เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
ภายในห้องทำงานที่เงียบสงัด เรไรยืนอยู่ที่หน้าโกศทองเหลืองของแม่ ในใจของหญิงสาวเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องจัดเลี้ยงที่เป็นความลับนั่น ปลายนิ้วเรียวจิกแน่นไปที่ขอบโต๊ะ แล้วกดเล็บขูดพื้นไม้อย่างแรง จังหวะหายใจดั่งไฟร้อนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ความโกรธที่มีอยู่ในใจมันร่ำร้องที่จะแสดงออกมาทุกวินาทีเหมือนมีชีวิต และมันคือสัตว์ร้ายที่คำรามอย่างเจ็บแค้น และพร้อมที่จะห้ำหั่นทุกคนที่เป็นเป้าหมาย
ดวงตาวาวโรจน์มองไปยังโกศของแม่ เงาสะท้อนจากโลหะทองเหลือง ฉายให้เห็นใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวบนพื้นมันเงา สำหรับเรไรแล้วนี่ไม่ใช่แค่ที่เก็บอัฐิของแม่ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่ถูกพรากทุกอย่างไปจากชีวิต และคำโกหกที่หลอกเธอมากว่าสิบห้าปี
“วันนี้หนูเจอหน้าพวกมันพร้อมกันทั้งหมดแล้วนะแม่” เธอเปล่งเสียงผ่านฟันที่กัดแน่น น้ำเสียงแข็งกระด้างสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบสงัด “ที่ผ่านมาพวกมันสนุก หัวเราะและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ส่วนเราสองคน หนู…กับแม่…”
เธอสำลักคำพูดออกมาอย่างเจ็บแค้น ความเจ็บปวดจากการสูญเสียถาโถมเข้าใส่ แต่เธอไม่ร้องไห้ ไม่มีทาง เธอจะไม่ทำในสิ่งที่พวกมันจะพึงพอใจ แล้วก็ปล่อยให้ความเดือดดาลกลืนกินความเจ็บปวด ราวกับกำลังให้อาหารสัตว์ร้ายที่อยู่ในตัวเอง เพื่อทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคย
“ตอนนี้หนูรู้แล้วว่ามันเป็นใคร” ความคั่งแค้นคืบคลานเข้ามาในน้ำเสียง “ในที่สุดหนูก็ตามทันพวกมันจนได้…”
บรรยากาศในห้องทำงานปกคลุมไปด้วยความตึงเครียดและชิงชัง
“หนูจะทำลายพวกมัน ทำลายสิ่งที่มันรัก โดยเฉพาะกับมัน ทับทิม…มันจะต้องแหลกสลายเหมือนถูกเผาจนไหม้ และต้องสูญเสียทุกอย่างจนรู้ซึ้งถึงความว่างเปล่าเหมือนกับแม่”
เรไรหยิบโกศมาประคองไว้ และกอดเหมือนกับตัวเองยังเป็นเด็ก
“แม่รู้ใช่ไหมว่าหนูรักแม่” คำถามของเธอเจือไว้ด้วยความแตกสลาย “แม่รู้ไหมว่าหนูเฝ้ารอแม่ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่แม่จะได้ดู ดูลูกสาวของแม่แก้แค้นแล้วฉีกชีวิตไร้ค่าของพวกมันเป็นชิ้นๆ หนูสัญญาว่าแม่จะต้องได้เห็นมัน”
ทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงดังจากที่ไหนสักแห่งในบ้าน ทำให้เรไรต้องรีบตั้งสติขึ้นมา หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงอยู่ในอก แล้วเอื้อมมือหามีดพกที่เก็บอยู่ในลิ้นชักด้วยความรวดเร็ว มือจับแน่นที่ด้ามระหว่างที่หัวใจเต้นระรัว สองขาก้าวอย่างช้าๆ แต่ระมัดระวังและเงียบเสียงที่สุด ขณะที่เงาของมีดส่องแสงตัดกับความมืดสลัวด้านนอก และเธอก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่
เวลาเดียวกัน ในระหว่างที่คนผู้หนึ่งกำลังแอบลอบเข้ามาในบ้านของหญิงสาว เขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ พฤกษ์ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่ดังก้องอยู่ในหู เป็นจังหวะรุนแรงซึ่งอาจทำให้เขาหูหนวกในความเงียบเช่นนี้ได้ ภายในบ้านถูกอาบไว้ด้วยความมืด และแสงจากภายนอกที่ทำให้เงาของเขาปรากฏ ยังความตื่นเต้นไปทุกขณะที่เคลื่อนตัวผ่านห้องต่างๆ เหมือนเป็นผีสางที่แฝงตัวเข้ามาอย่างเงียบกริบ ในภารกิจลับที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือไม่ที่ตัดสินใจทำ
ระหว่างที่กำลังมองหาห้องที่ต้องการ พฤกษ์ก็ตัวแข็งทื่อด้วยความรู้สึกเย็นเฉียบของมีดที่กดลงด้านหลัง และเพียงพอที่จะทำให้ขนลุกตั้งแต่กระดูกสันหลังถึงศีรษะ แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ถึงจะฟังดูสบายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชา
“รู้ไหมคะว่าฉันสามารถฆ่าคุณได้เลย เว้นแต่คุณจะมีเหตุผลที่ดี ว่าคุณบุกเข้าบ้านของผู้หญิงในยามวิกาลทำไม…จริงไหมคะคุณพฤกษ์”
น้ำเสียงของหญิงสาวไม่มีความเกรงกลัว ขณะที่ไฟในบ้านสว่างขึ้น พฤกษ์ไม่กล้าหันไปสบตากับเธอ เขายกสองมือขึ้นให้รู้ว่าตนนั้นไม่ได้มีอาวุธ
“ผมแค่…อยากเจอคุณ” เขาตอบ แล้วพยายามรักษาน้ำเสียงให้นิ่งไว้ “ผมเห็นรถของคุณจอดอยู่ แต่บ้านของคุณปิดไฟมืด ประตูก็ไม่ได้ล็อก…ผมเป็นห่วงคุณ”
เสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกจากริมฝีปากของเรไร แล้วเธอก็เดินมาด้านหน้าของเขา พร้อมกับมือที่ยังถือมีดจ่อเขาเอาไว้
“แหม…น่ารักจัง” เรไรมองชายหนุ่มด้วยสายตาหยอกเย้า ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ “น่ารักแบบนี้ ฉันควรจะขอบคุณด้วยอะไรดีล่ะคะ น่าจะเป็นจูบแบบเร่าร้อน หรือว่าคุณอาจจะชอบมากกว่านั้น”
เธอกัดริมฝีปากในเชิงเชิญชวน แต่พฤกษ์ก็มัวแต่ตะลึงกับคำพูดของเรไรจนทำอะไรไม่ถูก
“ผะ…ผม…ไม่สิ คือ…ขอโทษที่มารบกวนคุณนะครับ” เสียงของเขาตะกุกตะกัก มือไม้สั่นจนลนลานไปหมด ขณะที่ใบหน้าคมนั้นแดงเป็นปื้น
“แต่ว่า…ยิ่งฉันเห็นคุณทำตัวน่ารักแบบนี้ ฉันก็ยิ่งอยากเก็บคุณไว้เป็นของฉันคนเดียวซะแล้วสิ ทำยังไงดีน้า” เรไรยังคงแหย่เขาด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“นั่นมันผิดกฎหมายนะครับคุณเรย์” พฤกษ์พูดเร็วรัว และยิ่งไม่ไว้ใจตัวเองที่จะมองสาวสวยอย่างเธอ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของเรไรดังไปทั่วบริเวณ น้ำเสียงนั้นทั้งหวานและเบาบางตรงข้ามกับเสียงหัวใจของเขา ที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอกโดยสิ้นเชิง
“แบบที่คุณบุกเข้ามา ฉันว่าน่าจะผิดกฎหมายมากกว่านะคะ” เธอบอก แล้วเก็บมีดเอาไว้อย่างปลอดภัย “ฉันว่าคุณกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ไม่มีอะไรที่คุณต้องการหาหรอก…อย่างน้อยก็ตอนนี้”
พฤกษ์อ้าปากจะถาม แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา เขาหันไปตามเสียงและเห็นร่างของภมรเดินมาหา พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“นี่มัน…อะไรกันวะ!”
คำพูดของภมรสร้างความตึงเครียดในบ้านขึ้นมาทันที และมันก็รุนแรงพอที่พฤกษ์จะรู้สึกได้ว่า คนที่เพิ่งเข้ามาพร้อมจะทำลายเขาได้ทุกเมื่อ
ภมรที่เข้ามาเห็นเรไรยืนอยู่กับพฤกษ์ก็ไม่สามารถยับยั้งความไม่พอใจเอาไว้ได้ เขามองด้วยท่าทางตกใจและความอิจฉาแล่นไปทั่วร่าง ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนอาจเริ่มตระหนักได้ว่าตัวเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมแค่ไหน ภมรได้แต่จ้องมองไปมาระหว่างสองหนุ่มสาวที่อยู่ในบ้านมาก่อนหน้า อารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำเขาไม่สามารถเก็บอาการทางใบหน้าได้ เขากำหมัดแน่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความไม่พอใจ
“ผมคิดว่าคุณอาจเข้าใจผิดอยู่นะ” พฤกษ์รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นเพื่อสงบอารมณ์ของคนที่เพิ่งเข้ามา น้ำเสียงมั่นคงแม้ว่าความกังวลจะทำให้เขากลัวอยู่ลึกๆ ก็ตาม
แต่เหมือนทุกคำพูดของพฤกษ์จะไม่เข้าหูภมร สายตาของเขาจับจ้องไปที่เรไร แววตาเหมือนคนถูกทรยศฝังแน่นบนใบหน้า และเขาก็เริ่มต้นบทสนทนาด้วยความคั่งแค้นและสับสน
“เรย์ มันเป็นใคร คุณถึงเอามันเข้ามาในบ้าน”
หญิงสาวไม่ตอบอะไร ขณะที่พฤกษ์พยายามถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว เพื่อเว้นระยะห่างระหว่างตัวเองกับพายุที่กำลังก่อตัว เขาหันไปหาเรไรหวังว่าเธอจะเข้ามาอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าเธอก็ยังคงสงบนิ่ง สายตายังคงความเย็นชา ประหนึ่งว่าเรื่องนี้เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
พฤกษ์รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจนมุม จึงตัดสินใจหาทางออกก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้
“โอเค ผมขอโทษแล้วกันถ้ามันทำให้คุณไม่พอใจ” เขาบอก ตอนนั้นสายตามองสลับไปยังภมรและเรไร “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับก่อนแล้วกัน ส่วนพวกคุณก็เคลียร์กันเอาเองนะ”
พูดจบพฤกษ์ก็เดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้เรไรกับภมรยืนอยู่ในความเงียบ ในขณะที่เขารีบออกจากบ้านของเธอ เพราะไม่อยากเอาตัวไปยุ่งกับปัญหาส่วนตัวของคนทั้งสองอีก
ออกจากบ้านทรงไทยประยุกต์ของเรไรได้แล้ว พฤกษ์ก็ได้ตรงไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่นอกรั้วบ้านไม่ไกล ก่อนจะไถลตัวเข้าไปยังที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร ความตึงเครียดจากบ้านของเรไรเริ่มคลายลงจากใจ ขณะที่เขาจมลงไปในเบาะหนังอันแสนคุ้นเคย ราวกับได้เจอที่หลบภัยอันสงบจากเรื่องหน้าปวดหัวที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง
พร้อมกับแสงสลัวภายในที่เผยให้เห็นใบหน้าของผู้กองรุจ ซึ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังหึ่งๆ กลิ่นที่คุ้นเคยของน้ำหอมปรับอากาศในรถ ทั้งหมดนี้ดึงพฤกษ์ให้กลับมาจากห้วงความคิดที่แปรปรวน
“เกิดอะไรขึ้นในนั้นวะพฤกษ์ ทำไมแกรีบร้อนออกมาอย่างกะเห็นผี” คนที่รู้จักพฤกษ์มานานชำเลืองมองจากที่นั่งคนขับ สีหน้ามีแต่ความสงสัยกับปฏิกิริยาของคนที่อยู่ด้านข้าง
คนฟังได้แต่หัวเราะแห้งๆ ที่ปราศจากความสนุกสนานอย่างแท้จริง
“จะว่าแบบนั้นก็ได้” พฤกษ์มองไปยังกระจกหลังแล้วเห็นบ้านทรงไทยผ่านความมืดมิด “เอาเป็นว่าฉันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่รอดออกมาจากบ้านนั้นได้ก็แล้วกัน”
ผู้กองหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว แล้วยิ่งไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายไปเจอกับอะไรมา
“หมายถึงภมรเหรอ ฉันเห็นหมอนั่นขับรถเข้าไปในบ้านหลังจากที่แกเข้าไปสักพัก”
“ไม่ใช่ไอ้คนหวงก้างนั่นหรอก” คนพูดส่ายหัว แล้วนึกถึงความรู้สึกเย็นกระดูกสันหลังเมื่อตอนที่เข้าไปในบ้านของหญิงสาว “ฉันรู้สึกว่ามันมีคนอื่นอยู่ในบ้านอีกนอกจากคุณเรย์ แต่ลำพังแค่แม่นั่นคนเดียวก็ทำฉันหนาวไปถึงกระดูกแล้ว คนอะไรน่ากลัวชะมัด”
ภายในรถเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังเบาๆ จากนั้นรุจก็ทำลายความเงียบด้วยเสียงหนักแน่นและจริงจัง
“คิดว่าเป็นตัวอันตรายไหมวะ ผู้หญิงที่ชื่อเรย์น่ะ” ผู้กองรุจลองตั้งคำถามตามที่ได้ฟังจากปากของเพื่อน และอดเป็นห่วงความกล้าที่จะเสี่ยงไปหาข้อมูลของพฤกษ์ไม่ได้
“ไม่ ฉันไม่คิดว่าเธอจะอันตราย” พฤกษ์ละสายตาออกไปนอกรถ และมองไปในยามค่ำคืน “แต่ถ้าเมื่อกี้ไม่มีเธอต่างหาก นั่นแหละถึงจะอันตรายจริง บางทีฉันอาจเอาชีวิตไม่รอดจากบ้านหลังนั้นก็ได้”
ดวงตาของรุจเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ และก่อนที่เขาจะถามอะไรต่อ พฤกษ์ก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ เราสองคนยังมีเรื่องที่ต้องให้คิดอีกมาก และฉันต้องรักษาระยะห่างจากผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย”
จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกจากริมถนน ทิ้งเงารางๆ ของบ้านเรไรให้เลือนหายไปตามระยะห่างที่พวกเขาขับออกมา แต่ทำไมกัน…พฤกษ์ถึงไม่สามารถสลัดภาพใบหน้าอันเย็นชา แต่ซ่อนความขี้เล่นของเรไรได้ ดวงตาของเธอเป็นประกายท่ามกลางแสงสลัวในบ้าน โดยไม่รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงถึงอันตรายที่อยู่ตรงหน้าเลย
สำหรับในบ้านของหญิงสาวเวลานี้ ความตึงเครียดก็ยังคงอยู่และมีแต่จะแผ่มวลมากขึ้น ขณะที่ภมรขยับตัวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ดวงตาของเขาจ้องระหว่างนัยน์ตาที่แข็งกร้าวของเรไร กับมีดที่เธอถือขึ้นมาไว้อย่างหลวมๆ
เขามาหาเธอด้วยความสิ้นหวัง และถูกดึงดูดด้วยความหวังอันริบหรี่ที่มีเพียงแต่เธอเท่านั้นที่จะมอบให้ได้ แต่ตอนนี้ พอต้องเผชิญกับสายตาที่แน่วแน่ และท่าทางที่แสนเย็นชาราวกับคนไม่รู้จัก เขาก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเรไรคนนี้ ยังเป็นคนเดียวกับที่เขาเคยรู้จักหรือไม่
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ภมรถามขึ้นมาก่อน เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่ง และแสดงถึงความเป็นเจ้าของซึ่งหญิงสาวไม่ได้สนใจเลย
“เขาชื่อพฤกษ์ เป็นเพื่อนของฉัน” เรไรตอบอย่างไม่ไยดี รอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปากเกือบจะไม่แลเห็นหากอีกฝ่ายไม่ได้สังเกต
“เพื่อนเหรอ…” ภมรอึกอักด้วยความหงุดหงิด และความหึงหวงที่กำลังพลุ่งพล่าน “อยู่ในบ้านกันสองคนตอนกลางคืนเนี่ยนะ น้าวิชเพิ่งตายไปไม่เท่าไร เธอก็เอาผู้ชายเข้าบ้านแล้ว เธอนี่มัน…”
“หยุดกังวลเรื่องของฉันและคิดถึงเรื่องของเมียตัวเองดีกว่าไหมคะ” เธอตัดบท น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “คุณโมที่รักของคุณ กำลังสร้างปัญหาอยู่ไม่ใช่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ”
ใบหน้าของภมรแข็งกระด้าง เมื่อพูดถึงภรรยาที่กำลังมีปัญหา ด้วยการที่โมรีชุบตัวเป็นผู้เสียหายจากธุรกิจหลอกลงทุนนั้นยังไม่มีใครเชื่อมากนัก แถมยิ่งนานวันเส้นทางการเงินของเมียตัวเองก็ถูกขุดคุ้ย จนแม้แต่อำนาจของ สส.อิทธิพลผู้เป็นพ่อก็เริ่มจะเอาไม่อยู่แล้ว
“โมน่ะโง่เกินไป” เขาสบถด้วยความหงุดหงิดเมื่อพูดออกมา “เตือนแล้วว่าอย่าทำ ก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้จะเอาเงินหมุนเข้ามูลนิธิตรงๆ ก็ไม่ได้แล้วด้วย เดี๋ยวมูลนิธิจะถูกตรวจสอบไปอีก ถึงต้องมาหาคุณเพราะอยากให้ช่วยนี่ไง”
“แล้วทำไมฉันต้องช่วยด้วยล่ะภีม ทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากแม่ของคุณ” น้ำเสียงของเรไรเจือความขบขัน
ใบหน้าของภมรซีดลงเมื่อหญิงสาวกล้าเอ่ยถึงแม่ที่ล่วงลับ
“แม่ผมตายไปแล้ว…เอาอะไรมาพูด”
แทนที่เธอจะฟัง แต่เรไรกลับส่งเสียงหัวเราะดังไปทั่วห้อง แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ไม่เอาน่าภีม ทั้งคุณ อาวิช แล้วก็ฉันต่างรู้ดีว่าความจริงคืออะไร” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างพึงพอใจ กับความลับที่เขาพยายามปกปิดแม้กระทั่งตอนนี้
ความตระหนกอันน่าหวาดหวั่นซึมซาบเข้าไปในห้วงคำนึงของภมร แต่เขาพยายามผลักมันออกไป ตอนนี้สถานการณ์ของเขากำลังย่ำแย่ และเรไรอาจเป็นเชือกเส้นเดียวที่จะดึงเขาขึ้นมาได้
“เรย์…ผมต้องการให้คุณช่วย” เขายอมรับอย่างจนตรอก และเกลียดความอ่อนแอในน้ำเสียงของตัวเอง “ผมรู้ว่าโมรีทำพลาด แต่เงินพวกนั้นคงไม่มีใครอยากเสียไปหรอกใช่ไหม ตอนนี้คุณแม่…ไม่สิ…คุณมธุกรไม่ยอมให้โมรีเอาเงินผ่านมูลนิธิอีกแล้ว เห็นคุณบอกว่าสามารถหาบริษัทมาระดมทุนเพิ่มได้ ยังไงช่วยเพิ่มเงินของโมรีเข้าไปกับเงินบริจาคด้วยได้ไหม เดี๋ยวผมจะเป็นคนหาทางหมุนออกไปเอง อย่างน้อยก็ขอให้ผ่านช่วงนี้ก็ยังดี แล้วถ้ามันหมุนกลับเข้ามืออย่างสะอาดได้เมื่อไร ผมจะให้ส่วนแบ่งคุณอย่างงามเลย ผมสัญญา”
เรไรเงียบไปครู่หนึ่ง จริงอยู่ที่การเพิ่มจำนวนเงินบริจาคโดยใส่เงินผิดกฎหมายไปด้วยนั้น เป็นอีกวิธีที่มูลนิธิเลือกใช้ เพียงแต่…วิธีนั้นมีไว้สำหรับเงินสดที่ทวิชได้มาจากการทำผิดกฎหมายจำนวนมาก รวมถึงเงินสะสมของทับทิมเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว เพื่อค่อยๆ ทยอยทำให้กลายเป็นเงินสะอาดผ่านมูลนิธิ ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าภมรกำลังขอให้เธอช่วยจริงๆ หรือกำลังสืบหาที่เก็บเงินของทวิชอยู่กันแน่
หญิงสาวมองไปที่ใบหน้าเคร่งเครียดของภมร ในที่สุดเธอก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่ริมฝีปาก
“ได้สิ ทำไมฉันจะช่วยคุณไม่ได้ เพียงแต่…เรื่องนี้ห้ามแม่ของคุณรู้เป็นอันขาด และคุณจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อฉัน…”
“อะไร…คุณจะให้ผมทำอะไร”
“ฉันต้องรู้เส้นทางการเงินทั้งหมด ว่าหลังจากมูลนิธิได้รับเงินแล้ว มูลนิธิส่งต่อเงินจำนวนนี้ให้มูลนิธิในเครือที่ไหนอีกบ้าง แล้วแต่ละมูลนิธินั้นทำโครงการผ่านบริษัทอะไร จำนวนเงินเท่าไร และเงินจะกลับมาถึงมือคุณกี่บาท” เรไรอธิบายอย่างละเอียดตามข้อมูลที่เธอพยายามศึกษามาจากทวิช เพราะเธอรู้แค่รายละเอียดของวิธีเอาเงินเข้าที่ทวิชทำ แต่กับวิธีการเอาเงินออกนั้น ต้องอาศัยภมรเป็นคนเฉลย
ส่วนภมรผู้ที่ได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมาทั้งหมด ก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ
“แหมๆ ทำไมคุณถึงอยากรู้มากขนาดนี้ล่ะเรย์ ไม่คิดบ้างเหรอว่ามันเกินขอบเขตไปหน่อย”
“ฉันแค่อยากรู้เท่ากับสิ่งที่อาวิชรู้เท่านั้น” หญิงสาวยังคงตอบอย่างใจเย็น ภมรกำลังทำในสิ่งที่มธุกรห้าม จะอย่างไรเขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเธออยู่ดี
“เหตุผลง่ายๆ เรื่องที่คุณไม่รู้ เพราะน้าวิชไม่อยากให้รู้ไงล่ะ” ภมรยิ้มเยาะ อาจเพราะเขาเองก็ไม่ได้พอใจนักที่เธอได้สมบัติทั้งหมดของทวิชไป “แต่ผมก็ไม่ใช่คนใจดำหรอกนะ เอาเป็นว่า…ถ้าคุณหาทางเอาเงินที่โมรีเก็บไว้เข้าสู่มูลนิธิได้ ผมจะยอมบอกแล้วกัน”
“ก็ได้…” เรไรตอบรับ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบ จากที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอรู้ทุกเรื่องของทวิช แต่ตอนนี้ภมรรู้แล้วว่าสิ่งที่เธอรู้นั้นมีเพียงแค่ข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้น ภายใต้เม็ดเงินมหาศาลที่ไหลเข้ามา มันยังมีความซับซ้อนของเส้นทางการเงินอีกมาก และเธอต้องรู้ให้หมดเพื่อขุดรากถอนโคนพวกมันในทีเดียว
ภมรจากไปแล้ว ความมืดมิดปกคลุมบ้านหลังนี้อีกครั้ง และในเงามืดนั่นเองที่มีร่างสูงใหญ่โผล่ออกมา ด้วยความเงียบงันและระแวดระวัง นั่นคือทิพย์ที่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นาน ตั้งแต่ที่พฤกษ์ปรากฏตัวในบ้านจนภมรมาและกลับไป เธอเดินตรงไปหาเรไรด้วยดวงตาที่ฉายแววกังวลอย่างไม่ปกปิด
“แน่ใจแล้วเหรอเรย์” ทิพย์ถามด้วยความเป็นห่วง ด้วยเสียงกระซิบที่เบาจนแทบไม่รู้สึกถึงการมา โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเรไรกำลังเดินเกมตามแผน ที่นับว่าเสี่ยงพอตัว
“ไม่รู้สิ” เรไรยอมรับ ทิพย์เป็นคนเดียวที่เธอสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา ปราศจากการเสแสร้งใดๆ และเป็นคนที่เธอจะไม่มีทางสวมหน้ากากเข้าหาโดยเด็ดขาด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงได้เห็นดวงตาอันสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจของเธอ
“ไอ้ภมรเป็นคนไม่ควรที่เราจะไว้ใจ ต้องระวังให้มากเวลาที่มันมาขอให้ทำอะไรให้ เพราะไม่รู้ว่ามธุกรจะเป็นคนสั่งมันด้วยหรือเปล่า” ทิพย์กอดอกมองเรไร อย่างที่รู้ว่าทวิชได้ทำการเคลื่อนย้ายเงินสดไว้ในที่ลับด้วยเรื่องของผลประโยชน์ที่เขาอ้างว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นนี่อาจเป็นคำสั่งของมธุกรที่ให้ภมรมาสืบเอาจากเรไรก็ได้
“มันก็เป็นไปได้ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญสำหรับเขาคือการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินของโมรีให้มากที่สุด เผื่อว่าสักวันโมรีอาจพลาดถูกจับ และภีมก็ไม่ใช่คนที่จะทำตามแม่ง่ายๆ ถ้าเขาไม่ได้ผลประโยชน์ด้วย ตอนนี้สองคนนั้นก็กำลังแตกคอกันเพราะเรื่องโมรีอยู่” เรไรพูดไปตามเหตุผล “ฉันคิดว่าฉันควบคุมเขาได้ แค่ต้องการเขาสักพัก เพื่อให้เขาเอาสิ่งนั้นมาให้…แค่นั้น”
“แล้วกับพฤกษ์ล่ะ เราต้องการประโยชน์อะไรจากเขา”
คำถามของทิพย์ดูสบายๆ จนทำให้คนฟังไม่ทันตั้งตัว
“พฤกษ์เหรอ…” เรไรเว้นระยะไว้ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองไปไกลอย่างไม่มีจุดหมาย “เขาไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเรา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ แต่หลังจากนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน เรย์อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้”
ทิพย์ดูไม่พอใจแต่เธอก็พยักหน้ารับ พวกเธอมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว และเธอก็เชื่อมั่นในตัวเรไร
“ฉันแค่รู้สึกกังวลน่ะ” เธอยอมรับ “มีอะไรให้ทำก็บอกมาได้เลยนะ จำไว้ว่าเรย์ไม่ได้ทำอยู่คนเดียว พวกเราเป็นคนเริ่มมัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของเรา รวมถึงความปลอดภัยของเรย์ด้วย”
“เรย์รู้ว่าทิพย์ทำได้ทุกอย่าง แล้วเรย์ก็รู้สึกขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่ทิพย์ทำให้เรย์ด้วย” เรไรหันกลับมามองทิพย์ และยิ้มอ่อนๆ ที่มุมปาก “นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้แม่ของเรย์กับพ่อของทิพย์ตายตาหลับได้”
ทิพย์เข้าใจความหมายแฝงของคำพูดที่เรไรเอ่ยออกมา
“เราจะเปิดโปงความจริง เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับพวกท่าน…ถูกไหม”
“ใช่…” เรไรเห็นด้วย ดวงตาของเธอแข็งกร้าวด้วยความมุ่งมั่น “และเราจะไม่หยุดจนกว่าจะได้เห็นความหายนะของพวกมัน”
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงเรื่องสำคัญในตอนนี้ขึ้นมาได้
“ตอนนี้บ้านเราดูเหมือนจะกลายเป็นจุดหมายของใครหลายคนแล้ว ต้องคอยระวังให้ดี อย่าให้ใครมาเซอร์ไพรส์อย่างวันนี้อีก”
“วางใจฉันได้เลยเรย์ จะไม่มีใครผ่านฉันไปได้แน่นอน” หญิงสาวร่างใหญ่ตอบรับด้วยแววตามุ่งมั่น
เมื่อทิพย์หายกลับไปในเงามืด เรไรก็กลับไปอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ความคิดของเธอเต็มไปด้วยแผนการ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความเป็นธรรมหรือการแก้แค้น สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ เธอจะไม่หยุดจนกว่าภารกิจนี้จะเสร็จสิ้น
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ