โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (1)
โดย : ปีกดอกไม้
โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
สวีสุ่ยเหอคือเจ้าของเสียงที่เธอคุ้นเคยคนนั้น เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษนั่นเองเธอถึงจำไม่ได้ เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดภาษาอื่นมาก่อนนอกจากภาษาจีน
“จะทำอะไร บังคับซินขึ้นรถมาทำไม” ดวงตาของเธอสั่นไหวด้วยความตระหนก มองปืนสลับกับมองใบหน้าของเขา ก่อนจะเลยไปยังที่นั่งข้างคนขับถึงได้พบกับอีกคนซึ่งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วยังนั่งอยู่ในร้านเหล้าด้วยกัน ฝั่งนั้นก็เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกมองอยู่ เขาหันกลับมาส่งรอยยิ้มเยียบเย็นทักทาย
“ไม่เจอกันนานนะซิน จำเจ้านายเก่าได้อยู่หรือเปล่า” มโนชาไม่ตอบ สมองรีบประมวผลอย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นอะไร ข้อความที่เธอได้ยินมีอะไรบ้าง
ภาทิศต้องการข้อมูล อยากรู้ว่าตำรวจมีอะไรในมือบ้าง ‘พ่อของคุณ’ ซึ่งคุณในที่นี้ก็ย่อมต้องเป็นสวีสุ่ยเหอ เธอคล้ายจำได้ว่ามีเอกสารสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในชื่อของคนแซ่สวีครั้งหนึ่ง แต่แล้วยังไง มีการเตรียมการ เคลียร์คนออก วันฝนตก การบีบบังคับฝืนใจ ทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่
มโนชาหันไปมองหน้าสวีสุ่ยเหอคล้ายคนไม่เคยรู้จัก
เธอจำได้แล้ว ครั้งแรกที่เธอไปที่นั่นภาทิศต้องไปขอรับน้ำชาความทรงจำแน่ แต่น่าจะถูกปฏิเสธออกมา เธอไม่รู้รายระเอียดหรือขั้นตอนใดๆ ทั้งสิ้นแต่พอเดาได้ เพราะหากเขารับน้ำชาไปแล้วย่อมไม่ได้มีท่าทีแบบนี้ และครั้งนี้เขาได้ร่วมมือกันกับสวีสุ่ยเหอ เตรียมการ เคลียร์คนออกคงหมายถึงคนที่โรงน้ำชา และคงจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งบังคับให้เฉินเอินยอมมอบชาความทรงจำให้จนบรรลุวัตถุประสงค์
ส่วนวันฝนตก…
มโนชานิ่งไป สวีสุ่ยเหอย่อมต้องเลือกวันฝนตก เพราะเขารู้จักเฉินเอินดีกว่าใคร คนที่ประสาทสัมผัสดีขนาดได้ยินเสียงคนคุยกันจากระยะไกล เฉินเอินต้องได้ยินหากมีอะไรเคลื่อนไหวผิดปกติ เขาจะต้องเตรียมตัวรับมือหรือหลบหนีได้
“เพราะอะไรคะ”
สวีสุ่ยเหอยิ้มออกมา เป็นยิ้มอันแสนเยียบเย็นที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคล้ายเป็นอีกคนกับที่เธอเคยเห็นยามอยู่โรงน้ำชา ดวงตาคมของชายวัยสามสิบซึ่งเป็นผู้ช่วยเฉินเอินมานานหลายปีดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
สวีสุ่ยเหอในวัยเด็กวิ่งเล่นอยู่ในลานบ้านอย่างซุกซน เขาหกล้มน้ำตานองหน้า คล้ายมีคนเข้ามาประคองให้ลุกขึ้นพร้อมเอ่ยปลอบใจ แต่แล้วภาพนั้นก็ขมุกขมัวก่อนจะจางหายไป
อายุสิบสอง พ่อของเขาโยนหนังสือการบ้านใส่ เขาได้แต่ยืนตัวแข็งรับแรงกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ถูกเตะจนล้มลงกับพื้นก่อนจะถูกจี้ด้วยปลายบุหรี่ติดไฟจนผิวหนังบริเวณหลังมือเป็นรอยไหม้ เขาเหมือนได้ยินเสียงร้องไห้อันไร้ความหมาย และสุดท้ายมันก็สลายหายไป
โตขึ้นเป็นหนุ่ม เขาสอบติดโรงเรียนตำรวจ เขาดีใจที่ได้ทำให้ใครคนหนึ่งภูมิใจ แต่เพียงครู่เดียวความว่างเปล่านั้นก็กลับเข้ามาอีก เขาดีใจที่สอบได้แต่เหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไป มันไม่สุด ไม่เต็มอิ่ม ในภาพความทรงจำเขาตระกองกอดผู้หญิงคนหนึ่งและช่อดอกไม้เอาไว้ แต่พอหวนคิดถึงว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเขากลับจำมันไม่ได้
สิ่งที่เขายังจำได้อีกในปีนั้นเองคือเขาได้ห้ามพ่อทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตัวเขาเองกลับถูกทำร้ายอย่างหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล อาการสาหัสจนดวงตาเกือบจะมืดบอด
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร…
เขาได้แต่นึกสงสัย เขาจำไม่ได้แม้กระทั่งใบหน้าของเธอ คล้ายเงาคล้ายภาพฝันที่เข้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นตรงนี้ในยามหลับฝัน ยามป่วยไข้ไม่สบายคล้ายอยากจะได้รู้สึกได้สัมผัสนั้นจากมือของเธอมาช่วยบรรเทาเบาบางให้
เสียงกระซิบนุ่มนวลอ่อนหวานหรือแหบพร่ายามร้องไห้ กลิ่นหอมจางของดอกไม้ กลิ่นสบู่ หรือกลิ่นของน้ำยาซักผ้า หรือบางทีอาจจะเป็นกลิ่นหอมของอาหาร เขาล้วนแล้วแต่จำไม่ได้
รสชาติของน้ำแกงอันเผ็ดร้อนที่ร้านอาหารร้านโปรดยามได้กินตอนเข้าทำงานล้วนทำให้คิดถึงบ้าน น้ำตาเขาไหลลงมา กินน้ำแกงเผ็ดจนหมด ท้องเขาอิ่มเต็มแต่ใจยังคงหิวโหย
เขารู้ว่ามันคืออะไรเมื่อวันหนึ่งที่บังเอิญเจอสมุดบันทึกของตัวเองซึ่งเก็บซ่อนไว้ให้พ้นจากสายตาพ่อ สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าทุกอย่างที่เขาคิดถึง คนที่เขาโหยหา คนที่ปรากฏตัวเลือนรางคล้ายเงาคล้ายภาพฝันที่ผ่านเข้ามาแท้จริงแล้วคือใคร
ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเขาเอง
สวีสุ่ยเหอพลิกบันทึกอ่านข้อความไปทีละหน้าทีละบรรทัด
‘วันนี้แม่ทำแกงเผ็ดของโปรดให้ก่อนจะเข้ามากอดแต่ฉันบอกว่าแม่ตัวเหม็น แม่ดูเสียใจเมื่อได้ยินถึงได้อาบน้ำอย่างใส่ใจเป็นพิเศษ ที่แท้แม่ไม่รู้ว่าลูกตั้งใจซื้อสบู่กลิ่นใหม่ซึ่งเจ้าของร้านบอกว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมจากฝรั่งเศสมาให้ พอแม่ได้รู้ก็หัวเราะใหญ่บอกว่าเจ้าเด็กนี่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังยิ้มไม่หุบ’
‘วันนี้พ่อเมาเหล้ากลับมาอีกแล้ว พ่อทำธุรกิจผิดพลาดเลยอาละวาดตีฉันซึ่งกำลังทำการบ้านอยู่จนหัวแตก แม่เอาตัวมาบังไว้จนโดนลูกหลงไปด้วย ฉันบอกว่าฉันเจ็บเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ฉันยิ้มให้แม่ แต่สุดท้ายเราสองคนก็กอดกันร้องไห้จนหลับไป’
‘ฉันบอกแม่ว่าฉันอยากเป็นคนที่ดี คนที่ไม่เหมือนพ่อ ฉันอยากเป็นตำรวจ แม่ยิ้มบอกว่าลูกชายแม่จะได้เป็นทุกอย่างที่อยากเป็นเพราะลูกของแม่เก่งที่สุด และแม่รักฉันที่สุด’
‘วันนี้ฝันของฉันเป็นจริงแล้ว ฉันสอบเข้าโรงเรียนตำรวจได้ ต่อไปเราสองคนแม่ลูกจะไม่ต้องกลัวใครมาทำอะไรได้อีก รอจนกว่าจะเรียนจบจนมีเงินเดือนเป็นของตัวเองฉันจะพาแม่ออกไปจากขุมนรกนี้ วันนี้แม่แต่งตัวสวยมากและเอาช่อดอกไม้มาให้ด้วย ช่อดอกไม้นั้นมีกลิ่นหอมเหมือนกับตัวแม่ เหมือนสบู่ก้อนนั้น…’
‘หมอบอกว่าฉันเกือบจะตาบอด โชคยังดีที่รีบมาโรงพยาบาลได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นฝันของฉันที่จะได้เป็นตำรวจคงจบลงตอนนี้เอง วันนี้ตื่นขึ้นมาคิดว่าจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรกแต่ก็ยังไม่พบ พ่อเข้ามาขอโทษ ฉันได้แต่เบือนหน้าออกไป ทั้งที่อยากตะโกนใส่อยากทำให้พ่อเจ็บปวดแสนสาหัสแบบเดียวกับที่พ่อเคยทำกับฉันและแม่ แต่ก็ได้แต่อดทนไว้ เฝ้าถามตัวเองว่าฉันอยากเป็นคนที่ตัวเองเกลียดนักหรือยังไง คำตอบคือไม่ ฉันไม่อยากเป็นอย่างพ่อ’
‘วันนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่แม่ก็ยังไม่มา ถามพ่อก็ได้แต่นิ่งไปไม่ตอบอะไร คิดว่าพอออกไปได้จะไปตามหาแม่ด้วยตัวเอง ในใจฉันกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพ่อจะพลั้งมือจนแม่…’
‘ฉันได้พบกับแม่แล้ว แต่แม่มองฉันด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับคนไม่รู้จักกัน’
สวีสุ่ยเหอนิ่งไปเป็นเวลานาน ดวงตาดำดิ่งลงคล้ายกำลังจมลึกในหลุมดำกลางห้วงมหาสมุทร
ถึงบัดนี้เขาจะรู้แล้วว่าคนที่เหมือนจะขาดหายไปจากชีวิตนั้นเป็นใคร เศษเสี้ยวส่วนใหญ่ของความสุข ความใส่ใจละมุนละไมของเพศหญิง การปลอบประโลมใจ แสงสว่างนำทางอันอบอุ่น สิ่งเหล่านั้นได้หายไปด้วย เพราะชาความทรงจำ…
สวีสุ่ยเหอขอเข้ารับชาความทรงจำจากเฉินเอินต่อจากแม่ แม่ของเขาเพราะเจ็บปวดรวดร้าวและทุกข์ทรมานจากการที่พ่อใช้ความรุนแรงในครอบครัวแต่แม่ก็ยังปล่อยมือไม่ได้ นั่นเพราะยังมีความทรงจำที่แสนสุขฉุดรั้งเอาไว้ แม่รักพ่อมากแม้จะรู้ว่าไม่ดีแต่ก็ตัดใจไม่ได้ รักลูกมากแต่ก็เจ็บปวดยามเห็นบาดแผลและรอยช้ำปรากฏอยู่บนร่างเล็กๆ ของเด็กชาย จนโตเป็นหนุ่มก็ยังประสบพบเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายไม่หยุดหย่อน
แต่แม่ก็เห็นแก่ตัวที่สุดที่เลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัว
แม่เลือกลบความเจ็บปวดจากใจไปพร้อมกับความทรงจำเรื่องพ่อเขายังพอเข้าใจได้ แล้วเขาเล่า ลูกชายของแม่ทำผิดอะไรถึงทำให้แม่ไม่อยากจดจำอย่างนั้นหรือ นั่นคือคำถามที่เฝ้าวนเวียนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สวีสุ่ยเหอในตอนนั้นสุดจะฝืน เขาร้องไห้ออกมาอย่างหนักที่รู้ว่าแม่แทบไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว ในตอนนั้นเขาโทษทุกอย่าง โทษพ่อ โทษตัวเองที่ไม่อาจจะดึงรั้งแม่เอาไว้ได้ สุดท้ายก็โทษเฉินเอิน คนที่ทำให้แม่ลืมเขาไปจนหมดสิ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกทางเดียวกับแม่
เขารู้เฉินเอินรู้สึกผิดและเสียใจที่เรื่องออกมาเป็นแบบนี้ รวมถึงไม่อยากให้น้ำชาความทรงจำนั้นกับเขา แต่เฉินเอินยังคงติดค้างเขาเรื่องนี้เช่นกัน
สวีสุ่ยเหอยืนยันจะรับชาความทรงจำนั้นให้ได้เพราะอยากเอาคืนแม่อย่างหนึ่ง และเพราะไม่อาจจะทนรับรู้ว่าแม่ได้เลือกลบเขาไปจากใจอีกอย่างหนึ่ง
เขาไม่อาจรู้เลยว่าการลบใครบางคนไปจากใจมันให้ความรู้สึกยังไง ในเมื่อไม่เหลือความเจ็บปวดอีกต่อไปแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสความสุขได้เช่นกัน ที่เหลือแทนที่ความทรงจำซึ่งหายไปนั้นคือช่องว่างโหวงเหวง ความรู้สึกที่ถมยังไงก็ไม่เต็ม ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่น่ายินดีแต่ประการใด
เขาได้ยินมาว่าบางคนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ บางคนก็รับผลของน้ำชาอย่างเป็นที่น่ายินดี เขาอาจจะโชคร้ายเอง ก็เพียงแค่ต้องใช้ชีวิตต่อไป แต่เขาหลงลืมบางอย่างไปอย่างคาดไม่ถึง เพราะพอไม่มีแม่แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เป็นความสุขหายไป อีกครึ่งที่เหลือก็คือสิ่งเลวร้ายสุดจะทน
เป็นตอนนั้นเองที่สวีสุ่ยเหอรู้ตัวว่าเขาได้เลือกผิด เขาน่าจะเลือกลบความทรงจำเกี่ยวกับพ่อไปเสีย ทำไมถึงยังคิดจะจดจำไว้อยู่
สุดท้ายก็ได้รู้ เพราะเขาเองก็เป็นคนอย่างพ่อ
เขาออกจากบ้านไปอยู่หอพักจนเรียนจบรับราชการและได้แต่งงาน สุดท้ายแล้วพ่อที่เขาเลือกเดินจากมาก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นในตัวเขา สิ่งนี้เองที่ทำให้คิดว่าเพราะอย่างนี้แหละที่เขาไม่ยอมลบพ่อออกไป เพราะเขากับพ่อเป็นคนประเภทเดียวกัน
โชคดีที่อดีตภรรยาของเขาไม่ได้เป็นอย่างแม่แต่เข้มแข็งกว่านั้นมาก พอรู้ตัวว่าต้องเจอกับอะไรก็ตัดสินใจเดินออกมาในทันที เขาทำร้ายเธอ เริ่มจากการขึ้นเสียงใส่ ก่นด่าหยาบคาย ดูถูกเหยียดหยาม ข่มขู่คุกคาม จนถึงขั้นสุดท้ายคือลงไม้ลงมือ เมื่อมือหยาบกร้านเต็มไปด้วยแรงอารมณ์สัมผัสใบหน้านุ่มนวลนั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทุกอย่างก็จบลง
เขาดีใจแทนเธอที่ออกมาได้ เพราะเขาห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ห้ามไม่ได้ เขาเริ่มซ้ำรอยพ่อ คือเริ่มดื่มเหล้าเพียงเล็กน้อยในตอนเย็นหลังเลิกงาน สุดท้ายก็กลายเป็นติดสุราจนเมามายอาละวาดและต้องออกจากราชการในที่สุด
คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็คือเฉินเอิน
คนที่เขารู้สึกแบบเดียวกับที่รู้สึกกับแม่ ทั้งรักทั้งเกลียด ทั้งสำนึกบุญคุณทั้งรู้สึกถูกติดค้าง เขารู้เฉินเอินทำดีที่สุดแล้ว แต่แม้จะรู้ก็ไม่ได้ทำให้ความเกลียดที่ฝังรากหยั่งลึกอยู่มานานหลายปีในใจล้มหายตายจากไปไหน มันยังคงอยู่ตรงนั้นรอวันปะทุ
เขาว่าเฉินเอินเองในใจลึกๆ อาจจะรู้อยู่บ้าง เพียงแต่ชุดความคิดของผู้ชายคนนี้อาจไม่เหมือนกับคนทั่วไป เขารู้ว่าเฉินเอินมีชีวิตอันยาวนาน ความคิดของเขาย่อมต้องผ่านการเดินทางมายาวนานด้วย
ความคิดที่ว่า ‘สายน้ำไหลลงที่ต่ำมนุษย์เดินขึ้นที่สูง’ คือสิ่งที่ชายคนนั้นคิด เฉินเอินต้องคิดว่าคนอย่างสวีสุ่ยเหอคงพอจะขัดเกลาได้หากใช้ความพยายาม
สวีสุ่ยเหอเลยเข้ามาอยู่ที่นี่ ทำงานใกล้ชิด เฝ้าดูผู้คนที่เวียนหน้าเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซื้อบ้างขายบ้าง ถูกปฏิเสธไปบ้าง เขาทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง กระทั่งย้ายมาเมืองไทยก็ยังตามมา
แต่โรงน้ำชาก็เริ่มให้อะไรกับเขากลับมา สวีสุ่ยเหอเลิกเหล้าได้อย่างเด็ดขาด ไม่ได้มีความรู้สึกกระหายอยากแบบเมื่อก่อนอีก ไม่ได้ขี้โมโหฉุนเฉียวและใช้ความรุนแรงอีก ความว่างเปล่าในใจที่ขาดทั้งพ่อทั้งแม่ไปก็เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย
เขาชอบพ่อบ้านจาง ชายชราที่ทำท่าทางราวกับจะเป็นพ่อของทุกคน จนบางครั้งสวีสุ่ยเหออดคิดไม่ได้ว่าหากเขามีโอกาส ก็อยากจะได้เป็นพ่อแบบพ่อบ้านจางบ้าง
ไม่นึกว่าพ่อตัวจริงที่ไม่ได้ติดต่อมานานจะย้ายไปทำธุรกิจสีเทาจนร่ำรวยขึ้นมาจะติดต่อมา เขารู้เรื่องเพราะภาทิศเคยส่งข้อความนัดหมายมาให้ไปเจอข้างนอก เขาส่งข้อความติดต่อฝั่งนั้นมาโดยตลอด ในตอนแรกเพียงอยากดูท่าที และสุดท้ายเขาก็หนีพ่อไม่พ้น
‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ เป็นวลีที่ไม่ได้กล่าวขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป มันเป็นเรื่องจริง สุดท้ายเขาก็ไม่อาจปล่อยตัวปล่อยใจพ้นเงื้อมมือพ่อได้ คำขอของพ่อแลกกับการเลิกติดต่อกัน คือการที่เขาต้องเสียที่มั่นสุดท้ายไป
เขาต้องทรยศเฉินเอิน หาทางให้ภาทิศรับน้ำชาให้ได้
บังเอิญเหลือเกินที่คนอย่างภาทิศดันมีสายเลือดของผู้ที่พลีชีพในสนามรบครั้งนั้นอยู่ด้วย สำหรับสวีสุ่ยเหอเอง เขารับมันผ่านมาทางแม่ เวลาหลายปีนี้สวีสุ่ยเหอรู้ขั้นตอนกลไก ตลอดจนความคิดความอ่านของเฉินเอินดี เขารู้ว่าคนอย่างภาทิศแม้จะเข้าเงื่อนไขแต่ก็อาจจะโดนปฏิเสธและก็จะกลับบ้านโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าโดนบังคับให้ดื่มชาผสมสมุนไพรที่จะลบความทรงจำเกี่ยวกับการมีอยู่ของน้ำชาออกไป
สวีสุ่ยเหอนึกถึงสมุดบันทึกของตัวเอง เขาบอกให้ภาทิศบันทึกวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวของน้ำชาความทรงจำเอาไว้ เพราะแม้ภาทิศจะถูกปฏิเสธการรับชาแต่ก็ยังมีหลักฐานให้เชื่อได้ถึงการมีอยู่ของมัน จะได้คิดหาทางหาวิธีต่อไป ซึ่งมาถึงตอนนี้สุดท้ายก็คงต้องใช้วิธีบีบบังคับ
ไม่แน่ว่าจะได้…แต่ไม่ลองก็ไม่รู้…ในเมื่อถึงตอนนี้จุดแตกหักของทุกอย่างก็ได้มาถึงแล้ว
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 18 : ปล่อยเธอไป (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 18 : ปล่อยเธอไป (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 15 : ส่งกันเป็นพันหลี่ สุดท้ายก็ต้องร่ำลา (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 15 : ส่งกันเป็นพันหลี่ สุดท้ายก็ต้องร่ำลา (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 14 : การจากลา (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 14 : การจากลา (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 11 : ความปวดใจของเซี่ยเหมยซี (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 11 : ความปวดใจของเซี่ยเหมยซี (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 10 : เขาเป็นใครกันแน่ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 10 : เขาเป็นใครกันแน่ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 8 : นายตำรวจ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 8 : นายตำรวจ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (3)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 3 : แขกคนพิเศษ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 3 : แขกคนพิเศษ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 2 : พ่อบ้านจาง (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 2 : พ่อบ้านจาง (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 1 : เซี่ยเหมยซี (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 1 : เซี่ยเหมยซี (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน : บทนำ