เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
ข่าวการถูกทำลายของเจดีย์เก็บอัฐิของคุณนายทับทิมดังขึ้นมาอีกครั้ง สร้างเสียงวิจารณ์เป็นจำนวนมาก จากผู้คนที่ชอบอ่านข่าวชาวบ้าน และยิ่งทำให้เรื่องราวเก่าๆ เกี่ยวกับแชร์ของนางทับทิมถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเห็นที่ว่าอาจเป็นการแก้แค้นของพวกที่เคยถูกโกงเมื่อสิบห้าปีก่อนก็เริ่มจะมีน้ำหนักมากขึ้น สิ่งที่เคยถูกลืมเลือนไปจากสังคม บัดนี้กำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางความสงสัย กับคำถามที่ว่าเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ที่มีนางทับทิมเป็นตัวการนั้น ได้รับการชดเชยอย่างยุติธรรมแล้วหรือยัง
ข่าวที่ออกมายิ่งทำให้มธุกรรู้สึกร้อนใจอย่างควบคุมไม่อยู่ ด้วยความอยากรู้ว่าใครกันที่ต้องการสร้างเรื่องพวกนี้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!”
“อาจเป็นคนที่คิดแค้นเรื่องเมื่อสิบห้าปีที่แล้วจริงๆ ก็ได้ค่ะ” ดลพรบอกจากที่พยายามไปสืบถึงสาเหตุของเรื่องนี้
“ไม่ใช่” มธุกรรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติแย้งขึ้น “ครั้งที่แล้วน่ะอาจใช่ แต่รอบนี้ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ มีใครบางคนอยากให้เรื่องนี้ถูกพูดถึง เพื่อกระตุ้นตัวตนเก่าของฉัน”
ความสงสัยนี้ทำให้เธอรู้สึกเคลือบแคลงไปถึงสิ่งที่ สส.อิทธิพลบอกไว้ แม้ว่าเขาจะสามารถแฉเธอได้ทันทีด้วยหลักฐาน แต่เพราะมีคนคอยหนุนหลังเธออยู่ ก็เลยอาจทำอะไรไม่ได้มาก นี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาตัดสินใจทำให้ประชาชนสนใจก่อนจะแฉตัวตนของเธอจริงๆ ก็ได้
ไหนจะเรื่องที่มูลนิธิเคยรับเงินบริจาคจากบริษัทหลอกลงทุนที่โมรีมีส่วนร่วม ก็แน่ชัดแล้วว่ากำลังถูกตามเส้นทางการเงินอยู่ ซึ่งอาจเป็นจุดเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน และการเริ่มขุดคุ้ยอดีตของทับทิมในเรื่องแชร์ของเธอซึ่งเป็นผลมาจากข่าวที่เก็บกระดูกถูกทำลายนั้น ยิ่งทำให้สื่อเริ่มจับแพะชนแกะกันสนุกไปหมด
“นี่เป็นการตั้งใจโจมตีฉัน” มธุกรกล่าวออกมาอย่างเคืองขุ่น เธอโยนรีโมตทีวีทิ้งจนแตกกระจาย ด้วยพายุอารมณ์ที่กำลังก่อตัว “มีคนพยายามโยงเรื่องแชร์ทับทิมกับการทำลายที่เก็บอัฐิ และเรื่องบริษัทหลอกลงทุนนั่นเข้าด้วยกัน และสร้างข่าวเสียหายให้กับมูลนิธิ”
คนที่อยู่ด้วยกันอย่างดลพรเริ่มตามความคิดเจ้านายทัน แม้ท่าทางของเธอจะสงบแต่ในใจก็เต็มไปด้วยความกังวลไม่ต่างกัน
“ทุกอย่างมันดูลงล็อกไปหมด เหมือนกับว่ามีคนอยากให้เราเป็นจุดสนใจ แล้วบังคับให้เราต้องทำอะไรสักอย่างตามใจพวกมัน”
บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดมากขึ้น ราวกับมีหินใหญ่แขวนกับเชือกเส้นบางเหนือศีรษะของเธอ มูลนิธิซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ตอนนี้กำลังเริ่มถูกโจมตี ชื่อเสียงของหญิงหม้ายใจบุญกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย มธุกรรู้สึกได้ถึงความโกรธ ความกลัว และความสับสนที่ปะทุอยู่ภายในตัวเธอ โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้เธอจะไว้ใจใครได้บ้าง
“พร…” เธอเรียกคนสนิท “ไปสืบมาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เริ่มที่สอสออิทธิพลกับลูกสาวของมันก่อนเลย”
“ค่ะ” ดลพรรับปาก ขณะที่เสียงลมหายใจด้วยความเคืองแค้นของมธุกร ดังสลับกับเสียงนาฬิกาโบราณ เป็นเครื่องเตือนถึงสถานการณ์ที่เร่งด่วน
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันต้องการจะทำให้ฉันกลัว”
มธุกรเดินไปรอบๆ ห้อง จิตใจของเธอเต้นรัว มีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ และเธอไม่ชอบทิ้งเอาไว้โดยที่ไม่ได้หาคำอธิบาย
“อีกอย่าง…” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก “สืบที่มาของเรไร ฉันอยากรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นลูกใคร รู้เรื่องของเรามากแค่ไหน และจริงหรือเปล่าที่ทวิชไว้ใจมากกว่าคนอื่น”
เธอรู้แค่ว่าเรไรเป็นหนึ่งในเด็กที่เก็บมาเลี้ยงของทวิช แต่อย่างที่รู้ว่าหญิงสาวมีอะไรมากกว่าที่เห็น ทั้งความเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ มันเหมือนกับว่าเรไรกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ แต่เธอไม่อาจไขมันออกมาได้ด้วยการเฝ้ามองเพียงอย่างเดียว
มธุกรกำลังครุ่นคิด จิตใจของเธอก็หวนกลับไปหาน้องชายที่เธอไว้ใจ ทวิชมีความลับเสมอแม้ในเวลาที่เขาทำงานให้กับเธอ อย่างที่รู้ว่าเขาเป็นคนเก็บเงินสดที่ได้มาจากแชร์นางทับทิมเมื่อสิบห้าปีที่แล้วไว้ และนำมันออกมาฟอกผ่านมูลนิธิ จากที่เธอลองนับนั้นมีอีกมากที่เขายังไม่ได้เอาออกมา ซึ่งที่ซ่อนเงินก็ยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ มันควรเป็นของเธอโดยชอบธรรม หากว่าเขาไม่เขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้กับเรไร และเธอก็ตั้งใจจะหามันเจอจงได้
เรไรไม่สามารถติดต่อกับ สส.อิทธิพลได้อีก หลังจากพยายามหว่านล้อมเพื่อเอาหลักฐานที่เขาเตรียมแฉมธุกร แน่นอนว่าเธอรู้ดีถึงสัญญาณอันไม่ปกติ และมันเกี่ยวกับการถูกบังคับให้หายตัว หญิงสาวรู้สึกจุกในอก ตอนนี้หินที่ขว้างลงน้ำได้เกิดระลอกคลื่นเข้ามาใกล้ตัวเธอทุกที สงครามกำลังจะก่อตัวขึ้น และเธอต้องเตรียมพร้อมสำหรับมัน
“เตรียมตัวไว้นะทิพย์ มันใกล้เรามาทุกทีแล้ว” เธอหันไปบอกกับทิพย์ ขณะที่กำลังจอดรถรอเวลาเพื่อพบใครคนหนึ่ง ที่อาคารจอดรถ
“อืม…เข้าใจแล้ว” ทิพย์พยักหน้าเข้าใจถึงคำพูดของเรไร เธอทั้งสองที่ต่างรู้ดีว่าแต่ละคนต้องเผชิญความเจ็บปวดกันมามากแค่ไหน สำหรับทิพย์แล้วความตายของพ่อคือฉนวนเหตุที่ทำให้เธอต้องการเปิดโปงเบื้องหลังมูลนิธิ และแก้แค้นภมรที่เป็นตัวการทำให้พ่อของเธอตาย นั่นคือความรู้สึกร่วมกันของคนที่สูญเสีย รวมถึงความเข้าใจของโลกที่พวกเธออาศัยอยู่ และอันตรายที่ต้องเผชิญ
“แล้วก็…” เรไรกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “มธุกรไม่มีทางยอมปล่อยเรื่องนี้ไว้นานแน่ พวกนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความลับ มันกำลังโกรธ และคนที่โกรธคือคนอันตราย ตอนนี้เรย์ไม่คิดว่าสอสออิทธิพลจะยังมีชีวิตอยู่”
เรไรรู้ว่ามธุกรถูกอิทธิพลต้อนจนมุม และเธอเองก็ร่วมเขย่ารังผึ้งไปแล้วด้วย จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับฝูงผึ้ง มันอาจเป็นเกมเอาชีวิตรอด ซึ่งเรไรรู้ว่าเธอต้องฉลาดกว่า มีไหวพริบมากกว่า และโหดเหี้ยมมากกว่ามธุกร
“หมายความว่าเราคงเอาอะไรจากอิทธิพลไม่ได้แล้ว”
“ก็เหลือแค่โมรีคนเดียวแล้วละ แต่ก็ต้องมีคนช่วยด้วย” เรไรให้ความเห็น ตอนนี้หลักฐานที่ต้องการจาก สส.คงไม่มีทางมาถึงเธอแน่ ก็เหลือเพียงแต่ลูกสาวของเขา ที่อาจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนอยู่
และด้วยความเสียใจต่อการจากไปของแม่ที่หล่อหลอมทุกการกระทำของเธอ เรไรจึงพร้อมที่จะจัดการกับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายของมธุกรด้วย และมันถึงเวลาแล้วที่จะปลุกความจริงจากเถ้าถ่านขึ้นมาแสดงให้โลกเห็นถึงความโสมมของความดีอันจอมปลอม
เวลาเดียวกันนั้นเอง พฤกษ์ก็กำลังจอดรถรอคนที่นัดเขาไว้อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร แสงสลัวของอาคารจอดรถที่เกือบว่างเปล่า ฟังเสียงลมพัดผ่านและเสียงแตรรถเป็นครั้งคราว ทว่าเขากลับยืนโดดเดี่ยวและเงียบสงบ ตรงข้ามกับเมืองที่พลุกพล่านอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้นเขาเห็นไฟหน้ารถกะพริบที่ทางลาด ตัดผ่านความมืดไต่ขึ้นอาคารจอดรถเข้ามาหาเขา และหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินลงมาจากรถ เงาของเธอตัดกับแสงจ้าของไฟหน้าขณะที่เธอกำลังเดินเข้ามา
“คุณเรย์” เขาเอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้น กับข้อมูลบางอย่างที่เธอบอกว่าจะมอบมันให้กับเขา
“ไม่เจอกันนาน คิดถึงฉันไหมคะ”
“ยังชอบแกล้งกันเหมือนเดิมเลยนะครับ” พฤกษ์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเจอหน้ากันทีไรเธอก็ชอบทำแบบนี้กับเขาทุกครั้ง “ว่าแต่ ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไมคุณอยากให้การทำลายเจดีย์เก็บกระดูกนั่นเป็นข่าวนัก ครั้งแรกคุณทำเอง และคราวนี้ก็เป็นฝีมือคุณอีกหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ รอบนี้มือฉันไม่เปื้อนเลยสักนิด” เธอยกมือให้เขาเห็น พร้อมกับยิ้มให้กับเขาอย่างขี้เล่น
พฤกษ์ยอมรับว่าเขาไม่เคยอ่านเธอออกเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับเห็นอารมณ์มากมาย ที่แสดงออกมาเพียงเล็กน้อยผ่านแววตาของเธอ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจถอดรหัสความคิดของเธอได้ แม้รอบตัวของหญิงสาวมีแต่ความสงบนิ่ง เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพายุที่กำลังก่อตัวอยู่ข้างใน
“เหมือนคุณอยากส่งสัญญาณให้ใครสักคนใช่ไหม” พฤกษ์ตัดสินใจถามไปตรงๆ เพราะเขาอยากจะเข้าใจเธอ “ที่จริงแล้วคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่คุณเรย์”
นัยย์ตาของหญิงสาวฉายแววซุกซน ซึ่งทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอยู่ในอก ริมฝีปากของเธอโค้งเป็นรอยยิ้มขณะที่ยื่นซองเอกสารให้กับเขา
“มาพูดเรื่องของเรากันดีกว่าไหมคะ” เสียงของเธอคล้ายกับเสียงกระซิบแต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหยอกล้อ “นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ แลกกับที่คุณให้คนทำข่าวที่เก็บกระดูกให้ฉัน ตอนนี้เหมือนว่าโมรีจะกำลังยักย้ายถ่ายเทสมบัติของตัวเองอยู่ แต่ไม่ได้ทำผ่านมูลนิธิเพราะไม่มีใครไม่เล่นด้วย ทั้งหมดเชื่อมโยงกับการไลฟ์สดขายแบรนด์เนมของดาราสาวที่คุณน่าจะรู้จัก”
พฤกษ์รับเอกสารมาจากเธออย่างระมัดระวัง สายตาของเขายังจับจ้องไปยังใบหน้าของเธอ
“แล้ว…ผมทำอะไรกับเรื่องนี้ได้” เขาถามพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ทำไมไม่ลองสืบด้วยตัวเองล่ะคะ เริ่มจากตัวฉันก็ได้” เรไรยักไหล่ ใบหน้าของเธอเฉยเมย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนุกสนานที่ได้กวนประสาทเขา
“หมายถึงอยากให้ผมเริ่มสืบจากคุณน่ะเหรอ คุณมีอะไรเกี่ยวพันกับโมรีล่ะ” ความท้าทายในคำพูดของเธอทำให้พฤกษ์ตั้งตัวไม่ทัน และถามไปอย่างใสซื่อ
ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาของเธอเป็นประกายที่มาพร้อมกับการกัดริมฝีปากล่าง
“ถ้าคุณอยากสืบให้ลึกกว่านี้ บางที…ครั้งหน้าที่เราได้เจอกัน มันก็น่าจะเป็นที่ที่ส่วนตัวกว่านี้นะคะ อย่างเช่น…ห้องสวีตในโรงแรมดีๆ สักที่ ฉันจะได้แสดงให้คุณเห็นอะไรที่เกี่ยวกับฉันสักอย่างสองอย่าง…ดีไหมคะ”
“อะไรนะ!” พฤกษ์เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ระหว่างที่มองเธอตาแทบถลน
“เป็นอะไรไปคะ กลัวเหรอ” เรไรหัวเราะเบาๆ
“เปล่า…ใครกลัว” เขาพยายามควบคุมตัวเอง
หญิงสาวหัวเราะอีกครั้งเป็นเสียงที่ชวนให้หลงใหล ซึ่งทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้าน
“ดีค่ะ” น้ำเสียงของเรไรกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ครั้งหน้าเรามาออกเดตกันนะคะ”
“ดะ…เดี๋ยวก่อนสิ” พฤกษ์ตะกุกตะกัก และเรียบเรียกเธอที่กำลังหันกลับไป “ผมยังไม่ได้ตกลงที่จะ…”
คำพูดของเขาค้างเติ่งอยู่แค่นั้น เมื่อเรไรยกมือขึ้นโบกให้กับเขา ขณะที่ตัวเธอกำลังเดินไปที่รถของตัวเอง ทิ้งให้พฤกษ์ยืนอยู่ในลานจอดรถด้วยความตะลึงงัน
เขามองดูรถของเธอเคลื่อนออกไปด้วยความรู้สึกสับสน เมื่อไฟท้ายรถของหญิงสาวค่อยๆ จางหายไปจนมองไม่เห็น ก่อนจะรู้ตัวว่าในใจเขากำลังชื่นชมความใจกล้าของเธออยู่ และในขณะเดียวกันเขารู้ดีว่าเธอกำลังเล่นเกมที่มีเดิมพันสูง บางทีก็รู้สึกเหมือนเขาเองก็เป็นเพียงเบี้ยบนกระดานของเธอเท่านั้น
และเพียงชั่วข้ามคืน ข่าวเรื่องการไลฟ์สดขายแบรนด์เนมของดาราสาวก็ดังราวกับพลุแตก เมื่อมีกระแสในโลกโซเชียลว่าเธออาจกำลังพัวพันกับการฟอกเงินให้กับโมรี และนี่อาจเป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินจากธุรกิจหลอกลงทุนที่เจ้าของบริษัทเพิ่งถูกจับไป และโมรีก็เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้เธอจะอ้างว่าเป็นผู้เสียหายเหมือนกันก็ตาม แน่นอนว่ามันยิ่งทำให้เกิดผลกระทบกับภมรแทบจะทันที
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่ แถมพ่อก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โมรีก็เหลือที่พึ่งสุดท้ายนั่นก็คือภมร แต่เขากลับไม่คิดช่วยเหลือเธอ แถมยังเอาเงินจากธุรกิจนั่นที่เธอเก็บไว้ไปฟอกผ่านมูลนิธิแล้วเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำให้ระยะหลังมานี้เธอและเขาเริ่มมีปากเสียงกันมากขึ้น การแสดงความรักที่เคยมีก็กลายเป็นความชิงชัง
“ผมจะหย่า” ภมรยืนยันเสียงแข็งในความตั้งใจของตัวเอง “เราต้องหย่ากันก่อนที่คุณจะลากผมตกต่ำลงไปมากกว่านี้”
“หย่าเหรอ…” ดวงตาของโมรีเบิกกว้างด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และยิ่งแน่ชัดเมื่อเห็นสีหน้าของเขา “ทั้งที่คุณพ่อของโมหายไป คุณก็ยังจะทิ้งโมด้วยการหย่าอีกเหรอภีม”
โมรีทรุดลงอย่างหมดเรี่ยวแรง สส.อิทธิพลพ่อของเธอได้หายตัวไป ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งลูกสาวอย่างเธอไม่รู้เลยว่าพ่อแค่หนีความผิดไปอย่างเงียบๆ หรือมีใครจงใจบังคับให้พ่อของเธอหายตัวไปกันแน่ แล้วคนที่เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตด้วย ก็กลับกำลังจะทอดทิ้งเธอไปด้วยเช่นกัน
“ใช่! เพราะไอ้สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดน่ะ อีกไม่นานมันก็ต้องถูกจับได้เข้าสักวัน ผมจะไม่อยู่รอให้ถึงวันนั้นแน่” ใบหน้าของภมรบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัด
โมรีหัวเราะ น้ำเสียงที่ขมขื่นของเธอสะท้อนอยู่ในบ้าน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอกับเขาเคยอยู่ร่วมกันด้วยความรัก
“พูดอย่างกับคุณทำดีนักนี่ ไอ้บริษัทที่คุณตั้งขึ้นมาไว้ฟอกเงินจากมูลนิธิของแม่คุณน่ะ คิดเหรอว่าสักวันมันจะไม่ถูกจับได้” เธอหมายถึงบริษัทที่ภมรจัดตั้งและมีส่วนร่วม ทั้งหมดอยู่ในเครือข่ายการฟอกเงินและนำกลับไปในรูปแบบของเงินที่สะอาด
“คุณไม่กล้าทำหรอก…” ความโกรธแล่นขึ้นหน้าของเขาจนเห็นเส้นเลือด
“ทำไมฉันจะไม่กล้า ในเมื่อก่อนหน้านี้คุณพ่อก็คิดที่จะแฉตัวตนของแม่คุณอยู่แล้ว คิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเหรอ เว้นแต่ว่าคุณจะช่วยฉันให้รอด เรื่องทุกอย่างที่ฉันรู้ถึงจะเงียบ” โมรีตอบโต้อย่างท้าทาย
ภมรก้าวหาภรรยาของตัวเองอย่างคุกคาม มือของเขายื่นออกไปกำรอบลำคอของเธอ แล้วบีบไว้แน่น
“อย่าได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เชียว ไม่อย่างนั้นคุณจะเสียใจที่จะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นวันพรุ่งนี้…เหมือนกับพ่อของคุณ”
คำพูดของภมรตอบคำถามเรื่องการหายไปของพ่อเธอได้เป็นอย่างดี โมรีสำลักภายใต้การเกาะกุมจากมือของเขา เธอใช้เล็บจิกมือเขาแน่น ขณะที่ดวงตามีความอาฆาตอย่างแรงกล้า ก่อนที่เขาจะปล่อยเธอลงกับพื้นและจากไป ทิ้งให้เธออยู่กับความแค้นและพร้อมที่จะเอาคืน
หลังจากการเผชิญหน้ากับภมร วันต่อมาโมรีก็รีบไปที่บ้านของเรไรทันที ปกติเธอคงจะขอให้ทวิชช่วย ทว่าตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วคนเดียวที่ช่วยได้ก็มีแต่เรไรเท่านั้น คนจนตรอกแบกหลักฐานที่พอจะรวบรวมได้ เพราะรู้ว่าก่อนหน้านี้เรไรเคยขอเอกสารบางอย่างจากพ่อของเธอ แต่น่าเสียดายที่อิทธิพลนั้นหายตัวไปพร้อมกับหลักฐาน ซึ่งตอนนี้เธอก็พอจะรู้แล้วว่าพ่อของเธออาจถูกบังคับให้หายไป
ทิพย์เป็นคนเข้ามาต้อนรับผู้มาเยือน และพาโมรีรอพบกับเรไรที่โต๊ะรับแขก เมื่อเห็นเรไรลงมานั่ง โดยไม่ต้องเอ่ยทักทาย เธอก็รีบวางสิ่งที่มีลงบนโต๊ะ
“นี่คือทั้งหมดที่ฉันมี เพียงพอที่จะคุ้มครองฉันให้ปลอดภัยได้ไหม” โมรีเสียงสั่น ด้วยหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
เรไรหยิบเอกสารต่างๆ มาพิจารณา พลางขมวดคิ้วขณะมองรายชื่อบริษัทที่บริจาคเงินเข้ามูลนิธิว่าเป็นของใครบ้าง และรายชื่อบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเงินออกมา ซึ่งในส่วนนั้นจะมีรายละเอียดว่า สมาชิกคนไหนจะได้เงินกลับไปในรูปแบบอะไรบ้าง
“แน่ใจแล้วเหรอคะที่เอามาให้ฉัน”
“ก็นี่เป็นสิ่งที่คุณอยากได้จากคุณพ่อไม่ใช่เหรอ ฉันก็เอามาให้แล้วไง” คนมาขอความช่วยเหลือกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ
“อันที่จริงเอกสารพวกนี้ฉันพอหาได้จากในมูลนิธิแล้วค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องเอามาให้ฉันก็ได้ อีกอย่าง…” เรไรยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับโมรี ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก “ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากเก็บเอกสารที่เอาผิดมูลนิธิไว้ด้วยล่ะคะ ในเมื่อฉันเองก็เป็นคนของมูลนิธิเหมือนกัน”
“แต่ฉันเคยได้ยินจากคุณพ่อว่า เธออยากได้หลักฐานของคุณมธุกรด้วย ไม่ใช่ว่าเธออยากขึ้นมาใหญ่แทนเขาหรอกเหรอ” โมรีพูดเอาตามที่ตัวเองเข้าใจ ในธุรกิจที่ไม่มีมิตรหรือศัตรูที่แท้จริงนั้น ใครจะไปรู้ว่าคนอย่างเรไรอาจอยากเป็นใหญ่อย่างมธุกรก็ได้ ถึงได้พยายามรวบรวมหลักฐานไว้กับตัวเอง
“เป็นการคาดเดาที่ดีนะคะ แต่เอาเป็นว่าที่คุณเอามาให้ มันไม่ได้มีประโยชน์กับฉันแล้วค่ะ แต่ถ้าเป็นเอกสารที่ลับเฉพาะจริงๆ ละก็ บางทีฉันอาจสนใจก็ได้นะคะ”
ได้ฟังที่อีกฝ่ายบอกโมรีก็ถึงกับหน้าเสีย ที่จริงก็มีเรื่องบางอย่างของมธุกรที่เป็นความลับ ทว่าคนที่รู้ความจริงและยืนยันได้ก็คือพ่อของเธอ กับสมาชิกระดับสูงอีกคนซึ่งไม่น่าจะยอมเปิดเผยเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามตั้งสติรวบรวมความคิด
“ฉันมีหลักฐานบางอย่างที่ได้มาจากไฟล์ที่ภีมเก็บไว้ ไม่รู้ว่าจะพอช่วยเธอได้หรือเปล่า” แล้วโมรีก็หยิบรูปถ่ายก่อนและหลังการผ่าตัดศัลยกรรม จากทับทิมให้กลายเป็นมธุกรถูกวางลงบนโต๊ะ “อันที่จริงแล้วตัวตนของคุณมธุกร ก็คือแม่ของภีมค่ะ”
โมรีตัดสินใจบอกเรื่องที่อาจทำให้เธอตายได้ และนั่นก็พอจะทำให้เรไรสนใจเธอมากขึ้น
“น่าสนใจดีนะคะ ให้เดาคุณเองก็อยากแก้แค้นภีมด้วยสินะถึงได้ทำมัน แต่แค่นี้ทำไม่ได้หรอกค่ะ หากไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นคนทำเอกสารการเข้าเมืองให้มธุกร และยืนยันว่าเธอคือทับทิมที่เปลี่ยนตัวตนใหม่ สิ่งเหล่านี้ก็แทบไม่มีน้ำหนักอะไรเลย เพราะขืนแฉเรื่องนี้ มธุกรก็สามารถปัดเป็นเรื่องของการกลั่นแกล้งได้ คุณก็น่าจะรู้ว่าเธอมีเส้นสายและอิทธิพลแค่ไหน” เรไรตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา และคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจำนวนหลักฐานที่มีในมือ
“เธอพูดเหมือนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และถ้าฉันหาเอกสารอย่างอื่นได้ อย่างเช่นชื่อหมอศัลยกรรมที่ผ่าตัดให้มธุกรล่ะ” เธอบอกด้วยความลนลานอย่างที่สุด อย่างน้อยตอนนี้คนเดียวที่จะช่วยได้ก็มีแต่เรไรเท่านั้น
“แต่นั่นก็ทำในชื่อของมธุกร ไม่ใช่ชื่อทับทิมใช่ไหมคะ” แม้สิ่งที่ถูกเสนอจะจุดประกายความสนใจในตัวเรไร แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่ามธุกรนั้นทำศัลยกรรมหลังจากเปลี่ยนตัวตนจากนางทับทิมแล้ว จึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้หลักฐานนั้นแฉอีก
“ได้โปรด…ช่วยฉันด้วยเถอะ”
โมรีแทบไม่เหลือคนที่จะช่วยเหลือเธอได้ ในทางกลับกันเรไรก็ต้องการรวบรวมหลักฐานเช่นกัน เธอจึงรับปากช่วยโมรี โดยการแลกข้อมูลไฟล์ทั้งหมดที่ภมรเก็บไว้กับเงินจำนวนหนึ่ง พร้อมกับตั๋วเครื่องบินที่จะทำให้โมรีอยู่อย่างปลอดภัยสักระยะ
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงก็คือ คืนนั้นโมรีถูกพบเป็นศพอยู่ในห้องนอนตัวเอง พร้อมกับยานอนหลับจำนวนมาก และวิสกี้ที่ดื่มเกือบหมดขวด กลายเป็นข่าวดังที่ทำให้โลกโซเชียลตั้งข้อสังเกตกันอีกครั้ง ว่าเธอกำลังหลบหนีความผิดด้วยการฆ่าตัวตาย เครียดจากเรื่องคดีความที่อาจสาวมาถึงตัวและกินยาเกินขนาด หรือมีใครจงใจทำให้เธอเสียชีวิตกันแน่
ซึ่งแน่นอนว่าสามีของเธออย่างภมร กลับพ้นทุกข้อกล่าวหาเนื่องจากเขาให้เหตุผลว่าเขาทะเลาะกับโมรี และหนีออกมานอนที่โรงแรมได้หลายวันแล้ว แต่ในการพ้นผิดนี้เขายังได้แสดงความเสียใจที่มีให้กับภรรยาต่อหน้าสื่อ จนกลายเป็นที่เห็นใจของคนโดยทั่วไป
จะมีก็แต่คนที่ตามติดเส้นทางการเงินของธุรกิจหลอกลงทุนและโมรีมานานอย่างพฤกษ์เท่านั้น ที่รู้ว่าทุกอย่างมันดูผิดที่ผิดทางไปหมด จนต้องนัดเจอกับเพื่อนสนิทอย่างรุจ พวกเขาพบกันในบาร์ที่บรรยากาศไม่คึกคักมากนัก และมีแค่แสงไฟสลัว เพื่อให้เอื้อต่อการสนทนาที่จริงจังของพวกเขา
“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงวะ โมรีเนี่ยนะจะฆ่าตัวตาย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” พฤกษ์ยกแก้วขึ้นมาจิบ และมองตรงไปด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม
“จะว่าฆ่าตัวตายก็ไม่เชิงว่ะ มีความเป็นไปได้ที่โมรีจะกินยาเกินขนาดจากความเครียด” ผู้กองหนุ่มเล่าตามที่ตัวเองรับรู้มา
“ไม่มีทาง แกจำแหล่งข่าวที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ไหม เขาบอกว่าโมรีกำลังจะเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปเก็บตัวสักพัก ฉันเลยรู้สึกแปลกที่จู่ๆ เขาก็มาจากไปแบบนี้ ไหนจะเรื่องสอสอที่เป็นพ่อของเขาอีก” พฤกษ์รู้สึกสับสนไปหมด
“ในเมื่อครอบครัวของเขาไม่ติดใจเอาความ แกก็อย่าออกตัวแรงนักเลย อย่าลืมว่าแกเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องที่เขาฟอกเงินผ่านดาราคนนั้น ช่วงนี้ฉันว่าแกเงียบๆ ไว้จะดีกว่า เพราะทั้งแฟนคลับดารากับพวกที่ยังเชื่อว่าโมรีไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทหลอกเอาเงินลงทุน คงกำลังหาทางโทษใครสักคนแน่ๆ” คำเตือนจากรุจมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เขารู้ว่าพฤกษ์ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียหาย เพียงแต่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่พร้อมจูงคนไปในทิศทางที่ต้องการ เขาก็ไม่แน่ใจว่าพฤกษ์จะสามารถควบคุมเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวได้
“จะไม่มีใครทำอะไรคนพวกนั้นได้เลยเหรอวะ”
“เรื่องนี้มันก็พูดยากว่ะ แกรู้ไหมว่ามีตำรวจกี่คนที่ถูกสั่งย้าย หรือไม่ก็ถูกบีบให้ลาออกเพราะไปยุ่งกับคนพวกนี้ ต่อให้จะมีความตั้งใจมากแค่ใน แต่อำนาจกับอิทธิพลก็มักอยู่เหนือทุกอย่างเสมอ”
“ก็จริง…ตอนนี้คงต้องดูต่อว่ามีใครที่ไปเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินเจ้าของบริษัทนั่นอีกบ้าง แต่ถ้ามีหลักฐานอะไรที่น่าสงสัยฉันจะส่งให้แกช่วยดูแล้วกัน”
“เอาตามนั้น…” รุจยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ “ฉันมีอะไรจะบอกแกด้วย เรื่องคนที่แกให้ฉันช่วยค้นหาน่ะ อยากรู้ไหมว่าฉันขุดเจออะไร”
ร้อยตำรวจเอกรุจมองพฤกษ์อย่างเคร่งขรึม เมื่อเขาส่งไฟล์เอกสารชุดหนึ่งที่มีรายละเอียดการรวบรวมข้อมูลของเรไร เข้าโทรศัพท์มือถือของพฤกษ์ ซึ่งรุจใช้เวลาอยู่พักหนึ่งในการหาต้นตอที่มาของเธอ และเห็นได้ชัดว่ามันมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
พฤกษ์เปิดดูเอกสารผ่านหน้าจอมือถืออย่างละเอียด มีข้อมูลบางอย่างที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเรไร ดวงตาอยากรู้หรี่ลงด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขาเริ่มค้นพบความจริงบางอย่าง
“ถ้าเอาตามข้อมูลนี้ เรไรไม่ใช่ลูกบุญธรรมของทวิช แต่เป็นลูกของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกโกงจากแชร์ลูกโซ่นางทับทิม แล้วนางทับทิมก็เป็นพี่สาวของทวิชงั้นเหรอ”
“ใช่…” ผู้กองหนุ่มยืนยัน และเขาก็ชี้ให้เห็นภาพข่าวที่มีใบหน้าแม่ของเรไร อยู่ในกลุ่มผู้เสียหายที่ออกมาเรียกร้องเงินคืนจากนางทับทิมเมื่อสิบห้าปีก่อน “แม่ของเธอตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ของนางทับทิม ตามข่าวเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองทุ่มเงินทั้งหมดที่มี เพราะเชื่อสัญญาที่นางทับทิมบอกว่าจะมีเงินปันผลคืนให้ แต่เมื่อแชร์ล่มเธอก็ไม่เหลืออะไรเลย”
คนที่ได้รับข้อมูลใหม่เลื่อนดูหน้าต่างๆ และยิ่งรู้ความจริงเขายิ่งรู้สึกสับสนไปหมด
“แล้วแม่ของเรไรก็หายตัวไปเมื่อสิบห้าปีก่อน ช่วงเวลาเดียวกันกับที่นางทับทิมเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ”
ผู้กองรุจพยักหน้า ยิ่งทำให้สีหน้าเขาเคร่งขรึมไปกว่าเดิม
“ถูกต้อง เธอจองตั๋วเครื่องบินออกนอกประเทศ แต่ไม่มีการรายงานว่าเธอได้ขึ้นเครื่องบินลำนั้นออกไปจริงๆ มันเหมือนกับว่าอยู่ๆ เธอก็หายตัวไป ทิ้งลูกสาวเอาไว้ตามลำพัง ตอนนั้นมีการแจ้งคนหายซึ่งตำรวจก็พยายามที่จะตามหาเธออย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่พบหลักฐานหรือเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับที่อยู่ของเธอเลย ส่วนลูกสาวคนเดียวของเธอก็ถูกทวิชรับไปอุปการะต่อ เห็นว่าทั้งแม่ของเรไรกับทวิชมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันด้วยในตอนนั้น”
“สรุปก็คือ คุณเรย์เป็นลูกสาวของผู้หญิงที่ถูกหลอกลงทุนแชร์ของนางทับทิม และอาศัยอยู่กับทวิชหลังจากที่แม่หายตัวไป แล้วทวิชก็เป็นน้องของนางทับทิม และเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับแชร์นั่น ที่สำคัญตอนนี้คุณเรย์ทำงานอยู่ในมูลนิธิในตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการนำเงินเข้า ซึ่งมูลนิธินี้มีข้อครหาว่าพัวพันกับเงินผิดกฎหมาย และยังมีนายภมรลูกชายของนางทับทิม เป็นสมาชิกระดับบิ๊กที่อยู่ในมูลนิธิด้วย นั่นมัน…โคตรจะเหลือเชื่อเลยว่ะ” พฤกษ์ประชดออกไปพร้อมมองไฟล์ที่ส่งมาด้วยจิตใจปั่นป่วน
“มันก็ทำนองนั้นแหละ และฉันว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่แกต้องระวังตัวเองไม่ให้เข้าใกล้ผู้หญิงที่ชื่อเรไรมาก เพราะเธออาจกำลังเล่นเกมอันตรายอยู่ แล้วเราไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดทำอะไรกันแน่”
คำเตือนของเพื่อนมาพร้อมกับความเป็นห่วงอย่างเต็มเปี่ยม สายตาของพฤกษ์มองกลับไปที่ไฟล์ในมือตัวเอง ความคิดเต็มไปด้วยการตั้งคำถามถึงแรงจูงใจของเรไร ด้วยเห็นได้ชัดว่าภายใต้เรื่องอันซับซ้อนของเธอนั้น เต็มไปด้วยความลึกลับและมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งในทางเดียวกันเขาก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไขปริศนานี้ และพยายามทำความเข้าใจให้ได้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ