แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่… กระจกพยากรณ์ (1)
โดย : ณรัญชน์
แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co
กันต์มุ่งมั่นว่าจะต้องกลับไปยังร้านขายของเก่าลึกลับนั้นให้จงได้ เขาพยายามสอบถามชาวบ้านหลายคน แต่ไม่มีใครเคยเห็นชายจีนหนวดเคราขาวโพลนคนนั้นไม่ว่าที่ไหน ครั้นลองเดินไปตามทางที่เคยพาเขามาถึงบ้านของบพิตร เขาก็หลงวนเวียนอยู่ในซอยคดเคี้ยวจนแทบจะหาทางกลับไม่ถูก แต่ไม่เคยได้พบร้านเล็กๆ แห่งนั้นอีกเลย
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งปี กันต์จำได้ว่าอากาศในวันนั้นอบอ้าวผิดปกติ ท้องฟ้าเป็นสีเทาขุ่นราวกับน้ำโคลน มีเมฆอุ้มน้ำก้อนใหญ่ๆ ลอยกระจายอยู่ทั่ว จู่ๆ เส้นทางที่กันต์เดินอยู่ก็เหมือนจะคุ้นตาขึ้นอย่างประหลาด เขาลองมุ่งหน้าต่อไปจนสุดซอย ก็เห็นอาแปะลึกลับคนนั้นกำลังนั่งสูบกล้องยาอยู่หน้าร้าน สองตาจับมาที่ปากทางราวกับจะรู้ว่าจะได้พบเขา
หัวใจของคนที่ค้นหามานานจนแทบจะสิ้นหวังโลดขึ้นเต็มแรงด้วยความปราโมทย์ กันต์ถลาเข้าไปหา ละล่ำละลักถามถึงคันฉ่องทองเหลืองทันที อาแปะเจ้าของร้านไม่มีท่าทางแปลกใจ แกลุกขึ้นสั่งให้เขาตามเข้าไปในร้าน ก่อนจะหยิบวัตถุที่เป็นยอดปรารถนาของกันต์ส่งให้อย่างไม่มีพิธีรีตอง
“คันฉ่องนี้ชื่อว่าไขฟู่ แปลว่าโชคชะตา ที่ลื้อกลับมาที่ร้านนี้ได้ก็เพราะมันได้กินเลือดของลื้อแล้ว มันเลือกที่จะเป็นสมบัติของลื้อ ลื้อก็รับมันไปเถอะ”
ทั้งๆ ที่ความลำเค็ญในชีวิตบ่มเพาะให้เขาสามารถควบคุมสีหน้าและกิริยาได้ราวกับผู้ใหญ่กร้านโลก แต่นาทีนั้นกันต์ก็แทบจะเก็บความยินดีไว้ไม่อยู่
“คันฉ่องนี่ใช้ดูชะตาของผมได้คนเดียวเท่านั้นหรืออาแปะ ถ้าหากผมอยากดูชะตาของคนอื่นล่ะจะได้ไหม”
“ไขฟู่ถูกสร้างมาให้สนองตอบความปรารถนาของเจ้าของ มันจะบอกชะตาของทุกคนที่ลื้อต้องการ แต่จำไว้ว่าลื้อจะใช้มันได้เพียงเดือนละครั้ง และแต่ละครั้งมันจะบอกชะตาของคนเพียงคนเดียวเท่านั้น” อาแปะตอบ
กันต์นิ่งคิด ใคร่จะทดลองความอัศจรรย์ของสมบัติชิ้นใหม่ ขณะเดียวกันความหวงแหนที่ผุดขึ้นมาจากการได้ครอบครองสิ่งล้ำค่าเป็นครั้งแรกก็บอกให้เขาใช้มันอย่างระมัดระวัง ครั้งที่แล้วเขาได้เห็นอนาคตของตัวเองไปแล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะดูซ้ำอีก ถ้าจะทดลองอำนาจคันฉ่อง ควรจะดูอนาคตของคนที่อยู่เหนือกว่าเขาไม่ดีกว่าหรือ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอดูอนาคตของคุณวิศรุตก็แล้วกัน”
แววเย้ยหยันบางเบาทอแสงอยู่บนดวงตานิ่งสนิทราวกับบ่อน้ำโบราณของชายชรา ราวกับนึกสมเพชกิเลสที่แผดเผาหัวใจมนุษย์ อาแปะยื่นมีดโกนเล่มหนึ่งให้เขา
“ถ้าจะปลุกไขฟู่ให้ตื่นขึ้นมาจะต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนสองอย่าง หนึ่งต้องเป็นวันแรมสิบห้าค่ำซึ่งก็คือวันนี้ และสองจะต้องได้ดื่มเลือดเจ้าของ จากนั้นลื้อก็เพ่งจิตไปถึงคนที่ลื้ออยากรู้ชะตา แล้วมันจะให้คำตอบกับลื้อเอง”
กันต์รับมีดมา ออกแรงกดแผ่นเหล็กคมกริบลงบนฝ่ามือ มันเจ็บไม่น้อยเชียวละ แต่เขาไม่ไยดีเพราะหัวใจที่กำลังระทึกด้วยความตื่นเต้นมีอิทธิพลรุนแรงกว่าหลายเท่า
ทันทีที่ของเหลวสีแดงข้นจากฝ่ามือเด็กชายรินรดแผ่นทองเหลือง บรรยากาศรอบตัวก็มืดสนิทลงเช่นเดียวกับครั้งแรก ประกายเลื่อมพรายสีเงินยวงที่จู่โจมเข้าสู่ดวงตาของกันต์มาพร้อมกับภาพชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นภาพของวิศรุตในช่วงเวลาต่างๆ…
กันต์เห็นเขานั่งร้องไห้อยู่งานศพของนายบพิตรที่ถูกคนร้ายแทงตายไปโดยไม่คาดฝัน และก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่กี่วันต่อมาก็เกิดไฟไหม้ วิศรุตกรีดร้องเสียขวัญอยู่บนชั้นสองของบ้านที่ถูกโอบล้อมด้วยเปลวเพลิง ควันดำหนาทึบผสมกับไอร้อนผ่าวคละคลุ้งไปทั่ว ขณะที่วิศรุตลนลานวิ่งหนีลงมาชั้นล่าง ตู้ใบใหญ่ก็ล้มโครมลงขวางหน้า เดชะบุญที่โดดหลบได้ทันท่วงที จากนั้นเขาก็ค่อยๆ คลำทางพาตัวหนีออกมาได้สำเร็จ
เมื่อสูญสิ้นทั้งสามีและทรัพย์สมบัติ อรสาก็พาลูกชายบากหน้าไปหาพ่อสามี วิงวอนขอร้องจนนายมงคลเมตตายอมรับหลานและลูกสะใภ้เข้ามาอยู่ในบ้าน วิศรุตได้รับการรักษาจากแพทย์ฝีมือเยี่ยมจนร่างกายที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น แทบจะไม่มีอาการป่วยหลงเหลืออีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนเทพีแห่งโชคลาภจะเมตตาเขาเป็นพิเศษ รพีพรรณ จรัสวงศ์ หญิงสาวคนรักของวิศรุตมีเลือดกรุ๊ปเอเนกาทีฟที่หาได้ยากยิ่งนัก เธอได้ใช้เลือดของตัวเองช่วยชีวิตหม่อมภรณี เศรษฐินีคนสำคัญของพระนครไว้
ความสำคัญของหม่อมไม่ได้กินความเพียงทรัพย์สินเงินทองที่มีล้นเหลือเพียงอย่างเดียว แต่หม่อมภรณีเป็นหลานสาวของพระยาท่านหนึ่งซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตามาหลายรัชกาล ส่วนหม่อมราชวงศ์เจตน์สามีซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วของเธอนั้นก็เป็นผู้กว้างขวางในแวดวงการค้า ทั้งหมดนี้ส่งผลให้หม่อมภรณีมีทั้งบารมีและคนรู้จักมากมายในวงสังคม และคนเหล่านี้ก็เกรงใจเธอพอจะร้องขอสิ่งต่างๆ ได้ไม่ยาก
เมื่อรพีพรรณมีบุญคุณช่วยชีวิต หม่อมภรณีก็ตอบแทนกลับด้วยการสนับสนุนธุรกิจการค้าของวิศรุตในทุกๆ ทาง ราวกับเป็นตะเกียงวิเศษของอาละดิน วิศรุตแทบไม่ต้องออกแรงขวนขวายอะไรเลย เพียงแค่เอ่ยปากทุกสิ่งที่เขาปรารถนาก็สำเร็จดังเนรมิต
ต่อมาเขาก็แต่งงานกับรพีพรรณ มีฐานะมั่งคั่งและลูกๆ น่ารักหลายคน ความสุขของวิศรุตดำเนินต่อไปอีกยาวนานจนกระทั่งล่วงเข้าวัยชรา เขาก็เป็นคุณปู่ที่มีหลานๆ ห้อมล้อมคอยดูแลอย่างอบอุ่น
ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาอะไรเช่นนี้!
เส้นทางขากลับเหมือนจะสั้นจนกันต์ซึ่งใช้ความคิดมาตลอดทางแทบไม่รู้ตัวว่ามายืนอยู่หน้าบ้านของวิศรุตตั้งแต่เมื่อไร สิ่งที่วนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงคือภาพชีวิตของตัวเขาเอง ชีวิตในวันข้างหน้าที่จะต้องคอยติดตามรับใช้วิศรุต ต้องคอยรองมือรองเท้า เก็บงำความต้องการของตัวเองไปเสียทุกสิ่ง
เรื่องลำบากนั้นคงจะพูดได้ไม่เต็มปากนักหรอก แต่ก็แน่เหลือเกินว่าย่อมจะห่างไกลจากความสมบูรณ์พูนสุขแม้เพียงเสี้ยวเดียวที่ผู้เป็นเจ้านายได้รับ
คนสองคน อายุเท่ากัน อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่พระพรหมกลับเล่นตลกให้มีชะตาชีวิตต่างกันลิบลับ ราวกับคนหนึ่งเป็นแสงเรืองรองของอรุณรุ่ง ส่วนอีกคนเป็นเพียงความสลัวรางในยามราตรี
ชีวิตจะไม่มีความยุติธรรมให้เขาบ้างเชียวหรือ…
นับจากนั้นกันต์ก็จับตามองวิศรุตแทบจะทุกอิริยาบถ พอได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะสดใสอย่างคนที่ไม่เคยมีความทุกข์มาแผ้วพาน ความริษยาก็กระจายไปทั้งหัวใจราวกับการเติบโตของวัชพืชพิษ จนถึงวันที่บพิตรถูกคนร้ายแทงตาย วิศรุตไปร่วมงานศพพ่อได้เพียงสองคืนอาการป่วยของเขาก็กำเริบ ต้องนอนซมอยู่ในห้อง กันต์จึงต้องรับหน้าที่ดูแลอีกฝ่ายแทนการไปช่วยงานที่วัดกับอรสา
หลังจากอรสาไปวัดแล้ว กันต์ก็นั่งรอสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่ในห้องเก็บของที่เขาใช้ซุกหัวนอน…รอให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ไป…รอให้เทียนที่อรสาเผอเรอจุดทิ้งไว้ในห้องพระล้มลงบนเบาะผ้า…รอให้เปลวไฟเริ่มไหม้อย่างช้าๆ ก่อนจะลามไปติดพรมปูพื้น ตามด้วยผ้าม่านซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีจนกลายเป็นต้นเพลิงขนาดใหญ่
รอ…จนกระทั่งไอร้อนกรุ่นและควันไฟลอยตามลมเข้ามาทางหน้าต่าง มีเสียงคนตะโกนไม่ได้ศัพท์ดังแว่วมาเขาถึงวิ่งออกไปดู เห็นเพื่อนบ้านกำลังยืนหน้าตาตื่นอยู่นอกรั้วซึ่งคล้องแม่กุญแจไว้อย่างแน่นหนา
กันต์วิ่งพรวดพราดขึ้นไปชั้นบนอันเป็นห้องนอนของวิศรุต สภาพบนนั้นเหมือนกับเหตุการณ์ที่เขาเคยเห็นในนิมิต วิศรุตกำลังไอจนตัวโยนอยู่ท่ามกลางควันไฟคลุ้งระอุ พอเห็นกันต์เขาก็ร้องเรียกแล้วคลำทางตรงมาหา ฉับพลันตู้ใบใหญ่ก็ล้มโครม วิศรุตทำท่าจะเบี่ยงตัวหลบแต่กันต์ปราดเข้าไปอย่างว่องไว ยื่นมือผลักเต็มแรงจนอีกฝ่ายหน้าคะมำ ตู้หนาหนักจึงล้มทับร่างผอมเก้งก้างแบบเด็กหนุ่มกำลังโตไว้ทั้งตัว!
กันต์ไม่สนใจว่าวิศรุตจะเห็นหรือไม่ว่าเขาคือคนที่ลงมือทำร้าย เขาหมุนตัวกลับรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง จากนั้นก็ไขกุญแจรั้วออกไปยืนรวมกับคนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ด้านนอก ไม่กี่นาทีถัดมา บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในทะเลเพลิง
น่าแปลกที่ความละอาย ความรู้สึกว่าได้ทำสิ่งชั่วร้ายลงไปไม่แผ้วพานเข้ามาในหัวใจเลยสักนิด ตรงกันข้าม กันต์กลับรู้สึกปลอดโปร่งคล้ายได้สลัดโซ่ตรวนหนักอึ้งออกไปจากตัว ขณะมองดูดวงไฟสีส้มสดที่กำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่งตรงหน้า
แสงสุกใสนั้นเต้นเร่าราวกับกำลังเริงระบำอวยพรให้ชีวิตใหม่ของเขา…ชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นมาจากการทำลายล้างจนราพณาสูร
อรสาแทบล้มทั้งยืนเหมือนเห็นสภาพบ้าน และเป็นลมไปจริงๆ เมื่อพบร่างสันทัดร่างหนึ่งถูกเผาจนเป็นตอตะโกอยู่ภายในบ้าน…ก็ในเมื่อกันต์นั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้ แล้วร่างนั้นจะเป็นใครได้อีกล่ะถ้าไม่ใช่วิศรุต!
โชคดีที่เพื่อนบ้านชื่อแม่บุญศรีช่วยพยาบาลจนเธอฟื้นขึ้นมา และยังแบ่งห้องเล็กๆ ในบ้านตนเองให้หญิงสาวพักอยู่ด้วย แต่อรสารู้ว่าความเอื้อเฟื้อนี้คงดำเนินไปได้ไม่นานนักหรอก เพราะไม่มีใครร่ำรวยพอจะอุ้มชูคนอื่นได้อย่างจริงจัง
ขณะที่เธอกำลังมืดแปดด้านบุญศรีก็เปรยขึ้น
“โชคร้ายจริงๆ แม่คุณเอ๊ย ถ้าคุณบพิตรเสียไปคนเดียวแต่พ่อวิศรุตยังอยู่ก็ยังไม่กระไรนัก ถ้าจะบ่ายหน้าไปพึ่งคุณมงคล ถึงอย่างไรท่านก็คงเห็นแก่หลานชายบ้าง”
อรสาน้ำตาร่วงพรูทันทีที่ได้ยินชื่อลูกชาย เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตาขณะที่ผู้หวังดียังคุยจ้อ
“คิดๆ ดูชีวิตแม่อรสาเหมือนละครวิทยุที่ฉันเคยฟังเลยนะ เรื่องนั้นน่ะพระเอกหายตัวไปในสนามรบ ส่วนนางเอกก็ถูกพ่อผัวกีดกันไม่ให้เข้าบ้านเหมือนกับเธอนี่ละ แต่อีนางเอกมันฉลาด ไปเอาเด็กมาหลอกพ่อผัวว่าเป็นลูกของพระเอก พ่อผัวเลยต้องยอมให้อาศัยอยู่บ้านไปก่อน รออยู่ตั้งหลายปีสุดท้ายพระเอกไม่ตายเลยกลับมาครองรักกันได้”
บุญศรีทำท่าคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็โพล่งออกมาว่า “นึกออกแล้ว ทำไมเธอไม่หาเด็กผู้ชายอายุเท่ากับพ่อวิศรุตไปแสดงตัวกับพ่อผัวล่ะ คุณมงคลไม่เคยเห็นหลานชายสักหน่อย เธอจะพาใครไปบอกว่าเป็นหลาน ท่านก็ไม่รู้หรอก”
ทีแรกอรสาไม่ได้เอาใจใส่คำพูดเลื่อนลอยของบุญศรี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความลำบากขัดสนรุมล้อมเข้ามาทุกทิศทุกทาง เธอก็เริ่มยกคำแนะนำนั้นขึ้นมาไตร่ตรอง และลงท้ายก็มองเห็นว่านี่ละคือทางรอดหนึ่งเดียวในเวลานี้
เด็กที่จะเอามาสวมรอยเป็นวิศรุตจะต้องสิ้นไร้ไม้ตอกพอๆ กับอรสา ถึงจะยอมให้ความร่วมมือโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหักหลัง อรสาไม่เห็นใครที่เหมาะสมไปกว่ากันต์อีกแล้ว จึงเรียกเขามาพบ เล่าแผนการให้ฟังโดยไม่อ้อมค้อม
ทีแรกกันต์อิดออด แต่อรสาทั้งเกลี้ยกล่อมและยกบุญคุณขึ้นมาอ้างจนเด็กหนุ่มต้องยอมตกลงอย่างจำใจ หารู้ไม่ว่าทันทีที่เธอคล้อยหลัง กันต์ก็ลอบยิ้ม นึกขอบคุณสร้อยทองที่แอบหยิบมาจากลิ้นชักของอรสาก่อนจะเกิดไฟไหม้บ้าน มันกลายเป็นสินบนชั้นดีที่เขาใช้จ้างบุญศรีให้ทำงานให้ และก็ได้ผลอย่างงดงามเสียด้วย
อรสาใช้เวลาสองวันซักซ้อมรายละเอียดกับกันต์จนมั่นใจ วันรุ่งขึ้นก็พาเขาจับรถไฟจากสงขลาไปหานายมงคลที่พระนคร แน่นอนว่าเศรษฐีชรายินดีอ้าแขนรับหลานชายและลูกสะใภ้โดยไม่ลังเล
นับจากนั้น กันต์ก็กลายเป็นวิศรุต กิตติไกรสีห์ อย่างเต็มภาคภูมิ!
กันต์อยู่ในบ้านของนายมงคลในฐานะหลานชายหัวแก้วหัวแหวน ได้กินอยู่อย่างดีมีคนคอยรับใช้ สุขสบายราวกับเจ้าชายก็ไม่ปาน ระหว่างนั้นธงชัยก็เข้ามาทำงานในบริษัทของบิดา และในเมื่อเขาเป็นลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว จึงมีเสียงพูดกันหนาหูว่าธงชัยนี่ละที่จะเป็นผู้สืบทอดกิจการทั้งหมดต่อจากนายมงคล
คำพูดพวกนี้กันต์ได้ยินมาบ้าง แต่ในช่วงแรกเขามัวตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราฟุ่มเฟือยที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน จึงไม่ได้เอาใจใส่นัก จนกระทั่งเรียนจบมัธยมปลาย กำลังจะไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เด็กหนุ่มถึงได้เริ่มกังวล
อีกหลายปีกว่ากันต์จะสำเร็จการศึกษาแล้วกลับมาเริ่มงานในบริษัทของครอบครัว ถึงตอนนั้นอาธงชัยก็คงจะควบคุมกิจการที่เป็นเส้นเลือดหลักของกิตติไกรสีห์ไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต่างจากเศษเนื้อไร้ราคาประเภทเก็บค่าเช่าตึกแถว ดูแลโรงสีเท่านั้นที่จะตกมาถึงมือเขา
เขาจะต้องกำจัดธงชัยให้พ้นทางก่อนจะไปเรียนต่อให้จงได้…
เป็นอีกครั้งที่คันฉ่องไขฟู่ได้ลิ้มรสเลือดของกันต์ มันตอบแทนด้วยการเผยภาพนิมิตให้เขาเห็นว่าในบรรดาเหตุการณ์ภายภาคหน้าที่รอธงชัยอยู่ มีอยู่วันหนึ่ง ตัวเขา ธงชัย และอานนท์ซึ่งเป็นเลขาฯ คนสนิท ได้ชวนกันไปซื้อซิการ์ที่ถนนเจริญกรุง ทั้งสามเดินเข้าออกร้านค้าหลายแห่งกว่าจะได้ซิการ์กลิ่นที่ธงชัยชอบ แต่พอจะกลับอานนท์เกิดอยากได้ยาจีนไปฝากแม่ยายของเขาบ้าง จึงชวนกันต์ไปซื้อที่ร้านขายยาตรงสี่แยก ปล่อยให้ธงชัยซึ่งเมื่อยขาเต็มทนยืนรออยู่หน้าร้านซิการ์คนเดียว
ไม่มีใครคาดคิดว่าธงชัยจะถูกรถของคนเมาที่ขับพุ่งขึ้นมาบนทางเท้าชนเข้าอย่างจัง เดชะบุญชายหนุ่มล้มฟาดลงไปบนถังขยะข้างทาง เศษใบตองกับถุงกระดาษสกปรกเลยช่วยรองรับศีรษะของเขาไว้ ประกอบกับอานนท์และกันต์หิ้วห่อยาจีนกลับมาทันเห็นเหตุการณ์พอดี จึงรีบพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ถึงอย่างนั้นธงชัยก็ยังต้องนอนรักษาตัวนานหลายเดือนเลยทีเดียวกว่าจะแข็งแรงพอจะกลับไปทำงานได้
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากตรงนั้นไม่มีถังขยะ…
ไหนๆ กันต์ก็เคยเปลี่ยนชะตาชีวิตของวิศรุตมาแล้ว จะเป็นไรไปถ้าจะเปลี่ยนชะตาชีวิตธงชัยอีกสักคน…
กันต์ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามครรลองของมัน นั่นคือเขา ธงชัย และอานนท์ไปหาซื้อซิการ์ด้วยกันที่ถนนเจริญกรุง แต่พออานนท์เอ่ยชวนไปซื้อยาจีน กันต์ก็แกล้งสะดุดถังขยะที่ตั้งอยู่ริมทางเข้าเต็มรัก
‘ไอ้นี่เกะกะจริง’
ชายหนุ่มทำท่าหัวเสีย ใช้เท้าเลื่อนถังขยะให้เคลื่อนไปจากจุดเดิมแล้วเดินผ่านไป ธงชัยมองการกระทำของหลานชายอย่างนึกขำ ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าหลานชายจะจงใจถ่วงเวลาซื้อยาให้นานเกือบครึ่งชั่วโมง พอซื้อเสร็จแทนที่จะกลับไปหาธงชัย กันต์ก็ชวนอานนท์ไปอีกที่หนึ่ง
‘ผมอยากซื้อซาลาเปาไปฝากคุณปู่ ได้ข่าวว่ามีอยู่เจ้าหนึ่งอร่อยมาก ขอแวะไปดูหน่อยนะคุณอานนท์’
เลขาฯ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เดินตามไปโดยดี หารู้ไม่ว่าขณะนั้นเจ้านายของเขาเพิ่งจะถูกรถพุ่งขึ้นมาชนอย่างแรงจนตัวลอย ร่างธงชัยร่วงลงมากระแทกพื้น ศีรษะฟาดเข้ากับถนนดังสนั่น กว่าอานนท์และกันต์จะกลับมาพบ ลูกชายคนเล็กของนายมงคลก็อาการหนักจนยากจะแก้ไขเสียแล้ว
ธงชัยถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน มีแพทย์ฝีมือดีช่วยรักษากันเต็มที่จนรอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็เป็นอัมพาต ไม่อาจลุกขึ้นมาเป็นอุปสรรคของกันต์ได้อีก
ในเวลานั้นกันต์เข้าใจว่าตนเองได้ก้าวเข้าสู่เส้นชัยของความสำเร็จแล้ว แต่ถ้าไม่เพราะอาการอัมพาตของธงชัย ย่าแหวนก็จะไม่ถูกเรียกตัวมาพยาบาลคนป่วย และจะไม่พาธิปกมาด้วย ป่านนี้ธิปกก็คงยังอยู่ที่บ้านเช่าโทรมๆ แถวบางรัก อนาคตไม่ดีไปกว่าทำงานเป็นเสมียนในบริษัทเล็กๆ สักแห่งในละแวกนั้น ไม่มีวันเผยอหน้ามาร่วมชายคากับกันต์ไปตลอดชีวิต
ที่สำคัญ กันต์มั่นใจว่าภาพอนาคตของวิศรุตที่เขาเคยเห็นจากไขฟู่ ไม่มีธิปกรวมอยู่ด้วย ราวกับว่าจู่ๆเด็กหนุ่มคนนี้ก็เดินผ่านความอนธการที่เต็มไปด้วยปริศนาของโรงละครแห่งชีวิตมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขา
‘โชคชะตาของคนคนเดียวที่ลื้อจะเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีปัญหา ก็คือชะตาชีวิตของตัวลื้อเอง’ อาแปะเจ้าของร้านขายของเก่าเคยบอกไว้ ก่อนจะส่งกระจกไขฟู่ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกันต์
‘แล้วถ้าผมบังเอิญเปลี่ยนชะตาชีวิตคนอื่นไปโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ จะเป็นอย่างไรหรืออาแปะ’ ตอนนั้นกันต์เลียบเคียงถาม
ชายชรามองเขาราวกับจะหยั่งเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ สายตาของผู้เจนโลกเป็นมันปลาบ
‘ชะตากรรมของมนุษย์เราเกี่ยวพันกันเป็นทอดๆ เหมือนลูกโซ่ ถ้าลื้อเปลี่ยนแปลงชะตาของคนคนหนึ่ง ก็จงเตรียมใจไว้เถอะว่าชะตากรรมของคนที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย อยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนไปมากหรือน้อยเท่านั้นเอง และอนาคตที่สะท้อนกลับมาให้ลื้อพบเจอจะไม่มีทางเหมือนเดิมได้เลย’
อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป…คงรวมถึงการมาของธิปกด้วยกระมัง คนคนนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการที่เขาพลิกชะตากรรมของธงชัย จากชายผู้มีสุขภาพสมบูรณ์ไปเป็นคนป่วยผอมโซเหมือนกิ่งไม้แห้ง ไม่อาจขยับกายได้แม้เพียงปลายนิ้ว
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้กันต์มองธิปกด้วยสายตาแบบเดียวกับมองหอกข้างแคร่ได้อย่างไร…
เมื่อเห็นว่านับวันนายมงคลก็ยิ่งชื่นชมธิปกมากขึ้นทุกที กันต์ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ธิปกปีกกล้าขาแข็งต่อไปอีกไม่ได้ เขาจึงต้องพึ่งอำนาจลี้ลับของไขฟู่อีกครั้ง
คันฉ่องอาถรรพ์บันดาลให้เขาเห็นภาพโครงการเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กที่ธิปกเสนอนายมงคล ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม นายมงคลพอใจมาก สั่งให้ธิปกสร้างโรงงานขึ้นมาเพื่อผลิตเครื่องปรับอากาศขายเอง แทนที่จะต้องสั่งจากเมืองนอกอย่างเมื่อก่อน
การสร้างโรงงานดำเนินไปด้วยดี ถึงแม้จะสะดุดเล็กน้อยเพราะมีการทุจริตภายใน แต่ธิปกก็สืบหาจนพบว่าเผด็จนั่นเองคือลูกน้องหัวขโมยรายนี้ เขาใช้เวลาไม่นานในการปลิดเนื้อร้ายออกไป จากนั้นโครงการก็เดินหน้าต่อจนลุล่วง
ธิปกได้เลื่อนตำแหน่งให้ดูแลแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าเบ็ดเตล็ดทั้งหมดของบริษัท กลายเป็นมือขวาที่นายมงคลวางใจเทียบเท่าสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งเลยทีเดียว
จำได้ว่าตอนที่เห็นภาพนิมิต หัวใจของกันต์ร้อนผ่าวยิ่งกว่าถูกไฟสุม ความโกรธแค้น..ริษยา…ชิงชัง แล่นพล่านไปทุกรูขุมขน แต่พร้อมกันนั้นก็มีความอึดอัดประการหนึ่งผุดตามมาด้วย นั่นเพราะภาพอนาคตของธิปกที่เขาเห็นเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กินระยะเวลายาวนานตลอดชีวิตเหมือนที่เขาเคยเห็นจากคนอื่นๆ ซ้ำในบางช่วงยังพร่ามัว ไม่แจ่มชัดเหมือนที่ผ่านมา
อาแปะร้านขายของเก่าเคยพูดไว้ว่าอะไรนะ…
‘อำนาจของคันฉ่องนี้มีจำกัด ถ้าลื้อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนที่ลื้อได้เห็นอนาคตจากมัน อำนาจของมันก็จะลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดมันจะเสื่อมถอยกลายเป็นกระจกธรรมดาไป’
นิมิตที่สั้นลงและความพร่ามัวที่เกิดขึ้นคงจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมถอยกระมัง
แต่กันต์ไม่มีเวลาสะทกสะท้อนเสียดายอำนาจของไขฟู่ เรื่องเร่งด่วนในเวลานั้นคือการเข้าถึงตัวเผด็จก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มคดโกงบริษัท เกลี้ยกล่อมด้วยอามิสสินจ้างให้ร่วมมือกับเขา ขั้นต่อมากันต์ก็สั่งชัชวาลที่เขาสืบรู้มาว่าเป็นเพื่อนของธิปกให้ไปเกลี้ยกล่อมจนธิปกหลงกล ยอมร่วมหุ้นเปิดร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างด้วย จากนั้นก็ออกใบสั่งซื้อปลอมและปลอมลายเซ็นให้เหมือนกับว่าธิปกคือตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการทุจริต
เขาซุ่มรอจังหวะอย่างใจเย็น จนกระทั่งธิปกเตรียมจะเปิดโปงการคดโกงของเผด็จแล้วค่อยดัดหลัง นำหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมไว้มาเล่นงานธิปกเสียเอง จนอีกฝ่ายพลาดพลั้งต้องกระเด็นออกไปจากบ้านหลังนี้
และไปจากอนาคตสดใสของกันต์ตลอดกาล…
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 9 : เหตุเกิดในงานเลี้ยง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 7 : เจ้าสาวอยู่ไหน (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 7 : เจ้าสาวอยู่ไหน (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (1)