โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

 

เฉินเอินปรากฏตัวขึ้นอยู่หลังประตูบานที่แตก เขาสะอาดเอี่ยมอ่องและแต่งกายเรียบร้อยไม่มีทีท่าของคนที่เพิ่งจะลุกมาจากที่นอน

ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับอยู่หลังประตู สายตานั้นเหลือบลงมองมาที่เธอครู่เดียวก่อนที่เขาจะละสายตาไปยังบานประตูที่เหลือแต่โครงไม้แล้วผลักมันให้เปิดออก

“ไม่จำเป็นต้องมีตัวประกัน” เขาพูด

“ไม่ง่ายอย่างนั้นละมั้ง” เสียงของภาทิศเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ ปืนยังคงเล็งไปที่มโนชา

เฉินเอินไม่สนใจ เขาเดินตรงมาคว้าแขนของเธอบริเวณข้อศอกก่อนจะดึงให้ลุกขึ้นแล้วโอบไหล่พาเข้ามาด้านในท่ามกลางใบหน้าเคร่งเครียดและสายตาครุ่นคิดของคนที่เหลือว่าจะจัดการกับสถานการณ์ยังไง ทั้งที่อยู่ภายใต้ไกปืนแต่เจ้าของบ้านยังคงไม่สะทกสะท้าน

เขาพามโนชามานั่งบนสตูลเก้าอี้ปรับระดับได้ที่โต๊ะตัวเดิมเมื่อครั้งนั้นก่อนจะเริ่มต้นชงชาให้

ภาทิศเดินเข้ามาเป็นคนถัดมา ตามด้วยคนขับรถ และสุดท้ายคือสวีสุ่ยเหอ บุคคลซึ่งเฉินเอินไม่ปรายตาไปมองแม้แต่นิดเดียว

เสียงข้างนอกยังคงดังกระหึ่มไม่มีทีท่าว่าฝนจะเบาลงแม้แต่น้อย ท่ามกลางเสียงอึกทึกของธรรมชาติเฉินเอินขยับเคลื่อนไหวคล้ายไร้เสียง มือเขาอยู่บนโต๊ะซึ่งมีแต่อุปกรณ์ชงชาตลอดเวลาพร้อมกับสายตาของภาทิศและคนขับรถที่จ้องมองอย่างระแวดระวัง ครู่เดียวเขาก็รินชาร้อนหอมกรุ่นออกจากป้านดินเผาก่อนจะส่งมันให้มโนชา

“ผมไม่ได้มาเพื่อดูคุณชงชาให้พนักงานเก่า” ภาทิศเอ่ยหรี่ตามองขณะเฉินเอินหยิบผ้าสะอาดแล้วส่งให้มโนชาเช็ดหน้า “หรือบางทีพนักงานเก่าของผม แต่อาจจะเป็นเด็กใหม่ของคุณ”

มีเสียงเคลื่อนไหวสวบสาบเมื่อเขาดึงผ้ากลับไปและเริ่มต้นเช็ดผมให้มโนชาเมื่อเห็นว่าเธอเพียงรับผ้าไปแต่ยังคงนิ่งเฉย มือหนาชะงักเมื่อเห็นรอยเลือดติดผ้าสีขาวออกมา

“แล้วคุณมาเพื่ออะไร คุณพูดไป” เฉินเอินไม่ให้ค่าประโยคคล้ายจะถากถางนั้น

เขาเหลือบตาขึ้นมองแต่ไม่ได้รอฟังคำตอบ ร่างสูงหันหลังกลับตรงไปทางตู้ยาซึ่งอากัปกิริยานี้สร้างความตึงเครียดให้กับฝั่งของภาทิศได้หลายส่วน มือที่ถือปืนเลยเกร็งขึ้นขณะมือของเฉินเอินหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมา

มโนชานั่งมองเขาอย่างร้อนใจ ครู่เดียวเฉินเอินก็กลับมายืนตรงหน้าเธอจนเกือบชิด เขาปรับเก้าอี้ที่เธอนั่งให้สูงขึ้น เชยคางที่แตกดูซ้ายขวา ก่อนจะค่อยๆ ทำแผลให้โดยไร้คำพูด

“คุณรู้ว่าผมมาเพื่ออะไร” ภาทิศเริ่มหัวเสียกับท่าทีแสนใจเย็น มีเวลากระทั่งมาทำแผลให้ผู้หญิง

“คุณเล่นเกมอะไรถึงพูดจายอกย้อนไปมา คุณมาเพื่อรับชาความทรงจำผมย่อมรู้ แต่คราวที่แล้วผมไม่รู้คุณทำยังไงถึงยังจำได้ว่ามีชานี้อยู่ แต่คุณก็เข้ามาแล้วผมย่อมต้องพูดความจริง ผมไม่ปฏิเสธถึงการมีอยู่ของมัน” ในตอนที่เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าคราวที่แล้วภาทิศทำยังไงถึงยังจำได้ สายตานั้นได้เหลือบมองไปยังสวีสุ่ยเหอครั้งหนึ่ง ครู่เดียวเขาก็หันมาใส่ใจกับแผลของมโนชาต่อพลางพูด

“แต่คุณไม่กลัวหรือคุณภาทิศ ว่าผมอาจจะเอาอะไรใส่ลงไปแล้วบอกคุณว่ามันคือชาความทรงจำ คุณไม่มีทางรู้ คุณจะรู้ได้ยังไง กว่าจะรู้ตัวอีกทีคุณแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะยังอยู่บนโลกใบนี้”

เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด มโนชากรีดร้องออกมายกมือขึ้นปิดหูโดยสัญชาตญาณ ประตูกระจกอีกบานแตกร้าวร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับบานแรกที่โดนก้อนหิน

“มึงก็ลองดู!” เสียงนั้นกราดเกรี้ยวพอกับเสียงปืนแต่คนที่ถูกเรียกด้วยสรรพนามหยาบคายไม่ได้สะทกสะท้าน มีเพียงแววตาที่เข้มขึ้นคล้ายกำลังข่มโทสะ ภาทิศยังคงพูดต่อ

“คนของกู…” เขาสูดหายใจแรงอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ “…คนของผม…จะคอยดูอยู่ ยังมีสวีสุ่ยเหอ คนของคุณไม่ใช่คนของคุณแต่แรก คุณเคยได้ยินคำที่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำไหม สวีสุ่ยเหอคงไม่อาจปล่อยให้พ่อบังเกิดเกล้าเจอกับหายนะและก็อาจพบกับอันตรายจนถึงชีวิตได้ จริงไหม” ปลายประโยคนั้นหันไปย้ำกับคนที่ยืนราวไร้ตัวตนอยู่ด้วยความเงียบ

“ผมย่อมเคยได้ยินสำนวนนี้” เขารู้ดีทีเดียว “ถ้าอย่างนั้นเราก็ตกลงกันอย่างนี้ มโนชา…ซึ่งเป็นคนของผมจะอยู่ที่นี่” เขาละสายตามามองเธอ มือหนากุมต้นแขนบางเบาๆ ก่อนจะสั่ง “ขึ้นไปบนห้องฉันแล้วล็อกประตูเสีย ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็อย่าออกมา”

เขาหันมาประจันหน้ากับภาทิศ

“ส่วนคุณ คนขับรถของคุณ และสวีสุ่ยเหอ…ซึ่งเป็นคนของคุณ จะไปด้วยกันที่หออำพัน พิธีรับชาจะจัดขึ้นที่นั่น หากผมเล่นตุกติกแล้วคุณตายผมก็จะไปพร้อมคุณด้วย ตกลงไหม”

คำถามนั้นเหมือนจะสามารถตอบได้แต่ไม่มีใครตอบได้เลย เฉินเอินไม่ได้ให้ทางเลือกไว้ เขาจัดการเสร็จสรรพ มโนชากุมมือเขาแน่น ไม่ยอมปล่อย

“ไม่มีอะไรหรอก ขึ้นไปหาเสื้อผ้าสะอาดเปลี่ยนแล้วรอฉัน อย่าได้คิดทำอะไรที่คนอื่นเขาไม่คิดจะทำกันเป็นอันขาด เธอรับปากฉันก่อนซิน”

มโนชาพยักหน้า น้ำตาเหมือนจะไหลออกมาให้ได้

 

มโนชาเดินตรงไปยังบันไดทางขึ้นซึ่งจะนำไปยังห้องของเขาที่ชั้นสอง เธอเดินไปอย่างอ้อยอิ่งและคอยหันหน้ากลับมามองเป็นระยะ เฉินเอินลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปที่ประตูทางออกเช่นกัน เขาโบกมือไล่ให้เธอขึ้นไปและหันหลังกลับพร้อมกับปืนสามกระบอกที่พุ่งตรงมาที่เขา

พอพ้นจากบันไดได้มโนชาก็วิ่งทันที เธอตรงไปยังห้องนอนเขา ค้นหาทุกสิ่งเท่าที่จะหาได้เพื่อติดต่อกับโลกภายนอก ครู่เดียวก็เจอแท็บเล็ตของเขาแต่มันล็อกไว้ คอมพิวเตอร์เองก็ใส่รหัสไว้เช่นกัน

เธอชะโงกหน้าดูตรงหน้าต่าง เห็นเงาร่างของคนสี่คนเดินตากฝนกันออกไปท่ามกลางแสงสว่างของดวงไฟที่ตกกระทบผ่านสายฝนสีขาวโพลนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

มโนชาวิ่งลงมาข้างล่างอีกครั้ง กลิ่นน้ำชายังคงหอมอบอวลอยู่แต่คนชงไม่อยู่แล้ว เธอไม่รู้จะเกิด อะไรไม่อยากคิดไปในทางร้ายๆ แต่ยากจะห้ามได้ เธอรู้จักเขาดีเกินไป เฉินเอินคนนั้น หากเขาไร้คุณธรรมอุดมการณ์เช่นนั้นคงไม่อยู่เงียบๆ แบบนี้มาเป็นหลายร้อยปีหรอก

พอแน่ใจว่าสี่คนหายไปจากระยะสายตามโนชาก็หาที่หมายถัดไปคือห้องพักพนักงานซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่เธอต้องวิ่งอ้อมไปเพราะกลัวหากใครสักคนมองย้อนกลับมาอาจจะสังเกตเธอได้

ห้องพักพนักงานปิดไฟมืดตื๋อ เงียบเชียบราวป่าช้า เธอเลือกตรงไปยังประตูห้องหนึ่งซึ่งเป็นของป้าจูแม่ครัวประจำโรงน้ำชา เธอเคาะเรียกอยู่นานก็ไม่มีใครเปิด พยายามจะเปิดประตูด้วยตัวเองก็เปิดไม่ออก ก่อนจะพุ่งตรงไปยังประตูห้องถัดไปซึ่งเป็นของน้องพนักงานใหม่ซึ่งให้ผลลัพธ์เดียวกัน

มโนชาพยายามเปิดประตูทุกบานอย่างบ้าคลั่งแข่งกับสภาพของอากาศ

เธอร้องไห้ มือสั่นใจสั่น แต่ก็ยังหยุดไม่ได้ วิ่งหันซ้ายขวาสุดท้ายก็คว้าก้อนหินขึ้นมาตรงไปที่ห้องของสวีสุ่ยเหอแล้วทุ่มมันใส่ลูกบิดประตูห้องอย่างแรง อย่างน้อยคงต้องมีอุปกรณ์สื่อสารอะไรบ้าง เธอทุ่มหินลงไป ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเจ็บมือ สุดท้ายก็เป็นการพยายามโดยสูญเปล่า

ฟ้าแลบขึ้นหนึ่งครั้งสาดแสงสว่างไปทั่วส่งให้คนมองนึกใจหาย เสียงเปรี้ยงตามติดกันมา เพียงแต่นั่นไม่ใช่เสียงของฟ้า แต่มันคือเสียงปืนซึ่งมีที่มาจากหออำพัน!

มโนชาเข่าอ่อน เธอหลุดสะอื้นออกมาพร้อมกับสติสตังที่กระเจิดกระเจิง

เฉินเอินคนนั้น ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร เธอหลุดเสียงร้องออกมาอีก หวาดผวาหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้เพราะเมื่อกี้เขายังจับมือเธอ ยังทำแผลให้เธออยู่เลย

ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล แยกไม่ได้อันไหนฝนอันไหนไม่ใช่ เธอพยายามฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะวิ่งสะเปะสะปะตรงไปยังร้านซึ่งเป็นที่ตั้งของหออำพันบนชั้นสอง ลืมคำสั่งของเขาไปจนสิ้น ลืมไปหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

คนไร้สติทำรองเท้าหลุด สะดุดหกล้ม และลื่นเสียหลักเพราะพื้นหญ้าในสวนเต็มไปด้วยดินโคลน เธอใช้ทั้งสองมือและสองเท้าช่วยขณะล้มลุกคลุกคลาน สุดท้ายก็ผ่านประตูพระจันทร์ออกมาด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่สองขาจะสามารถพาเธอทะยานออกมาได้

แต่พอพ้นจากประตูพระจันทร์ได้ไม่นานเธอก็ชนเข้ากับกำแพงแข็งๆ ซึ่งคล้ายจะขยับมาจากทิศทางฝั่งตรงกันข้ามจนมึนงงไปหมด โชคดีที่มีมือหนึ่งยื่นมาจับเอาไว้ไม่ให้เธอล้มลงไป

“ก็บอกว่าไม่ให้ออกมายังไงซิน พูดจาไม่ฟัง…”

มโนชาแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตะลึงปนคาดไม่ถึง เสียงดุนั้นเป็นของคนที่เธอภาวนาอยู่เมื่อครู่ว่าอย่าให้เขาเป็นอะไร แม้เสียงนั้นจะตวาดออกมาทว่าเธอกลับดีใจที่สุด ไม่ทันได้ฟังว่าเขาพูดอะไรต่อ

เพียงวินาทีที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย เพียงแค่สัมผัสถึงไออุ่นซึ่งแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา ความตึงเครียดความกดดันทั้งหมดทั้งปวงสิบกว่าชั่วโมงก็คล้ายหยุดลงในทันที เกลียวเขม็งที่เป็นดังเชือกรัดเธอเอาไว้แน่นจนอึดอัดหายใจไม่ออกบัดนี้ได้คลายลงในที่สุด

มโนชาหมดสติไปตอนนั้นเองในอ้อมแขนของเขา ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงหล่นลงมาไม่ขาดสาย

 

หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเลื่อนลอยสับสน เธอกะพริบตาก่อนจะยกมือขึ้นมาบังแสงสีขาวจ้าซึ่งส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาส่งให้รอบห้องดูฝ้าฟางเห็นไม่ชัด ต่อเมื่อปรับสายตาคุ้นชินกลิ่นหนึ่งซึ่งคุ้นเคยก็เข้ามาเตะจมูกจนระลึกได้ มันคือกลิ่นหอมจางๆ ของเฉินเอินและนี่ก็คือห้องนอนของเขา

คนที่เพิ่งตื่นแม้สติสัมปชัญญะจะไม่เต็มร้อยแต่ความทรงจำกลับหลั่งไหลเข้ามาท่วมท้น ที่แท้แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเธอมาอยู่ที่ห้องนี้ได้ยังไง

มโนชาเปิดผ้าห่มผืนหนาที่คลุมตัวอยู่ พุ่งกระโจนออกไปข้างหน้ารวดเร็วตามนิสัยก่อนจะรีบคว้ากางเกงที่ใส่ไว้แทบไม่ทันเพราะมันเกือบจะหลุดลงไปกองอยู่ที่พื้น มือบางขยุ้มเอวกางเกงไว้ตามสัญชาตญาณ สายตาเหลือบลงมอง สมองคิดเร็วจี๋

เสื้อผ้าชุดนี้ต้องเป็นของเฉินเอินแน่ แล้วใครใส่มันให้เธอ ป้าจู?

ขณะขมวดคิ้วไม่เข้าใจ เธอก็พบว่ามีเสียงคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา ครู่เดียวก็มีเสียงเคาะเป็นสัญญาณบอกกล่าว แล้วเจ้าของห้อง เจ้าของเสื้อกางเกง และเจ้าของที่นี่ก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ที่หน้าประตู

มโนชามองหน้าเขา บังเกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้

ชายหนุ่มเองก็มองเธออยู่อย่างนั้นค้นหาคำพูดไม่เจอเลยสักคำ เมื่อคืนนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่หายหน้าไปจากโรงน้ำชา ด้วยฝีมือเขา ด้วยการผลักไสของเขา เขาควรต้องทำตัวอย่างไรพูดกับเธออย่างไร

“เธอหลับไปนานทีเดียวน่าจะหิวแล้ว ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

ด้านล่างยังคงปรากฏร่องรอยของความเสียหายจากเหตุการณ์เมื่อคืน พายุฝนผ่านไปแต่ฟ้ายังคงคลุมเครือไม่กระจ่าง เหมือนเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มโนชาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นบ้าง เรื่องราวเดินต่อไปยังไงและจบลงยังไง จบลงแล้วหรือไม่

เขาพาเธอมานั่งตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์ที่เดียวกับที่พ่อจางชอบนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวจนหลับไปบ่อยๆ เพราะโซนนี้เป็นที่แห่งเดียวที่ดูจะแยกจากการแตะต้องบุกรุกของผู้มาเยือนเมื่อคืนนี้

บนโต๊ะมีโจ๊กสองถ้วยซึ่งมีฝาปิดอยู่ เขาบอกให้เธอนั่งลงและให้กินไปก่อน

“คุณเฉินจะไปไหนคะ” เธอเอ่ยดึงมือเขาเอาไว้

เฉินเอินนิ่งไปยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วน ครู่เดียวเขาก็ทรุดตัวนั่งลงข้างเธอ ระบายลมหายใจยาวออกมาก่อนจะเปิดฝาถ้วยโจ๊กที่ค่อนข้างเย็นแล้วทั้งสองถ้วยแล้วตอบคำถาม

“ว่าจะไปเก็บกวาด ไม่มีใครอยู่เลย โจ๊กนี่ก็ฝีมือฉันเอง ทนกินเอาหน่อยแล้วกันนะซิน” ดูก็รู้ว่าเขาค่อนข้างอาย แต่พอระลึกได้ว่าเมื่อไม่มีใครอยู่คนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน มโนชาที่คิดจะแซวเขาเรื่องฝีมือทำอาหารก็หุบปากลงแล้วตักโจ๊กใส่ปากกลืนลงคอไป

“ไม่แย่นะคะ น่าจะดีกว่าซินทำ” มโนชาส่งยิ้มให้กำลังใจซึ่งก็ได้รอยยิ้มของเขาตอบกลับมา “เมื่อคืนนี้บนหออำพันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ ซินคิดว่าซินได้ยินเสียงปืน แล้วพี่สุ่ยเหอ…”

“สวีสุ่ยเหอไปแล้ว” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่เธอรู้ว่าข้างในใจเขาไม่ได้เรียบเฉยอย่างที่เห็น

เขาให้ทุกคนเต็มร้อย ให้แบบไม่หวังผล ใครจะอยู่ใครจะไปเขาไม่เคยห้าม ตรงกันข้ามเขากลับสนับสนุนเมื่อเห็นความจำเป็นอย่างเช่นกรณีพ่อบ้านจางหรือเซี่ยเหมยซี เขาจะรู้สึกยังไงเมื่อรู้ว่าคนใกล้ชิดคนที่ไว้ใจมานานหลายปีทรยศหักหลังเพื่อสิ่งที่เขาก็เคยให้กับฝั่งนั้นไปแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อน้ำชาความทรงจำ

 



Don`t copy text!