แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (1)
โดย : ณรัญชน์
แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co
ถนนเส้นนั้นค่อนข้างขรุขระมีหลุมเป็นช่วงๆ ตามแบบฉบับของถนนนอกเมือง ถึงแม้จะเป็นเพียงคลองสานซึ่งอยู่ห่างจากพระนครไม่ไกลนัก ข้อดีคือมีต้นไม้เขียวขจีตลอดสองข้างทาง ดูร่มรื่นสบายตากว่าภาพตึกคอนกรีตและรถเมล์พ่นควันดำเป็นสายที่นาราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
วันนี้นารามีนัดสัมภาษณ์ดาราสาวคนหนึ่งซึ่งมีคิวมาถ่ายภาพยนตร์ไกลถึงคลองสาน นพมาศจึงให้คนรถขับรถของสำนักพิมพ์พาลูกน้องไปที่กองถ่าย และรับกลับมาเมื่อทำงานเสร็จ นาราหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ มองทิวทัศน์ข้างทางพลางปล่อยใจลอยไปถึงเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย หากพวกสาวๆ ได้มานั่งรถเที่ยวด้วยกันคงคุยเล่นเฮฮากันมาตลอดทางเชียวละ
แต่เพียงอึดใจเดียวเธอก็สลัดความเสียดายการศึกษาทิ้งไป ตั้งแต่ได้ทำงานกับนพมาศนาราก็ไม่สะดวกจะเข้าเรียนเต็มเวลาเหมือนเพื่อนๆ จึงต้องยอมลาออกจากมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาครึ่งปีมาแล้ว
เมื่อก้าวออกมาแล้วจะมัวเสียดายไปไย…
แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์หม่นหมองโดยเปล่าประโยชน์ นาราก็เปลี่ยนไปคิดถึงใบหน้าตะลึงงันแล้วค่อยๆ แดงก่ำด้วยแรงโทสะของแม่เลี้ยง วรรณาแทบจะเต้นผางเลยทีเดียวเมื่อลูกเลี้ยงมากราบเรียนว่าจะย้ายออกไปอยู่บ้านที่เช่าไว้ข้างนอก ที่สำคัญบัดนี้นารามีงานทำ มีรายได้เลี้ยงตัวเองแล้ว ไม่ต้องอาศัยเงินจุนเจือจากเธออีกต่อไป
นาราดูออกว่าความโกรธเกรี้ยวของแม่เลี้ยงแฝงไว้ด้วยอารมณ์หวาดกลัวจับจิตจับใจ…
แน่ละ จะไม่ให้กลัวอย่างไรไหว ก็นกน้อยที่ตั้งใจเก็บไว้สังเวยเจ้าหนี้กำลังจะแหวกกรงขังบินปร๋อหนีไปแล้วนี่นา!
ทีแรกวรรณาจะเรียกคนมาจับนาราไปขัง โดยอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ปกครองของหญิงสาว ติดที่ลูกเลี้ยงตัวดีประกาศเสียงดังฟังชัดว่า
‘หนูบรรลุนิติภาวะไม่ต้องมีผู้ปกครองแล้วค่ะ และถ้าคุณแม่ใหญ่คิดจะขังหนูละก็ วันพรุ่งนี้คนจากที่ทำงานของหนูจะมาตามที่บ้านนี้ เจ้านายหนู คุณนพมาศเธอกว้างขวางพอตัว น่าจะเรียกตำรวจมาช่วยได้ไม่ยาก’
ตอนที่นาราลงจากเรือนใหญ่ ได้ยินเสียงตะโกนแว่วๆ จับใจความได้ว่าวรรณาถึงกับหน้ามืดต้องเรียกหายาดมกันจ้าละหวั่น คิดแล้วหญิงสาวก็ขำกิ๊ก
จู่ๆ นายล้อมคนขับรถก็เหยียบเบรกเต็มแรงจนผู้โดยสารหน้าคะมำ ต้นเหตุเป็นเพราะร่างสองร่างที่พยุงกันออกมาจากป่าละเมาะข้างทาง หนึ่งในสองวิ่งออกมายืนเกือบกึ่งกลางถนน กางแขนโบกรถพลางตะโกนเสียงดัง
“คุณ ลุงคนนี้บาดเจ็บหนัก ขอติดรถไปโรงพยาบาลหน่อยได้ไหม”
ร่างสูงนั้นสวมเสื้อยืดสีน้ำตาลเก่าๆ ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าป่านแบบชาวบ้าน ใบหน้ากว่าครึ่งปกคลุมด้วยหนวดเครารกครึ้มเห็นเพียงดวงตาสีสนิมเหล็ก บวกกับผมยาวเฟื้อยปรกต้นคอ ส่งให้รูปลักษณ์ดุดันดูไม่น่าไว้ใจเป็นที่สุดในสายตาของนารา แต่พอเห็นอีกร่างหนึ่งที่ถูกปล่อยให้นั่งรอรถอยู่บนพงหญ้าข้างทาง เธอก็ลังเล
ผู้ชายคนนั้นน่าจะอายุประมาณเจ็ดสิบปี อยู่ในสภาพบาดเจ็บหนัก หัวแตกเลือดอาบย้อยลงมาถึงคาง แขนข้างหนึ่งห้อยแนบลำตัวอยู่ แต่ที่ดูน่ากลัวที่สุดได้แก่ขาข้างซ้ายของเขา ชายกางเกงที่ขาดวิ่นเผยให้เห็นเนื้อฉีกเหวอะหวะ เลือดจากปากแผลไหลชุ่มท่อนขา ใบหน้าขาวซีดบวกกับสภาพอิดโรยเหมือนจะล้มพับลงไปทุกเมื่อนั้นไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย
นายล้อมรีบหันมาพูดกับนารา “เชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แถวนี้ยิ่งเปลี่ยวๆ อยู่ เผื่อเป็นโจรปลอมตัวมาเราจะแย่เอานา”
สัญชาตญาณระวังภัยบอกให้หญิงสาวรีบออกรถทันที แต่มโนธรรมก็ทำให้อดสงสารไม่ได้ พอมาลองคิดดูหากคนเจ็บเป็นมิจฉาชีพ ก็นับว่ามีฝีมือในการตกแต่งบาดแผลได้สมจริงเอามากๆ นอกจากนี้มิจฉาชีพคงจะโกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลาเพื่อหลอกให้เหยื่อหมดความระแวง ไม่ใช่ปล่อยตัวจนเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากรังโจรอย่างนายหน้าหนวดนี่กระมัง
ลังเลอยู่อึดใจ นาราก็บอกนายล้อม “ท่าทางลุงคนนั้นจะบาดเจ็บจริงๆ นะพี่ล้อม เราช่วยรับไปแกหาหมอหน่อยเถอะ ถ้าปล่อยไว้แถวนี้ก็ไม่รู้เมื่อไรจะมีรถผ่านมา คนเจ็บเสียเลือดมากๆ ประเดี๋ยวจะทนไม่ไหว”
นายล้อมกระสับกระส่ายอย่างไม่ไว้ใจ ขณะมองนาราเปิดประตูให้ผู้ชายหน้าตาเหมือนโจรพยุงคนเจ็บไปนั่งที่เบาะหลัง ตัวเธอรีบขึ้นไปนั่งตอนหน้าข้างคนขับ ระหว่างที่รถแล่นไปชายสูงอายุก็นั่งหลับตาเอนตัวพิงพนักอย่างอ่อนแรง ส่วนผู้ชายตัวโตที่มาด้วยเล่าเหตุการณ์เพียงสั้นๆ ว่าเขาบังเอิญขับจักรยานผ่านไปพบรถกระบะเกิดอุบัติเหตุอยู่ข้างทาง มีลุงคนเจ็บติดอยู่ในรถ คนขับรถกระบะสิ้นใจไปเสียแล้ว เขาจึงต้องลากคนเจ็บออกจากรถที่พังยับเยินคันนั้นอย่างทุลักทุเล
นาราพยายามถามรายละเอียดต่างๆ เท่าที่จะนึกได้…ไม่ใช่ว่าเธออยากรู้อยากเห็น…แต่เพื่อให้ตนเองและนายล้อมคลายกังวลว่านายคนนี้อาจจะเป็นมิจฉาชีพต่างหากเล่า ทว่าผู้ชายหน้าหนวดก็ตอบคำถามชนิดที่เรียกว่าถามคำตอบคำ บางครั้งก็ตัดบทไปดื้อๆ เหมือนไม่อยากวิสาสะกับเธอนัก จนหญิงสาวหมดกำลังใจจะชวนคุย
พอถึงโรงพยาบาล รอจนบุรุษพยาบาลนำเตียงมารับคนเจ็บเรียบร้อยแล้ว นาราก็อำลาจากมา เธอไม่ได้อยู่รอดูอาการเพราะเห็นว่าลุงคนนั้นน่าจะปลอดภัยดีในมือแพทย์ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะสายตาแปลกๆ ของนายเคราดกที่ชำเลืองมองมาในบางครั้ง ทำให้เธออึดอัดอย่างไรพิกล
ก่อนจากกันนาราควักเงินในกระเป๋าส่งให้เขา บอกเรียบๆ ให้เก็บไว้เป็นค่ารักษาคนเจ็บ ชายหนุ่มไม่ได้ยื่นมือมารับ นาราจึงจับมือเขาให้หงายขึ้นยัดธนบัตรลงไป จากนั้นก็เดินเร็วๆ ไปหาคนขับรถที่ยืนรออยู่
หากว่าหญิงสาวหันกลับไปมองอีกครั้งจะเห็นว่า ‘นายหน้าหนวด’ มองตามมาด้วยแววตาเศร้าสร้อย เขาระบายลมหายใจยาว ทั้งโล่งอกที่แม่สาวสิบแปดมงกุฎผละไปได้เสียที และสะท้อนใจเมื่อพบว่าผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่เดือน คนที่เคยพบเห็นกันแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กลับจำเขาไม่ได้เสียแล้ว
ธิปกลูบแก้มผอมซูบรกไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มของตัวเอง เขาคงเปลี่ยนไปมากจริงๆ นั่นละ จากนักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกลกลายมาเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก ซูบโทรมไม่มีสง่าราศี…
ชายหนุ่มถอนหายใจยืดยาวอีกครั้ง ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนจะเดินไปนั่งเพื่อรอฟังอาการคนป่วย
เขาจับเจ่าอยู่ตรงนั้นหลายชั่วโมงจนกระทั่งหมอออกมาบอกว่าชายชราปลอดภัยแล้วถึงได้กลับบ้าน และกลับไปเยี่ยมใหม่ในวันรุ่งขึ้น ต่อจากนั้นก็หมั่นไปเยี่ยมเยียนทุกวันไม่ได้ขาด เพราะเวทนาว่าคนแก่ที่กำลังป่วยคงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนักถ้าต้องอยู่อย่างเดียวดายไร้คนเหลียวแล
ลุงคนเจ็บแนะนำตัวว่าชื่อปกรณ์ พอได้พักฟื้นหลายวันจนเรี่ยวแรงกลับคืนบ้างมาแล้ว นายปกรณ์ก็ตั้งคำถามกับธิปก
“ทำไมคุณถึงยอมช่วยผมล่ะ ตอนนั้นเห็นอยู่ว่าถังน้ำมันกำลังรั่ว คุณน่าจะรีบหนีไปให้ไกลๆ มามัวแต่ลากผมออกจากรถไม่กลัวรถจะระเบิด แล้วตัวคุณเองจะเป็นอันตรายบ้างหรือ”
ที่ถามอย่างนี้เพราะขณะที่ธิปกไปถึง รถกระบะของนายปกรณ์กำลังพลิกคว่ำอยู่ข้างทาง คนขับรถถูกอัดก๊อบปี้เสียชีวิตอยู่หลังพวงมาลัย ส่วนนายปกรณ์นั้นแม้จะบาดเจ็บแต่ก็ยังประคองสติไว้ได้ ทว่าขาซ้ายซึ่งเข้าไปขัดอยู่ใต้ที่นั่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เขาพาตัวออกจากรถได้ลำบาก
ในเวลานั้นถังน้ำมันเริ่มมีของเหลวข้นหยดออกมาและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว ธิปกต้องรีบลากตัวนายปกรณ์ออกจากรถอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ประกายไฟที่เกิดจากเครื่องยนต์ร้อนจัดจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเปลวเพลิง ตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้องในเวลาเพียงไม่กี่นาที
“ผมทำไม่ได้หรอกครับ ชีวิตคนทั้งคน ผมจะปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง” ธิปกตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก
นายปกรณ์มองเขาด้วยสายตาชื่นชม “นางพยาบาลบอกว่าคุณรับจะออกค่ารักษาพยาบาลให้ผมด้วย ขอบคุณมากนะพ่อคุณที่เมตตาคนแก่”
คะเนจากเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่สวมอยู่ และรถเก่าๆ บรรทุกส้มเขียวหวานไว้เต็มกระบะหลังที่แกนั่งมา ธิปกเดาว่านายปกรณ์คงจะเป็นชาวสวนที่ไม่ได้มีเงินทองมากนัก ยิ่งต่อไปคงจะลำบากเมื่อต้องเสียรถซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำมาหากินไปทั้งคัน จึงตัดสินใจออกค่ารักษาให้แก แม้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ไม่น้อยสำหรับสภาพของเขาในเวลานี้ แต่จะทิ้งให้ชายชรากลายเป็นคนไข้อนาถาอยู่ที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มก็ทำไม่ลง
หมดจากปัญหาเรื่องเงินก็ยังมีความลำบากอย่างอื่นตามมาอีกจนได้ นั่นเพราะนายปกรณ์ไม่ได้แต่งงานและไม่มีญาติพี่น้องให้เรียกหาแม้แต่คนเดียว เมื่อไรที่ชายชราออกจากโรงพยาบาลก็จะไม่มีคนคอยดูแล ธิปกไม่อาจปล่อยให้แกกลับไปอยู่บ้านตามลำพัง เนื่องจากขาข้างที่เข้าเฝือกไว้ต้องมีคนช่วยพยุงทำกายภาพบำบัด ไหนจะต้องมาหาหมอตามเวลาอย่างเคร่งครัดอีกล่ะ
ชายหนุ่มไตร่ตรองอยู่หลายวันสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะพานายปกรณ์ไปอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราว
เวลานั้นธิปกเช่าห้องอยู่คนเดียว หากเพิ่มนายปกรณ์เข้ามาอีกคนและเป็นเวลาไม่เกินสองเดือนจนกว่าชายชราจะเดินเหินได้คล่องแคล่ว เขาคิดว่าคงไม่ลำบากอะไรนัก พอได้ฟังข้อเสนอของธิปกนายปกรณ์ก็ตอบกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ไอ้ผมมันคนแก่ติดบ้านเสียด้วยสิ ถ้าจะเมตตากันจริงๆ ละก็ขอเปลี่ยนไปอยู่บ้านผมได้ไหมล่ะ ผมชอบคุณมากนะคุณธิปก ถ้าได้คุณมาอยู่เป็นเพื่อนผมจะดีใจมาก”
วันที่ธิปกมารับนายปกรณ์ออกจากโรงพยาบาล เขาพบด้วยความอัศจรรย์ใจว่ามีผู้ชายร่างท้วมสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นขาวสะอาดกับกางเกงสแล็ก ขับรถยุโรปคันใหม่เอี่ยมมารออยู่ก่อนแล้ว คนขับกุลีกุจอประคองนายปกรณ์เข้าไปนั่งในรถ แล้วเปิดประตูให้ธิปกที่ยืนงงอยู่เข้าไปนั่งเคียงกัน จากนั้นรถยนต์คันงามก็พาทั้งคู่แล่นตะบึงไปบนถนนใหญ่มุ่งเข้าสู่ตัวเมือง
ธิปกนั่งกระสับกระส่ายมาตลอดทาง นึกเดาว่าคงจะมีการเข้าใจผิดกันขึ้นเสียแล้ว จนกระทั่งรถแล่นไปถึงถนนสาทร ก่อนจะหยุดหน้าบ้านหลังใหญ่กินเนื้อที่กว่าสี่ไร่ ดูอัครฐานไม่แพ้บ้านของนายมงคลที่ธิปกเคยพำนักมาก่อน นายปกรณก็หันมายิ้มให้เขา
“นี่ไงล่ะบ้านผม เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ ผมรู้ว่าคุณมีคำถามที่อยากได้คำอธิบาย”
รถยุโรปราคาหลายหมื่นบาทแล่นตีโค้งรอบสนามหญ้าเขียวขจีไปหยุดที่หน้าตึกใหญ่ สาวใช้สองคนที่รออยู่แล้วกรูเข้ามาพยุงนายปกรณ์เข้าไปนั่งในห้องโถง ธิปกจำต้องตามไปด้วยอย่างเกรงใจ
พอได้เอนหลังตามสบายบนเก้าอี้ยาว เจ้าของบ้านก็เริ่มแนะนำตัวเองว่าเขาชื่อปกรณ์ คุณารักษ์ เดิมทีเป็นเจ้าของเหมืองแร่ในจังหวัดภูเก็ต เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนสัมปทานเหมืองแร่หมดอายุลง ประกอบกับนายปกรณ์ไม่ชอบอัธยาศัยบางอย่างของคนในพื้นที่ เขาก็เลยขายกิจการแล้วย้ายมาอยู่พระนคร ตั้งใจจะมาลงทุนทำห้างสรรพสินค้ารวมถึงจะทำกิจการอื่นๆ อีกหลายอย่าง
นายปกรณ์มีที่ดินแปลงหนึ่งให้คนเช่าทำสวนผลไม้อยู่ที่คลองสาน ก่อนเกิดอุบัติเหตุเขาแวะไปเที่ยวที่นั่น ขณะกำลังเพลิดเพลินกับร่มไม้เขียวสดท่ามกลางอากาศสดชื่นโดยรอบ คนขับรถก็มารายงานว่ารถยนต์ที่นั่งไปมีควันพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ นายปกรณ์ยังติดใจบรรยากาศร่มรื่นของเรือกสวนจนไม่อยากกลับเลยสั่งให้คนรถนำรถไปเข้าอู่ก่อน ส่วนตัวเขานอนค้างแรมอยู่ที่สวนคืนหนึ่ง
เรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่ค้างคืนไม่เป็นปัญหา เพียงเจ้าของสวนนำเสื้อกางเกงที่ซักจนสะอาดเอี่ยมของตนมาให้เปลี่ยน นายปกรณ์ก็สวมได้โดยไม่รังเกียจรังงอน
วันต่อมาหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว เจ้าของสวนก็เชิญนายปกรณ์ขึ้นรถกระบะ ตั้งใจจะพาเขาไปส่งบ้านจากนั้นจึงค่อยนำส้มที่บรรทุกมาด้วยไปส่งร้านค้า แต่โชคร้ายเขาขับทับตะปูเรือใบที่มีคนโรยทิ้งไว้บนถนน รถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบ ชายเจ้าของสวนสิ้นใจคาที่ แม้แต่นายปกรณ์เองก็คงไม่รอดเช่นกันถ้าธิปกไม่บังเอิญไปพบเข้า
ตลอดเวลาธิปกนั่งนิ่งปล่อยให้เจ้าของบ้านเล่าเรื่องจนจบ กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่นายปกรณ์พาเขามาถึงบ้านอยู่ดี ชายชราเดาความคิดของเขาออก จึงพูดต่อด้วยเสียงอ่อนโยน
“ฉันซาบซึ้งใจมากที่เธอช่วยชีวิตฉันไว้และยังคอยดูแล ไม่เคยทอดทิ้งคนแก่ เธออย่ามองว่าฉันหลอกลวงเลยนะ ที่ฉันปิดบังตัวจริงไว้ก็เพราะอยากเห็นน้ำใจคน และฉันก็ได้เห็นแล้วว่าเธอเป็นคนที่หาได้ยากในสมัยนี้ อีกไม่นานฉันจะเปิดห้างสรรพสินค้าชื่อห้างเรืองอำพัน มีสองสาขาที่บางรักกับราชประสงค์ ฉันชอบเธอ อยากให้มาทำงานด้วยกัน จะรังเกียจไหม”
อยากให้มาทำงานด้วยกัน…การได้ทำงานกับคหบดีใหญ่อย่างเจ้าของห้างเรืองอำพันย่อมจะเป็นโอกาสงามสำหรับคนตกยากอย่างเขา ทว่าพอคิดถึงประวัติดำมืดที่ติดตรึงอยู่กับตัว ธิปกก็ส่ายหน้า
“ผมคงรับความเมตตาของท่านไม่ได้หรอกครับ ผมไม่ใช่คนดิบดีอย่างที่ท่านคิด”
นายปกรณ์อมยิ้มราวกับสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยถูกใจเขานักหนา
“ที่ว่าไม่ดีนี่ไม่ดีตรงไหนหรือ พอจะบอกได้ไหม”
คงเพราะน้ำเสียงปรานีนั่นกระมังที่ทำให้ธิปกยอมเล่าเรื่องของตัวเองโดยละเอียด เขาจบประโยคด้วยการสารภาพถึงชีวิตในปัจจุบันว่า
“ทุกวันนี้ผมไม่อาจไปทำงานที่บริษัทไหนได้อีก ถึงจะมีคนยอมจ้างแต่คุณวิศรุตก็จะให้คนโทรมาบอกเจ้านายให้ไล่ผมออกอยู่ดี”
เรื่องนี้เป็นความขมขื่นใจใหญ่หลวงสำหรับชายหนุ่ม ธิปกไม่คิดว่าวิศรุตจะตามรังควานไม่ยอมเลิกราราวกับมีเรื่องแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางก่อน ตอนแรกเขายังคิดจะใช้ความสามารถหาเลี้ยงตัวไปเงียบๆ ถึงจะไม่รุ่งเรืองเท่าเมื่อครั้งที่อยู่กับนายมงคลแต่ก็คงไม่ลำบากอะไรนัก
บริษัทแรกอ้าแขนรับเขาเข้าทำงานทันทีที่ไปสมัคร แต่ไม่ถึงสัปดาห์ผู้จัดการก็เรียกธิปกไปพบ ยื่นซองขาวให้ก่อนจะบอกเสียงเข้ม
‘ที่นี่ไม่มีนโยบายรับคนที่มีประวัติฉ้อโกงมาทำงาน คุณคงเข้าใจนะ’
พอเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำๆ ในบริษัทแห่งที่สองและสาม ธิปกก็เลิกล้มความคิดที่จะสมัครงาน เขาเนรเทศตัวเองจากเมืองหลวงไปเช่าห้องพักอยู่ไกลถึงคลองสาน รับจ้างทำบัญชีให้สหกรณ์ชุมชนที่นั่น ได้เงินค่าแรงเป็นครั้งคราวพอเป็นค่าใช้จ่ายจนกระทั่งได้พบกับนายปกรณ์
เจ้าของบ้านขยับตัว ยกขาข้างที่เจ็บให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้า
“เธอจะแต่งประวัติใหม่ขึ้นมาหลอกฉันก็ได้ แต่เธอก็ไม่ทำ” เขาหัวเราะน้อยๆ “ฉันไม่ใช่คนที่จะรับใครมาทำงานโดยไม่ตรวจสอบก่อนหรอกนะ เรื่องของเธอฉันรู้อยู่แล้ว แต่ฉันไม่เชื่อว่าคนโลภมาก อกตัญญูฉ้อโกงผู้มีพระคุณ จะยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคนแปลกหน้าออกจากรถที่กำลังจะระเบิด และยังเป็นธุระคอยดูแลอย่างดีทั้งๆที่ตัวเองก็ตกยากอยู่เหมือนกัน มิหน้ำซ้ำยังไม่เห็นประโยชน์เลยว่าคนแก่จนๆ ที่ช่วยมานั่นจะมาตอบแทนอะไรได้”
ตลอดชีวิตของธิปก ถึงแม้ว่าต่อมาเขาจะดำรงตำแหน่งสำคัญในวงการค้า ได้ยินได้ฟังถ้อยคำสรรเสริญมากมาย ทว่าไม่มีประโยคไหนเลยที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำได้แนบแน่นยาวนานเท่ากับคำพูดหลังจากนั้นของนายปกรณ์
“มาทำงานกับฉันเถอะพ่อหนุ่ม ใช้การกระทำพิสูจน์ตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่การป้ายสีของคนอื่น แต่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเธอ และไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไร ฉันเชื่อในสายตาของตัวฉันเอง ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเธอแล้วละที่จะทำให้ฉันกับคนอื่นๆ เห็นว่าสายตาของฉันแม่นยำจริงหรือเปล่า”
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 9 : เหตุเกิดในงานเลี้ยง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 7 : เจ้าสาวอยู่ไหน (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 7 : เจ้าสาวอยู่ไหน (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (1)