เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
และในเย็นวันนั้นเองที่บ้านของนักข่าวคนหนึ่ง พิศาลที่เพิ่งได้รับซองเอกสารจากบุคคลนิรนามโดยใช้เมสเซนเจอร์ ก็กำลังมองสิ่งที่อยู่ภายในซองซึ่งเหมือนหลักฐานสำคัญบางอย่าง และมีสิ่งหนึ่งที่เขาจับใจความได้ก็คือ เส้นทางการเงินที่ดูจะมีข้อน่าสงสัย ท่ามกลางเรื่องราวการสร้างบุญของมูลนิธิ ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้คนใจบุญจำนวนมากในประเทศนี้
ยังไม่ทันจะได้ศึกษารายละเอียดในนั้นดีพอ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ครับ…” พิศาลตอบกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ
“พี่พิศาล นี่ผมเองนะ…พฤกษ์ไง” เสียงที่คุ้นเคยจากปลายสายเริ่มต้นขึ้น
“ไอ้พฤกษ์! เป็นไงมาไงวะเนี่ย ตั้งแต่ออกไปเป็นนักข่าวอิสระพี่ก็แทบไม่ได้ยินข่าวเอ็งเลย” น้ำเสียงของพิศาลบ่งบอกถึงความดีใจที่รุ่นน้องติดต่อมา หลังจากที่พฤกษ์ถูกกดดันให้ลาออกเมื่อสองปีก่อน
“สบายดีครับพี่ เอกสารที่ส่งไปพี่ได้รับแล้วใช่ไหม ในนั้นผมให้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ มันเกี่ยวกับคุณมธุกร”
“มธุกรเหรอ” พิศาลยังคงนึกไม่ออก จนปลายสายต้องเฉลย
“ประธานมูลนิธิโลกในฝันไงพี่ คนที่ขึ้นชื่อว่าใจบุญที่สุดในตอนนี้น่ะ”
“อืม…จำได้แล้ว” พิศาลขมวดคิ้วมุ่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชื่อของมูลนิธิถูกพูดถึงในเรื่องที่ยังคลุมเครือ แต่ทุกครั้งที่ถูกกล่าวหา มูลนิธินี้ก็มักจะหลุดพ้นกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทุกทีไป
“ผมคงพูดอะไรกับพี่ไม่ได้มากหรอกนะ เพียงแต่…มันมีบางอย่างเกี่ยวกับเขาและมูลนิธิ ที่มันน่าสนใจอยู่ ข้อมูลก็ตามที่อยู่ในซองเอกสารนั่นเลย”
“เอาจริงเหรอวะพฤกษ์ งานนี้เรื่องใหญ่เลยนะเว้ย”
“ตามรอยข้อมูลนั่นไปก่อน แล้วพี่จะได้เจอความจริง” พฤกษ์กล่าวอย่างหนักแน่นก่อนจะวางสาย
ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ที่สุดแล้วพิศาลก็ได้ขุดลงไปเจอกับเรื่องราวมากมายภายใต้หน้ากากความดีงาม ของมูลนิธิที่ผู้คนต่างยกย่อง เอกสารแต่ละรายการที่พฤกษ์ส่งมา ล้วนแล้วแต่เป็นเบื้องหลังของแม่พระผู้ใจบุญอย่างมธุกร ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่มาอันแสนคลุมเครือ เส้นทางการเงินของเศรษฐินีหม้ายที่ไร้ที่มาที่ไป ระหว่างที่เขาปะติดปะต่อหลักฐานเข้าด้วยกัน ภาพที่ชัดเจนก็เริ่มก่อตัวขึ้น และตอนนี้ภาพที่แท้จริงซึ่งไม่สวยงามอย่างที่เห็นของมธุกร กำลังจะออกมาให้โลกได้ประจักษ์แล้ว
ไม่นานก็มีการพาดหัวข่าวอันร้อนแรง ที่สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนปรากฏออกมา
‘ด้านมืดของความใจบุญสุนทาน ‘มูลนิธิโลกในฝัน’ เป็นฝันของใครกันแน่?’
แน่นอนว่านั่นคือการกะเทาะเปลือกของมธุกรแค่เริ่มแรกเท่านั้น แต่ก็เพียงพอให้ประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยเชิดชูความใจบุญของมธุกร กลับมาตั้งคำถามถึงความจริงใจของเธอ แม้จะมีหลายคนออกมาปกป้องก็ตาม แต่ก็ทำให้การตามล่าหาความจริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
มาดามลอร่านั่งฟังข่าวอยู่ภายในห้องส่วนตัวอันหรูหราของตัวเอง ในมือถือแก้วคริสตัลที่มีน้ำสีอำพันแกว่งไปมาอย่างเป็นสุข ในขณะที่มีเรไรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และกอดอกฟังเนื้อหาในข่าวอย่างตั้งใจ
“เอาละ ผู้ยิ่งใหญ่ของเรากำลังจะล้มลงแล้ว” รอยยิ้มอำมหิตของมาดามลอร่าผุดขึ้น ขณะที่กำลังดูการตั้งคำถามของสื่อถึงเส้นทางการเงินของมธุกร และมีการสงสัยว่าเธออาจกำลังใช้เงินของมูลนิธิในทางที่ผิดอยู่
“เป็นเพราะความคิดของมาดามเลยค่ะ ทำให้เราสามารถทำเรื่องนี้ได้” เรไรยิ้มในหน้า เธอสวมหน้ากากที่แม้แต่คนอย่างมาดามลอร่าก็อ่านไม่ออก และรู้ดีว่าเธอต้องเล่นไปตามเกมของมาดามไปก่อน
หญิงสูงวัยมองไปที่เรไรด้วยความพึงพอใจ กับความถ่อมตัวที่ไม่แสดงความกระด้างกระเดื่องออกมา
“มธุกรน่ะกำลังจะกลายเป็นคนหมกมุ่นในอำนาจและอิทธิพลมากเกินไป ตอนนี้ก็เป็นนางมารร้ายไปแล้ว ฉันไม่อยากจะปล่อยให้เธอสร้างความเสียหายให้กับมูลนิธิมากไปกว่านี้”
เรไรจิบไวน์ในแก้วของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยังรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ที่ผ่านมาฉันให้ตัวตนใหม่กับเขา แล้วจู่ๆ เขาจะมายิ่งใหญ่กว่าฉันได้ยังไง ไม่เหมือนกับเธอนะเรไร…” มาดามลอร่าหันมามองหญิงสาวที่อายุน้อยกว่า “เธอช่างเป็นหมากที่สมบูรณ์แบบในเกมนี้จริงๆ”
ความเงียบงันเกิดขึ้นมาในห้องทันใด ขณะที่มาดามลอร่ากำลังจิบไวน์ของตัวเอง จากนั้นเธอก็ยกแก้วไปหาเรไร พร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ปรากฏอยู่บนริมฝีปาก
“แด่ความหายนะของมธุกร” สำเนียงแปร่งหูของมาดามลอร่าดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
เรไรเพียงเอาแก้วของเธอไปชนกับแก้วของอีกฝ่าย เสียงแก้วคริสตัลชั้นดีที่กระทบกันนั้นได้เตือนสติกับความคิดที่ว้าวุ่นของตัวเอง แม้ว่าเธอจะเกลียดมธุกรมากแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าตนเองนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดในแผนการใหญ่ของลอร่า ต่างกันแค่ครั้งนี้เธอต้องเล่นด้วยตัวเอง เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าใครกันที่สร้างตัวตนใหม่ให้กับมธุกร
หลังจากที่ชนแก้วกัน มาดามลอร่าก็วางเครื่องดื่มลงบนโต๊ะกระจกใส โดยสายตาของเธอจับจ้องไปยังหญิงสาวอีกครั้ง
“ถึงเวลาสำคัญสำหรับแผนนี้แล้วที่รัก เรื่องการสัมภาษณ์รายการน่ะ หวังว่าเธอจะไม่พลาดนะ”
“ฉันจะไม่ทำให้มาดามผิดหวังเลยค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมาดามลอร่า
“ดีมาก จำไว้นะเรไร มธุกรไม่ใช่ศัตรูเพียงคนเดียวของเรา กระแสความเห็นของผู้คนคือสิ่งที่ไม่แน่นอน คำพูดของเธอต้องจริงใจและจับต้องได้ แสดงให้พวกเขาได้เห็นและเข้าใจเธอ ทำให้เชื่อว่าเธอกำลังต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของตัวเองด้วย”
“ฉันเข้าใจค่ะมาดาม ฉันจะเปิดโปงมธุกรให้ทุกคนได้เห็น” เรไรมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า การออกรายการโทรทัศน์ที่จะมาถึง คือการที่เธอต้องออกมาพูดในฐานะของคนที่ถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม
“ถ้ารายการวันพรุ่งนี้ประสบความสำเร็จ หลังจากจบเรื่องของมธุกรแล้ว ฉันจะพาเธอกลับเข้าไปมูลนิธิในฐานะประธาน และเธอจะได้ทุกอย่างที่มธุกรเคยได้” มาดามลอร่ายิ้มอย่างมีความหมายแอบแฝง แล้วยกแก้วขึ้น
แก้วคริสตัลทั้งสองใบกระทบกัน ทำให้เกิดเสียงใสดังกังวาน เป็นการประกาศถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานไปหามธุกร ซึ่งอีกฝ่ายไม่มีทางหยุดยั้งมันได้อีกแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่เรไรต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ ภายในห้องข่าวก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น ไฟในสตูดิโอร้อนระอุส่องสว่างไปทั่วหน้าฉาก ขณะที่กิจกรรมอันวุ่นวายของทีมงานก็เกิดขึ้นเบื้องหลัง ทุกคนต่างย้ายไปย้ายมา เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างได้รับการเซตอย่างสมบูรณ์แบบ
ที่หน้าฉาก เมขลา พิธีกรรายการข่าวมากประสบการณ์ก็กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง และเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ในแบบที่ทุกคนจะได้เห็นอย่างเช่นทุกวัน
ตรงข้ามกับเมขลาคือเก้าอี้ของแขกรับเชิญ เรไรนั่งลงตรงที่นั่น เธอแต่งกายด้วยชุดเรียบๆ แต่มีสไตล์ ด้วยรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางพายุข่าวสาร ซึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
สัญญาณขอความสงบเริ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย ก่อนเมขลาจะเริ่มด้วยน้ำเสียงที่เป็นมืออาชีพ
“สวัสดีค่ะท่านผู้ชม วันนี้เราจะมาพูดคุยกับแขกรับเชิญที่เคยเป็นหนึ่งในคนของมูลนิธิโลกในฝัน และเธอคือผู้ถูกกล่าวหาในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ขอต้อนรับคุณเรไร อดีตรองประธานมูลนิธิโลกในฝัน วันนี้เธอจะมาร่วมบอกเล่าเรื่องราวกับเราค่ะ”
กล้องหันไปจับใบหน้าของเรไรที่ยังสงบนิ่ง ก่อนที่นักข่าวสาวจะเริ่มต้นการสนทนาด้วยข้อกล่าวหาที่เธอได้รับ
“คุณเรไรคะ มีข้อกล่าวหาว่าคุณยักยอกเงินของมูลนิธิ คุณมีความเห็นอะไรในเรื่องนี้ไหมคะ”
เรไรสบตากับเมขลาโดยตรง ท่าทางอึดอัดของเธอบ่งบอกได้ดีถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
“ก่อนอื่น คงต้องขอขอบคุณคุณเมขลาที่ให้โอกาสฉันได้ชี้แจงนะคะ สิ่งที่มูลนิธิใส่ร้ายมานั้น เป็นคำกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงเลย ฉันถูกทำให้เป็นแพะรับบาปในขณะที่ผู้กระทำผิดตัวจริงยังคงถูกซ่อนไว้”
“คุณกำลังบอกว่า มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องอื้อฉาวของมูลนิธิเหรอคะ” ผู้ดำเนินรายการมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เรไรยิ้มในขณะที่แววตาเธอยังมองตรงไปอย่างมั่นคง
“คงจะเรียกว่าคนอื่นไม่ได้หรอกค่ะ สิ่งที่ฉันจะบอกก็คือมีใครบางคนในมูลนิธิ คนที่อาจสนิทชิดเชื้อกับบุคคลระดับสูง กำลังใช้เงินบริจาคเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอยู่น่ะค่ะ”
“แล้วคุณเชื่อว่าท่านประธานมูลนิธิอย่างคุณมธุกรจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ” พิธีกรถามต่อไป ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความกระหายในข้อมูลใหม่ตามประสานักข่าว
“ไม่มีเรื่องไหนที่คนระดับประธานมูลนิธิจะไม่รู้หรอกค่ะ โดยเฉพาะเรื่องเงิน แต่ฉันคงไม่ขอยืนยันว่าคุณมธุกรจะมีส่วนร่วมในการกระทำด้วยหรือเปล่า ฉันแค่ทำตามหน้าที่ของฉัน แล้วมีใครบางคนไม่พอใจก็เท่านั้น” ผู้ถูกสัมภาษณ์ยังคงความมั่นใจไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งสตูดิโอตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่เมขลาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
“นี่…ถือว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ค่อนข้างร้ายแรงเลยนะคะ คุณเรไร คุณมีหลักฐานที่จะยืนยันได้รึเปล่าคะ”
“ฉันทราบค่ะว่านี่อาจเป็นข้อกล่าวหาที่แรง” เรไรบอกด้วยสีหน้ามั่นใจ “แต่ฉันมีหลักฐานทางการเงินที่จะสามารถบอกได้ถึงการทุจริตภายในมูลนิธิ ซึ่งเส้นทางการเงินพวกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับคุณมธุกรและคุณภมร ผ่านบริษัทที่พวกเขาไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรรมการ หรือที่ปรึกษา ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะเปิดเผยทุกอย่างรวมถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณมธุกร”
คำพูดของเรไรทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นในสตูดิโอ รวมถึงคนที่กำลังรับชมรายการนี้อยู่ในทันที นี่เป็นมากกว่าการสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว แต่มันคือเกมที่ขับเคี่ยวกันอย่างตึงเครียด ภายใต้แสงไฟสตูดิโอที่ส่งมายังหญิงสาว ซึ่งเพิ่งได้ทำการเปิดเผยเรื่องที่น่าตกใจขึ้นมา
ไม่เพียงแค่สร้างกระแสกับคนหมู่มากที่ดูรายการอยู่เท่านั้น กับคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้อย่างมธุกรเองก็ด้วย ขณะที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่แทบจะไร้ซึ่งแสงไฟ มีเพียงแสงอ่อนๆ จากโทรทัศน์เป็นเพียงแสงเดียว แววตาแข็งกระด้างวาวโรจน์อย่างเคืองขุ่นเมื่อมองเรไรบนหน้าจอ ถึงใครจะมองเป็นความใจกล้าของหญิงสาว แต่สำหรับเธอนั่นคือการท้าทายอย่างเปิดเผย ซึ่งมันช่างเป็นความกล้าหาญที่น่าโมโหเหลือเกิน
ใกล้กันกับมธุกรก็คือภมรที่อยู่ในอาการไม่สบายใจเช่นกัน เขารู้ว่ามธุกรเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและมีอิทธิพล แต่เท่าที่เห็นสีหน้าตอนนี้เขาก็แทบจะจำแม่ตัวเองไม่ได้แล้ว มธุกรไม่เพียงแค่หงุดหงิดหรือกังวลใจเท่านั้น เธอกำลังแค้นเคืองที่ถูกเยาะเย้ยต่อหน้าสาธารณะอีกด้วย
“ภีม เราต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” สายตาของมธุกรไม่ละไปจากหน้าจอ ขณะที่เรไรยังคงกล่าวหาเธอต่อไป
“ครับ แต่ตอนนี้เรา…”
“หาคนมารับผิดชอบเรื่องนี้ได้แล้ว!” มธุกรสั่งด้วยเสียงดัง จนคนฟังถึงกับผงะ “ใครก็ได้ที่จะมารับผิดชอบกับบัญชีบ้าๆ พวกนั้น คนที่ไม่ใช่ฉันหรือสมาชิกระดับสูงของมูลนิธิ เอาให้แน่ใจว่าข้อมูลของนังนั่นไม่มีผลอะไรกับพวกเราทั้งนั้น”
“แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าจะหาหลักฐานมาหักล้างสิ่งที่เรไรเอาออกมาได้” ภมรถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความกังวลใจ
“เราต้องหาเส้นทางการเงินที่ไม่มีความเชื่อมโยงถึงฉันหรือสมาชิกระดับสูงของพวกเรา แล้วหาใครสักคนที่ควรถูกตัดสินว่ามีความผิด” มธุกรเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังห่วงไปถึงสมาชิกคนอื่นด้วยเช่นกัน เพราะหากมูลนิธิถูกเปิดโปงนั่นหมายถึงเธออาจไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตของตัวเอง และก็ไม่รู้ว่าเรไรได้หลักฐานไปมากแค่ไหนด้วย
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเรไรเชิดหน้าชูตาอยู่หน้าทีวี แทนที่จะได้ตายไปกับกองเพลิงเมื่อตอนนั้น
“เราต้องปิดปากเธออย่างถาวร หลังจากหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ ต้องทำให้นังนั่นหายไป”
คำพูดของมธุกรดังก้องอยู่ภายในห้องที่เงียบสงบ พายุในใจของเธอได้ก่อตัวขึ้นแล้ว และใครก็ตามที่ขวางทางเธอ รวมถึงเรไรจะต้องหายไปจากชีวิตของเธอ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม
ไม่กี่วันต่อมา หลังจากมีกระแสวิจารณ์มากมายถึงที่มาทางการเงิน และข่าวว่าประธานเอาเงินของมูลนิธิออกมาใช้จริงหรือไม่นั้น ดลพรก็ได้กลับมายืนบนโพเดียมเพื่อเตรียมแถลงข่าว ท่ามกลางสื่อมวลชนและคนที่ยังเชื่อในมูลนิธิ สีหน้าของทุกคนต่างคาดหวังในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป และเริ่มตึงเครียดไปด้วยคำพูดต่างๆ นานา
ขณะที่เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ของผู้คนดังอยู่นั้น ดลพรก็ได้ยกมือขึ้นส่งสัญญาณขอให้ทุกคนเงียบเสียง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังผ่านไมโครโฟน
“สวัสดีค่ะ สื่อมวลชนและท่านผู้มีเกียรติที่มาฟังการแถลงข่าวในวันนี้ ดิฉันดลพร ในฐานะตัวแทนของประธานมูลนิธิโลกในฝัน จะมาเรียนแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบว่า การสืบสวนต่อข้อกล่าวหาต่อมูลนิธิโลกในฝันของเรานั้นได้ข้อสรุปแล้ว” ดลพรเริ่มด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงหนักแน่น ตัดผ่านเสียงพูดคุยของคนที่มาในวันนี้อย่างเฉียบขาด
“ต้องขอเรียนให้ทราบว่า จากข้อกล่าวหาที่อดีตรองประธานมูลนิธิของเราได้กล่าวออกรายการในวันนั้น ทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจ ท่านประธานมูลนิธิได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการให้บุคคลภายนอกเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินที่ถูกกล่าวอ้าง และได้ข้อสรุปที่พิสูจน์ได้ว่าคำกล่าวอ้างของอดีตรองประธานมูลนิธินั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด”
“คุณจะบอกว่า หลักฐานที่คุณเรไรเปิดเผยออกมาไม่เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นเหรอคะ” หนึ่งในสื่อมวลชนที่มาทำข่าวในวันนี้ลุกขึ้นถาม
“ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลักฐานที่คุณเรไรได้ไปผิดเสียทีเดียว ดิฉันได้ทำการสอบสวนภายใน จนได้พบผู้กระทำผิด และเธอก็พร้อมที่จะออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปแล้วค่ะ”
สิ้นประโยคนั้น ผู้ที่เข้าร่วมรับฟังก็เริ่มส่งเสียงพูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่ ก่อนที่ประตูด้านข้างเวทีจะเปิดออกมา และมีภมรซึ่งมาพร้อมกับพนักงานหญิงของมูลนิธิท่าทางเรียบร้อยถูกนำทางขึ้นไปบนเวที ใบหน้าของเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และวิตกกังวลสุดจะพรรณนา
ผู้ชมต่างเฝ้ามองขณะที่หญิงสาวเดินไปที่โพเดียมแทนดลพรอย่างกระวนกระวาย ภายใต้สายตาที่จ้องเขม็ง ซึ่งมองหญิงสาวที่ต้องมารับผิด ไม่ต่างอะไรจากลูกแกะที่จะถูกบูชายัญในเกมแห่งอำนาจนี้ เธอผู้อยู่ในฐานะคนที่ต้องรับผิดชอบต่อการทุจริตที่ทำให้ภาพลักษณ์ของมูลนิธิเสียหาย และยังใส่ร้ายมธุกรด้วยเรื่องอื้อฉาว
ขณะที่อยู่ต่อหน้าผู้คน แกะตัวน้อยซึ่งต้องเผชิญกับเพชฌฆาตที่หมายมั่นคั้นเธอให้ตายได้แต่หายใจลึกๆ มือที่สั่นเทาประสานแน่นตรงหน้า และลอบมองฝูงชนที่รออยู่ ตามบทแล้วเธอควรต้องเล่นในแบบที่ดลพรและภมรได้วางแผนเอาไว้ ด้วยการยอมรับผิดทุกอย่าง
เพียงแต่…อีกฝ่ายยังไม่เข้าใจ ว่าที่จริงแล้วเธอมีอีกบทหนึ่งที่ต่างออกไปอยู่ในใจ
“ฉะ…ฉัน”
เสียงของหญิงสาวสั่นสะท้านด้วยอารมณ์อันสับสน ขณะที่กำลังตัดสินใจจะบอกในสิ่งที่ทำให้ทุกคนในห้องต้องตะลึงงัน
“ฉันถูกใส่ร้ายค่ะ ฉันบริสุทธิ์และมีลูกสาวที่ต้องดูแล พวกเขาพยายามใช้ฉันเป็นแพะรับบาป!”
ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีที่เธอเอ่ยคำนั้นออกมา สื่อมวลชนยิงคำถามเธอกับดลพรอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งผู้ที่ต้องเป็นแพะรับบาปในวันนี้ได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่ภมรกำลังงงงัน กับบทบาทที่วางแผนไว้อย่างรอบคอบกลับพังทลายลงไปต่อหน้า
“ฉันต้องการความยุติธรรม!” ผู้หญิงคนนั้นยังคงร้องไม่หยุด “ครอบครัวของฉันต้องการความคุ้มครองจากตำรวจ ฉันคือพยาน ไม่ใช่ผู้ร้าย ได้โปรด…ช่วยฉันด้วยนะคะ”
แม้จะพยายามควบคุมสถานการณ์ให้สงบ แต่คำพูดของดลพรกลับถูกกลบด้วยเสียงของสื่อมวลชนที่ตั้งคำถามไม่หยุด และเสียงโห่ร้องบางส่วนจากคนที่เข้ามาฟัง จนภมรต้องเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาลากผู้หญิงคนนั้นลงจากเวทีและออกจากห้องไป ความวุ่นวายทวีความรุนแรงมากขึ้น และดลพรก็ถูกพาออกไปยังที่ปลอดภัย
ในขณะที่ภมรเริ่มรู้สึกกังวลไปถึงอารมณ์ของมธุกรในตอนนี้ จะเป็นอย่างไรหากแม่เขาเริ่มรู้สึกว่าเปลือกที่ตัวเองได้สร้างไว้นั้น กำลังถูกใครบางคนทุบทำลายจนหลุดออก และมันอาจแตกสลายในไม่ช้า
หลังจากสถานการณ์ที่มูลนิธิคลี่คลาย สื่อต่างๆ ก็รีบประโคมข่าวลือและตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปต่างๆ นานา พนักงานหญิงคนนั้นซึ่งบัดนี้ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กลายเป็นตราบาปที่มูลนิธิจะต้องตอบคำถามกับสังคม ผู้คนต่างคาดเดาว่าเธอถูกลักพาตัวไปเพื่อปิดปากหรือไม่ กระแสสังคมเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ไว้วางใจ
ซึ่งคาดว่าสิ่งนี้จะทำให้อิทธิพลของมธุกรนั้นถดถอย และเริ่มเกิดความกลัวกับสิ่งที่ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
เมื่องานแถลงข่าวกลายเป็นหายนะ เสียงลือของเรื่องทุจริตก็เริ่มดังขึ้น คำถามจากผู้คนต่างถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง ตอนนี้ชื่อเสียงของมูลนิธิก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบจากสังคม และทุกสายตาก็ยิ่งจับจ้องไปที่มธุกร รวมถึงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเธอ
ที่ชานเมืองอันเงียบสงบนั้น มีรถเก๋งสีดำสนิทแล่นเข้ามาจอดยังหน้าบ้านที่เงียบสงบ เมื่อเสียงเครื่องยนต์เงียบลงพร้อมกับไฟหน้าที่ดับสนิท ประตูด้านคนขับก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของทิพย์ที่ก้าวลงมา และอีกด้านก็เป็นพนักงานหญิงที่ถูกจัดฉากให้ยอมรับผิด เธอมองไปรอบๆ ตัวเองอย่างกระวนกระวายแล้วพยายามเดินหาบางอย่าง
“แม่!” เสียงเด็กสาวร้องอย่างสดใส พร้อมกับวิ่งออกมาจากบ้าน ขณะที่พนักงานสาวคนนั้นเปลี่ยนสีหน้าเป็นความยินดีทันใด
“น้องเพลง…” หญิงสาววิ่งเข้าไปกอดลูกไว้ด้วยความคิดถึง เรื่องนี้ต้องขอบคุณเรไรที่ให้ความช่วยเหลือ หลังจากที่เธอไปขอคำปรึกษาว่าจะทำงานให้กับมธุกรเพื่อแลกกับเงินที่จะมาปลดหนี้ให้ทั้งหมดดีหรือไม่ ทว่าเรไรกลับเสนอเงินช่วยเหลือและให้เธอทำอย่างวันนี้แทน ซึ่งแน่นอนว่าเธอรับปากในทันที
เรไรเดินออกมาจากบ้าน มองดูสองแม่ลูกกอดกันด้วยความยินดีในหัวใจ
“ขอบคุณนะคะ คุณเรย์”
“อยู่ที่นี่แล้วคุณจะปลอดภัยค่ะ เงินในส่วนที่คุณควรจะได้ฉันโอนเข้าบัญชีให้แล้ว จากนี้คุณต้องอยู่ให้เงียบที่สุด เพราะเขาจะไม่หยุดค้นหาคุณจนกว่าจะพบ” เรไรพูดออกมาอย่างหนักแน่น เธอมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและลูกสาว ด้วยความเจ็บปวดใจลึกๆ ที่แม่ของเธอไม่มีคนช่วยให้รอดพ้นเหมือนแม่ลูกคู่นี้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ