แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

วันเปิดห้างสรรพสินค้าเรืองอำพันสาขาราชประสงค์ มีแขกเหรื่อมาแสดงความยินดีกันเนืองแน่นจนล้นออกมาถึงทางเท้าด้านนอก คุณนพมาศ บรรณาธิการนิตยสารลัดดาวัลย์ได้รับเชิญมาร่วมงานด้วย นาราซึ่งรับหน้าที่เป็นทั้งนักข่าวและช่างภาพจึงต้องติดตามเจ้านายมาทำข่าวตามหน้าที่

หากจะให้พูดกันตามตรง นาราก็เกือบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อพบว่าผู้จัดการของห้างเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ใบหน้าคมสันและผิวพรรณสะอาดหมดจดนั้นทำให้เจ้าตัวดูผ่องใสไม่ต่างจากที่เคยพบกันในงานเลี้ยงน้ำชาการกุศลครั้งก่อน

น่าแปลกที่ธิปกยังมีโอกาสได้ดูแลกิจการใหญ่โตอีก จากข่าวที่นาราได้ยินมา เขาถูกไล่ออกจากบริษัทของนายมงคลแล้ว หลังจากนั้นก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน

ถึงแม้นายมงคลจะไม่ได้แจ้งความจับธิปกเพราะไม่ต้องการให้อื้อฉาว กระนั้นการทุจริตของชายหนุ่มก็เป็นเรื่องที่กระซิบกระซาบกันอยู่ในแวดวงนักธุรกิจ ราวกับมีคนจงใจปล่อยข่าวให้รู้กันอย่างทั่วถึง เมื่อเล่าลือกันเป็นทอดๆ หลายคนเข้า สุดท้ายก็มาถึงหูคนกว้างขวางมีเพื่อนฝูงอยู่ในทุกวงการอย่างนพมาศ เธอถ่ายทอดสิ่งที่รู้ต่อมายังนารา แต่ก็เป็นการเปรยอย่างไม่เห็นด้วย

‘พี่รู้จักคุณธิปกดี บอกตามตรงพี่ไม่เชื่อหรอกนะว่าคนตรงไปตรงมาอย่างคุณธิปกจะโกงใครได้ ไม่ว่าใครจะพูดว่าอย่างไรก็เถอะ’

คนฟังยิ้มรับโดยไม่ออกความเห็นตามประสาลูกน้องชั้นดีที่ไม่บังอาจขัดคอเจ้านาย แต่นารายังไม่ลืมเหตุการณ์ในวันที่ธิปกปั้นหน้าขรึมตำหนิเธอเรื่องความซื่อสัตย์ ผ่านไปไม่เท่าไร ผู้ชายคนเดียวกันนี่เองที่ถูกเปิดโปงว่าโกงเงินผู้มีพระคุณ

คิดขึ้นมาทีไรหญิงสาวก็อดขำไม่ได้ ตอนเทศนาสั่งสอนเธอ นายคนนั้นไม่นึกสะดุ้งสะเทือนในใจบ้างหรือไงนะ!

ตามหมายกำหนดการธิปกจะต้องกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อ จากนั้นประธานที่เชิญมาเป็นเกียรติในพิธีก็จะตัดริบบิ้นสีชมพูสดที่ขึงขวางอยู่หน้าประตู เป็นการเปิดห้างอย่างเป็นทางการ

ธิปกเพิ่งจะขึ้นไปยืนบนแท่นโพเดียม เริ่มต้นกล่าวขอบคุณ ที่หัวมุมถนนก็มีรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามา คนขับเปิดเพลงลูกทุ่งผ่านลำโพงดังสนั่นราวกับอยู่ในงานวัด กลบเสียงของชายหนุ่มจนแทบไม่ได้ยิน เด็กหนุ่มท่าทางเกเรหลายคนบนกระบะท้ายรถช่วยกันโปรยใบปลิวให้ผู้คนสองฟากถนนอย่างขะมักเขม้น จนกระทั่งแล่นผ่านหน้าห้างเรืองอำพัน ความเร็วของรถก็ชะลอลงจนเกือบจะเป็นคลาน แต่กลับไม่ยอมลดเสียงที่แผดลั่นเลยแม้แต่น้อย เหมือนจงใจแกล้งกัน

ใบปลิวนับร้อยแผ่นถูกโปรยใส่แขกที่ยืนอยู่หน้าห้างราวกับสายฝน แผ่นหนึ่งลอยละลิ่วมาตกอยู่ที่เท้าพอดี นาราจึงหยิบขึ้นมาอ่าน เห็นข้อความบรรทัดบนสุดพิมพ์ตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้ว่า

“อย่าซื้อของคนขี้โกง”

บรรทัดต่อมาบรรยายเหตุการณ์ที่ธิปกถูกไล่ออกจากบริษัทของนายมงคล เนื่องจากทุจริตยักยอกเงินบริษัท ถึงแม้จะมีรายละเอียดไม่มากแต่แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีกับธิปกและห้างสรรพสินค้าของเขาเอาเสียเลย

รถแห่แล่นผ่านไปแล้ววนกลับมาใหม่อีกหลายรอบ แผดเสียงรบกวนน่ารำคาญไม่รู้จบ แขกทุกคนซึ่งได้อ่านใบปลิวแล้วทำหน้ากระอักกระอ่วนไปตามๆ กัน สุดท้ายพิธีเปิดห้างก็ต้องยุติลงก่อนเวลาที่ตั้งใจไว้ ธิปกยืนยิ้มส่งแขกที่ทยอยกลับจนหมด จนมาถึงนพมาศซึ่งรออำลาเจ้าของงานเป็นคนสุดท้าย เขาก็ชำเลืองไปทางนาราที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังของเธอ แล้วขออนุญาตว่า

“ผมอยากขอคุยธุระกับคุณนาราเป็นการส่วนตัวสักครู่จะได้ไหมครับ”

นพมาศแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมอนุญาตอย่างใจดี นาราอยากจะปฏิเสธแต่ขัดเจ้านายไม่ได้ จึงจำต้องเดินตามร่างสูงเข้าไปในห้าง พอขึ้นไปถึงชั้นห้าซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานผู้บริหาร พื้นที่ส่วนหนึ่งจัดไว้สำหรับรับแขก นาราก็เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ยาว เมื่อเห็นเธอเขาก็วางถ้วยกระเบื้องในมือลง เอ่ยทักทายอย่างร่าเริง

“จำฉันได้ไหม ฉันปกรณ์ คนที่บาดเจ็บอยู่ข้างทางแล้วเธอช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลยังไงล่ะ”

นาราต้องทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งกว่าภาพชายแก่ในชุดชาวสวน นั่งโงนเงนแทบจะล้มพับลงไปกับพงหญ้า มีเลือดเกรอะกรังชุ่มไปทั้งตัวจะแวบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด

“ลุงนั่นเอง” เธออุทาน มองเสื้อซาฟารีสีไข่ไก่และกางเกงเนื้อดีรีดจนเรียบกริบของอีกฝ่ายคล้ายจะตั้งคำถาม

“อยากรู้ละสิว่าทำไมวันนั้นฉันถึงแต่งตัวเหมือนชาวสวน นั่งลงสิ ฉันจะเล่าให้ฟัง”

รอจนนารานั่งลงเรียบร้อย นายปกรณ์ก็เริ่มถ่ายทอดความเป็นมาทั้งหมด รวมถึงความกล้าหาญของธิปกที่ช่วยเหลือเขาอย่างไม่ห่วงชีวิตตนเองให้เธอได้รู้ จนกระทั่งนาราหมดข้อข้องใจแล้ว นายปกรณ์ก็ส่งกล่องสีฟ้าด้านบนผูกโบไว้อย่างสวยงามให้

“ฉันอยากตอบแทนที่เธอช่วยรับฉันขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล เห็นธิปกบอกว่าเธออุตส่าห์ออกค่าหมอให้ฉันด้วย อย่าคิดเป็นอื่นเลยนะ คิดเสียว่าแทนคำขอบใจจากคนแก่ก็แล้วกัน”

กล่องยาวๆ ค่อนข้างแบนใบนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อคำนึงถึงฐานะของผู้ให้ นาราก็เดาได้ว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในจะต้องมีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว หญิงสาวกำมือแน่น พยายามควบคุมสีหน้าสุดความสามารถที่จะไม่เผยพิรุธออกมาให้นายปกรณ์จับได้ ว่าหัวใจเธอกำลังใจเต้นระรัวด้วยความปลื้มปริ่ม

เสียอย่างเดียว…นาราถือว่าการช่วยชีวิตคนไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับอามิสสินจ้าง ไม่ว่ารางวัลจะมากเพียงใดก็ตาม

“ดิฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ที่ดิฉันช่วยท่านไม่ได้ต้องการของตอบแทน”

พูดออกไปแล้วก็อยากจะเขกกะโหลกตัวเองสักโป๊ก ทำไมเธอต้องเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ด้วยนะ เสียเหลี่ยมคนเห็นค่าของเงิน…ไม่ใช่งก…ตามที่หญิงสาวนิยามให้ตัวเองหมด

นาราไม่รู้ว่านายปกรณ์คาดเดาคำตอบไว้แบบไหน รู้แต่ดวงตาที่ยังคงสุกสว่างไม่ขุ่นมัวไปตามวัยของชายชราพราวระยับขึ้นมาทันที เกือบจะมีแววหัวเราะอย่างสบอารมณ์เสียด้วยซ้ำ

นายปกรณ์วางกล่องลงบนเก้าอี้ข้างตัวโดยไม่คะยั้นคะยอ เอ่ยต่อไปว่า

“ถ้าหากไม่รับของกำนัล ถ้าอย่างนั้นมาทำงานให้ฉันแลกกับรางวัลดีไหมล่ะ ฉันรู้เรื่องของเธอมาบ้างแล้วจากธิปก ฉันเองกว่าจะสร้างตัวมาถึงขั้นนี้ก็เจอผู้คนเจอปัญหามาร้อยแปด บอกตามตรงว่าฉันชอบคนที่มีสติปัญญาอย่างเธอนี่ละ รับรองว่าถ้าทำงานสำเร็จฉันจะให้ค่าแรงอย่างงามทีเดียว”

ชื่อของธิปกมีอานุภาพในด้านลบมากพอจะทำให้คนฟังยิ้มแหย นาราชำเลืองมองร่างสูงที่นั่งหน้าเฉยอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไป เดาว่า ‘เรื่องของเธอ’ ที่นายปกรณ์รู้จากธิปกคงหนีไม่พ้นวีรกรรมผ้าเช็ดหน้าป้ายยาหม่องที่เธอเคยฝากฝีมือไว้นั่นเอง

นายปกรณ์หยิบใบปลิวที่รถกระบะคันเมื่อครู่นำมาโปรยไว้หน้าห้างขึ้นมา ยื่นให้หญิงสาว

“เธอคงเห็นใบปลิวนี่แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเอาใบปลิวมาโปรยหน้าห้างฉัน ห้างเรืองอำพันสาขาบางรักก็เจอใบปลิวนี่ด้วย ทำให้ลูกค้าบางส่วนไม่ยอมซื้อสินค้าของเราเพราะไม่อยากอุดหนุนห้างที่มีผู้จัดการขี้โกง” เขายิ้ม ส่ายหน้าน้อยๆ “เรื่องที่ธิปกถูกกล่าวหาว่าโกงบริษัทเป็นความจริงหรือเปล่า ชาวบ้านก็ไม่รู้ แค่มีข่าวลือหนาหูเข้าไว้ ได้เห็นข่าวบ่อยๆ ได้ยินมากๆ ก็หลงเชื่อตามกันไปซะแล้ว นี่ละนะธรรมชาติของคน”

‘เรื่องที่ธิปกถูกกล่าวหาว่าโกงบริษัท’ ดูจากคำที่นายปกรณ์เลือกใช้ นารารู้สึกว่าชายชราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของธิปกโดยไม่เคลือบแคลงแม้แต่นิดเดียว

นั่นสิ…อย่าว่าแต่คนที่ผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาด้วยตัวเองอย่างนายปกรณ์เลย แม้แต่นาราที่เป็นคนนอก พอได้ยินว่าธิปกเสี่ยงชีวิตช่วยนายปกรณ์ไว้อย่างไร ความคิดเจืออคติที่เคยมีต่อเขายังเปลี่ยนไปเลยนี่นะ

ยามปกติคนเราจะเสแสร้งวางตัวให้สวยงามอย่างไรก็ย่อมได้ แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานต่างหากเล่า ที่เนื้อแท้ของคนจะเผยตัวเองออกมา

เหมือนคู่สนทนาจะรับรู้ความคิดของเธอ นายปกรณ์ยิ้มพราย

“ใช่ ฉันมั่นใจว่าดูไม่ผิดว่าคนไหนเป็นทองแท้คนไหนก้อนกรวด ฉันก็เลยอยากให้เธอหาวิธีทำให้ชาวบ้านเปลี่ยนความคิด ไม่เชื่อคำใส่ร้ายในใบปลิวนี่ หรือไม่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้ภาพพจน์ของห้างเรืองอำพันดีขึ้น”

นาราไม่คิดว่าตนเองจะเปลี่ยนใจใครได้ และยิ่งฉงนว่าอะไรหนอดลใจให้นายปกรณ์คิดว่าเธอจะทำเรื่องยากเย็นพวกนั้นได้สำเร็จ นั่งคุยกับชายชราอีกไม่เท่าไรนาราก็อำลาจากมา เนื่องจากมีนัดสัมภาษณ์คุณนายคนหนึ่งซึ่งหาลำไพ่ด้วยการส่งนางงามเข้าประกวด นายปกรณ์จึงให้คนขับรถพาเธอไปส่งที่ถนนบ้านหม้อตามต้องการ

การสัมภาษณ์กินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง หลังจากเสร็จธุระนาราก็นั่งสามล้อเครื่องกลับไปที่สำนักพิมพ์ พอผลักประตูกระจกเข้าไป เด็กสาวอายุประมาณสิบห้าปีที่รออยู่ก็ปราดเข้ามาหา

“พี่นาราใช่ไหม น้าเกลียวให้หนูมาบอกให้พี่เอาเงินไปจ่ายค่าแจกันที่น้าองุ่นทำแตก”

นาราไม่เข้าใจว่าแม่หนูคนนี้กำลังพูดถึงอะไร รู้แต่คำว่า ‘ให้เอาเงินไปจ่าย’ นั้นแสลงหูไม่เป็นมงคลต่อโสตประสาทโดยแท้ เด็กสาวเห็นเธอยืนงงก็เขย่าแขนแรงๆ

“น้าองุ่นถูกจับเข้าคุกไปแล้ว ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ไปดูเองสิ อยู่ที่สถานีชนะสงครามโน่น”

คนพูดเล่าวกวนไม่ปะติดปะต่อ แต่สรุปความได้ว่าพี่เลี้ยงของนาราเกิดมีปากเสียงกับเจ้าของร้านขายเครื่องลายครามรายหนึ่ง แล้วตกลงกันไม่ได้จนถูกตำรวจคุมตัวไปไว้ที่โรงพัก

นารารีบไปลางานกับนพมาศจากนั้นก็ตรงไปสถานีตำรวจ พบพี่เลี้ยงของเธอกำลังนั่งกอดเข่าหน้าตาอมทุกข์อยู่หลังลูกกรงเหล็กในห้องขัง แม่องุ่นเล่าพลางซับน้ำตาไปพลางว่าตนเองไปซื้อของใช้ที่บางลำพู ขณะกำลังหยิบเงินออกมาจ่ายก็มีโจรวิ่งมากระชากกระเป๋า นางร้องโวยวายพลางวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงร้านขายเครื่องลายครามของนางเกลียวจิต เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านเปิดประตูออกมาพอดี ในมือถือเครื่องลายครามอยู่ชิ้นหนึ่งเสียด้วย แม่องุ่นยั้งตัวไม่ทันจึงชนโครมเข้าให้ ผลก็คือแจกันโบราณหลุดจากมือเจ้าของหล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย

“นังเกลียวจิตมันคิดค่าแจกันสองหมื่นห้า ถ้าพี่ไม่มีเงินจ่ายก็ต้องติดคุก” แม่องุ่นกัดฟันกลืนก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาจุกคอหอย “คุณหนูอย่ากังวลไปเลยนะ พี่ยอมติดตะราง ดีเหมือนกันในนั้นมีข้าวให้กินมีที่ให้นอน พี่จะสบายดีกว่าอยู่ข้างนอกสิไม่ว่า”

ความรู้สึกของนาราหลังจากได้ยินราคาแจกันไม่ใช่เพียงหูอื้อ แต่เหมือนถูกลมพายุหอบขึ้นไปจนสูงลิ่วแล้วปล่อยให้ดิ่งลงมาโหม่งพื้นจนสมองหมุนตาลายแทบจะเข่าอ่อนลงไปตรงนั้น

การปรึกษาของทั้งคู่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเอะอะที่ดังมาจากด้านหลัง ผู้หญิงร่างใหญ่หน้าตาถมึงทึงเดินอาดๆขึ้นบันไดโรงพักมา ปากก็ตะโกนเรียกแม่องุ่นไปด้วย องุ่นรีบกระซิบบอกนารา

“นั่นละนังเกลียวจิต”

เกลียวจิตเป็นผู้หญิงเสียงดัง โดยเฉพาะขณะกำลังตื่นเต้นสุ้มเสียงจะยิ่งดังราวกับฟ้าผ่า นาราพยายามใช้วาทะศิลป์ต่อรองสุดความสามารถ แต่เจ้าของร้านเครื่องลายครามก็ยืนกรานเสียงแข็ง

“แจกันใบนี้เคยอยู่ในห้องพระของพระนางซูสีไทเฮาเชียวนะ กว่าฉันจะซื้อมาได้ต้องลงทุนนั่งเครื่องบินไปถึงเมืองจีน ต้องไปกราบไหว้อ้อนวอนเจ้าของเดิมให้ขายให้จนปากแทบฉีก คิดแค่สองหมื่นห้านี่ถือว่าถูกมากแล้ว”

หล่อนมองนาราตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนจะประเมินฐานะ คลี่รอยยิ้มคมกริบยิ่งกว่าใบมีดเมื่อบอกหน้าตาเฉย

“จะมาขอผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ ก็ไม่เอานะจ๊ะ ฉันไม่ชอบอะไรที่มันยืดเยื้อ จ่ายมาเลยสองหมื่นห้าพันบาทจะได้หมดเรื่องกันไป”

นาราสะอึก รู้สึกเหมือนกำปั้นอ้วนๆ ของเจ๊เกลียวกระแทกอั้กเข้าที่ลิ้นปี่ นึกอยากจะเจรจาต่อไปแต่เห็นสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือเหมือนนางพันธุรัตขณะจะออกไปจับสัตว์ป่ากินเป็นภักษาหาร คนที่เสียเปรียบเต็มประตูก็ใจแป้ว

แต่จู่ๆ นางยักษ์ก็เปลี่ยนน้ำเสียง ราวกับเปลี่ยนไปพูดถึงอะไรบางอย่างที่น่ายกย่องเสียเหลือเกิน

“เห็นชาวบ้านบอกว่าแม่องุ่นเคยอยู่ในบ้านคุณวรรณามาก่อนใช่ไหม โชคดีที่ฉันกับคุณวรรณาคุ้นเคยกันดี ฉันก็เลยโทรศัพท์ไปบอกเธอเผื่อว่าจะได้เงินทองกลับมาชดเชยบ้าง เธอก็ดีแสนดี จะช่วยประกันตัวแม่องุ่นให้ด้วยนะ”

ความเมตตาของคุณแม่ใหญ่น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกกระมังที่นาราจะคาดหวังได้ หญิงสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอชำเลืองมองคนพูดอย่างพิศวง แล้วก็เห็นความสมใจบางอย่างทอประกายวาวโรจน์อยู่ในแววตาของเกลียวจิต ชวนให้หวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก

“คุณวรรณายังบอกให้ฉันไม่ต้องเป็นห่วง เพราะหนูนารากำลังจะแต่งงานกับลูกชายคุณนายสายหยุดเดือนหน้านี้เอง ได้สินสอดทองหมั้นพอใช้หนี้ค่าแจกันได้ถมเถ เธอฝากมาบอกด้วยให้หนูนาราไปคุยกันที่บ้าน ถึงอย่างไรเธอก็หวังดีจะไม่ปล่อยให้หนูลำบาก แหม! ไอ้ฉันก็โล่งอก”

นาราเลื่อนสายตาไปยังพี่เลี้ยงที่ยืนเกาะลูกกรงอยู่ แล้วหันกลับมามองเกลียวจิตอีกครั้ง ความคลางแคลงที่เคยมีก่อนหน้านี้สลายตัวไปในพริบตา เมื่อปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้…

วรรณาเคยวางแผนจะจับเธอแต่งงานกับวิฑูรย์ แทนการใช้หนี้ก้อนใหญ่ที่ติดคุณนายสายหยุดอยู่ แต่นาราก็เล็ดลอดหนีจากกรงเล็บมาได้สำเร็จ เธอยังเคยนึกสงสัยว่าแม่เลี้ยงจะทำอย่างไรกับหนี้สินก้อนนั้น

มาวันนี้จู่ๆ พี่องุ่นก็ถูกกระชากกระเป๋า แล้วคนร้ายก็จำเพาะต้องชักนำไปถึงร้านของเกลียวจิต ซึ่งจำเพาะจะต้องออกมายืนหน้าร้านในเวลานั้นพอดี ซ้ำร้ายเกลียวจิตยังจำเพาะต้องอุ้มแจกันราคาแพงออกมาเสียด้วย…

พอแจกันหล่นแตกแน่นอนว่านาราจะต้องตกที่นั่งลำบาก จำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน และสินสอดทองหมั้นของคุณนายสายหยุดก็จะเป็นทางออกเดียวที่หญิงสาวสามารถไขว่คว้าไว้ได้ในเวลานี้

ทุกอย่างสอดคล้องเหมาะเจาะราวกับถูกจัดเตรียมไว้ก็ไม่ปาน…

“ฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณแม่ใหญ่หวังดีกับฉันมาก เรื่องที่พี่องุ่นถูกกระชากกระเป๋าจนชนแจกันซูสีไทเฮานี่แตก ก็คงจะเป็นความหวังดีอีกอย่างหนึ่งของคุณแม่ใหญ่ด้วยสินะ”

หญิงสาวมองอีกฝ่ายราวกับจะให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ มั่นใจว่าตอนนี้สีหน้าตนเองจะต้องดุเดือดเขย่าขวัญไม่แพ้นางยักษ์เกลียวจิตแน่

“ในเมื่อคุณเกลียวจิตคุ้นเคยกับคุณแม่ใหญ่มาก ถ้าอย่างนั้นเราไปพบคุณแม่ใหญ่พร้อมกันเลยดีกว่า จะได้ตกลงกันให้เสร็จไปทีเดียวว่าจะเอาอย่างไร”

ถ้ามองจากภายนอก บ้านที่นาราจากมานานกว่าครึ่งปียังคงโอ่อ่าไม่เปลี่ยนแปลง แต่หญิงสาวสังเกตเห็นว่าเครื่องประดับหลายชิ้นที่เคยตั้งอยู่บนเรือนใหญ่ได้อันตรธานไปเสียแล้ว แม้แต่คุณแม่ใหญ่เองก็ไม่ได้อิ่มเอิบมีสง่าราศีอย่างเมื่อก่อน

วรรณาผ่ายผอมลงไปมาก ความตึงเครียดสลักริ้วรอยลงบนหน้าผากและหางตาจนดูเหมือนมีอายุเพิ่มขึ้นอีกหลายปี ก็แน่ละ การประวิงเวลาจ่ายหนี้มาตั้งหลายเดือนต้องใช้แรงใจและพลังสมองไม่ใช่น้อย ที่ผ่านมาวรรณาคงเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟกองย่อมๆ เลยเชียวละ

การเจรจากับแม่เลี้ยงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้ฟัง วรรณารับหมั้นวิฑูรย์ไว้ให้ลูกเลี้ยงแล้ว งานหมั้นและพิธีแต่งงานจะมีขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

“แต่งงานกับพ่อวิฑูรย์น่ะมีแต่ได้กับได้นะฉันจะบอกให้ ต่อไปแม่นาราจะได้สบายสักที ไม่ต้องทำงานหลังขดหลังแข็งอย่างทุกวันนี้”

แม่เลี้ยงเกลี้ยกล่อมพลางบอกเป็นเชิงทวงบุญคุณ “ฉันอุตส่าห์หวังดีถึงได้ช่วยจัดการให้ แม่นาราไม่ควรดื้อรั้นกับผู้ใหญ่ อีกไม่นานคุณพ่อก็จะกลับมาแล้ว ถ้ารู้ว่าลูกสาวออกไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอก วันๆ จะทำตัวเหลวแหลกยังไงบ้างก็ไม่มีใครรู้ คงจะผิดหวังมาก”

ไม่ว่าเมื่อไรแม่เลี้ยงก็หาเรื่องสาดน้ำครำสกปรกใส่เธอโดยไม่มีมูลความจริงได้เสมอ นารามองอีกฝ่ายอย่างสังเวช

วรรณาไม่ยอมเอ่ยถึงหนี้สินที่ติดค้างสายหยุด แม้จะคลางแคลงว่าชะรอยลูกเลี้ยงคงจะรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว ถึงได้ดิ้นรนออกจากบ้านไปในช่วงเวลาสำคัญพอดี เมื่อเธอไม่ยอมพูดนาราก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะเอ่ยถึงเช่นกัน

เห็นลูกเลี้ยงนั่งฟังอย่างเฉยชา มีเพียงริมฝีปากที่เม้มแน่นบอกความกดดันภายใน วรรณาก็ขู่ต่อ

“นังองุ่นมันยังอยู่ในคุกก็คงจะลำบากหน่อยละนะ ฉันก็อยากจะไปประกันตัวให้อยู่หรอก แต่ถ้าประกันออกมาแล้วมันหนีไปฉันก็แย่ แต่ถ้าหากแม่นารารับปากว่าจะแต่งงานกับพ่อวิฑูรย์ ยังไงนังองุ่นมันก็ต้องอยู่ร่วมงานแต่ง จะหนีไปไหนไม่ได้ ฉันก็โล่งใจไปประกันมันได้อย่างหมดห่วง ว่ายังไงล่ะ ฉันแล้วแต่แม่นารานะว่าจะเลือกทางไหน”

ก็แปลว่านาราต้องยอมตกลงแต่งงานก่อน วรรณาถึงจะไปประกันตัวพี่เลี้ยงของเธอออกจากคุก อุบายยื่นหมูยื่นแมวง่ายๆ เท่านี้มีหรือนาราจะฟังไม่ออก ระหว่างที่นั่งรถยนต์ของเกลียวจิตมาที่นี่ หญิงสาวไตร่ตรองอย่างหนักหน่วงจนได้คำตอบเรียบร้อยแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป…

บัดนี้เธอถูกไล่ต้อนจนเข้ามุมอับเสียแล้ว นาราไม่อาจวางเฉยปล่อยให้พี่องุ่นผู้เปรียบเสมือนญาติสนิทเพียงคนเดียวต้องติดคุก ถึงแม้ว่าหนทางช่วยเหลือนั้นอาจหมายถึงการสละความสุขทั้งชีวิตของตัวเอง เธอก็ไม่มีทางเลือก

“ได้ค่ะ อีกสองอาทิตย์หนูจะแต่งงานตามที่คุณแม่ต้องการ” นาราได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไปดังๆ

จบคำแววแห่งชัยชนะก็ฉายโชนอยู่บนใบหน้าของแม่เลี้ยง วรรณาแทบจะถอนใจอย่างโล่งอก…

หมดปัญหาเสียที…ที่ผ่านมาเธอต้องอกไหม้ไส้ขมกินไม่ได้นอนไม่หลับก็เพราะความหัวแข็งของลูกเลี้ยงตัวดีเพียงคนเดียว

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเกลียวจิตก็ยิ้มหน้าบานกลับไปที่โรงพัก ในกระเป๋ามีสัญญากู้ยืมพร้อมลายเซ็นของนารานอนนิ่งอยู่ เป็นเครื่องรับประกันว่านางจะได้รับเงินทุกบาททุกสตางค์ตามที่เรียกร้องไปอย่างแน่นอน

หลังจากเกลียวจิตถอนแจ้งความ แม่องุ่นก็ถูกปล่อยตัวออกจากห้องขังในวันนั้นเอง

 



Don`t copy text!