เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
ด้วยความกระหายการล้างแค้นเป็นแรงกระตุ้น เรไรเลือกที่จะเดินทางไปยังโรงเรียนเก่าของเธอ สถานที่นี้คือที่แรกที่ทำให้แม่เธอตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ คนที่หลอกลวงและนำพาให้แม่เธอต้องสูญเงินมากมายยังอยู่ที่นี่ และตอนนี้เขาก็กลับมามีหน้ามีตา ยังเป็นที่เคารพนับถือจากผู้คนที่ไม่ได้รู้อดีตของเขาเหมือนเดิม
เมื่อเข้ามาในบริเวณโรงเรียน หญิงสาวก็กวาดสายตามองไปยังสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย พาให้ความทรงจำในอดีตไหลย้อนกลับมา ซึ่งเธอควรจะมีความสุขกับช่วงชีวิตตามวัยอันสมควร หากว่าไม่ต้องพบเจอกับความอยุติธรรมที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลย ตอนนี้เธอรู้ว่าเขาได้เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน พอเห็นป้ายบอกห้องทำงานของผู้อำนวยการ เมื่อแจ้งความประสงค์จะขอพบแล้ว เรไรจึงสามารถเข้าไปหาเขาได้ไม่ยาก
“สวัสดีค่ะท่านผอออ” หญิงสาวในชุดเดรสทำงานเข้ารูปเอ่ยทักชายผู้อยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงาน เขาดูเปลี่ยนไปมากจากวัยที่สูงขึ้น หากไม่เห็นว่าชื่อนามสกุลเดียวกันเธอคงจำเขาไม่ได้แล้ว
“สวัสดีครับ” ผอออสุธีร์เอ่ยทักหญิงสาวด้วยน้ำเสียงยินดี “เห็นบอกว่าเป็นคนของมูลนิธิมาขอพบ ไม่คิดว่าจะสาวขนาดนี้”
“ฉันเป็นตัวแทนของคุณอาทวิชค่ะ” เรไรแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผอ.สุธีร์คือหนึ่งในอดีตเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ของนางทับทิม แต่เมื่อแชร์ล่มเขากลับลอยตัวได้อยู่เหนือกฎหมาย และเท่าที่รู้คนที่ให้ความช่วยเหลือเขามาตลอดก็คือทวิช และ สส.คนดังในพื้นที่ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมชีวิตของเขาถึงได้เจริญก้าวหน้าขึ้น ขณะที่เหยื่อของแชร์ลูกโซ่ในตอนนั้นกลับตกต่ำลง จนบางคนกลายเป็นยาจกไปเลยก็มี
ชายผู้กลายเป็นผู้บริหารโรงเรียนทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะนึกออกว่าในตอนงานศพนั้น เขาก็เคยเห็นเธอมาก่อน
“อ๋อ เคยเจอกันในงานศพคุณทวิชนี่เอง มิน่าล่ะผมถึงว่าคุณดูคุ้นหน้าอยู่”
“คุณอาจจะคุ้นหน้าฉันมาก่อนหน้านั้นแล้วก็ได้นะคะ” เธอบอกอย่างมีรอยยิ้มอยู่ในหน้า ขณะที่กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม โดยที่เจ้าของห้องไม่ต้องเชิญให้เสียเวลา
“ว่าแต่…มูลนิธิมีเรื่องอะไรกับผมเหรอครับ” เขาจ้องมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจ ท่าทางมั่นใจของเธอนั้นเป็นที่สะดุดตาอย่างประหลาด และเมื่อเป็นคนของมูลนิธิเขาก็ไม่อยากจะมีปัญหา ด้วยยังต้องการความช่วยเหลือพึ่งพาอีกมาก
“ฉันมาคุยเรื่องเงินช่วยการศึกษา การก่อสร้างอาคารใหม่ และก็ผ้าป่าโรงเรียนค่ะ” เธอเริ่มเอ่ยถึงสาเหตุการมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เหมือนว่าเงินที่ควรจะกลับเข้าบัญชีของอาทวิชส่วนหนึ่งมันหายไปนะคะ”
เธอหมายถึงเงินส่วนแบ่งการก่อสร้างอาคารเรียนโดยมูลนิธิ เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งต้องมีการนำกลับเข้ามาให้กับทวิช ก่อนจะแจกจ่ายไปยังคนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายของเขา ซึ่งอาจรวมถึงประธานมูลนิธิอย่างมธุกรด้วย
“คะ…คุณ หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ” ชายสูงวัยเริ่มพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อปีที่แล้วโรงเรียนมีกิจกรรมเกี่ยวกับมูลนิธิมากมาย ทั้งเงินทุนการศึกษา การช่วยเหลือผ่านกองผ้าป่าของโรงเรียน และโครงการใหญ่ที่สุดอย่างการสร้างอาคารเรียนใหม่ ซึ่งมีมูลค่าการก่อสร้างมหาศาล
“ฉันเข้าใจค่ะ ช่วงนั้นอาทวิชเริ่มป่วย คงมีอะไรผิดพลาดเขาถึงตรวจสอบบัญชีไม่ละเอียด”
“ชะ…ใช่ครับ ต้องมีการเข้าใจผิดแน่…”
ก่อน ผอ.สุธีร์จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เธอก็ยกมือขัดจังหวะเขา แล้วเรียกทิพย์เข้ามา เพื่อเอาเอกสารมาเปิดอ่าน และไล่กวาดสายตามองไปยังตัวเลขมากมาย
“อาคารนั้นมูลนิธิใช้ทุนสร้างสิบกว่าล้าน ตามข้อตกลงคุณต้องจ่ายคืนด้วยการซื้อของจากบริษัทของคนในมูลนิธิครึ่งหนึ่ง แล้วรายงานผ่านอาวิช แต่คุณเอาไปหมุนผ่านบริษัทที่ตั้งมาด้วยครอบครัวตัวเอง อันนี้มีไม่มากเท่าไรฉันเข้าใจได้ค่ะ เพียงแต่…”
เรไรเอานิ้วเคาะคางแล้วทำท่าครุ่นคิดเหมือนเด็กน้อย ทำทีหันไปหาคำตอบจากทิพย์ แต่ทิพย์แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เธอจึงเริ่มพูดต่อ
“ทุนการศึกษาของโรงเรียนที่จะจ่ายเป็นค่าเทอมและค่าใช้จ่ายให้เด็ก ความจริงแล้วเด็กหลายคนยังได้เงินไม่ครบนี่คะ แถมเรื่องผ้าป่าโรงเรียน ก็เหมือนยอดจะหายไปจากความเป็นจริงเกือบครึ่งเลย และเงินอุดหนุนก็ไม่ได้หมุนเข้าบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายของมูลนิธิด้วย อ่อ…บังเอิญจริง ที่ฉันมีหลักฐานการสั่งซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มาใหม่ทั้งหมด ราคากับสเปกดูไม่ตรงกันเลยนะคะ”
ขณะที่หญิงสาวพูด ใบหน้าของผู้อำนวยการโรงเรียนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่เธอวางตรงหน้าเขานั้น คือหลักฐานทั้งเอกสาร ใบเสนอราคา เงินที่ผ่านธนาคารในนามของครอบครัวเขา ซึ่งไม่รู้ว่าเธอไปเอามาจากไหน รวมถึงคำพูดของพยานด้วย
“ขะ…ขอร้องเถอะครับ” สุธีร์มองหน้าเรไรด้วยสายตาอ้อนวอน “คุณอยากได้อะไรผมจะให้ทุกอย่างเลย จะเอาเงินเท่าไรก็ได้ ขอแค่เรื่องนี้ไม่เปิดเผยก็พอ”
“ลำบากใจจังเลยนะคะ ฉันเองก็กำลังจะเป็นคนของมูลนิธิเต็มตัวแล้วด้วย ทำแบบนี้มันจะเป็นการยักยอกเงินมูลนิธิเหมือนคุณรึเปล่านะ”
“หนึ่งล้าน!…” เขารีบเอ่ยออกมา “ถ้าคุณยอมปิดปาก ผมจะโอนให้เลย”
“นั่นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย แสดงว่าที่ผ่านมาคุณก็ยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง มากกว่าที่คิดจะปิดปากหลายเท่าเลยสิท่า” ทิพย์เอ่ยออกมาอย่างเหลืออด จนเรไรต้องยกมือห้าม
“เอาเป็นว่าฉันจะลองพิจารณาข้อเสนอของคุณนะคะ ถ้าคุณสามารถโอนเงินเข้าบัญชีนี้ได้ทันที”
เธอยื่นเลขบัญชีของใครสักคนให้ รอยยิ้มอันแสนเย็นชาปรากฏขึ้นมาบนดวงหน้าสง่างาม เธอปล่อยให้ผอ.สุธีร์ออกไปจัดการธุระสักพัก ครู่เดียวโทรศัพท์มือถือของทิพย์ก็ดังขึ้น พร้อมกับข้อความปรากฏเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็ตามมาด้วยร่างท้วมของสุธีร์ที่เข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ
“ขอบคุณนะคะ เอาเป็นว่าฉันจะปิดปากให้เงียบ จะไม่มีข้อมูลการฉ้อโกงของผอออรั่วไหลจากฉันแน่นอน”
เรไรยืนขึ้นพร้อมส่งรอยยิ้มอันเป็นมิตร แล้วเดินจากไปก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าห้อง พอหันมาเห็นสายตาโล่งใจของผู้อำนวยการโรงเรียน หญิงสาวจึงเอ่ยประโยคต่อมา
“เพียงแต่…ฉันไม่แน่ใจว่าคนที่มีข้อมูลแบบเดียวกับฉัน เขาจะยอมเก็บเงียบเอาไว้รึเปล่า สงสัยผอออคงต้องยื่นข้อเสนอแบบเดียวกันอีกหลายคนเลยละค่ะ”
พูดจบเธอก็ไม่รอคำตอบ แล้วทิ้งให้อดีตครูสุธีร์ที่ตกตะลึงไว้เบื้องหลัง เรไรก้าวเท้าออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ปรากฏอยู่บนหน้า เป็นร่องรอยของความสุขที่เธออาจเคยรู้สึกภายใต้โรงเรียนแห่งนี้ ก่อนที่สุธีร์จะนำพาแม่เธอสู่การลงทุนจอมปลอม พอแม่เธอมาขอร้องให้เขาคืนเงิน ก็กลับถูกต่อว่าถากถางจนไม่กล้าแม้แต่จะมาส่งลูกที่โรงเรียน สุดท้ายแชร์ลูกโซ่นั่นก็พรากทุกอย่างไปจากชีวิตของเธอ
ไม่กี่วันถัดมาข่าวการฉ้อโกงของผู้อำนวยการสุธีร์ก็แพร่สะพัดไปทั่ว นี่อาจเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความพยายามในการเปิดโปงการทุจริต ที่สร้างความเสียหายให้กับมูลนิธิโลกในฝัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขาคือเหยื่อรายแรกที่เรไรต้องการกำจัด และด้วยการปล่อยข่าวสารให้กับคนที่คู่ควร มันทำให้ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้เอง
ท่ามกลางความพึงพอใจกับจุดเริ่มต้นของจุดจบจากคนที่โกงแม่ของเธอ เรไรจึงไม่รอช้าที่จะนัดผู้ที่กล้าหาญเผยแพร่ข่าวนี้ให้กับผู้คนภายนอกได้รับรู้ และกระตุ้นการทำงานของคนที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบและจับกุมผู้อำนวยการสุธีร์
ที่ร้านกาแฟยี่ห้อดังซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านไปมา ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่กวาดสายตาหาใครบางคน ก่อนจะเจอกับเป้าหมายแล้วตรงดิ่งมาทันที
“เจอกันจนได้นะครับ คุณเรย์” พฤกษ์กล่าวทักทายเธอ ครั้งนี้เขามาในฐานะคนที่ได้รับข้อมูลการฉ้อโกงครั้งใหญ่ของสุธีร์ และเปิดโปงมันลงในแฟนเพจของเขา จนได้รับความสนใจจากสำนักข่าว และคนทั่วไปที่อยากเห็นคนโกงถูกลงโทษ
เรไรมองสายตาของเขาที่มองเธออย่างเป็นมิตรมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแฝงความระแวดระวังเอาไว้
“มาเร็วดีนะคะคุณพฤกษ์ ดูเหมือนคุณจะอยากได้อะไรๆ จากฉันมากขึ้นด้วยใช่ไหมคะ” หญิงสาวไม่เปิดเผยอะไรให้มาก เธอกำลังควบคุมทุกอย่างให้เดินไปตามแผนที่วางไว้อย่างรัดกุม
พฤกษ์นั่งลงตรงข้ามเธอ แล้วจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวเหมือนจะอ่านสิ่งที่อยู่ในใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตามความคิดของเธอไม่ทันสักที โดยเฉพาะข่าวล่าสุดที่สืบมาได้ว่าเรไรกำลังจะเข้าทำงานในมูลนิธิของมธุกร ซึ่งมีชื่อเกี่ยวข้องกับผู้อำนวยการสุธีร์ด้วย
“เรื่องการทุจริตของผอออ อาจทำให้มูลนิธิโลกในฝันเสียหายไปด้วย ทำไมคุณยังคิดจะทำล่ะครับ ในเมื่อคุณจะเข้าไปทำงานที่นั่นแทนคุณทวิชอยู่แล้ว”
“ว้าว…ข่าวไวจังนะคะ” เรไรตอบพร้อมกับจิบกาแฟ รอยยิ้มของเธอยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนแรก
ในขณะที่เขาเริ่มเปลี่ยนท่าที แล้วกลายมาเป็นคนตั้งคำถามต้อนเธอบ้าง
“วันก่อนผมเพิ่งเห็นข่าวที่เก็บกระดูกของนางทับทิมถูกทำลาย ทั้งที่เรื่องมันก็เกิดขึ้นมานานหลายวันแล้ว ทำไมมันถึงเพิ่งเป็นข่าวกันนะ คุณว่า…มีใครบางคนอยากให้เป็นข่าวหรือเปล่า”
ระหว่างที่พฤกษ์พูดถึงข่าวการทุบทำลายที่เก็บอัฐิของนางทับทิม รอยยิ้มของเรไรก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“จะหมายถึงฉันเหรอคะ”
“หรือไม่ใช่ล่ะครับ”
“เรื่องนั้นฉันคงตอบคุณไม่ได้ค่ะ”
เธอตอบออกมาด้วยท่าทางเรียบเฉยเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิท แต่ใครจะไปรู้ว่าภายใต้ความสงบนั้น หญิงสาวคนนี้จะซ่อนความเชี่ยวกรากอย่างไรไว้บ้าง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกสับสน
“ตกลงคุณอยากทำอะไรกันแน่ครับคุณเรย์ คุณร่วมงานกับคนโกงพวกนั้น แต่ก็ยังส่งข้อมูลการโกงมาให้ผมเปิดโปง ถ้ามันเป็นเรื่องแก่งแย่งภายในละก็ บอกไว้ก่อนเลยนะครับ…ว่าผมไม่เล่นด้วยกับคุณเด็ดขาด”
“ปณิธานแน่วแน่ดีนะคะ คุณอดีตนักข่าว” แววตาของความซุกซนปรากฏอยู่บนใบหน้า เรไรเริ่มตั้งข้อสังเกตเอาเอง ว่าเขาคงไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่รายล้อมด้วยคนโกงอย่างเธอนัก
“ผมไม่ชอบเป็นหมากของใคร ครั้งนี้ถือว่าผมทำเพื่อเด็กๆ ที่ถูกผู้ใหญ่โกงแล้วกัน ลานะครับ”
“คุณพฤกษ์คะ ฉันชื่นชอบความตั้งใจของคุณนะคะ แต่ถ้าคุณไม่อยากให้คนในกลุ่มผู้เสียหายจากการหลอกลงทุนที่โมรีไปมีส่วนเกี่ยวข้องผิดหวัง ฉันว่าคุณน่าจะฟังฉันหน่อยก็ดี”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผม…” ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เรื่องนี้นอกจากคนใกล้ตัวแล้ว แทบไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นผู้นำกลุ่มผู้เสียหายจากธุรกิจหลอกลงทุน โดยการรวบรวมหลักฐานต่างๆ แล้วพยายามปล่อยข้อมูลออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้
เรไรแสดงออกถึงความถูกใจก่อนจะพูดต่อ
“แหม…อุตส่าห์ได้เจอหัวหน้ากลุ่มผู้เสียหายจากแชร์ลูกโซ่ทั้งที ทำไมฉันไม่รู้ล่ะคะ คุณน่ะ…” เรไรยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับชายหนุ่ม แล้วฉีกยิ้มกว้าง “ก็คิดจะใช้ฉันเป็นสะพานเพื่อสาวไปถึงเบื้องหลังของโมรีไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณ!”
พฤกษ์ผละตัวออกมา ทว่าเรไรกลับยิ้มอย่างพอใจ เธอปล่อยให้พฤกษ์ตั้งคำถามกับอิทธิพล และขอบเขตที่เธอจะเข้าถึงข้อมูลได้ จากนั้นก็ค่อยหยิบการ์ดเชิญไปงานของมูลนิธิส่งให้เขา
“นี่เป็นสิ่งตอบแทนที่คุณช่วยฉันค่ะ หวังว่าคุณจะมานะคะ”
หญิงสาวทิ้งให้เขาสู้กับคำถามด้วยการเสนอสิ่งที่เขาต้องการ เธอรู้ว่าในใจของพฤกษ์นั้นอยากเข้าใกล้กับคนในมูลนิธิใจจะขาด แต่สำคัญไปกว่านั้นเขากำลังอยากรู้ว่าเธอรู้เรื่องของเขาได้อย่างไร และมันจะยิ่งกระตุ้นให้เขานั้นมีความปรารถนาที่จะไขปริศนารายรอบตัวเธอยิ่งขึ้น
ในวันที่เรไรก้าวเข้าสู่มูลนิธิโลกในฝันอย่างเป็นทางการนั้น ก็อดไม่ได้เลยที่เธอจะสังเกตบรรยากาศรอบตัว ฉากหน้าของมูลนิธินี้ถูกขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายสำคัญ คือการอุทิศตัวเพื่อสังคม อาสาสมัครหลายคนแสดงความภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาได้ทำอย่างเห็นได้ชัด ผนังของสำนักงานมูลนิธิประดับประดาไปด้วยภาพที่แสดงให้เห็นถึงการริเริ่มโครงการ และกิจกรรมการกุศลของมูลนิธิ รวมถึงภาพชุมชนต่างๆ ที่สร้างบรรยากาศในเชิงบวก ดั่งที่มูลนิธินี้ตั้งใจที่จะเป็นความหวังที่ดีในการขับเคลื่อนสังคม
โกหกทั้งเพ…
หญิงสาวคิดกับตัวเอง ร่างในชุดสูทไล่โทนสีขาวดำเดินมองตึกใหญ่หลังใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยเงินอันมหาศาล มธุกรสามารถสร้างตึกหลังนี้เสร็จได้เหมือนดั่งเนรมิต กลิ่นข้าวของเครื่องใช้ใหม่ยังไม่จางลง ทำให้อดคำนวณไม่ได้เลยว่าในระหว่างการสร้างตึกนี้นั้น มีคนได้รับส่วนแบ่งไปแล้วเท่าไรบ้าง
เมื่อเข้าไปในห้องประชุมที่มีคนที่ทำงานกับมูลนิธิรออยู่แล้ว เรไรก็ได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น รวมถึงคำยินดีจากเพื่อนร่วมงานใหม่ของเธอ ในฐานะของรองประธานมูลนิธิและผู้จัดการด้านการระดมทุนคนใหม่ อันเป็นที่รู้กันว่าหลังจากการจากไปของทวิช เธอก็คือคนที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนเขา
มธุกรยืนอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับเธอ ใบหน้าสง่างามไม่มีเค้าของความระแวงสงสัย ดวงตาเฉียบคมยังคงประเมินหญิงสาวที่มารับตำแหน่งแทนทวิชอยู่ในที และเธอก็กำลังรักษาบทบาทประธานมูลนิธิผู้ใจดี ต่อหน้าคนที่ทำงานกับมูลนิธิทั้งหมด
“ฉันขอกล่าวต้อนรับรองประธานและผู้จัดการฝ่ายระดมทุนคนใหม่ คุณเรไรค่ะ” มธุกรประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน และเสียงปรบมืออย่างสุภาพก็ดังไปทั่วห้องประชุม
เรไรก้าวไปข้างหน้าเคียงข้างกับมธุกร รอยยิ้มอันมั่นใจปรากฏอยู่บนริมฝีปากอิ่มที่ฉาบเคลือบด้วยลิปสติกสีสุภาพ เธอกวาดตามองพนักงานทุกคนที่มองเธออย่างชื่นชม แล้วเริ่มพูดออกไปด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั้งห้อง
“ขอบคุณคุณมธุกรมากนะคะสำหรับการแนะนำตัว และขอขอบคุณทุกคนสำหรับการต้อนรับอันแสนอบอุ่นนี้ด้วยค่ะ”
เธอฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับหยุดพูดเพียงครู่หนึ่ง เพื่อให้เสียงปรบมือเบาลง แล้วทำหน้าตั้งใจก่อนจะพูดต่อ
“พวกคุณเรียกฉันว่าเรย์ได้เลยนะคะ ฉันทราบดีค่ะว่าตอนนี้สถานการณ์ในมูลนิธิของเราไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไร เพราะเราอาจถูกตรวจสอบจากข่าวที่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่มีการเปิดเผยเรื่องฉ้อโกงของท่านผู้อำนวยการสุธีร์ที่เกิดขึ้นด้วย”
เสียงอื้ออึงของคนในห้องเริ่มดัง จากการวิจารณ์ข่าวที่พาให้มูลนิธิเสียหาย แต่ถึงอย่างนั้นเรไรก็ยังมีสีหน้าที่สงบนิ่ง
“อย่างไรก็ตามนี่เป็นโอกาสดีที่มูลนิธิจะได้ล้างชื่อของตัวเองออกจากข่าวเสียหาย ถึงการถูกตรวจสอบจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้มีใครเกิดขึ้น แต่ฉันเชื่อว่าการเผชิญหน้ากับอุปสรรค จะทำให้เราได้เปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเรา ให้สังคมเห็นว่าแท้จริงแล้วมูลนิธิโลกในฝันนั้นถูกโจมตีจากข่าวไม่ดีเรื่อยมา โดยเราจะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลการยักยอกเงินมูลนิธิของผอออสุธีร์ และพิสูจน์ความจริงว่าเราบริสุทธิ์และยืนหยัดเพื่อสังคมมาโดยตลอดค่ะ”
เรไรมองกวาดสายตาไปทั่วห้อง เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สบตากับทุกคนรวมถึงมธุกร
“และที่สำคัญ ฉันอยากประกาศให้ทุกคนได้ทราบ ว่าฉันไม่ได้มาเพื่อเดินตามรอยเท้าของคุณอาทวิช ฉันมาที่นี่เพื่อเริ่มทำงานในเส้นทางของตัวเอง และอยู่เคียงข้างกับพวกคุณทุกคนเพื่อกอบกู้เกียรติของมูลนิธิของเราค่ะ”
ตอนนี้ความเงียบสงัดได้ปกคลุมไปทั้งห้องประชุม ในขณะที่ผู้คนที่อยู่ในนั้นซึมซับคำพูดของรองประธานมูลนิธิคนใหม่อยู่
“ฉันรู้ว่าเป้าหมายของพวกเราทุกคนคือการทำความดี และสร้างความเสมอภาคให้กับสังคม เป้าหมายของพวกเราคือการสร้างชื่อของมูลนิธิโลกในฝันให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง เราจะทำงานร่วมกันอย่างโปร่งใส ซื่อสัตย์ และที่สำคัญที่สุดคือการยกระดับของกลุ่มคนที่เราจะให้ความช่วยเหลือ ขอให้เรายึดมั่นอุดมการณ์นี้ไปด้วยกันนะคะ”
เมื่อเรไรกล่าวจบ ทั้งห้องประชุมก็กึกก้องไปด้วยเสียงปรบมือ หญิงสาวก้มลงขอบคุณพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันคาดหวังว่าจะได้ร่วมงานกับพวกคุณทุกคน เราจะแก้ไขสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน และพวกเขาจะได้สิ่งดีๆ ที่พวกเราทำมาตลอดและจะทำตลอดไปค่ะ”
ด้วยถ้อยคำที่แสดงความหนักแน่นและจริงใจของหญิงสาว เธอจึงสามารถเรียกกำลังใจจากคนในมูลนิธิได้ไม่ยาก ทุกคนต่างมีความหวังขึ้น หลังจากเสียขวัญจากคดีการฉ้อโกงเงินของผู้อำนวยการสุธีร์ ที่มีชื่อของมูลนิธิเข้าไปเกี่ยวข้อง ตอนนี้เรไรได้แสดงให้พวกเขาเห็นแล้วว่าความหวังท่ามกลางพายุข่าวลือนั้นยังคงมีอยู่ และสามารถเอาชนะอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาได้
ทว่าสิ่งที่คนในมูลนิธิไม่รู้ก็คือ เมื่อสองอาทิตย์ก่อนนั้นมธุกรยังไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาทำงานแทนทวิชของเรไรอยู่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าสมบัติของเขาทั้งหมดนั้น ตกอยู่ในมือของเรไรอย่างน่าฉงน นั่นทำให้เธอต้องมาหาเรไรถึงบ้านของทวิชด้วยตัวเอง
‘สวัสดีค่ะคุณมธุกร มาหาเรย์ถึงบ้านมีอะไรให้ช่วยเหรอคะ’ เรไรเอ่ยทักทาย เสียงของเธอยังมั่นคงแม้อีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความตึงเครียดก็ตาม
‘ฉันมาคุยเรื่องพินัยกรรมของทวิช’ มธุกรเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว ทวิชน้องชายผู้เก็บงำความลับและผลประโยชน์ของเธอมาโดยตลอด เหตุใดในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาถึงเลือกยกทุกอย่างให้กับเรไรได้
‘เรย์ทราบดีถึงเรื่องที่คุณกังวลนะคะ’ ใบหน้าของหญิงสาวยังคงความสงบเสงี่ยม ‘แต่อย่างที่เคยบอกคุณค่ะ ว่าอาวิชฝากทุกอย่างไว้กับเรย์ ทั้งเรื่องงาน ความลับ รวมถึงทรัพย์สมบัติทั้งหมดด้วย’
‘นั่นมัน…เป็นไปไม่ได้’ ใบหน้าของมธุกรแสดงปฏิกิริยาไม่เชื่อออกมาทันที นั่นถือว่าผิดปกติวิสัยที่เธอจะเงียบขรึม และแสดงท่าทีอันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ขณะนี้เรไรได้แต่จ้องมองผู้ที่สูงวัยกว่าอย่างสงบ
‘เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริงค่ะ’
เธอพูดพร้อมวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน มธุกรรีบหยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด คิ้วของเธอขมวดแน่นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในพินัยกรรม ทุกบรรทัดนั้นมีแต่ความเต็มใจของผู้ให้ กับหญิงสาวที่เคยเก็บมาเลี้ยงแต่เด็ก และนี่ไม่ใช่เด็กคนเดียวที่เขาชุบเลี้ยง เท่าที่รู้เรไรเป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น ส่วนพี่สาวอย่างเธอแทบไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของเรไรด้วยซ้ำ
‘นี่มัน…อะไรกันเนี่ย’ เธอวางเอกสาร แล้วสบตากับเรไรอย่างไม่เชื่อนัก ‘เธอรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง ทำไมวิชไม่เคยบอกฉันเรื่องของเธอเลย’
‘เรย์รู้ทุกอย่างค่ะคุณมธุกร และเรย์ก็มั่นใจว่าอาวิชอาจมีความกังวลบางอย่าง จึงได้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้เงียบที่สุด เพื่อความปลอดภัย’ น้ำเสียงของหญิงสาวเย็นเยือกเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ‘ทุกสิ่งที่อาวิชรู้ เรย์ทราบหมดค่ะ แม้แต่ความลับบางเรื่องที่คุณคิดว่ามันตายไปพร้อมกับเขาแล้ว’
มธุกรกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าหญิงสาวกลับยกมือห้าม
‘แต่ว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนั้นหรอก ใช่ไหมคะ’ เรไรกล่าวพร้อมกับเอนตัวไปข้างหน้าแล้วเอามือเท้าโต๊ะ ‘ตั้งแต่อาวิชเสียไป ภาพลักษณ์ของมูลนิธิของคุณก็ไม่ได้ดีเท่ากับเมื่อก่อน เรย์คิดว่าตอนนี้ควรคิดเรื่องที่จะกอบกู้ชื่อเสียงคืนมาก่อนนะคะ’
คำพูดของเรไรถือว่ามีน้ำหนักพอสมควร พอทวิชป่วยหนักจนทำงานไม่ได้ ดูเหมือนคนอื่นก็จะพากันเหลวแหลกไปหมด มีข่าวลือเรื่องการทำผิดกฎหมายผ่านมูลนิธิไม่เว้นแต่ละวัน หากไม่ทำอะไรเลยสักวันเบื้องหลังของเธอคงต้องถูกเปิดโปงแน่ นั่นเองที่ทำให้มธุกรเถียงไม่ออก
‘ขอให้เรย์ได้แก้ไขสถานการณ์นี้เถอะค่ะ เรย์จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่มูลนิธิต้องการแทนอาวิชเอง’
มธุกรได้แต่นิ่งเงียบ ดวงตาของเธอจ้องทะลุไปในแววตานิ่งสงบของหญิงสาว เพื่อจะอ่านให้ออกว่าเธอคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และที่สำคัญสมบัติอันควรจะเป็นของเธอ ซึ่งทวิชกลับเป็นคนเก็บมันเอาไว้ด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา เขาจะบอกให้เรไรรู้ด้วยหรือเปล่า บางที…ผู้หญิงคนนี้อาจนำพาเธอไปสู่ทรัพย์สินที่ควรจะเป็นของเธอแต่แรกก็ได้
และในตอนนี้มธุกรก็ได้ตัดสินใจตามที่หญิงสาวต้องการไปแล้ว เรไรทำให้ข่าวการฉ้อโกงของผู้อำนวยการสุธีร์ได้ออกสู่สาธารณะ แม้ข่าวนี้จะกระทบกับมูลนิธิ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เรไรคาดเอาไว้อยู่แล้ว และน่าแปลกใจที่ชื่อเสียงของมูลนิธิกลับเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ดิ่งลงเหมือนที่เธอคิดไว้
มธุกรเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และความคิดของเธอก็อดกังวลไปถึงตัวตนของเรไรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความอยากรู้ของเธอถูกกระตุ้นในทุกครั้งที่เรไรขยับตัว และสัญชาตญาณบอกมธุกรว่าเรไรเป็นคนที่เธอต้องคอยระวัง
แต่อย่างไรก็ตาม ความสงสัยของเธอก็ไม่ได้มีมากจนเกินไป อย่างที่เห็นและเป็นคำถามอยู่ก็คือ เรไรรู้เรื่องการฉ้อโกงในโรงเรียนนั้นได้อย่างไร ทวิชเป็นคนบอกงั้นหรือ มธุกรไม่คิดว่าคนที่ป่วยในระยะสุดท้ายจะคิดได้รอบคอบเช่นนั้น ข้อมูลทั้งหมดเรไรได้มาจากที่ใด และที่สำคัญเรไรรู้เรื่องของทวิชมากแค่ไหน จะถึงความจริงที่มีแต่เธอกับเขารู้กันด้วยหรือเปล่า
ความคิดของมธุกรหยุดชะงัก เมื่อประตูห้องทำงานของเธอเปิดออก และเป็นเรไรที่เดินเข้ามา
“กำลังตามข่าวของผอออสุธีร์อยู่เหรอคะ” รอยยิ้มละไมบนริมฝีปากอิ่ม ขณะที่เธอมองไปยังหน้าข่าวจากแท็บเล็ตที่วางอยู่บนโต๊ะของมธุกร
“ใช่ ดูเหมือนเธอกำลังทำให้มูลนิธิเป็นเป้าสนใจของสื่ออยู่นะ ทั้งที่รู้ว่าผอออสุธีร์ทำงานใกล้ชิดกับมูลนิธิ แต่เธอก็ยังทำ” มธุกรตอบ น้ำเสียงของเธอยังคงความระแวดระวังในตัวของหญิงสาว
“แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำค่ะ อีกไม่นานคนในโรงเรียนนั้นจะหมดความอดทนกับผู้อำนวยการคนนี้ ยิ่งถ้าเราไม่ชิงลงมือก่อน เมื่อถึงตอนที่เขาถูกคนอื่นตรวจสอบ มูลนิธิจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการโกงของเขาในทันทีค่ะ” สายตาของเรไรไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย และใบหน้ายังคงรอยยิ้มเอาไว้ด้วยความสุภาพ
มธุกรมองดูเรไรครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด
“ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรจากวิชมามากเลยสินะ บางทีฉันก็อยากรู้ว่าวิชเป็นคนบอกให้ทำ หรือเธอใช้ประโยชน์จากตอนที่เขาป่วยอยู่กันแน่”
รอยยิ้มของหญิงสาวจางลงไปจากหน้าครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้มันดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิมเล็กน้อย
“ความรู้คือพลังใช่ไหมล่ะคะ ยิ่งรู้มากเราก็ยิ่งคาดการณ์อะไรได้มากขึ้นด้วย”
“นั่นสินะ แต่ฉันสงสัยเหลือเกิน ว่าความรู้ของเธอจะมีพลังมากแค่ไหน” มธุกรหรี่ตามองเรไรอย่างไม่รู้สึกกลัวเกรง
เรไรยิ้มกว้างขึ้น เธอก้าวเข้าไปใกล้กับโต๊ะของมธุกร บรรยากาศอึมครึมปั่นป่วนอยู่ในห้องทำงาน ระหว่างที่สายตาของเธอทั้งสองปะทะกัน
“มากพอที่จะสร้างความแตกต่าง และก็เพียงพอที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ถูกต้องด้วยค่ะ”
หญิงสาวหันหลังกลับเสียงรองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นค่อยๆ เบาลง ทิ้งให้มธุกรจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และคำถามที่ตามมาว่าเรไรรู้มากแค่ไหน จึงได้แต่คิดว่าเธอจะต้องเตรียมพร้อมหากวันหนึ่งความรู้ของเรไรไปเจอเรื่องที่ไม่ควรรู้ หรือควรจะใช้ความใฝ่รู้ของหญิงสาวในการแสวงหาสิ่งที่ทวิชยังปกปิดเอาไว้อยู่ดี
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ