เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

แสงสีทองของยามเช้าอาบไปทั่วทั้งเมือง ขณะที่เรไรกำลังเดินตรงเข้าไปภายในอาคารของมูลนิธิ ซึ่งใครก็ตามที่ได้เจอเธอแล้ว ก็เหมือนเห็นความสง่างามของหญิงสาวที่ทำงานเป็นมืออาชีพ ตอนนี้ทุกคนในมูลนิธิต่างจำเธอได้ เรียกได้ว่าตั้งแต่เธอก้าวขาเข้ามาก็รู้ในทันที ท่าทางการเดินที่มั่นใจและมองตรงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ด้วยตำแหน่งของเธอ ก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจและได้รับความเคารพในมูลนิธิ ทว่าสิ่งที่เป็นปริศนาซึ่งปกคลุมตัวเธออยู่นั้น ก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นให้กับคนในมูลนิธิไม่น้อย

และดูเหมือนวันนี้จะมีคนที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิมามากสักหน่อย เป็นเพราะวันที่มธุกรต้องออกมารับเงินบริจาคจำนวนมหาศาลจากบริษัทใหญ่ ที่อาจกลายเป็นข่าวให้คนรับสารรู้สึกอิ่มบุญแทน

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงความลับที่อยู่เบื้องหลังการบริจาค รวมถึงเธอด้วย…

เมื่อเรไรได้รับบทบาทในมูลนิธิ การทำงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับเงินระดมทุนทั้งเงินที่ใสสะอาด และเงินที่มาอย่างลับๆ ก็กลายเป็นความรับผิดชอบของเธอไปด้วย ตั้งแต่แผนการฟอกเงินจนถึงการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย แม้จะเรียนรู้จะทวิชมาบ้างในช่วงที่เขาป่วย แต่การลงมาทำด้วยตัวเอง มันยิ่งทำให้เธอรู้ลึกในทุกเรื่องมากขึ้นไปอีก

ไม่มีอะไรที่ทำเพื่อการกุศลอย่างแท้จริงเลย…

มูลนิธินี้ถูกก่อตั้งมาเพื่อการฟอกเงินเก็บของทับทิมให้สะอาด ผ่านตัวตนใหม่ที่ชื่อมธุกรหญิงหม้ายใจบุญ เครือข่ายการทำธุรกรรมที่ซับซ้อนออกแบบมาเพื่อให้เงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายดูเหมือนถูกต้อง ทั้งบริษัทเปลือกของกลุ่มสมาชิกกิตติมศักดิ์ งานเอกสารที่สร้างเอาไว้เพื่อตบตาคน และวิธีทำบัญชีที่ถูกตรวจสอบได้ยาก นั่นคือเครือข่ายของการหลอกลวงที่มีมธุกรเป็นคนควบคุมมันทั้งหมด

และในเรื่องของการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย แน่นอนว่ามูลนิธิแห่งนี้ก็เชี่ยวชาญไม่แพ้กัน มธุกรรู้วิธีการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมาย ชักจูงผู้คน และใช้ชื่อเสียงของมูลนิธิเพื่อรวบรวมเงินทุนจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งเงินบริจาคด้วยจิตศรัทธาและผ่านธุรกิจสีเทาซึ่งมีที่มาคลุมเครือ ทุกอย่างถูกปกปิดด้วยหน้าฉากของกิจกรรมการกุศลทั้งสิ้น

ตอนนี้เรไรคือหนึ่งในคนที่รับรู้ถึงเงินที่ผ่านเข้ามาเหล่านี้ น่าเสียดายที่เธอไม่รู้วิธีนำมันออก เพราะนั่นคือหน้าที่ของภมร และเธอก็เริ่มที่จะไขปริศนาของมันทีละนิด สมาชิกระดับสูงแต่ละคนจะมีบริษัทเปลือกเป็นของตัวเอง เพื่อนำเงินที่ไร้ที่มาที่ไปเข้าระบบของมูลนิธิในรูปแบบของเงินบริจาค และออกไปในลักษณะของการว่าจ้างบริษัทที่คนพวกนั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง อาจคืนเป็นค่าตอบแทน หรือส่วนแบ่งต่างๆ เท่าที่จะสามารถบิดไปได้

แต่สิ่งเดียวที่เรไรยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือ ภายใต้องค์กรหลายสิบแห่งที่บริจาคเงินเข้ามานั้น ที่ไหนคือบริษัทเปลือกและบริษัทเหล่านั้นเป็นของใครบ้าง

ขณะที่เจาะลึกลงไปในการทำงานของมูลนิธิ เธอก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานคนอื่นมากขึ้น และทำให้รู้ว่าพนักงานของที่นี่ แทบไม่มีใครรู้เรื่องเส้นทางการเงินที่แท้จริงเลย นั่นหมายถึงคนที่ทำเรื่องนี้คงมีแต่คนของทวิช มธุกร และภมรเท่านั้น ส่วนทวิชก็ดันอยู่ไม่นานพอที่เธอจะสาวความลับเรื่องบริษัทเปลือกทั้งหมดจากเขา

 

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั่นเอง เรไรก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ในอีกด้านของมูลนิธิ เมื่อร่างท้วมของสส.อิทธิพลปรากฏในห้องทำงานของเธอ เขาคือหนึ่งในสมาชิกผู้ทรงเกียรติที่รู้กันดีว่า นี่คือกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากมธุกร

เมื่อเข้ามาถึงในห้อง เขาก็มายืนพิงโต๊ะทำงานของหญิงสาว ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“ดูสิ หุ่นเชิดผู้ภักดีของทวิช ยังคงทำงานเป็นแขนขาให้มธุกรเหมือนกันสินะ” อิทธิพลมองหญิงสาวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเธอมาเยอะ เห็นเขาบอกว่าเธอรู้ทุกเรื่องที่ทวิชรู้เลยใช่ไหม”

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนถามค่ะ” เรไรตอบ สายตาของเธอจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า

“เอาละ ผมจะไม่พูดอ้อมค้อมแล้วกัน” เขาพูดโดยเลือกที่จะไม่สนใจสายตาที่ไร้ความเคารพของเธอ “การเลือกตั้งครั้งหน้า ผมต้องการเงินทุนจากมูลนิธิ”

หญิงสาวมองเขา แล้วหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่พักหนึ่ง

“อย่างที่รู้กันนะคะ ว่าถ้าอยากได้เงินสนับสนุน คุณต้องไปคุยกับคุณมธุกรไม่ใช่ฉัน แต่บรรดาบริษัทที่เป็นของคุณก็ยังเอาเงินหมุนผ่านมูลนิธิอยู่ไม่ใช่เหรอคะ” เธอพูดถึงบริษัทเปลือกที่ สส.อิทธิพลมักใช้เป็นตัวแทนบริจาคเงินให้กับมูลนิธิ ที่สุดท้ายด้วยกระบวนการฟอกเงินที่มูลนิธิคิดขึ้นมา เงินพวกนั้นก็จะกลับมาอยู่ในมือเขา เพียงแต่เธอยังไม่รู้ว่าบริษัทไหนเป็นของเขาบ้าง แต่ที่พอจะเดาได้ก็คือ ครั้งนี้เงินที่เขานำมานั้นยังไม่เพียงพอกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง เขาจึงต้องขอเงินจากมูลนิธิเพิ่ม

“แล้วยังไง ถ้าผมชนะการเลือกตั้ง มูลนิธิก็จะได้เงินเพิ่มอยู่แล้ว” อิทธิพลยักไหล่

“จริงด้วยสิคะ เพียงแต่…ดูเหมือนเรื่องการนำเงินออกคุณภีมจะเป็นคนคุมทั้งหมด และเขาเองก็กำลังหมุนเงินของลูกสาวคุณเข้ามาเหมือนกัน ทั้งพ่อตามาขอเงินและลูกเขยที่แอบเอามาหมุนผ่านมูลนิธิมากขนาดนี้ มูลนิธิน่าจะรับภาระหนักไปหน่อย แถมเสี่ยงกับการถูกตรวจสอบด้วย คุณว่าไหมคะ” เธอหันมาถามคนที่ยังคงไว้ด้วยทีท่าหยิ่งทะนง ทั้งที่เขาแทบไม่เหลืออะไรแล้ว

“เจ้าภีมน่ะเหรอ ถ้ามันฟังผมบ้าง คงไม่ต้องมาพูดกับคนอย่างเธอหรอก คนโง่อย่างมันมีแต่จะนำความพินาศมาให้มูลนิธิ โมรีก็เหมือนกัน เอาแต่เชื่อผัวจนไม่ฟังพ่อ” เขาพูดถึงลูกเขยตัวเองอย่างเจ็บแสบ “แต่เธอเชื่อฉันเถอะ มัวแต่ทำเงินให้มันก็เหมือนยื่นลูกแก้วให้ลิง ผมยังมีโครงการใหญ่ที่สามารถนำเงินออกมาได้อยู่ ถ้าตอนนี้เธอสามารถโน้มน้าวให้พวกนั้นเอาเงินมาให้ผมก่อนได้ ผมจะตอบแทนให้อย่างงามเลย”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ กับคำเปรียบเทียบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอแอบเห็นด้วยกับสิ่งนั้น

“โชคร้ายหน่อยนะคะ ที่คุณมธุกรมักเข้าข้างลิงตัวนั้น แถมอาวิชก็ไม่เคยให้ฉันทำเรื่องพวกนี้ ส่วนคุณภีมก็เก็บเส้นทางการนำเงินออกเป็นความลับสุดยอด ลูกสาวของคุณเป็นภรรยาเขาน่าจะรู้เรื่องนี้มากกว่าฉันไม่ใช่เหรอคะ คุณคงต้องโน้มน้าวคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันแล้วค่ะ”

ห้องทำงานเต็มไปด้วยความเงียบเมื่ออิทธิพลได้ฟังคำพูดของเรไร เขารู้ว่าเธอจัดการเรื่องเงินได้ดีพอกับทวิช และมีไม่กี่คนที่กล้าพูดเรื่องนี้กับเขาอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม ประเด็นก็คือ ดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ใช่เพียงร่างทรงของทวิชอย่างที่เขาคิดแล้ว

สส.อิทธิพลกับเรไรนั่งตรงข้ามกัน และไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นบทสนทนาก็ได้ดำเนินไปในทิศทางที่เขาไม่อาจคาดถึง

“แต่ท่านสอสอคะ…” เรไรเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นทันใด “ถ้าอยากให้ฉันช่วยจริงๆ มันก็พอจะมีข้อเสนออยู่นะคะ”

“ผมหูฝาดไปหรือเปล่า ข้อเสนอจากคนอย่างเธอเนี่ยนะ” เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ แม้ว่าสีหน้าจะยังคงงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ

“ค่ะ เพียงแต่…ฉันต้องรู้เอกสารการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิของบริษัทที่เป็นของคุณทั้งหมดค่ะ รวมถึงบริษัทที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อรอรับเงินคืนด้วย และที่สำคัญคือหลักฐานการรับเงินที่คุณมธุกรมอบให้กับคุณ”

เจ้าของร่างท้วมมีท่าทีตะลึงงัน แต่ก็รีบตั้งสติได้ทันควัน มีไม่กี่คนที่รู้ว่ามธุกรจะมีบัญชีลับและออกใบแทนเป็นหลักฐานการนำเงินเข้า เพื่อที่เวลาเงินออกจะได้จ่ายอย่างถูกต้อง

“อยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม”

“เพราะว่า…” เธอกล่าวพร้อมกับจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ “ฉันจะได้ช่วยคุณเรื่องเงินทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าไงคะ หากรู้ว่าบริษัทปลายทางไหนที่เป็นของคุณ อย่างน้อยฉันก็น่าจะขอให้มูลนิธิอื่นๆ ที่รับเงินไป ทำเรื่องซื้อขายผ่านบริษัทของคุณให้มากกว่าเดิม เท่านี้คงพอให้ไม่เป็นที่สงสัยได้ค่ะ”

แม้สิ่งที่เธอกำลังเสนอนั้นจะน่าสนใจ เพียงแต่อิทธิพลกลับรู้สึกว่าเหมือนเขากำลังถูกปีศาจชักชวนทำสัญญาที่อาจส่งผลร้ายให้มากกว่า เขาจึงได้แต่หัวเราะเสียงดังก้อง

“เธอนี่มันยังอ่อนหัดสำหรับวงการนี้จริงๆ ทำไมผมต้องเอาเอกสารสำคัญขนาดนั้นให้ด้วย เป็นแค่เด็กที่ทวิชเก็บมาเลี้ยงแท้ๆ อย่าเหิมเกริมให้มากนักสิ รู้เท่าที่ตัวเองควรรู้นั่นแหละดีแล้ว”

“นั่นสิคะ บางทีท่านอาจพูดถูก แต่ถ้าท่านรู้ว่าทำไมอาวิชถึงเก็บฉันมาเลี้ยง ท่านอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้” รอยยิ้มของเธอเหยียดเป็นเส้นบางๆ ในใจนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างเก็บไว้ไม่อยู่

“แล้วทำไมผมต้องใส่ใจด้วยล่ะ ทวิชเก็บเด็กมาเลี้ยงตั้งมาก” ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่อิทธิพลก็เริ่มไม่แน่ใจ และตามมาด้วยความสงสัยอย่างรวดเร็ว

“ก็จริงอย่างที่ท่านพูดค่ะ อาวิชไม่ได้รับเลี้ยงเด็กแค่คนเดียว แต่คนที่เขาสั่งให้ทำงานแทนได้ทุกอย่างน่ะ เห็นทีจะมีฉันคนเดียวค่ะ ท่านไม่อยากรู้เหตุผลนั้นเหรอคะ” สายตาของเธอไม่ละไปจากชายตรงหน้าแม้แต่น้อย “แต่เอาเป็นว่า เรื่องที่ท่านอยากได้ ฉันจะขออนุญาตชี้นำสักเล็กน้อย หากท่านทำผ่านบริษัทของตัวเองทั้งหมด โดยไม่ต้องผ่านมูลนิธิเพื่อจ่ายส่วนแบ่ง ฉันก็คงว่าอะไรไม่ได้…ใช่ไหมคะ”

อิทธิพลเอนหลัง เอามือกอดอกไว้ขณะที่พิจารณาคนตรงหน้า เขาเริ่มรู้สึกสนใจถึงตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงหุ่นเชิดของทวิชคนนี้ จู่ๆ เธอก็แสดงความรู้และไหวพริบในระดับที่น่าแปลกใจ และมันทำให้เขารู้สึกไม่ไว้วางใจเธอเลยสักนิด

 

ในการทำงานของมูลนิธิ เรไรได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเธอคือนักระดมทุนที่เก่งฉกาจคนหนึ่ง เมื่อสามารถทำเงินได้มหาศาลให้กับองค์กร นั่นทำให้มธุกรยิ่งรู้สึกทึ่งกับความสามารถของเธอ จนเริ่มคิดว่าเด็กที่ทวิชเลี้ยงมากับมือคนนี้ ช่างมีอะไรที่พิเศษจริงๆ หรือเธอควรเชื่อได้แล้วว่านี่คือเด็กที่ทวิชตั้งใจปั้นมาให้เป็นแขนขาของมธุกรแทนเขา

“เธอระดมเงินเยอะขนาดนั้นในเวลาแค่นี้ได้ยังไง” เมื่อเห็นรายงานจำนวนเงินที่เข้ามาในมูลนิธิ มธุกรก็อดคิดไม่ได้ถึงที่มาของมัน

“คนเราชอบให้ ถ้ามันทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ดีค่ะ” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายด้วยความพึงพอใจ

“แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้ เธอโน้มน้าวพวกเขาได้ยังไง ฉันยังสงสัยอยู่” ความอยากรู้อยากเห็นของมธุกรพลุ่งพล่าน

“เอาเป็นว่าเรย์เล่นกับผลประโยชน์ของพวกเขาค่ะ” เรไรตอบอย่างเมินเฉย เหมือนกับว่าเธอเองก็เก่งพอที่จะรู้ว่าควรทำอะไร

“แบบไหนล่ะ”

มธุกรยังคงความสงสัย ระหว่างที่หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ใบหน้าของเธอก็ระบายความเจ้าเล่ห์ออกมา

“เรย์แค่บอกว่าพวกเขาสามารถลดภาษีได้อย่างมากจากการบริจาคให้กับมูลนิธิค่ะ และเรย์จะออกใบเสร็จให้มากกว่าเงินที่พวกเขาให้จริงๆ แบบนี้ก็ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย พวกเขาเสียภาษีน้อยลงและเราได้เงินที่จำเป็นสำหรับมูลนิธิ ส่วนเงินส่วนต่างเรย์ก็ใช้เงินนอกระบบที่คุณกับอาวิชสะสมไว้มาเติม เพื่อให้เงินเหล่านั้นสามารถหมุนกลับมาหาเราได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ” เธออธิบายโดยไม่ได้บอกว่า ภมรก็เป็นอีกคนที่เข้ามาร่วมเอาเงินนอกระบบจากโมรีมาสมทบกับเงินบริจาคด้วย

มธุกรถึงกับพูดไม่ออก ไม่ใช่แค่จำนวนเงินที่เรไรรวบรวมได้เท่านั้นที่ทำให้เธอประหลาดใจ แต่ยังรวมถึงวิธิการที่เธอเอาเงินสดจากธุรกิจสีเทาเข้ามาในระบบได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเรไรรู้สิ่งที่ทวิชทำกับเงินพวกนั้นมาตลอด และเธอไม่ได้เอ่ยอ้างลอยๆ แต่อย่างใด ความสามารถพิเศษในการพลิกแพลงสถานการณ์เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งจำเป็นที่มธุกรและมูลนิธิต้องการ สำคัญกว่านั้นคือเงินสดที่เธอเอามาเติมนั้น คือสิ่งที่มธุกรเองก็อยากรู้ว่าทวิชเก็บมันเอาไว้ที่ไหน

สำหรับเงินผิดกฎหมายที่เรไรหาวิธีทำความสะอาดให้กับมัน เธอได้เข้าหาบรรดานักธุรกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากสมาชิกในมูลนิธิ คนที่กำลังมองหาวิธิฟอกเงินที่ไม่มีที่มาที่ไป เมื่อนำมาบริจาคให้มูลนิธิผ่านกระบวนการอันซับซ้อนแล้ว เงินพวกนั้นก็จะสะอาด ซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากการกุศล เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เพราะนอกจากคนพวกนั้นจะได้เงินที่สะอาดกลับไปแล้ว มูลนิธิก็จะมีเงินส่วนแบ่งเพิ่มเข้ามาอีกด้วย แน่นอนว่าเธอเริ่มรู้ขั้นตอนการเอาเงินออกมากขึ้น จากข้อมูลที่ภมรนำมาตอบแทน

‘เพียงแค่สร้างมูลนิธิอื่นมารองรับเงินสักสามสี่แห่ง แล้วเบิกเงินทำกิจกรรมโดยจ้างบริษัทที่เป็นนอมินีของมูลนิธิโลกในฝัน ด้วยการทำเอกสาร และใบสั่งซื้อที่มีมูลค่ามากกว่าปกติ หรือแม้แต่การเป็นที่ปรึกษา ทุกอย่างสามารถนำออกมาเป็นเงินสะอาดได้ทั้งนั้น’

ถึงจะกังวลในทีแรก แต่มธุกรก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมกลยุทธ์ที่เรไรใช้ สมแล้วที่ทวิชถ่ายทอดวิชาให้ และบางทีเธออาจประเมินหญิงสาวต่ำเกินไป สำหรับตอนนี้คงได้แต่เฝ้าดูเท่านั้น

 

ด้วยความสำเร็จของการระดมทุนที่ทำให้เรไรมีหน้ามีตาในมูลนิธิมากขึ้นแล้ว ถึงเวลาที่เธอจะดำเนินการบางอย่างเพื่อทำให้แผนของตัวเองเดินหน้าสักที คราวนี้หญิงสาวได้เปลี่ยนเป้าหมายมายังคนที่เธอคิดว่าจะเขี่ยทิ้งเป็นคนถัดไป นั่นคือผู้ที่เกาะกินเงินของหลวงและมาฟอกผ่านมูลนิธิ เหมือนปลิงดูดเลือดมาอย่างช้านาน

ในขณะที่หญิงสาวกำลังนำรายงานมาให้กับมธุกรอยู่นั่นเอง จู่ๆ เรไรก็เริ่มบทสนทนาขึ้นมา

“คุณคิดว่าเราควรที่จะสนับสนุนท่านอิทธิพลในการเลือกตั้งครั้งหน้าจริงๆ เหรอคะ หลายวันก่อนเขามาคุยกับเรย์เรื่องนี้ แต่เรย์รู้สึกว่าหลายสมัยที่เขาได้เป็นสอสอ ก็แทบไม่เห็นว่าเขาจะมีความก้าวหน้าทางการเมืองสักเท่าไรเลย แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีสักกระทรวงก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ บางทีเราน่าจะสนับสนุนคนที่มีศักยภาพมากกว่านี้นะคะ”

คำแนะนำจากเรไรกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตามมธุกรกลับรู้สึกได้ถึงคำใบ้บางอย่างที่เธอซ่อนเอาไว้ แต่ก็ยังสงวนท่าทีด้วยความสงบเยือกเย็น

“เธอหมายถึงใครล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นภีม”

“ถูกต้องค่ะ คุณภีมมีคุณสมบัติครบถ้วนที่น่าสนับสนุน และเขาก็มีความใกล้ชิดกับคุณมาโดยตลอด เรย์ว่าเขาน่าจะทำได้ดีกว่าท่านอิทธิพลค่ะ” เรไรกล่าวถึงข้อดีของภมร และเธอก็รู้ว่ามธุกรเองก็อยากจะผลักดันเขา

มธุกรเงียบไป เมื่อพิจารณาจากคำพูดของหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าเธอเห็นด้วยกับข้อเสนอของเรไร แต่ความสงสัยถึงสิ่งที่เรไรรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับภมรนั้น มันทำให้เกิดการชั่งใจ และเธอก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้มีแรงจูงใจบางอย่างถึงได้พูดเรื่องนั้นออกมา

“เรไร ฉันว่าทางที่ดีเราควรสนใจที่มูลนิธิมากกว่าเรื่องของคนอื่นนะ เว้นแต่ว่า…มันจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเธอกับภีม” มธุกรตอบกลับด้วยเรื่องอื่นไปเสีย

ใบหน้าของหญิงสาวแสดงความประหลาดใจออกมา ก่อนจะรีบปกปิดมันเอาไว้ เรไรไม่คิดมาก่อนว่ามธุกรจะพูดกับเธอเรื่องนี้ และสงสัยว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่เธอกับภมรพูดกันมากแค่ไหน

“คุณหมายถึงอะไรล่ะคะ”

“เอาเป็นว่า…ฉันแนะนำให้เธอแยกความสัมพันธ์ส่วนตัวออกจากเรื่องงานดีกว่านะ และก็จำไว้ว่ามันมีเส้นที่เธอไม่ควรข้ามมาอยู่ ถ้าไม่ว่าอะไรเรื่องนี้ฉันขอตัดสินใจเอง เธอไปได้แล้ว” มธุกรตอบเสียงห้วน และไล่หญิงสาวออกไปจากห้อง

“ขออภัยด้วยค่ะที่เรย์ล้ำเส้นคุณอีกแล้ว แค่หวังว่าคุณน่าจะพิจารณามุมมองอื่นบ้าง ทุกอย่างนี้เรย์ทำเพื่อให้แน่ใจว่ามูลนิธิจะได้ประโยชน์สูงสุด แล้วก็เชื่อว่าคุณก็คงทำเช่นนั้นเหมือนกัน” รอยยิ้มของเรไรเบิกกว้าง นัยน์ตาของเธอฉายแววท้าทายออกมาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

เรไรเดินออกจากห้องไป ทิ้งความตึงเครียดระหว่างผู้หญิงสองคนเอาไว้ สิ่งที่หญิงสาวพูดออกมาได้กระตุ้นบางอย่างในตัวมธุกร อนาคตของมูลนิธิกำลังแขวนอยู่ระหว่างสมดุลแห่งอำนาจ ขณะที่แต่ละคนก็กำลังวางแผนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างสุดกำลัง

 

แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงก็คือ ในเวลาต่อมาไม่นานสื่อก็ประโคมข่าวการยักยอกเงินโครงการรัฐของ สส.อิทธิพล รายละเอียดนั้นมุ่งโจมตีความเลวร้ายของการฉ้อโกงอันมหาศาล และความเห็นของประชาชนก็เริ่มต่อต้านเขาอย่างรวดเร็ว ตามรายงานที่ได้รับทราบก็คือ สส.อิทธิพลได้ทำการโอนเงินก้อนจากโครงการต่างๆ ไปยังบัญชีส่วนตัวของเขาผ่านบริษัทเปลือกที่ตั้งขึ้นมารองรับ ในขณะที่ประชาชนผู้ซึ่งควรได้ประโยชน์จากโครงการนี้อย่างสูงสุด กลับต้องทนทุกข์ต่อความลำบาก

สส.อิทธิพลที่กำลังทนกับความรู้สึกอับอายจากการถูกสื่อติดตาม ได้ลี้ภัยตัวเองเข้ามาอยู่ที่ห้องทำงานของมธุกรภายในมูลนิธิ และขอร้องให้เธอใช้เครือข่ายอิทธิพลที่มีปกปิดเรื่องนี้

“คุณต้องช่วยผมนะ ไม่งั้นผมตายแน่”

“นี่อยู่เหนือความสามารถของฉัน ต้องขอโทษด้วยที่ฉันช่วยคุณไม่ได้” มธุกรยังคงความเฉยเมย และตอบกลับไปด้วยความแข็งกร้าว

“ให้ตายเถอะ ผมรู้นะว่าคุณมีอิทธิพลกับพวกคนที่ช่วยเรื่องนี้ได้น่ะ ผมไม่ได้ขอให้คุณทำอะไรที่มันผิดกฎหมายเลยด้วยซ้ำ แค่ช่วยพูดให้ผมรอดจากเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ ทำอย่างกับคุณไม่เคยทำมาก่อนอย่างนั้นแหละ” เขาโต้แย้งเหมือนกับคนสิ้นหวัง ความหวาดกลัวแทรกอยู่ในน้ำเสียงของเขา

อย่างไรก็ตามประธานของมูลนิธิยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ และมองเขาอย่างเย็นชา

“บางทีคุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองบ้างนะ เพราะคุณนำพาชื่อเสียมาให้มูลนิธิมากเกินไปแล้ว จนฉันเริ่มคิดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า เราอาจต้องประชุมเพื่อสนับสนุนคนใหม่ที่ดูมีอนาคตมากกว่านี้”

“อะไรนะ! คุณจะเขี่ยผมทิ้งอย่างนั้นเหรอ เพราะไอ้ภีมใช่ไหม คุณจะเอามันขึ้นมาแทนผมใช่ไหม คุณมัน…คนทรยศ!” เขาตวาดออกมาด้วยความโกรธแค้นที่ถูกมธุกรปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

หญิงสูงวัยตวัดตามองคนที่กล้าขึ้นเสียงกับเธอ โดยปราศจากความรู้สึกใดๆ

“ใครกันแน่ที่ทรยศ คุณเริ่มมันก่อนเองไม่ใช่เหรอ อยากได้เงินก้อนโตจนได้เรื่อง แล้วเงินนั่นคุณก็เอามันผ่านบริษัทของตัวเอง มูลนิธิไม่ได้อะไรจากคุณสักบาท แต่อาจต้องถูกตรวจสอบเพราะบริษัทพวกนั้นเคยบริจาคเงินให้กับมูลนิธิ นี่ถ้าฉันไม่รู้เรื่องนี้จากเรไรมาก่อน ทั้งฉันกับทุกคนในมูลนิธิก็คงมีสภาพไม่ต่างจากคุณเหมือนกัน”

ข้อกล่าวหาที่มธุกรกล่าวถึงทำเอาสส.อิทธิพลถึงกับพูดไม่ออก โดยปกติแล้วทุกเงินที่เขาทำการยักยอกมานั้น มันจะถูกนำเข้าบริษัทเปลือกที่เขาตั้งไว้หลายแห่ง ผ่านรูปแบบใบเสร็จรับเงินที่เกินจริง แล้วบริษัทเหล่านั้นก็จะบริจาคเงินเข้ามูลนิธิ ผ่านกระบวนการฟอกเงิน และส่งมันกลับคืนเป็นเงินสะอาดให้กับเขา แต่มันอาจถูกหักส่วนแบ่ง และหายไปตามกระบวนการเล็กน้อย ที่สำคัญมูลนิธิจะมีเพดานในการนำเงินเข้าเพื่อให้ไม่เป็นที่สังเกต แต่ครั้งนี้เพราะเขาอยากได้เงินจำนวนมากจึงไม่ได้นำเงินผ่านมูลนิธิ และเป็นโชคร้ายที่โครงการนั้นถูกตรวจสอบพอดี

แต่ที่น่าสงสัยก็คือ คนที่เปิดทางให้เขาทำเรื่องพวกนี้ กลับเป็นคนมาบอกเจ้าของมูลนิธิเสียเอง

“เรไร นังงูพิษนั่น” อิทธิพลกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง

“คุณไม่ควรพูดถึงคนของฉันแบบนั้น”

ตอนนี้ สส.อิทธิพลได้แต่หัวเราะอย่างเสียสติ ยิ่งเมื่อได้เห็นมธุกรออกโรงปกป้องอสรพิษตัวนั้น

“โง่จริงๆ ที่ไปเชื่อผู้หญิงคนนั้น แล้วจะต้องเสียใจที่วันนี้คุณเขี่ยผมทิ้งไป”

“หมายความว่ายังไง” ดวงตาเธอหรี่ลงด้วยความสงสัย

“ก็นังนั่นมันเป็นคนบอกให้ผมทำเรื่องนี้ อ้อ…แล้วคุณอาจจะลืมไป” เขาพูดอย่างมีเลศนัย “ผมยังมีเอกสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับคุณ สงสัยเหลือเกินว่าคนจะคิดยังไง ถ้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของประธานมูลนิธิเพื่อสังคมอย่างคุณ”

มธุกรรู้สึกถึงความเย็นเยือกที่ไล่ขึ้นมาตามสันหลัง เธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร เอกสารพิสูจน์ตัวตนดั้งเดิม หลักฐานที่ชี้ว่าเธอคือนางทับทิม เจ้าแม่แชร์ที่น่าจะตายไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว และมันเป็นของอันตรายที่อาจทิ่มแทงเธอได้ตลอด แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงรักษาความสงบของตัวเองไว้ ภายใต้ใบหน้าที่แปลงโฉมโดยหมอศัลยกรรมมือดี

“แล้วถ้าคุณเปิดเผยมันออกมา ก็ลองคิดถึงผลที่จะตามมาดีๆ แล้วกัน หากมีคนที่ใหญ่กว่าฉันรู้ว่าทุกอย่างที่สร้างมากำลังจะพังเพราะคุณ คิดว่าเขาอยากจะเอาคุณไว้ต่อไปรึเปล่าล่ะ” เธอโต้กลับด้วยเสียงที่แข็งกระด้าง

รอยยิ้มแห่งชัยชนะหายไปจากใบหน้าของอิทธิพล เขาประเมินมธุกรต่ำไป ตอนนี้เธออยู่สูงกว่าที่เขาจะดึงลงมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ไร้ซึ่งหนทางก็ได้เพียงหัวเราะ และโน้มตัวเข้าไปใกล้กับเจ้าของมูลนิธิ

“ผมจะเตือนคุณไว้อย่างนะ ยิ่งคุณเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นมากเท่าไร ชีวิตของคุณก็จะยิ่งพังทลาย นังเรไรมันไม่ได้เชื่องเหมือนลูกแกะ ระวังมันจะตามหาอดีตของคุณรวมถึงความลับของคุณด้วย…จำเอาไว้” รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าอ้วนกลมในขณะที่เขาเตือนเธอ ด้วยเสียงแผ่วเบาราวจนแทบเป็นเสียงกระซิบที่น่ากลัว

“ออกไปได้แล้ว!” น้ำเสียงของเธอเดือดดาลด้วยความโกรธ “คุณมันหน้าไม่อาย มูลนิธิช่วยเหลือคุณไปมากเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นสอสอกี่สมัยคุณก็ไม่เคยก้าวหน้าเลย แม้แต่ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีคุณยังไม่เคยได้ด้วยซ้ำ”

คำพูดของเธอยังคงดังก้องอยู่ในห้อง แม้ว่า สส.จะจากไปแล้ว และถึงแม้มธุกรจะอยู่เหนือกว่าทว่าเธอไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังกำชัยชนะแต่อย่างใด คำพูดของอิทธิพลยังคงติดอยู่ในใจ เรไรนั้นซื่อสัตย์ต่อเธอจริงหรือ เธอควรจะเชื่อใจดั่งเช่นที่เคยเชื่อทวิชไหม หรือผู้หญิงคนนี้อาจเป็นงูอีกตัวในพงหญ้า ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้

 

และในยามค่ำคืนที่ความมืดเข้าปกคลุม ยังมีแสงหนึ่งที่สาดเข้ามานั่นคือแสงจากรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดใกล้กำแพงวัด ไฟหน้าของรถตัดผ่านความมืดที่รายล้อมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะดับลง ทำให้บริเวณนั้นกลับเข้าสู่ความมืดมิด ซึ่งห่างไกลจากความเร่งรีบและความวุ่นวายของย่านที่อยู่อาศัย ความเงียบอันน่าขนลุกถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเครื่องยนต์เบาๆ

กระทั่งมีแสงไฟสลัวของมอเตอร์ไซค์ดัดแปลงที่ใกล้เข้ามาและจอดอยู่ไม่ไกลนัก ความสว่างจากไฟหน้าของรถมอเตอร์ไซค์ตัดเข้ามาในรถ ส่องให้เห็นใบหน้าของเรไรที่นั่งอยู่ด้านในรถยนต์ก่อนดับ เธอหันไปมองทิพย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วพยักหน้าเป็นการส่งสัญญาณเงียบๆ

ทิพย์ก้าวลงจากรถ เงาของเธอหายไปในความมืดขณะที่เดินเข้าไปหาชายหนุ่มซึ่งกำลังลงจากรถมอเตอร์ไซค์

“ทำตามที่ฉันบอก” ทิพย์สั่งเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่เบา ทว่ายังคงความหนักแน่น

“ให้ทุบทิ้งเลยใช่ไหมครับ”

เขาถามพลางมองผ่านเข้าไปในกำแพงวัด ทิพย์ตอบรับด้วยการพยักหน้าและยื่นห่อกระดาษที่ด้านในบรรจุธนบัตรไว้

“เสร็จงานแล้ว ถ่ายรูปให้ฉันด้วย” เธอนิ่งไปและเอ่ยต่อ “แล้วฉันจะจ่ายอีกครึ่งหนึ่งให้”

“ขอบคุณครับ” ชายวัยรุ่นรีบรับซองเงิน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ ในขณะที่รับเงินไปแล้วเขาก็เริ่มตระหนักได้ถึงความเสี่ยงของงาน หากถูกใครจับได้คงแย่แน่ ทว่าความเย้ายวนของเงินรางวัลก็มากเกินกว่าที่เขาจะคิดอะไรที่ซับซ้อน

เมื่อชายวัยรุ่นกระโดดข้ามกำแพงวัดและหายไปในเงามืด ความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เวลาดูเหมือนจะยาวนานกว่าที่เคยเป็น จากนั้นเสียงข้อความเบาๆ ที่ส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือก็ทำลายความตึงเครียด เมื่อมีภาพหนึ่งส่งเข้ามา

ทิพย์มองดูภาพที่ส่งมาจากอีกด้านของกำแพงวัด ภาพของแผ่นป้ายบรรจุอัฐิของนางทับทิมถูกทำลายอีกครั้ง เศษหินอ่อนแตกกระจัดกระจายกับภายในที่ว่างเปล่า ได้ตอบจุดประสงค์ของงานในครั้งนี้แล้ว ทิพย์เดินไปในรถที่เรไรรออยู่ ก่อนจะยื่นภาพให้ดู เรไรยิ้มอย่างพอใจ ดวงตาของเธอสะท้อนถึงชัยชนะอันดำมืด ที่เพิ่มความน่ากลัวให้กับสิ่งที่คิด

ครู่ต่อมา ชายวัยรุ่นก็โดดออกมาจากกำแพงวัด งานของเขาจบลงแล้ว ทิพย์เดินเข้าไปหาและจ่ายเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา

“ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” เธอเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือกราวกับอากาศในยามค่ำคืน และแสดงออกถึงความหมายที่ชัดเจน ชายคนนั้นพยักหน้าหนักแน่นและรีบรับเงินไปอย่างรวดเร็ว

แล้วทั้งหมดก็ไปจากบริเวณนั้น รถทั้งสองคันต่างละลายหายไปในความมืดมิดของค่ำคืน ทิ้งความสงบอันแสนวุ่นวายไว้ข้างหลัง กับภารกิจที่เรียกได้ว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 



Don`t copy text!