โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

มโนชาระบายลมหายใจขยับเข้าไปใกล้เขา เอนศีรษะพิงลงกับต้นแขนหนา เธอกลัวเขาจะเสียใจมาก กลัวจะรู้สึกอ้างว้างไม่เหลือใคร สัมผัสนี้อย่างน้อยก็อยากให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ข้างๆ แต่เฉินเอินวางช้อน ก่อนใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากแล้วดันหัวเธอออก

“กินก่อน” มโนชาปากขมุบขมิบเป็นเชิงบ่นแต่ก็ยอมตักอาหารใส่ปากแต่โดยดี ในความคิดยังคงวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนี้

“แล้วภาทิศกับคนขับรถหน้าเหี้ยมนั่นล่ะคะ เกิดอะไรขึ้น” เฉินเอินวางช้อนเป็นครั้งที่สอง

“กินก่อน เธอกินไปคำหนึ่งถามมาสิบคำเมื่อไหร่จะกินหมด กินให้หมดทีเดียวถามทีเดียวเล่าทีเดียว ดีไหม” และคำว่า ‘ดีไหม’ ของเขาก็ไม่ใช่คำถามเหมือนอย่างเคย มโนชาเลยก้มหน้าก้มตากินเพิ่งจะรู้สึกเจ็บๆ ตรงกระพุ้งแก้มก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้โดนฝ่ามือของเดรัจฉานเข้าไป คนเจ็บนิ่วหน้า

“เจ็บมากไหม” เขาถามเมื่อเห็นเธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มโนชาพยักหน้า

“ตรงนี้ก็เจ็บ” มือบางลูบคลำตรงคางที่แปะปลาสเตอร์เอาไว้ ภาพของเขาเมื่อคืนฉายย้อนเข้ามาตอนเขาทำแผลให้เธอ มโนชายิ้มกริ่ม “คนไทยทำยังไงถึงหายเจ็บรู้ไหมคะ”

เฉินเอินส่ายหน้าก่อนจะวางช้อนในมือเป็นครั้งที่สาม นั่งหลังตรง สายตาจับจ้องคนพูดอย่างรอฟัง

“ต้องเป่าเบาๆ แล้วโอ๋ บอกว่าหายเจ็บนะ ไม่เป็นไรแล้วนะ” เธอบอกด้วยท่าทีจริงจัง

เฉินเอินนิ่งงันอย่างกำลังใช้ความคิด คล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อ ครู่เดียวคนพูดก็หัวเราะออกมาเสียงใสก่อนจะก้มหน้าก้มตากินด้วยความเร็วที่ช้าลงไปกว่าครึ่ง

ดวงตายาวรีมีประกายบางอย่างฉายชัดขณะทอดมองคนตรงหน้าที่หันไปสนใจอาหารต่อ ท่ามกลางซากปรักหักพังของกระจก เศษซากความเสียหายหล่นลงไปในใจของเขาด้วย มันบาดลึกจนเกิดบาดแผลที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ในชั่วขณะของความมืดมิดเขาเสียคนหนึ่งไป แต่ว่าเมื่อคืนที่เขาเอ่ยว่าเธอเป็นคนของเขามโนชาไม่ได้ปฏิเสธ ทุกอย่างที่เธอทำมันบอกว่าเธอเป็นคนของเขาอย่างแท้จริง แม้จะเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ก็ทำให้เขามีใจลุกขึ้นสู้

บางครั้งเขาถามตัวเองว่าที่ทำอยู่นั่นเพื่ออะไร คำสัญญาที่ต้องรักษายิ่งชีพอย่างนั้นหรือ บุญคุณความแค้นล้วนเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ คุณธรรมอุดมคติก็เป็นเพียงคำกล่าวลอยซึ่งจางหายไปตามวันเวลา

เธอเป็นสิ่งที่จับต้องได้และชัดเจนที่สุดท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น หากเมื่อวานมโนชาไม่ปรากฏตัวขึ้นก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมจำนนให้กับเคราะห์กรรมที่ซัดสาดเข้ามาราวคลื่นโหมกระหน่ำ และสุดท้ายก็ปล่อยชะตาให้ไหลไปตามสายน้ำ

 

มโนชารอจนเขากินอิ่มก่อนจะยกชามไปล้างที่ครัวซึ่งกลายเป็นที่รกร้างเมื่อไม่มีป้าจูอยู่ สิบห้านาทีเธอก็วกกลับเข้ามาพบเฉินเอินกำลังเก็บกวาดเศษซากกระจกด้วยท่าทีเก้กัง เธอยิ้มออกมา

“ซินทำเองค่ะ” พูดพลางแย่งไม้กวาดออกจากมือเขาก่อนจะชี้ให้เขาไปนั่ง แต่เฉินเอินไม่ยอม

“หรือบางทีรออีกสักหน่อย ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้แหละ” เขาคงหมายถึงแม่บ้านซึ่งน่าจะถูกกันให้ออกไปจากที่นี่เหมือนกับคนอื่นๆ

“ไม่ดีมั้งคะ” มโนชาว่า กวาดสายตามองไปรอบๆ ทั้งเศษกระจกทั้งดินโคลนมันดูไม่จืดเอาเสียเลย ไม่น่าจะเป็นสถานที่ที่คนจะอยู่ได้ “ซินทำได้ค่ะ ซินเก็บกวาดคุณก็ไปชงชาแล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ซินฟัง ดีไหมคะ” เธอวางมือของตัวเองลงบนมือของเขาที่กุมด้ามไม้กวาดอยู่ รู้ดีว่าทำแบบนี้เขาจะต้องปล่อย

แล้วก็จริงเสียด้วย หลิ่วเซี่ยฮุ่ยผู้นี้ (1) กระแอมก่อนจะยอมปล่อยมือ มโนชารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่สาวงามแต่กำลังทำตัวเป็นตาแก่บ้าตัณหาคอยหาช่องทางลวนลามเขายังไงก็ไม่รู้

“เมื่อคืนนี้หลังจากออกจากที่นี่ไปเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ” ฝนที่หยุดตกไปเริ่มโปรยลงมาเบาบางอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงกระทบกันของเครื่องกระเบื้องดังกรุกกริก เรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดออกมา

เมื่อคืนนี้เฉินเอินได้รับข้อความจากสวีสุ่ยเหอ บอกเล่าพร้อมทั้งเอ่ยสารภาพเรื่องราวทั้งหมดอย่างคร่าวๆ คิดว่าเขาน่าจะส่งมาในตอนหลังจากเกิดเหตุการณ์ตามจับคนหนีที่ห้องน้ำในปั๊ม

มโนชาไม่รู้อะไรดลใจเขา แต่สวีสุ่ยเหอเปลี่ยนใจ

เฉินเอินมีเวลาเตรียมพร้อมหลายชั่วโมง เขาเคลียร์คนออกไปโดยมีสารวัตรพร้อมรบช่วยอำนวยความสะดวก เป็นความบังเอิญแกมโชคดีที่ในเวลานั้นนายตำรวจกำลังเดินทางกลับมาจากเชียงใหม่พร้อมกับหลักฐานแต่ยังไม่สามารถขอหมายจับจากชั้นศาลได้เพราะต้องทำตามขั้นตอน เรื่องทั้งหมดนี่เลยมาช่วยเติมเต็มแผนของสารวัตรพร้อมรบพอดิบพอดี ในตอนนี้เขาสามารถจับภาทิศในข้อหาบุกรุกและพกอาวุธปืนนอกเหนือไปจากคดีเรื่องการกระทำตัวเป็นนอมินี รวมทั้งยังมีคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตติดสินบนเจ้าหน้าที่อีกหลายคดี

ที่หออำพัน ตำรวจซุ่มรออยู่แล้วอย่างเงียบๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานกับการขัดขืนเพียงเล็กน้อยคือเสียงปืนที่เธอได้ยินขึ้นหนึ่งนัดแล้วทุกอย่างก็จบลง

สวีสุ่ยเหอกลายเป็นคนไร้ตัวตนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“สวีสุ่ยเหอฝากข้อความมาถึงเธอด้วยว่าขอโทษที่ทำให้ต้องเดือดร้อน ขอบใจที่เตือนสติและไม่ได้มองเห็นเขาเป็นคนอื่นในขณะที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถมองตนเองแบบนั้นได้” มโนชารู้สึกเศร้าจับใจ ทั้งใจหายและห่อเหี่ยว นึกถึงสวีสุ่ยเหอที่พยายามเดินเอาตัวเองบังเธอไว้จากปืนของภาทิศ

ทุกคนต่างมีเรื่องราว เหมือนคำพูดของคนตรงหน้าว่าคนที่ผ่านการรับน้ำชามาต่างประสบพบเจอแต่ปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ แล้วเขาล่ะ…

“คุณเฉินจะทำยังไงต่อไปคะ” มโนชามองหน้าเขารู้สึกใจหาย

“ขอเวลาให้ฉันคิดอีกสักหน่อย” น้ำเสียงเขามีแววระทดท้อ เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ และเริ่มรู้สึกว่าบ่าอันกว้างใหญ่นี้เริ่มจะรับน้ำหนักที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอีกแล้ว

มโนชาคิดทบทวนใคร่ครวญทุกสิ่งทุกอย่าง คิดว่าคงไม่เกินวันนี้เฉินเอินจะพูดให้เธอออกจากโรงน้ำชาไปอีกแล้วเธอจะทำยังไง เธอไม่ได้อยู่ในสถานะลูกจ้างของเขาแล้วในตอนนี้ ไม่มีเหตุผลใดต้องอยู่ต่อ แล้วเธอจะเอาอะไรขึ้นมาอ้าง

ฝนยังคงตกลงมาอีก ภาคเหนือของประเทศยังไม่พ้นระยะมรสุม จะใช้ข้ออ้างนี้ได้ไหม เดินทางไกลอันตราย สวีสุ่ยเหอไม่อยู่แล้ว เธอจะกลับยังไง แต่มโนชาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา หากเขาจะส่งเธอออกไปยกโทรศัพท์ครั้งเดียวเงินก็จะสามารถแก้ไขทุกอย่างได้

มือบางวางถ้วยน้ำชาลงแล้วลุกขึ้นยืน เพราะความรวดเร็วของท่าทางทำเอาเธอเซไปเล็กน้อย เกิดความรู้สึกเวียนหัว ตัวก็เกิดจะร้อนๆ รุมๆ ขึ้นมา แต่ขณะกำลังรู้สึกไม่สบายตัว ใจกลับเบาลงอย่างน่าประหลาดเพราะคิดได้ว่ามีข้ออ้างแล้ว

“เป็นอะไรหรือ” เขาคว้าแขนเธอเอาไว้ได้ทัน สัมผัสครั้งเดียวเท่านั้นก็รู้ว่ามโนชากำลังเป็นไข้ “ไม่สบายแล้วทำไมไม่บอก ยังมากวาดพื้นถูพื้นทำไมอีก” มโนชาเหลือบตาขึ้นมองค้อนเขา หน้าคว่ำปากคว่ำ ก่อนจะดึงแขนออก

“ก็ซินไม่รู้ ซินเพิ่งจะเป็น ตอนตื่นขึ้นมาก็ยังดีๆ อยู่เลย เห็นคุณทำไม่ถนัดซินก็อุตส่าห์ช่วย มาว่าซินทำไม” เพราะความอัดอั้นกลัวเขาจะไล่เธอไป รวมถึงอาการไม่สบายกายซึ่งส่งผลมาที่ใจด้วยทำให้คนที่เอ่ยตัดพ้อด้วยความน้อยใจเริ่มจะเบะปากพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา

“ไม่ได้ว่า ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เขาเอ่ยเสียงเบา “แค่ไม่อยากให้เธอไม่สบาย ปวดหัวไหม ไปนอนพักก่อน” มโนชาพยักหน้าเดินตรงไปที่โซฟาแต่เขารั้งแขนเธอเอาไว้

“ไปนอนข้างบนเถอะ ประตูไม่มีกระจก เดี๋ยวฝนตกหนักเธอจะโดนความชื้นเอาได้”

มโนชาทำตามอย่างว่าง่าย ปล่อยเขาประคองแขนเธอขึ้นมายังชั้นสอง พานอนลงบนเตียงและห่มผ้าให้ เขาถึงนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้เธอกินยาจึงได้เดินกลับลงไปข้างล่างหยิบยาลดไข้พร้อมกับน้ำมาส่งให้

หญิงสาวทอดสายตามองเขาทำนู่นทำนี่ ล้วนแล้วแต่ทำให้เธอยิ่งรักใคร่ ผู้ชายอย่างเขาควรที่ใครๆ จะรักได้ แต่ทำไมเขาถึงรักใครตอบไม่ได้ ทำไมเขาถึงมีความรักให้เธอไม่ได้

เฉินเอินรับแก้วน้ำกลับมาหลังมโนชากลืนยาลงไป น้ำตาเธอไหลออกมาทว่าอีกฝ่ายไม่ได้สังเกตเห็น เขาจัดผ้าห่มก่อนเตรียมตัวจะผละออกไปแต่ถูกมือบางรั้งเอาไว้

“ขอซินอยู่ต่อได้ไหมคะ” เธอร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร “ต่อไปคุณจะอยู่กับใคร ทุกคนไปกันหมดแล้ว คุณก็อย่าไล่ซินไปเลย อย่างน้อยขอเวลาซินอีกหน่อย…”

ดวงตาของเขามีแวววูบไหว เขาเจ็บปวดที่เห็นเธอเจ็บปวดใจ

ก้าวของเขาที่ขยับเพื่อให้เธอมีพื้นที่ในหัวใจเป็นอิสระในครั้งที่แล้ว เขาขยับมันช้าเกินไป ทั้งยังเกิดเหตุวุ่นวายทำให้ทุกอย่างมันยากขึ้นไปอีก และยิ่งยากเมื่อเขากำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนแออ่อนไหวเหมือนอย่างในตอนนี้

เฉินเอินทรุดตัวนั่งลงกับเตียง ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ

“ซิน…” เขากำลังคิดหาถ้อยคำแต่นึกหาไม่ได้แม้แต่คำเดียว เขาไม่ได้เข้มแข็งนัก ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็ปรารถนาให้เธออยู่

“ซินขอเวลาคุณแค่สิบปี ซินไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้เจอคุณอีกหรือเปล่า หากซินตายไปขณะที่คุณไม่มีวันตายเราอาจไม่ได้พบกันอีกก็ได้ ซินแค่อยากอยู่กับคุณตรงนี้ตอนนี้ เฉินเอิน…” มโนชาน้ำตาไหลร้องไห้ออกมาสะอึกสะอื้น

ตัวเธอร้อนเป็นไฟราวกับหม้อน้ำซึ่งกำลังเดือดพล่าน ไม่อาจเก็บกักสิ่งใดเอาไว้ได้ ความคิดทั้งหมด คำพูดทุกอย่างต่างชิงกันผุดพรายล้นออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความอับจนหนทาง

เธอกำลังร้องขอความรักจากเขา เฉินเอินเจ็บปวดใจ เขาดียังไงถึงทำให้เธอคนที่เข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีคนนั้นร้องไห้เพื่อเขาได้ขนาดนี้ แต่เธอกำลังร้องขอในสิ่งที่เห็นปลายทางได้ชัดอยู่แล้ว อุโมงค์มืดมิดยาวนานนั้นที่ปลายทางมันไม่มีแสงสว่างรออยู่อย่างที่ใครพูดกัน

“มันไม่มีทางจะเกิดขึ้นหรอกซิน พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ถ้าอาการดีขึ้นฉันจะขับรถไปส่งเธอด้วยตัวเอง” มโนชาใจหาย อกข้างซ้ายเจ็บแปลบ ในใจคล้ายจะยอมรับแต่ก็ไม่อาจยอมรับได้

“ถ้าอย่างนั้นซินขอสิบวัน สิบวันเท่านั้น…”

 

เชิงอรรถ : 

(1) หลิ่วเซี่ยฮุ่ยเกิดยุคชุนชิว ขึ้นชื่อในเรื่องเป็นบุรุษผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง เรื่องเล่าว่าเพราะฝนตกหลิ่วเซี่ยฮุ่ยจึงต้องหลบฝนในบ้านหลังหนึ่งจึงได้พบกับสาวงามที่มาหลบฝนเช่นเดียวกัน สาวงามผู้นี้เอ่ยปากว่าหนาวและขอนั่งตักเขา จนเช้าตื่นมาก็ชื่นชมชายหนุ่มเป็นอย่างมากเพราะเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินนางเลย หลิ่วเซี่ยฮุ่ยจึงกลายมาเป็นตัวแทนของชายผู้มีคุณธรรมแน่วแน่มั่นคง



Don`t copy text!