โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 15 : ส่งกันเป็นพันหลี่ สุดท้ายก็ต้องร่ำลา (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 15 : ส่งกันเป็นพันหลี่ สุดท้ายก็ต้องร่ำลา (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าการพบเธอก็เหมือนเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งรอบกายเธอคือของแปลกใหม่ แม้สำหรับตัวเขาเองอาจจะไม่ใช่ แต่พอมาอยู่กับมโนชาแล้วมันกลับทำให้สิ่งที่เขาเคยเห็นแล้วกลายเป็นสิ่งใหม่โดยสิ้นเชิง

“ถ้าอย่างนั้นเราแวะร้านขายยากันหน่อย” เสียงเขาบอกออกมามโนชาก็เดินตามไปอย่างงงๆ

ชายหนุ่มสื่อสารกับคนขายก่อนจะใช้โทรศัพท์คู่ใจจ่ายเงินและกลับออกมาพร้อมถุงยา ครู่เดียวเขาก็ยื่นยาเม็ดซึ่งแกะออกจากซองฟอยด์มาให้พร้อมทั้งอธิบายเรื่องอาการ AMS (Acute mountain Sickness) หรือภาวะที่เกิดจากการขึ้นที่สูงไปด้วย

“อันนี้เป็นยาปรับความดันตา เพราะข้างบนความกดอากาศต่ำเราเลยต้องกินก่อนขึ้น” มโนชารับยาจากมือเขาอย่างว่าง่าย มือหนาเปิดฝาขวดน้ำเตรียมไว้พร้อมแล้ว เธอเอายาใส่ปากเขาก็ยื่นน้ำตามมาให้ก่อนจะกินยาในส่วนของตัวเองบ้างและดื่มน้ำจากขวดเดียวกัน

หญิงสาวเหลือบตามองนึกในใจว่าความเป็นเจ้านายลูกน้องมันหายไปในตอนนี้เอง เมื่อออกจากโรงน้ำชาต่างก็ไร้สถานะ ขณะนี้เขาและเธอเท่าเทียม เขาเป็นเขา เธอเป็นเธอ และมโนชาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปกับการดูแลเอาใจใส่ของเขาทีละน้อย แม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนดีไม่ว่ากับใครเขาก็คงดูแล แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ

สองคนเดินไปมาตามร้านรวงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถุงในมือเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ดวงอาทิตย์คล้อยลงลับเหลี่ยมเขาและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก

เฉินเอินเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน สำหรับเขาเวลาเป็นสิ่งที่ใช้ไม่มีวันหมด ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาเคยรู้สึกว่ามันผ่านไปรวดเร็วแบบในวันนี้มาก่อน

คล้ายไม่นานนี่เองที่บอกมโนชาเอาไว้ว่าพอเย็นย่ำแล้วคนที่ไปกับทัวร์จะกลับลงมา เขาและเธอเดินเล่นดูของพอเหนื่อยก็หยุดนั่งฟังเสียงสายน้ำไหลพลางช่วยกันชิมของที่ซื้อมาด้วยกัน พอหายเหนื่อยก็กลับเดินต่อ โดยที่ไม่รู้ตัวท้องฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสี คลื่นมหาชนที่หลั่งไหลกันมาพร้อมเสียงจอแจก็ดังขึ้นรอบตัวจากทุกทิศทุกทาง

“ระวังอย่าดูของเพลินจนหลงล่ะ แล้วก็อย่าเดินไปไกล” ชายหนุ่มเน้นย้ำ แต่พอขาดคำเขาไม่ถึงครึ่งนาที ใบหน้าของมโนชาก็ถูกกลืนหายไปกับใบหน้าของบรรดาผู้คนที่กระตือรือร้นร้องเรียกกันดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ หัวใครต่อหัวใครปะปนกันไปจนแยกไม่ออก

เพราะมัวแต่ห่วงถุงขนมหลายถุงในมือที่มโนชาหาซื้อมาทำให้ลืมห่วงเจ้าของมันไป หลังจากมองหาดีๆ และตะโกนเรียกอยู่ครู่ใหญ่เขาถึงคว้าตัวเธอได้แล้วลากออกมาให้พ้นจากบรรดาสมาชิกของทัวร์หลากสัญชาติ

“ก็บอกว่าให้ระวังจะพลัดหลงกันยังไม่ทันจะขาดคำดีเลย” เฉินเอินขมวดคิ้วมองด้วยสาตาตำหนิ เธอเพียงยิ้มแหยออกมา เป็นสีหน้าที่มักทำเป็นประจำเมื่อโดนจับได้ว่าทำอะไรผิด

ชายหนุ่มเจ้าของโรงน้ำชาระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกปนระอิดระอาแต่สุดท้ายก็ใจอ่อนเมื่อเห็นใบหน้าและรอยยิ้มนี้ อาการกระวนกระวายก่อนหน้าเบาลงเขาถึงได้เห็นว่าตัวเองกำลังจับมือเธออยู่ ด้วยอารามตกใจเลยจะชักมือออก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมโนชากลับคว้ามือของเขาเอาไว้พร้อมกับส่งยิ้มมาให้

“อยู่แบบนี้ก็ดีนะคะ ซินไม่อยากเดินหลงอีก”

เฉินเอินคล้ายไม่เข้าใจปนสับสน แต่มือหนานั้นก็ยังคงกุมมือเธออย่างเงียบๆ นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่เธอพูดออกมาแบบนี้ ตรงกันข้าม เขากระชับมือของเธอแน่นขึ้นไปอีกและดึงให้เดินตามมา ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย

อันที่จริงมันเริ่มก่อตัวมาสักพักแล้ว มันเคยก่อตัวขึ้นในคืนวันนั้นที่เกิดเหตุการณ์คับขัน ในวันที่เขาและเธออยู่กันเพียงสองคนเช่นอย่างในวันนี้ แต่สุดท้ายก็สลายไปราวหมอกควันบางเบาเมื่อกลับมายังโรงน้ำชา ทว่าพักหลังมันชักจะก่อตัวบ่อยขึ้นและกลับอยู่นานขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยจะชัดเจนเท่าในครั้งนี้

เมื่อระลึกขึ้นได้ว่าอะไรเป็นอะไรพลันหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา สัมผัสของมือเธอในมือเขาก็ชัดเจนหนักแน่น จู่ๆ เขาก็เกิดไม่อยากปล่อยมือนี้ขึ้นมา และบรรดาคนที่เบียดเสียดเข้ามาก็ยิ่งทำให้ข้ออ้างนี้ดูจะสมเหตุสมผลมากขึ้น สองคนขยับเข้าใกล้กันราวกับถูกบีบบังคับ ทั้งที่ควรจะอึดอัดแต่เขากลับไม่อยากให้ความรู้สึกนี้หายไป

ต่อเมื่อไตร่ตรองดูจนรู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรความรู้สึกหนักอึ้งก็เข้ามาแทนที่

เส้นทางที่เดินต่อไปเป็นถนนเส้นเล็กๆ ซึ่งจะนำสองคนกลับมายังที่พักทำให้ผู้คนบางตาลงมาก ราตรีโรยตัวคลี่คลุมลงมาอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไร ต่างจมอยู่ในโลกของตน

สำหรับมโนชา เธอกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่มีเขาเดินอยู่เคียงข้างและได้ใช้เวลาด้วยกันในสถานที่แปลกใหม่

แต่สำหรับเฉินเอินแล้ว ความคิดของเขาได้ล่วงหน้าไปถึงอนาคตเรียบร้อยแล้ว ตัวตนของเขา สิ่งที่เธอยังไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมาย แล้วหากเมื่อเธอได้รู้แล้วจะเป็นอย่างไร และสิ่งนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเลยสักนิดเดียว

 

ในตอนเช้า แสงแดดเป็นลำก็ส่องเข้ามาผ่านทางกระจกหน้าต่างซึ่งม่านถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตลอดคืน มโนชาบิดตัวอย่างเกียจคร้านก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งพร้อมกลิ้งไปมา

ดวงตากลมโตสดใสคล้ายตากวางส่องประกายเจิดจ้านึกถึงความใกล้ชิดและช่วงเวลาเมื่อวานนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอเหมือนจะได้ขยับเข้าใกล้ คล้ายได้เห็นประตูของเขาเปิดแง้มเอาไว้ และเธอก็ไม่รีรอเลยที่จะเดินเข้าไป

อาจเพราะการที่เขาได้กลับมายังประเทศบ้านเกิด เพราะความยินดีเมื่อเห็นคนที่รักได้มีความสุขในท้ายที่สุด หรือบางทีการได้เจอกับญาติสนิทมิตรสหายทำให้เขาอาจจะเผลอตัวเผลอใจไม่ได้ระวังตั้งเกราะเอาไว้เช่นทุกครั้ง

อ้อ…หรือบางทีก็อาจจะเป็นเหล้าที่ดื่มเข้าไปก็ได้มโนชาคิด แต่ไม่ว่าอย่างไหนมันก็ดีทั้งนั้น

เช้าวันนี้ หลายคนแยกย้ายกันไปเรียบร้อยแล้วเมื่องานแต่งจบลง

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ป้าจูขอใช้วันลากลับบ้านเกิด ส่วนพ่อบ้านจางและลูกชายคือจางหมินก็ได้กลับเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว เหลือเพียงเธอกับเขาที่ยังรั้งรออยู่

บัตรโดยสารขากลับเมืองไทยของทุกคนคือหลังจากนี้สามวัน เธอไม่รู้ว่าเขาจะไปไหนต่อ บางทีอาจจะกลับบ้านเกิดของเขาอย่างคนอื่นๆ กลับไปเข้าร่วมเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษประจำปี เขาไม่ได้บอกเธอก็ไม่ได้ถาม เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงแผนของเธอก็คือเที่ยวรอบๆ แถวนี้หรือบางทีก็อาจจะเลยไปถึงคุณหมิง แต่อย่างไรก็ตามวันนี้เขาจะต้องมาให้เธอเห็นหน้าเพราะได้สัญญากันไว้แล้ว คนก็ยังอยู่ ยาก็กินไปแล้ว ยังไงก็ต้องมา

“อ้าว วันนี้คู่แต่งงานใหม่ไม่ต้องอยู่สวีตกันหรือคะ” มโนชาแปลกใจเล็กน้อยเมื่อลงมาด้านล่างโรงแรมแล้วพบเซี่ยเหมยซีและเสินต้าชานนอกเหนือจากคนที่นัดกันไว้ซึ่งวันนี้ดูเคร่งขรึมต่างไปจากเมื่อวาน

“สดใสแต่เช้าเลยนะจ๊ะ” เซี่ยเหมยซี่ส่งยิ้มให้ “วันนี้พี่กับพี่ต้าชานคุยกันแล้วว่าจะขับรถพาน้องซินกับคุณเฉินขึ้นไปเที่ยวที่ภูเขาหิมะมังกรหยกแล้วก็ทะเลสาบด้านล่าง”

เพราะว่าเซี่ยเหมยซีรู้ดีว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับเขา ไม่ใช่ในฐานะที่เธอเคยต้องการจะเป็นมาโดยตลอด แต่ในฐานะมิตรที่ดีต่อกัน

“มากินหมี่เซี่ยนร้อนๆ ก่อนเร็ว พี่กับพี่ต้าชานแวะซื้อมา แล้วเดี๋ยวต้องกินยาปรับความดันตาด้วย”

“เมื่อวานคุณเฉินให้กินแล้วค่ะ” ชายหนุ่มที่เธอเอ่ยถึงคนนั้นเพียงแต่เลื่อนถ้วยน้ำร้อนมาให้และไม่ได้กล่าวสิ่งใดตอบ ไม่มีแม้แต่คำทักทายในเช้าวันนี้ สีหน้าเขาดูอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝน

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ หรือว่านอนหลับไม่ดี” มโนชาพาตัวเองไปนั่งใกล้เขาก่อนจะถามเสียงเบา

“ฉันสบายดี เธอกินเถอะ” เขาไม่ได้สบายดีอย่างที่พูดเธอบอกได้เลย “อ้อ…แล้วนี่ยาสำหรับเช้านี้”

มโนชารับยามาวางตรงหน้าก่อนจะกินหมี่เซี่ยนไปก็นั่งครุ่นคิดไปเพราะเมื่อวานเขายังดีๆ อยู่ ไม่ว่าจะขบคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายจึงสลัดทุกอย่างทิ้งก่อนจะก้มหน้าก้มตากินของตรงหน้า บอกตัวเองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะสงสัย หากเขาไม่บอกเธอจะมัวมาคิดทำไม และถ้าอยากจะบอกเขาก็คงจะบอกเธอเองในท้ายที่สุด



Don`t copy text!