็มิเคยขาด”

“แม้ว่าไม่มีสิ่งใดจะสอนแล้วก็ตาม”  เสียงปรานีของผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มดังขึ้น  “แม่โชติเป็นศิษย์เอกของฉันเอง  เรียนภาษาได้คล่องแคล่วรวดเร็ว  เรื่องงานอื่น ๆ ก็พอมีฝีมือตามสมควร  อวดคนได้ไม่อาย”  มิสซิสเฮาส์เอ่ยปากชมศิษย์รัก  “ทุกวันนี้ที่มาบ้านนี้นั้นมิได้มาเรียนหากแต่มาช่วยดูแลแลสอนน้อง ๆ มากกว่า”

“ผมเห็นเช่นที่มิสบอกครับ”  เขาคล้อยตามที่เจ้าของบ้านพูดและหันไปมองหน้าหญิงสาวอย่างหารือ  “เช่นนั้นคุณพอจะมีเวลามาสอนภาษาไทยให้ผมบ้างได้หรือไม่”

“สอนภาษาหรือคะ  ฉันมิใช่ครูคงมิอาจสอนใครได้ดอก”  โชติรีบออกตัวเพราะรู้ดีว่าเขาจะต้องหาโอกาสใกล้ชิดเธอ

“ได้สิครับ  สอนในที่นี้มิต้องสอนตามตำราใด ๆ เพียงแค่คุณสอนให้ผมได้สนทนาเป็นภาษาของคุณ  ส่วนผมจะสอนภาษาของผมให้บ้าง  เยี่ยงนี้คุณจะทำได้หรือได้ครับ”  เขารู้ดีว่าหญิงสาวสนใจใคร่รู้ภาษาของเขาเช่นกันจึงเสนอทางเลือกที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้

“จริงหรือคะ  คุณจะสอนภาษาของคุณให้ฉันหรือ”  น้ำเสียงและแววตากระตือรือร้นของหญิงสาวสร้างรอยยิ้มให้อีกฝ่ายทันที  หากเพียงครู่เดียวแววตาของโชติกลับหม่นลงราวลังเลบางอย่าง  ด้วยเพราะไม่แน่ใจว่าตัวตนของเขานั้นมีสิ่งใดแอบแฝงอันเป็นภัยแก่บ้างเมืองของเธอหรือไม่  แม้ไม่ติดใจสงสัยในน้ำใจของเขาแล้วก็ตาม

“เอาเถิดแม่โชติ  ครูเห็นว่าสิ่งที่มิเชลเสนอมานั้นน่าสนใจมิใช่น้อย  ตกลงเธอก็สอนภาษาของเธอให้เขาแลเขาสอนภาษาของเขาให้แก่เธอที่บ้านของครู  ดีไหมจ๊ะ”

มิสซิสเฮาส์สรุปให้เรียบร้อยอย่างรู้ดีว่าโชติต้องการสิ่งใด  หากลังเลนานไปอาจทำให้เสียเวลาทุกฝ่าย  เธอมองว่าอย่างไรเสียการที่หญิงสาวได้เรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมย่อมมีประโยชน์มากกว่าการคิดระแวงว่าชายผู้นี้จะมาดีหรือร้าย  หากเขาประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองนี้จริงย่อมเป็นการดีที่หญิงสาวจะได้รู้ว่ามีคนไม่ดีอยู่ใกล้ตัวและเธอจะได้นำเรื่องนี้ไปบอกที่บ้านให้เฝ้าระวังทั้งตัวเขาและผู้ที่เขาติดตามมาได้อย่างทันท่วงที

“ก็ได้ค่ะครู”  หญิงสาวตกลงตัดสินใจได้เมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่เธอเคารพและไว้ใจ  “เช่นนั้นฉันตกลงค่ะ  เริ่มเป็นวันมะรืนก็แล้วกันนะคะ”

“ได้ครับ  ผมจะมารอที่นี่นะครับ”

มิเชลทอดสายตาอ่อนโยนมายังหญิงสาวตรงหน้า  ดวงตากลมโตอันมีแววสุกใสเริงรื่นเป็นประจำมิได้จ้องมองตอบเขาหากแต่กำลังมองตรงไปยังไม้ใหญ่และพินิจพิจารณาราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน  ทั้งที่ความจริงแล้วหญิงสาวย่อมต้องเคยคุ้นกับบ้านหลังนี้มานานกว่าเขาเสียอีก

เขาถือว่านี่อาจเป็นสัญญาณอันดีที่เป็นจุดเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหญิงสาวชาวสยามผู้งดงามจับตาทั้งยังมีน้ำใจไมตรีอันจับใจเขายิ่งนัก

 



Don`t copy text!