แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

 

เดิมกันต์คิดว่าหลังจากกำจัดธิปกไปแล้ว ทุกคนในบริษัทจะหันมายกย่องหลานชายนายมงคลกันเสียที ตัวเขาเองก็พยายามทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่หวัง

เกรียงไกร ลูกน้องเก่าแก่ของนายมงคลคนหนึ่งละที่ไม่เคยมองหลานชายเจ้านายในทางชื่นชม เกรียงไกรไต่เต้าขึ้นมาจากเสมียนตัวเล็กๆ ใช้เวลายี่สิบปีกว่าจะเป็นมือขวาที่นายมงคลไว้ใจ เมื่อจู่ๆ ‘คุณวิศรุต’ ก็มารับช่วงดูแลสินค้าเครื่องปรับอากาศที่ธิปกบุกเบิกปูทางไว้ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่เคยต้องออกแรงทำสิ่งใดเลย ในสายตาของเกรียงไกรจึงไม่ต่างจากชุบมือเปิบดีๆ นี่เอง

ปกติเกรียงไกรเป็นคนปากร้ายและไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว พอนายมงคลถามความเห็นเขาก็บอกตามตรงอย่างไม่ไว้หน้า

“พวกลูกน้องพูดกันหนาหูว่าตั้งแต่คุณวิศรุตมาทำงานแทนธิปก เราไม่มีลูกค้ารายใหญ่ๆ เพิ่มขึ้นเลย ลูกค้าที่มีอยู่ทุกวันนี้ธิปกก็เป็นคนหาไว้ทั้งนั้น” เขาทำหน้าเครียด “ผมรู้ว่าธิปกทำให้ท่านไม่พอใจ แต่พูดกันตรงๆ นะครับฝีมือคุณวิศรุตห่างชั้นกับธิปกจริงๆ แค่มาดูแลเฉพาะเครื่องปรับอากาศยังทำได้ไม่ดี ถ้าจะให้มารับช่วงงานของธิปกทั้งหมดผมเกรงว่าจะไม่ไหว”

ความเห็นในลักษณะนี้เกรียงไกรไม่ได้พูดกับนายมงคลเพียงคนเดียว แต่ยังเปรยกับลูกน้องเก่าๆ อีกหลายคน ไม่นานนักคำนินทาก็ลอยมาเข้าหูกันต์ ชายหนุ่มขบกรามกรอด บอกตัวเองว่าจะปล่อยหอกข้างแคร่อย่างเกรียงไกรไว้ไม่ได้เป็นอันขาด

เพียงหนึ่งเดือนต่อมาก็เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน ต้นเหตุมาจากความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างเกรียงไกรกับพนักงานบัญชีคนหนึ่งชื่อว่าแม่อาภา เกรียงไกรลักลอบคบหากับอาภามาได้ปีกว่าแล้ว ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าไม่เคยทำสิ่งใดเป็นพิรุธให้คนนึกสงสัย ในยามปกติเขาจะวางตัวเป็นเจ้านายที่น่าเกรงขาม จะพูดจะจากับอาภาก็เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้านายสมบัติ สามีของฝ่ายหญิง

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนนำรูปถ่ายขณะที่เกรียงไกรกับแม่สาวคู่เชยกำลังเดินเคล้าคลอระริกระรื่นกันอยู่บนชายหาด ใส่ซองไปวางบนโต๊ะทำงานของนายสมบัติ

อีกไม่กี่วันต่อมารถยนต์ที่เกรียงไกรขับพาครอบครัวไปเที่ยวบางปูก็ประสบอุบัติเหตุ ลูกและภรรยาของเขาเสียชีวิตทันที ส่วนเกรียงไกรบาดเจ็บสาหัส แม้ทีมแพทย์จะช่วยกันผ่าตัดอย่างสุดฝีมือจนเขารอดชีวิตมาได้ แต่ขาข้างซ้ายของเขาก็ขาดสะบั้นตั้งแต่หัวเข่าลงไป ต้องใส่ขาเทียมไปตลอดชีวิต

ใช้เวลาไม่นานตำรวจก็สืบพบว่านายสมบัตินั่นเองคือคนร้ายใจฉกาจในคดีนี้ พอถูกจับได้ สมบัติก็พรั่งพรูเรื่องอัปยศเบื้องหลังโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญออกมาจนหมดเปลือก สลับกับตะโกนสาปแช่งเกรียงไกรอย่างสุดแค้น

“ขอให้มันตกนรกอเวจีอย่าได้ผุดได้เกิด ให้สมกับที่มันเป็นชู้กับเมียคนอื่น!” เขาแผดเสียงลั่นโรงพัก

ต่อให้ไม่ถูกแช่งเกรียงไกรก็ไม่ต่างจากลงนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว เขาโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุมรณกรรมของลูกเมีย จึงเอาแต่ดื่มเหล้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ งานการที่เคยทำก็ทิ้งขว้างไม่แยแส มิไยนายมงคลจะเรียกไปตักเตือนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนในที่สุดปู่ของวิศรุตก็จำต้องเซ็นคำสั่งให้ลูกน้องเก่าแก่พักงานโดยไม่มีกำหนด

ไม่มีใครรู้ว่ามือลึกลับที่นำรูปเกรียงไกรกับอาภาไปวางบนโต๊ะทำงานของนายสมบัติเป็นใคร และไม่มีคนคิดจะสืบหาด้วยเนื่องจากไม่เห็นความจำเป็น มีแต่กันต์เพียงคนเดียวที่ลอบยิ้มสมคะเนขณะใช้ผ้าสะอาดบรรจงเช็ดกรอบสำริดของกระจกไขฟู่อย่างทะนุถนอม

กันต์ไม่เคยลืมว่าเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เขาใช้คันฉ่องอาถรรพ์เพ่งดูอนาคตของวิศรุต เขาเคยเห็นวิศรุตหยุดรถตรงสี่แยกไฟแดงหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของเกรียงไกรเลี้ยวออกมาจากที่นั่นพอดี แต่ผู้หญิงที่นั่งหน้าแฉล้มอยู่ข้างคนขับนี่สิ กลับเป็นสาวสวยแปลกหน้าที่ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าตัว

คนจิตใจใสพิสุทธิ์อย่างวิศรุตอาจไม่ฉุกใจสงสัยในความสัมพันธ์ของลูกน้องเก่าแก่กับสาวงามนางนั้น แต่ไม่ใช่เด็กข้างถนนกร้านโลกอย่างกันต์

แม้จะรู้ว่าหลังจากที่เขาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของวิศรุตแล้ว เหตุการณ์ที่เคยเห็นจากกระจกไขฟู่ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ก็หมายความว่าเกรียงไกรจะไม่เป็นชู้กับแม่สาวรายเดิมที่นั่งรถออกมาจากโรงแรมกับเขา กระนั้นกันต์มั่นใจว่าสันดานคนเจ้าชู้ ไม่มีเสียละที่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ

กันต์ลอบจับตาดูเกรียงไกรอยู่เงียบๆ แล้วก็เห็นความผิดปกติยามเกรียงไกรกับอาภาพูดจากัน สายตาชม้อยชม้ายที่อาภามองเกรียงไกรเวลาที่คิดว่าไม่มีใครสังเกตเห็น อีกทั้งฝ่ายหญิงยังมีเครื่องประดับและข้าวของราคาแพงเกินฐานะใช้หลายชิ้น จึงไม่ยากเลยที่เขาจะจ้างนักสืบให้คอยติดตามและแอบถ่ายรูปขณะทั้งคู่ลอบพบกัน แล้วนำไปวางที่โต๊ะของนายสมบัติ จากนั้นก็รอให้เสมียนหนุ่มซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าอารมณ์ร้ายและขี้หึงเป็นที่สุดลงมือกำจัดขวากหนามแทนเขา…

แล้วเกรียงไกรก็กระเด็นออกไปจากเส้นทางชีวิตของกันต์อย่างง่ายดาย

กาแฟร้อนหอมกรุ่นถูกบริกรนำมาวางลงตรงหน้าธิปก ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาจิบน้ำส้มในแก้วทรงสูงพลางชำเลืองมองชายหนุ่มไม่วางตา

เมื่อดูจากสายตาหวานเชื่อมพราวระยับชม้ายมองมาพร้อมรอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง คงไม่มีใครคิดเป็นอื่นไปได้นอกจากกุลธิดากำลังมีใจให้ผู้ชายตรงหน้า ผิดกับธิปกที่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ติดจะเฝื่อนเสียด้วยซ้ำเมื่อเห็นอาการของเด็กสาว

“ที่นี่สวยนะคะ ธิดาไม่คิดเลยว่าพระนครจะมีที่สวยๆ มากมายอย่างนี้” กุลธิดาชวนคุย มองไปรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ “ธิดาอยู่ที่ลำปางไม่ค่อยมีที่เที่ยว ขนาดกลางวันยังไม่รู้จะไปไหน ยิ่งตอนกลางคืนนี่เงียบมาก เหงาจับใจเลยค่ะ”

ธิปกค่อนข้างจะเห็นใจกุลธิดาในเรื่องนี้ และคงเต็มใจพาเธอเที่ยวให้ทั่วถ้าเด็กสาวจะไม่มองเขาด้วยสายตาราวกับจะกลืนกินอย่างที่ทำอยู่ กุลธิดาเป็นลูกสาวของคุณนิพนธ์ คหบดีคนหนึ่งในจังหวัดลำปาง เขาเป็นเพื่อนสนิทของนายปกรณ์ หลังจากนายปกรณ์อพยพมาอยู่ที่พระนคร คุณนิพนธ์ก็พาลูกสาวมาเยี่ยมเยียนหลายครั้ง แต่ละครั้งจะพักอยู่ด้วยนานหลายวัน

ทว่าการมาคราวนี้พิเศษกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเมื่อพบว่าในบ้านมีธิปกเป็นสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน กุลธิดาก็หน้าแดง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดมื้ออาหาร แรกๆ ธิปกไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาคิดว่ากุลธิดาก็คงเป็นเหมือนสาวน้อยวัยสิบแปดปีโดยมากที่อยากออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาให้ช่ำปอด หลังจากต้องทนเก็บตัวอยู่ในเมืองน้อยเงียบเหงา พอกุลธิดาขอร้องให้ธิปกช่วยพาไปดื่มน้ำชาหรือฟังเพลง เขาก็ยอมตามใจทุกครั้ง

แต่การณ์กลับเป็นว่ากุลธิดาติดเขาแจ กลางวันเด็กสาวจะไปหาธิปกถึงห้าง นั่งรอจนเขาทำงานเสร็จแล้วออกไปรับประทานอาหารด้วยกัน ตกเย็นถ้าธิปกยังไม่กลับมากุลธิดาก็จะแขวนท้องรอ ไม่ยอมทานข้าวไปด้วย

ส่วนวันหยุดนับเป็นวันชื่นบานของกุลธิดา ตอนเช้าเธอจะไปดื่มน้ำชาที่โรงแรมก่อน พอเที่ยงก็ไปชมภาพยนตร์ แล้วค่อยไปเดินซื้อของสวยๆ งามๆ ต่อที่พาหุรัด บางลำพู หรือสยาม ทั้งหมดนี้ธิปกต้องเป็นคนขับรถพาไปและอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา

คุณนิพนธ์เบาใจที่ลูกสาวมีคนดูแล และยิ่งพอใจขึ้นไปอีกที่เป็นธิปกซึ่งเขาพิจารณาทุกด้านแล้วเห็นว่าดีพร้อมคู่ควรกับลูกสาวของตน

พักอยู่กับนายปกรณ์ได้สัปดาห์หนึ่งก็ถึงเวลาที่คุณนิพนธ์จะต้องกลับลำปาง แต่กุลธิดาอ้อนวอนขออยู่เที่ยวพระนครต่อ คุณนิพนธ์จึงฝากลูกสาวให้อยู่ในการดูแลของเพื่อน ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังสร้างความลำบากใจให้ธิปกมากขึ้นทุกวัน

นายปกรณ์เข้าใจความอึดอัดของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย

“หลานสาวฉันคงหมายตาเธอเข้าแล้ว หาคนรักสักคนดีไหมล่ะธิปก ไม่อย่างนั้นหลานฉันไม่ปล่อยเธอง่ายๆ แน่” เขาส่ายหน้าพลางหัวเราะ “กุลธิดาเบื่อลำปางจะแย่อยู่แล้ว คงอยากแต่งงานแล้วมาปักหลักที่พระนครนี่ละ แต่ผู้ชายดีๆ ที่ไว้ใจได้ก็หายากเต็มทน พอมาเจอเธอเข้าเลยเหมือนเด็กพบของเล่นถูกใจ ต้องรีบคว้าไว้ก่อน”

เป็นความจริงที่กุลธิดาอยากออกจากบ้านที่ห่างไกลแสงสี มองไปทางไหนก็เห็นแต่ป่าเขาปราศจากความรื่นเริงบันเทิงใจ เด็กสาวหลงใหลความสนุกเพลิดเพลินที่มีอยู่มากมายในเมืองหลวง อยากจะย้ายมาอยู่เต็มแก่

ปัญหาคือธิปกไม่เต็มใจจะเป็นของเล่นแก้เหงาของใครน่ะสิ ถึงต้องมานั่งอ่อนใจอยู่ในร้านน้ำชาอย่างในเวลานี้

กุลธิดาแทบไม่แตะขนมหวานที่สั่งมาวางเต็มโต๊ะเพราะมัวแต่เล่าแจ้วๆ ถึงชีวิตในโรงเรียนมัธยมที่เพิ่งเรียนจบมา ธิปกฟังบ้างไม่ฟังบ้างอย่างไม่สู้จะออกรสนัก แต่ก็พยายามเออออตามเพื่อไม่ให้เด็กสาวจับความรู้สึกได้

จู่ๆ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้สดก็รวยรื่นมาปะทะจมูกของเขา ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้

“คุณธิปก คุณกุลธิดา มาทานน้ำชาหรือคะ” เสียงหวานใสทักทาย

คิ้วของกุลธิดาขมวดฉับเข้าหากันทันที อารมณ์เริงรื่นเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวตรงกับน้ำเสียง

“ค่ะ ก็ที่นี่ร้านน้ำชานี่คะ”

ธิปกก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เช่นกัน แต่ด้วยอารมณ์คนละแบบกับเด็กสาว เขากำลังงวยงงกับภาพที่เห็น เพราะวันนี้นาราใส่เสื้อแพรสีส้มสด เปิดไหล่ทั้งสองข้าง คอเสื้อเป็นแพรผืนยาวรวบไปผูกเป็นโบไว้ที่ต้นคอ ท่อนล่างเป็นกระโปรงสีดำคลุมเข่าเข้ารูป เน้นเอวเล็กอ้อนแอ้น ดูเป็นสาวเต็มตัวผิดไปจากเครื่องแต่งกายแบบเดิมที่เขาเห็นจนชินตา

นารายิ้มรับคำพูดพาลรีพาลขวางของกุลธิดา ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างธิปกหน้าตาเฉย

“คุณธิปกโทรศัพท์ไปบอกให้ฉันมาหา บอกว่าจะรออยู่ที่ร้านน้ำชาที่บางรัก” นาราหัวเราะเห็นฟันขาวสะอาดราวกับไข่มุก “แหม! ไม่ยอมบอกชื่อร้านเสียด้วย บอกแต่ว่าก็ร้านน้ำชาที่เราเคยไปกันสองคนไงครับ จะทดสอบว่าฉันจำเรื่องของเราได้แม่นแค่ไหนใช่ไหมล่ะคะ”

คำพูดคำจาออดอ้อนอย่างแปร่งหูนั้นได้ผลลัพธ์เป็นอาการเส้นกระตุกของฝ่ายชาย ธิปกกำลังคนกาแฟร้อนอยู่พอดี มือเขากระตุกวูบ ช้อนในมือปัดถูกขอบถ้วยจนกาแฟเกือบกระฉอกออกมา ขณะที่กุลธิดาทำตาเขียวมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง

นาราทำไม่รู้ไม่ชี้ สลัดผมดัดเป็นลอนสลวยไปด้านหลังด้วยมาดที่จำมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด เผยให้เห็นบ่าสีน้ำผึ้งชวนมอง

“คุณธิปกบอกว่าคุณกุลธิดาอยากได้เพื่อนเดินดูของ ให้ฉันมาเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณน่ะค่ะ เราผู้หญิงเลือกของเก่งกว่าพวกผู้ชายเยอะ” เจ้าตัวพรายยิ้มทั้งปากและนัยน์ตา ยื่นมือขวาออกมากรีดนิ้วเรียวยาวให้เด็กสาวที่นั่งหน้าตึงอยู่ดูแหวนเงินลงยาบนนิ้ว

“อย่างแหวนที่ฉันใส่อยู่นี่ คุณธิปกซื้อให้เป็นของขวัญ แบบสวยถูกใจก็จริงแต่เลือกไซซ์ผิดต้องเอากลับไปแก้ เสียเวลาไปเป็นอาทิตย์เลยละค่ะ”

รอยยิ้มหวานแฉล้มไม่คลายไปจากริมฝีปากแดงสดใส นาราชม้ายชายตามองธิปกจนคนถูกมองเริ่มนั่งไม่ติด เกือบหลุดปากถามออกไปว่า

‘ผมไปซื้อแหวนให้คุณตั้งแต่เมื่อไร’

แต่มือเรียวเล็กยื่นหมับมารวบมือข้างหนึ่งของเขาไว้ก่อน ท่าทางภายนอกดูอ่อนหวานก็จริง แต่น้ำหนักมือที่กดลงมาหนักไม่ใช่เล่น ทำเอาธิปกต้องกลืนคำพูดลงคอไปทันควัน เขาเหลือบมองกุลธิดา เห็นใบหน้าบึ้งตึงนั้นแดงก่ำด้วยโทสะ ตาวาวจ้องเขม็งไปที่มือนาราที่ยังกุมมือใหญ่ของผู้ชายที่เด็กสาวประกาศตัวจับจองอยู่อย่างไม่ยอมปล่อย

ถ้าสายตาคนเราฆ่าคนได้ นาราคงหายวับไปจากตรงนี้แล้วไปโผล่อยู่ที่ชอบๆ ในสัมปรายภพเสียแล้ว!

“ธิดาอิ่มแล้ว ไปเดินซื้อของกันดีกว่าค่ะ” กุลธิดาเอ่ยเสียงห้วน วางช้อนขนมลงข้างจานดังแกร็ก

ธิปกกำลังหาจังหวะปลีกตัวเพื่อจะคุยกับนาราอยู่พอดี ข้อเสนอนี้จึงนับเป็นโอกาสเหมาะ เขาเหลือบมองผมของเด็กสาวแล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“คุณธิดาเคยบอกว่าอยากไปทำผมใช่ไหมครับ เอาอย่างนี้ ผมจะไปส่งคุณที่ร้านเสริมสวยก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปซื้อของกัน”

สายตาหวาดระแวงของกุลธิดาชำเลืองปราดไปที่นารา เธอไม่ชอบแม่รองนางงามเพชรยอดพธูคนนี้มาตั้งแต่วันแรกที่พบกันที่ห้างเรืองอำพันแล้ว และยิ่งทวีความหมั่นไส้ขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรู้ว่าในฐานะประชาสัมพันธ์ของห้าง บ่อยครั้งที่นาราต้องทำงานใกล้ชิดธิปก ถึงแม้นาราจะไม่ได้ทำท่าทางออดอ้อนชายหนุ่มเหมือนอย่างเวลานี้ กระนั้นกุลธิดาก็ยังระแวงที่มีผู้หญิงสวยๆ มาวนเวียนใกล้ตัวเขาอยู่นั่นเอง

“ธิดาไม่อยากไปทำผมค่ะ อยากไปเดินซื้อของกับพี่ธิปกสองคนมากกว่า” เธอเน้นเสียงตรงคำว่าสองคน “ที่บอกว่าอยากได้เพื่อนธิดาหมายถึงพี่ธิปกคนเดียว เอาคนอื่นไปด้วยก็เกะกะเปล่าๆ”

“แต่ฉันว่าผมคุณธิดาดูยุ่งๆ ไม่ค่อยเป็นทรงแล้วนะคะ ดูสิ ตรงนี้ก็แตกปลายด้วย” คู่อริของเธอส่งเสียงแทรกขึ้นมา “ไปทำผมก่อนไม่ดีกว่าหรือคะแล้วค่อยไปช็อปปิง ปล่อยไว้อย่างนี้อายคุณธิปกเขานะ”

กุลธิดาหน้าแดงก่ำ รีบยกมือแตะทรงผมขณะส่งสายตาจะกินเลือดกินเนื้อไปยังคนพูด ธิปกรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงรีบปลอบก่อนที่เด็กสาวจะแหวออกมา

“ผมคุณธิดาสวยดีอยู่แล้วครับ แต่ว่าถ้าไปทำให้เรียบร้อยอีกสักนิดจะยิ่งสวยขึ้นไปอีก” เขาส่งยิ้มอบอุ่นเหมือนพี่ชายที่กำลังโอ๋น้องสาวคนเล็ก “ไปกันนะครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่ร้านแล้วจะรอรับกลับ”

พอเขาเอาใจสีหน้ากุลธิดาก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่วายย้ำคำเดิม

“งั้นทำผมเสร็จแล้วเราไปดูของกันแค่สองคนนะคะ บอกก่อนว่าธิดาไม่อยากให้มีคนนอกจริงๆ เราไปของเรากันเองจะได้ไม่อารมณ์เสีย”

นาราอมยิ้มไม่ยอมต่อปากต่อคำด้วย ธิปกเลื่อนเก้าอี้ให้กุลธิดาลุกขึ้นพาเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างนอก พอเดินเฉียดกันนาราก็กระซิบเสียงเบาว่าจะรอเขาอยู่ที่ร้านนี้ ธิปกพยักหน้ารับ

เขาพากุลธิดาไปถึงร้านทำผม จัดแจงบอกช่างที่กุลีกุจอออกมาต้อนรับว่าให้เปลี่ยนผมทรงใหม่ พอเด็กสาวทำหน้างง ธิปกก็อธิบาย

“ผมชอบทรงผมของ…” เขาเอ่ยชื่อดาราสาวคนหนึ่งซึ่งมีทรงผมต่างกับกุลธิดาแบบสุดขั้ว “รูปหน้าคุณธิดาถ้าทำทรงนั้นน่าจะเหมาะกว่านะครับ”

เมื่อชายหนุ่มยืนกรานเป็นมั่นเป็นเหมาะกุลธิดาจะปฏิเสธก็ใช่ที่ จึงต้องยอมให้ช่างพาเข้าไปด้านในร้านเพื่อสระผม ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการตัดและดัดซึ่งธิปกคาดว่าน่าจะกินเวลาไม่น้อย ทันทีที่เด็กสาวลับตัวไปเขาก็ขึ้นรถกลับมาที่ร้านน้ำชา จ้ำพรวดๆ มานั่งที่โต๊ะตัวเดิม

คนที่รออยู่ไม่ได้นั่งเฉยๆ แต่สั่งขนมมาอีกเพิ่มหลายจาน นาราวางถ้วยน้ำชาลง ยิ้มให้เมื่อเห็นสายตาตั้งคำถามของธิปก

“คุณปกรณ์เล่าให้ฉันฟังว่าคุณกำลังลำบากใจเรื่องคุณกุลธิดา ท่านว่าปัญหาของคุณแก้ได้ไม่ยากหรอก คุณกุลธิดาเห็นคุณอยู่ว่างๆ ไม่มีใครก็เลยนึกว่ามีหวัง แต่ถ้าคุณมีคนรักแล้วเธอก็คงจะเลิกคิด ยอมกลับลำปางไปเอง แต่เวลานี้คุณยังไม่มีสาวๆ ที่จะพามาแสดงตัวเป็นคนรักไม่ใช่หรือ ฉันก็เลยอาสามาเล่นละครให้ยังไงล่ะ”

 



Don`t copy text!