โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

มโนชานั่งเงียบเชียบในรถ ไม่ส่งเสียง ไม่ขัดขืน ยังดีที่คนซึ่งนั่งคุมเธอที่เบาะหลังเป็นสวีสุ่ยเหอ ไม่ใช่ภาทิศ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงนั่งเฉยอย่างนี้ไม่ได้แน่ ต้องได้มีเตะยอดหน้าออกไปสักทีสองทีหลังจากเห็นสายตาที่คอยหันมองมาด้วยแววบางอย่าง สวีสุ่ยเหอเองก็พอจะรู้สึกได้ถึงได้ถีบเบาะผู้โดยสารข้างคนขับไปหนึ่งครั้งเป็นการเตือน

“เราจะไปไหนกันคะ ซินปวดฉี่” มโนชาเอ่ยขึ้นหลังจากที่รถวิ่งออกจากกรุงเทพฯ มาได้สองชั่วโมงแล้ว สถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ปรากฏผ่านตาให้เห็นและถ้าจำไม่ผิดข้างหน้าก็ยังมีอีก

“พี่รู้ว่าซินรู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน อย่าสร้างปัญหาเพราะพี่ไม่อยากทำอะไรที่ไม่จำเป็นต้องทำ ปั๊มพวกนี้สว่างเกินไปคนเยอะเกินไป รออีกหน่อยค่อยแวะก็แล้วกัน”

“แล้วสิ่งที่กำลังจะทำนี่จำเป็นต้องทำหรือคะพี่สุ่ยเหอ” มโนชาอดตั้งคำถามไม่ได้

“พี่คิดว่าพี่จำเป็นต้องทำ” เขาตอบอย่างเงียบขรึมใบหน้าตกอยู่ในความมืดสนิท

รถยนต์ยังคงวิ่งมาเรื่อยๆ ตามถนนทางหลวงสายเหนือ ภาทิศที่เริ่มออกอาการเบื่อเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ มีพยากรณ์อากาศว่าพายุกำลังจะเข้าภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์โดยเริ่มในคืนนี้

เธอได้ยินว่าสองคนตกลงกันว่ามะรืนนี้ แต่เพราะการปรากฏตัวของเธออยู่นอกเหนือแผนที่วางไว้ เพราะสวีสุ่ยเหอกลัวว่าเธอจะจำเสียงเขาได้และปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ทุกอย่างก็เลยถูกเลื่อนมาวันนี้แทนอย่างช่วยไม่ได้

สุดท้ายคนปวดฉี่เพราะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปก็ต้องนั่งจนท้องเกร็งกว่ารถจะยอมจอดให้ที่สถานีบริการน้ำมันซึ่งปกติหากผ่านมาทางนี้สวีสุ่ยเหอคงไม่คิดจะจอดด้วยซ้ำ เพราะทั้งเล็กทั้งมืดทั้งอยู่กลางทุ่ง

มโนชาบอกสวีสุ่ยเหอให้จับตาดูภาทิศให้ดีอย่าได้มายุ่งกับเธอก่อนจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

เขาอดจะขบขันกับคำพูดของเธอไม่ได้ จะให้เขาจับตาดูภาทิศไปทำไม เขาย่อมต้องจับตาดูเธออยู่แล้วเพราะเกิดนึกอยากทำอะไรพิลึกพิสดารขึ้นมา และหากเธออยู่ในสายตา ภาทิศย่อมไม่กล้าทำอะไร

มโนชาวิ่งเร็วจี๋ จริงที่เธอปวดฉี่แต่หากเข้าตอนนี้ก็หมดโอกาสหนีแน่ มโนชาไม่คิดหน้าคิดหลัง อาจจะเพราะสุราทำให้ความสามารถในการประมวลผลลดลง วิ่งเข้ามาปุ๊บเธอก็ปีนกำแพงห้องน้ำซึ่งปล่อยด้านบนไว้ระบายอากาศออกไปปั๊บ

ข้างหน้ามืดสนิท มีแต่ทุ่งนา มโนชาตกใจเหมือนกันแต่คิดว่ายังดีกว่าวิ่งกลับไปทางเก่า

เอ๊ะ! หรือกลับทางเก่าดีกว่า ชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้ว

ขณะสมองยังคิดไม่ตกสองเท้าก็ยังคงวิ่งไปข้างหน้า เสียงฟ้าคะนองร้องอยู่เหนือศีรษะ ใต้เท้าเป็นดินเป็นหญ้าทั้งยังไม่รู้ว่าที่ย่ำไปเธอเหยียบโดนตัวอะไรไปบ้างหรือเปล่า ครู่เดียวเท่านั้นเธอก็ได้ยินเสียงสวีสุ่ยเหอวิ่งตามมาจากข้างหลัง เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และสุดท้ายเขาก็คว้าตัวเธอเอาไว้ได้

มโนชาไม่ได้ดิ้นอีก คิดว่าถึงไม่โดนจับกลับไปก็คงไปไม่รอดอยู่ดี

ฝนเริ่มตกมาอย่างหนักและลมก็พัดกรรโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ สวีสุ่ยเหอที่ตอนแรกโมโหจนไม่รู้จะโมโหยังไง แต่สุดท้ายก็อ่อนใจ เขาเอาแขนข้างหนึ่งโอบไหล่เธอไว้จนมาถึงห้องน้ำ ยัดเธอเข้าไปในนั้น และเฝ้ารออยู่ข้างหน้า

มโนชาร้องไห้ออกมาแข่งกับเสียงฝนฟ้า ก่นด่าไอ้ภาทิศไอ้คนเลว เห็นชัดๆ ว่าสวีสุ่ยเหอเองก็ถูกบีบบังคับเอาเรื่องพ่อมาข่มขู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องพูดไม่ดีหรือกระทำการรุนแรงกับเธอแล้ว

“พี่สุ่ยเหอไม่ทำได้ไหมคะ เปลี่ยนใจเถอะแล้วเราหนีไปแจ้งตำรวจกัน ส่วนไอ้ภาทิศนั่นขอให้ฟ้าผ่าจนตัวดำเป็นตอตะโก” สวีสุ่ยเหอหัวเราะพลางกลืนก้อนแข็งๆ ลงคออย่างยากลำบาก

ในคำพูดปนเสียงร้องไห้ของมโนชาบอกอะไรได้หลายอย่าง เธอไม่โกรธเขา เสียงนั้นยังบอกว่าเธอห่วงใยและใส่ใจ คำถามของเธอคือเขาจำเป็นต้องทำไหม แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้

แต่เขาได้เลือกแล้ว

ครู่ใหญ่มโนชาก็เปิดประตูออกมา สวีสุ่ยเหอจับจูงเธอให้กลับไปนั่งยังที่เดิม เขาบังคับให้คนขับรถถอดเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่แล้วเอามาคลุมให้คนที่กำลังตัวสั่นงันงกเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีเสื้อคลุมติดมาด้วย สวีสุ่ยเหอนึกไว้อยู่แล้วว่ามโนชาต้องทำอะไรไม่คิด แล้วเธอก็ทำจริงเสียด้วย

รถยังวิ่งต่อมาตลอดทางโดยไม่แวะพักที่ไหนอีก ช่างเป็นราตรีอันยาวนานและเหน็บหนาว หนทางข้างหน้านั้นเห็นไม่ชัดขมุกขมัว หนทางของสวีสุ่ยเหอเองก็เหมือนกัน

โทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาสั่นหนึ่งครั้งถึงนึกได้ว่ามันเป็นของมโนชาซึ่งเขายึดเอามา เธอหลับไปแล้วอย่างเหนื่อยอ่อน เขาหยิบขึ้นมาถึงได้เห็นภาพพักหน้าจอเป็นรูปคนหลายคนซึ่งถ่ายด้วยกันในงานเลี้ยงคืนหลังจากวันไหว้พระจันทร์ วันที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้า

คนที่เขาชอบทุกคนอยู่ในรูปนั้น มีเพียงคนเดียวที่สวีสุ่ยเหอชอบน้อยที่สุด

ไม่ใช่เฉินเอิน แต่เป็นตัวเขาเอง

 

เวลาผ่านมาอีกหลายชั่วโมง ความมืดยังคมแผ่คลุมอยู่รอบด้าน ราตรีลุ่มลึกมองไปไม่เห็นข้างหน้ามองกลับมาไม่เห็นข้างหลัง รถจอดอยู่ตรงปากทางเข้าอย่างเงียบเชียบด้วยคำสั่งของสวีสุ่ยเหอ ภาทิศมีท่าทางขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมตาม

ตอนนี้มโนชาตื่นแล้ว กล้ามเนื้อทั้งตัวกลับมาเครียดเขม็งอีกครั้งเมื่อพบว่ารถจอดอยู่ตรงทางเข้าโรงน้ำชา สวีสุ่ยเหอจับแขนมโนชาก่อนจะพูดคุยเป็นภาษาจีน

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซิน พอเข้าไปแล้วซินก็รีบกลับห้องแล้วล็อกห้องไว้ให้ดี ทางที่ดีอย่าบอกป้าจูและน้องใหม่จะตกใจกันไปเปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอกแค่รับน้ำชา”

“แล้วถ้าคุณเฉินไม่ยอมล่ะคะ” ซึ่งต้องไม่ยอมแน่ เธอไม่คิดว่าเรื่องมันจะเรียบง่ายอย่างนั้น

สวีสุ่ยเหอไม่ได้ตอบซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจ ภาทิศเองก็เร่งออกมาเป็นภาษาอังกฤษและหงุดหงิดเต็มทีที่สองคนข้างหลังคุยกันเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ

ฝนยังคงตกลงมาอย่างแรงในตอนที่รถค่อยๆ คลานเข้ามาในเขตโรงน้ำชา เฉินเอินคงไม่อาจรู้ได้ว่ามีภัยร้ายกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างเงียบๆ มโนชาคิดแล้วคิดอีกว่าควรจะเตือนเขายังไงดี

เธอพยายามโน้มน้าวให้สวีสุ่ยเหอเปลี่ยนใจซึ่งก็ไม่ได้ผล กำลังคิดว่ามีอะไรที่เธอพอจะทำได้บ้างรถก็จอดสนิท สวีสุ่ยเหอหันมาสบตาเธอ มโนชาพยักหน้า คิดในใจว่าจากที่นี่วิ่งไปที่ร้านใช้แท็บเล็ตของร้านส่งข้อความหาเจ้าของโรงน้ำชาอาจจะพอทำได้ เพราะกว่าจะผ่านสวนผ่านประตูพระจันทร์เข้าไปจนถึงตัวเขาคงจะใช้เวลาพักหนึ่งเหมือนกัน

แต่เธอไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นเพราะอยู่ดีๆ ก็มีปืนอีกกระบอกหันมาทางเธอจากเบาะหน้า

“เข้าไปด้วยกัน” ภาทิศบอกเสียงเยียบเย็น สวีสุ่ยเหอซึ่งไม่ได้ใช้ปืนขู่เธอตั้งแต่กลับจากห้องน้ำตอนนี้เขาหยิบมันขึ้นมาและเล็งไปทางภาทิศ สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทันที ปืนอีกกระบอกก็ปรากฏขึ้นจากคนขับรถที่หันมาทางสวีสุ่ยเหอเช่นกัน และคนคนนั้นมโนชาเพิ่งจะอนุมานได้ว่าคงไม่ใช่แค่คนขับรถธรรมดาแต่เป็นมืออาชีพที่ถูกจ้างงานมาเพื่อการนี้เพราะไม่ใช่คนขับรถคนเดิมที่เธอเคยเจอ

“คิดว่าผมจะยอมให้คุณถือปืนคนเดียวหรือสวีสุ่ยเหอ ผมไม่โง่ขนาดนั้น คุณมืออาชีพ คนของผมเองก็เหมือนกัน อย่าลืมเรื่องที่คุณรับปากพ่อเอาไว้ แค่รับน้ำชาไม่ต้องมีคนเจ็บคนตาย”

เสียงฟ้าร้องครืนออกมา มโนชาแทบจะตายไปแล้ว เธอกลัวเหลือเกินว่าหากคนที่ถือปืนจ้องกันไปมาเกิดขวัญอ่อนเผลอลั่นไกไม่ใครก็ใครคงต้องโดนเข้าสักคน แต่ทุกอย่างก็ยังปกติดีไม่มีใครลั่นไกออกมา

“ลงรถ” ภาทิศสั่ง มโนชาหันไปพยักหน้าให้สวีสุ่ยเหอก่อนจะก้าวลงจากรถเป็นคนแรก ตามมาด้วยภาทิศ คนขับรถ และสวีสุ่ยเหอเป็นคนสุดท้าย

ฝนยังเทกระหน่ำจนรอบตัวไม่ได้ยินเสียงอะไร มันตกลงมาอย่างหนักจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวและไหลหยดเข้าตาจนแทบไม่สามารถมองทางข้างหน้าได้ ถึงอย่างนั้นคนทั้งหมดก็ยังคงเดินฝ่าเข้าไป

ผ่านสวนภายนอก ผ่านประตูพระจันทร์ ผ่านส่วนที่เป็นบ้านพักของพนักงานสวีสุ่ยเหอก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้เธอและพยายามใช้ตัวเขาบังเธอเอาไว้ให้พ้นจากระยะของกระบอกปืนที่หันมาทางคนทั้งคู่

แสงไฟด้านในยังส่องสว่าง เวลานี้อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าแล้ว เฉินเอินกำลังทำอะไร นั่นคือสิ่งที่มโนชากำลังสงสัยในใจขณะสถานการณ์กำลังตึงเครียด เธอเพิ่งจะรู้ว่าคิดถึงเขาขนาดไหนก็เมื่อตอนที่กลับมาเห็นแสงไฟส่องออกมาจากหน้าต่าง

“ตัวประกันมานี่” เสียงของภาทิศไม่ดังไม่เบาขณะเข้ามาคว้าแขนเธอ แต่ฝนตกอย่างนี้เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเฉินเอินจะได้ยินไหม มโนชาขืนตัวเอาไว้ แขนอีกข้างถูกสวีสุ่ยเหอยึดไว้เช่นกัน

“ผมเอง” สวีสุ่ยเหอเปลี่ยนมุม ปืนที่เล็งไปยังภาทิศเปลี่ยนมาเล็งที่มโนชาแทน ภาทิศยอมปล่อยมือแต่โดยดีแต่ปืนในมือยังคงเล็งไปที่สวีสุ่ยเหอ

จนเกือบจะหน้าประตู พายุภายนอกยังคงโหมกระหน่ำรุนแรงแต่ภายในกลับเงียบเชียบสว่างไสว มโนชายืนนิ่งไม่ยอมก้าวเข้าไปใกล้ประตูแม้อีกก้าวเดียว ภาทิศเดินเข้ามา เขาผลักเธอจนมโนชาล้มเสียหลักหน้าทิ่มลงไป

เธอรู้สึกเจ็บบริเวณคางก่อนจะเอื้อมมือไปจับก็พบว่าคางเธอแตก หญิงสาวยังคงตัวงอคุดคู้อยู่กับพื้นจนภาทิศต้องใช้มือโบกให้คนขับรถของเขาฉุดเธอขึ้นมา

ดวงตามองไปข้างหน้าสมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้โอกาสนี้หยิบก้อนหินแต่งสวนก้อนไม่เล็กนักที่พื้น แต่ไม่ได้ทุ่มมันใส่หัวคนที่ใกล้ที่สุดคือคนขับรถเพราะรู้ว่าไม่อาจต่อกรกับเขาได้ เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ และเธอมีเพียงแค่โอกาสเดียว

มโนชาขว้างมันไปที่ประตูกระจกซึ่งปิดเอาไว้จนกระจกแตกทั้งบานเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เธอเตือนเฉินเอิน อย่างน้อยเสี้ยวนาทีมีเวลาให้เขาคิดหาทางก็ยังดี

กระจกแตกร่วงหล่นกองบนพื้นสะท้อนแสงแพรวพราว ทุกคนอยู่ในอาการตื่นตะลึง

ภาทิศพุ่งเข้ามาทันที เขาถึงตัวเธอเป็นคนแรกและใช้ฝ่ามือตบลงไปที่ใบหน้าจนเธอล้มคว่ำลงไปอีกครั้ง สวีสุ่ยเหอจะเข้ามาก็ไม่ได้เพราะปืนภาทิศจ่ออยู่ที่หัวของเธอ

ทุกอย่างปัจจุบันทันด่วน สับสนชุลมุน ท่ามกลางความวุ่นวายเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“หยุดการกระทำของคุณ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย คุณภาทิศ”

 



Don`t copy text!