โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

สิบปีกับสิบวัน มโนชาเป็นคนที่เข้าใจหลักการต่อรองอย่างแท้จริง เธอเห็นแววลังเลในสายตาของเขา เห็นความปรารถนาแวบเล็กๆ ที่ผ่านเข้ามา แม้จะพยายามซ่อนเร้นเก็บกดมันเอาไว้เพียงใดก็ตาม

ในที่สุดเฉินเอินก็ยอมแพ้

มโนชายอมหลับตานอนพักผ่อนในที่สุด แต่ก็ไม่ได้หลับดีนักเพราะพลิกตัวกระสับกระส่ายจากพิษไข้ เมื่อวานนี้เขาเห็นเธอตากฝนเปียกปอนดูแล้วน่าสงสาร ทั้งยังต้องมาเจ็บตัวเพราะเขาเป็นต้นเหตุ คางของเธอแตก ในช่องปากก็มีแผล ตอนนี้ก็ยังมาเป็นไข้ไม่สบาย เขาก็ยังจะใจร้ายให้เธอไปอีก

ชายหนุ่มเปิดตู้หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำบิดหมาดเพื่อเช็ดตัวให้เธอในใจหวนคิดถึงวันนั้น ครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดกันถึงขนาดนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินหัวใจเธอเต้นแรง

มโนชาตื่นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงเวลาบ่ายเกือบจะเย็นแล้ว ฝนยังคงตกลงมาโปรยปรายสมกับที่พยากรณ์อากาศว่าพายุจะเข้า เธอยังรู้สึกปวดเมื่อยตัวและเพลียอยู่เล็กน้อยจึงทำให้เนือยๆ ไม่อยากจะขยับตัว ดวงตากลมโตกะพริบช้าๆ ทบทวนเรื่องก่อนที่เธอจะจมลงไปในห้วงนิทรา พลันสายตากลับไปพบเข้ากับคนที่นั่งพับขาอยู่บนพื้นโดยที่ลำตัวช่วงบนพาดอยู่บนเตียงในท่านอนหลับ

มือบางยื่นออกมาสัมผัสแผ่วเบาบนเส้นผมตัดสั้น ผมของเขาเส้นเล็กเงางามและให้สัมผัสนุ่มมือ เธอไม่เคยสัมผัสกับเส้นผมของผู้ชายมาก่อน ความรักของเธอสมัยเรียนเป็นรักแบบเด็กๆ

เธอไม่เคยมีความกระตือรือร้นเรื่องนี้ ดูคล้ายว่าความรักสำหรับเธอเป็นเรื่องที่ไกลตัวเสียเหลือเกิน ตอนเรียนคือเรียนคือเล่นกับเพื่อน หรือหากชอบใครมันก็เป็นเพียงความรู้สึกหวั่นไหวแบบเด็กๆ ส่วนตอนไปเมืองจีนก็ตื่นเต้นไปกับความแปลกใหม่ทั้งยังต้องกวดขันตัวเองเพื่อจะยังสามารถได้รับทุนเต็มจำนวน เธอเลยไม่มีเวลาจะใส่ใจ ตอนทำงานก็ไม่พบใครที่ต้องใจและยิ่งไม่ใส่ใจเพราะงานมากมายล้นมือ

เฉินเอินเข้ามาอย่างไม่คาดคิด เธอไม่คิดอะไร ยิ่งไม่เคยพิจารณาคนจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น รู้ตัวอีกทีเธอก็ปักใจลงไปแล้ว เธอเป็นคนดื้อเสมอมา เป็นคนใช้ชีวิตอิสระ ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาบอกว่าไม่ได้ เธอเลยไม่ฟัง ไม่ใช่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เธอเห็นมาแล้วจากกรณีของเซี่ยเหมยซี แต่เธอก็ยังดื้ออยู่นั่นเอง

เธอบอกเขาว่าขอเวลาสิบวัน

สิบวันนี้สำหรับคนดื้ออย่างเธอ มโนชาจะทำให้เขาเปลี่ยนใจและให้เธออยู่ต่อ

 

นิ้วมือของเธอยังไม่หยุดวุ่นวายกับผมของเขา เฉินเอินยิ้มทั้งที่หลับตาขณะรับสัมผัสเบาบาง สิบวันที่เธอขอเอาไว้เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาหากเทียบกับเวลาอันยาวนานในชีวิตเขา แต่ชั่วเวลานี้เขาก็จะทำมันให้ดี เพื่อสุดท้ายจากกันไปจะได้ไม่เสียใจ

คนที่ไม่ได้หลับจริงลืมตาขึ้นมาคว้ามือซุกซนเอาไว้ก่อนจะนำมาแนบกับใบหน้าตน

“ไม่ร้อนเท่าไหร่แล้วนี่” มือของเธอยังอยู่ที่ใบหน้าของเขา เฉินเอินเหลือบตาขึ้นมอง ดวงตามีรอยยิ้ม “ดีขึ้นบ้างไหม”

มโนชาพยักหน้า ขยับกระเถิบตัวลงมาเพื่อให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าของเขา สีหน้าของเฉินเอินในตอนนี้เป็นอะไรที่เธอไม่เคยเห็น มันดูนุ่มนวลอ่อนโยนละมุนละไมอย่างที่สุด สัมผัสใบหน้าเขาที่มือของเธอก็ให้ความรู้สึกพิเศษที่สุด

“หิวไหม” เขาเอ่ยถามพลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง มือของเธอที่ใบหน้าเขาเลยหลุดออกมาด้วย มโนชายู่ปากส่ายหน้า คว้ามือของเขาขึ้นมาเกาะกุมไว้ เฉินเอินหัวเราะออกมาเบาๆ

“แปลกจริงๆ ไม่หิวก็แปลกแล้ว ไม่พูดยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่” ครั้งนี้มโนชาหัวเราะบ้าง

“หิวก็ได้ค่ะ มีอะไรกินบ้างคะพ่อครัวใหญ่” เขาปรายตามองเธอ ขออนุญาตดึงมือออกมาหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดรายการอาหารพร้อมวิธีทำที่ค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ตค้างเอาไว้

“ข้าวต้มก็แล้วกัน”

เย็นนั้นสองคนช่วยกันทำข้าวต้มอยู่ในครัว ยังดีว่าป้าจูสะสมวัตถุดิบเอาไว้ไม่น้อยเพราะว่าการจะออกไปซื้อหามาค่อนข้างลำบาก ก็เลยมีครบทั้งของสดของแห้ง ด้านหลังครัวยังมีแปลงปลูกผักเล็กๆ ที่พอเด็ดกินได้ ฝนตกลงมาอย่างนี้ก็แย่งกันแทงยอดจนเขียวชอุ่มไปหมด

 

จนเย็นพระอาทิตย์ที่ไม่ได้โผล่มาให้เห็นทั้งวันก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างคนขี้อาย ส่องแสงสีทองเรื่อเรืองจับขอบฟ้าเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวก็ลาลับไป

สองคนยกข้าวมากินกันที่บ้านพักของเขาซึ่งประตูที่เหลือแต่โครงไม้ตอนนี้ถูกซ่อมแซมโดยใช้ลังกระดาษแข็งแปะเอาไว้ชั่วคราวก่อน ยังไม่ทันได้กินเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น มโนชาจะลุกขึ้นเพื่อปล่อยให้เขาพูดคุยได้สะดวกแต่เขารั้งมือเธอเอาไว้

ในสายนั้นแว่วเสียงของสารวัตรพร้อมรบที่โทร.มารายงานเรื่องความคืบหน้าของคดีทั้งยังแจ้งข่าวว่าตอนนี้เขายังคงเข้าไปสอบปากคำเพิ่มที่โรงน้ำชาไม่ได้เพราะเส้นทางโดยรอบถูกน้ำป่าตัดขาดทำให้เดินทางไม่ได้ ซึ่งหัวข้อหลังนี้มโนชาก็แอบยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยิน

จนเขาวางสายสองคนถึงได้เริ่มลงมือรับประทานอาหารสุดหรูซึ่งก็คือข้าวต้มหมูคนละถ้วยพลางมองหน้ากันยิ้มๆ อย่างปลดปลงเพราะไม่มีใครทำอาหารเป็น

เฉินเอินที่ผ่านมารายล้อมไปด้วยผู้คน ก่อนป้าจูเขาก็เคยมีแม่ครัวมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจคาดหวังให้เขาทำอาหารได้

มโนชาเองก็อยู่บ้านที่มีอาม่าและพี่ๆ คอยทำอาหารให้ ไปเรียนเมืองจีนอาหารในโรงอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายในราคาจับต้องได้ พอทำงานก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารรายทางอันแสนโด่งดังขึ้นชื่อไปทั่วโลกซึ่งแต่ละปีดึงดูดผู้คนให้มาเยือนได้อย่างมหาศาล ดังนั้นแล้วเธอเองก็คาดหวังไม่ได้เช่นกัน

จนจบมื้ออาหารมโนชาก็ยังคงนั่งเปิดโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย ปากก็คุยกับเขาไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายชักจะพาลเพราะเริ่มจะรู้สึกตัวรุมๆ ขึ้นมาอีกรอบ เขาก็ไปหายามาให้กินพร้อมกับบอกให้ขึ้นนอนแต่เธอไม่ยอมไป

“นั่งคุยกันก่อนสิคะ” เธอมีเวลาไม่เยอะนัก มโนชารู้อยู่แก่ใจ

ภาพในแอลซีดีทีวีฉายซีรีส์จีนย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์หญิงสาวเลยได้ทีถามผู้รู้ว่าอะไรเป็นยังไง เฉินเอินยิ่งเป็นผู้ทรงภูมิ มโนชาเองก็รู้ข้อนี้ดี เธอเลยไม่ได้ดูหนังแต่เปลี่ยนมาฟังเขาบรรยายแทน

แต่บางครั้งแม้คนพูดจะเอ่ยพูดตามสิ่งที่เขาประสบพบเห็นมาแต่มโนชาอดจะคิดไม่ได้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ผ่านทั้งภัยธรรมชาติซึ่งมนุษย์ยังไม่อาจต่อกรได้ในสมัยนั้น ผ่านยุคของการล่มสลายเปลี่ยนถ่ายราชวงศ์ ต้องปรับตัวกับชนชาติใหม่ๆ ที่เข้ามายึดครอง ผมของเขาที่เธอจับเล่นเมื่อตอนบ่ายครั้งหนึ่งมันคงเคยยาวกว่านี้

“ในยุคราชวงศ์ชิงเข้ายึดครอง ชาวฮั่นถูกบังคับให้โกนผมครึ่งศีรษะ เธอเคยได้ยินคำนี้ไหมซิน ‘ไว้ผมไม่ไว้หัว’ นั่นคือคำที่ผู้คนทั้งชิงชังและหวาดกลัวในยุคนั้น มีผู้คนล้มตายมากมาย แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้น หลังจากการปฏิวัติซินไฮ่ (1) ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วแม้แต่เปียก็ยังเหลือไว้ไม่ได้…”

มโนชาขยับตัวเข้าใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว เฉินเอินเองก็เริ่มจะรู้สึกตัวแล้วว่าน้ำเสียงของเขาเริ่มจะมืดมนหม่นหมองเข้าไปทุกขณะ เขาไม่ได้เล่าต่อแต่ลุกขึ้นยืนเก็บถ้วยชามและแก้วน้ำไปไว้ในครัว

ขณะสายน้ำไหลผ่านภาชนะชายหนุ่มก็ถอนใจยาวออกมา ความทรงจำเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่พอย้อนไปคิดถึงก็คล้ายจะหยุดไม่ได้ แม้ไม่อยากคิดแต่ภาพเหล่านั้นมันยังคงวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ

มโนชาเดินตามเขาเข้ามา อาสาจะช่วยล้าง แต่เธอกำลังไม่สบายเลยถูกเขาไล่กลับไป

กลับมาอีกครั้งก็พบเธอกำลังนั่งบนเก้าอี้สตูลปรับระดับได้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกมีแต่ความสลัวรางมองไม่ชัดเจน ถึงอย่างนั้น ภาพของเธอกลับเด่นชัดสว่างจ้าราวกับแสงไฟที่ขับไล่ความหนาวเย็นมืดมิดจากความทรงจำเมื่อครู่ของเขาไปได้ แม้จะรู้ว่าคนในภาพนี้จะปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าได้อีกไม่นานนักก็ตาม

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเธอ สะบัดหน้าไล่อารมณ์ต่างๆ ทิ้งไป แต่เมื่อเดินไปใกล้มโนชากลับไม่มีทีท่าจะรู้ตัวแต่อย่างใด เธอเองก็คงกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดบางอย่างเหมือนกัน

“ซิน…คิดอะไร ฉันเดินมาตั้งนานแล้วยังไม่รู้ตัว” เขาพูดขณะเช็ดมือชื้นๆ เข้ากับกางเกง

“ซินกำลังคิดว่าคุณต้องผ่านอะไรมาบ้าง…” น้ำเสียงนั้นดูเลื่อนลอยไร้แววสดใส ดวงตาของเธอไหวระริกสะท้อนแสงไฟและเต็มไปด้วยความรู้สึก

พอเฉินเอินขยับเดินเข้าไปหา มโนชาก็อ้าแขนออกและรับเขาเข้าไปกอดเอาไว้

ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลท่วมท้น เป็นวินาทีที่อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ยิ่งไม่อาจปฏิเสธหรือถอยห่างแม้แต่ก้าวเดียว เขาไม่อยากทำอย่างนั้น

มือหนายกขึ้นในอากาศรับตัวเธอเข้ามาเช่นกัน รับคำพูดปลอบใจโดยไร้ถ้อยคำ รับสัมผัสอ่อนโยนปลอบประโลมพร้อมกับเส้นผมของเธอที่คลอเคลียอยู่ตรงแก้ม เขาแนบจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมนั้น ความหม่นหมองก่อนหน้าคล้ายจางไป ในใจกลับรู้สึกเป็นสุข

 

เฉินเอินเดินขึ้นมาส่งเธอด้านบนพร้อมหอบเสื้อผ้าลงไปอาบน้ำข้างล่าง เตรียมตัวลงนอนที่โซฟาเหมือนเมื่อคืน มโนชาก็เดินลงมาไม่พูดไม่จาก่อนจะหอบของของเขาขึ้นไปด้านบน เขาหัวเราะออกมาทั้งขันทั้งระอาแต่ก็ยอมก้าวตามขึ้นไปแต่โดยดี

เธอรื้อที่นอนในตู้ออกมาปูไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ทำก็คือวางหมอนและผ้าห่มลงไปก่อนจะใช้มือตบที่นอนนั้นเป็นเชิงเรียก เฉินเอินยืนยิ้มส่ายหน้าอยู่ตรงประตู

“ซินไม่แย่งนอนที่พื้นนะคะ นอนบนนี้ตอนกลางคืนตื่นมาจะได้มองเห็นคุณได้” เขาไม่ได้ว่ายังไง ไม่ได้คิดจะให้เธอนอนที่พื้นอยู่แล้ว ได้แต่คิดอยู่ในใจว่านอนอยู่ตรงนี้ก็สามารถมองเห็นเธอได้เหมือนกัน

เขามองดูเธออยู่นาน จนเธอหลับไปแล้วก็ยังมองอยู่ นอนฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอเพื่อจะจดจำเอาไว้ว่ายามที่มีเธออยู่ใกล้นั้นรู้สึกอย่างไร สังเกตดูเธอพลิกตัวกลัวเธอจะกลับมาเป็นไข้ สุดท้ายก็หลับไปพร้อมกับความทรงจำใหม่อันแสนงดงามซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีมาก่อน

 

สองคนใช้เวลาหลายวันนี้ในการทำกิจวัตรอย่างเรียบง่าย หิวก็ช่วยกันทำอะไรกิน อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง ง่วงก็นอน เล่นหมากล้อม ชงชา อ่านหนังสือ

กระทั่งถึงวันที่แปดที่ตกลงกันไว้มโนชาก็เกิดร้อนรนขึ้นมา อีกเพียงแค่สองวันเท่านั้นที่เขาอนุญาตให้เธออยู่ได้ เวลาที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เธอได้ใกล้ชิดกับใครสักคนที่สุดทั้งในเรื่องที่มีคนนอนอยู่ข้างกัน ได้พูดคุยกันในยามค่ำคืน หรือกระทั่งเรื่องความรู้สึกที่เธอรู้สึกว่าเขาเปิดใจและเป็นธรรมชาติมากขึ้น และนั่นก็บ่งบอกออกมาทางภาษากายเช่นกัน

หลายครั้งที่เดินออกไปยามฝนตกใต้ร่มคันเดียวกันเขาก็จะโอบเธอเอาไว้ ยามเผลอไผลมือไม้เฉียดเข้าไปใกล้เขาก็คว้าขึ้นมากุมไว้โดยไม่รู้ตัว หรือบางครั้งที่เธอขอให้เขาป้อนขนม ขอให้หวีผม เขาก็หัวเราะออกมาอย่างระอาแต่ก็ยอมทำให้ จนครั้งหลังๆ ไม่ต้องบอกเขาก็เดินมาแย่งหวีไปเองและเริ่มหวีผมให้โดยที่เธอไม่ต้องร้องขอ

ทั้งที่เธอควรจะวางใจ ทั้งที่คิดว่าตัวเองน่าจะเปลี่ยนใจเขาได้แล้ว แต่มโนชาก็ยังกลัวจนจับขั้วหัวใจ

เวลาแปดวันที่ผ่านมาความรู้สึกเธอไปไกลมากกว่าที่แล้วมามากนัก เธอคิดว่าตัวเองรักเขามากตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าขาดเขาไม่ได้ ยิ่งเมื่อคิดว่าเขาอาจจะปฏิเสธ เธอก็ยิ่งอึดอัดราวกับจะหายใจไม่ออก

กระทั่งถึงวันที่เก้า เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากสารวัตรพร้อมรบอีกครั้งในตอนเช้าตรู่ ในสายว่าพรุ่งนี้จะเดินทางเข้ามาที่โรงน้ำชาเพื่อพูดคุยเรื่องคดี และยังมีธุระสำคัญอีกหนึ่งอย่างซึ่งเป็นข่าวดี…

ข่าวดีที่ว่านั้นไม่ได้ทำให้สีหน้าของเฉินเอินดูแช่มชื่น ตรงกันข้ามเขากลับดูหม่นหมองลงและดูราวกับจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองมาตลอดทั้งเช้า

มโนชาเองก็แทบจะไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเพราะกำลังคิดกังวลกระวนกระวาย เธอพยายามซักซ้อมคำพูดอยู่ในหัวว่าควรจะพูดยังไง เธอจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองอย่างไร จะขอร้องเขาอย่างไรว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เธอต้องการนั้นไม่ใช่เวลาสิบวันอย่างที่ยื่นข้อเสนอออกไปแต่แรก

เธอจะอยู่กับเขาจนกว่าเขาจะบอกให้เธอไป นานเท่าไรเธอก็จะอยู่ อาจจะจนกว่าเธอจะอายุเท่าเซี่ยเหมยซี หรืออาจนานกว่านั้นและจะไม่ไปจนกว่าเขาจะออกปากไล่ เธอจะรับปากเขาว่าสักวันเธอจะไป แต่ไม่ใช่ในตอนนี้…

“ซินมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ” มโนชาพบเขาที่หอกลางน้ำ นึกถึงครั้งแรกที่เธอได้พบเขาก็คือที่นี่

“พอดีเลย” เขาถอนใจยาวออกมายืนอยู่อย่างสงบนิ่ง ภาพของเขาเมื่อแรกเจอเข้ามาเตือนความจำ ท่าทางสง่าผ่าเผยเคลือบฉาบไว้ด้วยความอ้างว้าง “ฉันเองก็มีเรื่องที่จะบอกกับเธอเหมือนกัน”

มโนชาใจสั่น มือของเธอสั่น และเสียงก็ดูเหมือนจะสั่นด้วย เธอไม่อาจเอ่ยปาก นานทีเดียวเช่นกันกว่าเขาจะเป็นคนเริ่มพูดก่อน

“พรุ่งนี้…” เฉินเอินเอ่ยด้วยอาการหนักใจ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดซึ่งดูแล้วไม่น่าใช่เรื่องที่เธอจะเบาใจได้เลย เขาถอนใจอีกครั้ง “พรุ่งนี้สารวัตรพร้อมรบจะเข้ามาคุยธุระสำคัญ ฉันคิดว่าถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้วซิน พรุ่งนี้คนขับรถจะมารับเธอในช่วงสาย หวังว่าเธอจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี…”

มโนชานิ่งงันพูดไม่ออก คำพูดที่ซักซ้อมมา คำขอร้องล้วนไม่ได้ใช้

หัวใจของเธอที่มันไม่ใช่ของเธอกำลังร่ำร้องให้ทำอะไรสักอย่าง เรียกร้องบอกให้สมองสั่งการคิดหาทางเหมือนคราวที่แล้ว ขอร้องเขาสิ หรือไม่ก็ต่อรอง

สุดท้ายแล้วเธอก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาเองก็เหมือนกัน ต่างคนต่างอับจนคำพูด

ในที่สุดมโนชาก็เอ่ยสิ่งหนึ่งออกมา เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

มันทำให้หัวใจของชายหนุ่มเจ็บหนึบ แต่ก็เกิดความคิดเยาะหยันความรู้สึกนั้นของตัวเองไปพร้อมกัน มันเป็นสิ่งที่เขาเคยทำเป็นร้อยครั้ง ทุกครั้งไม่เคยง่าย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะยากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน

“ซินอยากเข้ารับชาความทรงจำค่ะ เรื่องราวที่ผ่านมา ซินไม่อยากจำมันได้อีกแล้ว”

 

แล้วบ่ายวันนั้นก็ผ่านไปอย่างนั้นเอง เฉินเอินไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ได้แต่ยืนมองเธอด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายแล้วดูเธอเดินหันหลังออกไปจากหอกลางน้ำ

เขาไม่ได้บอกเธอเรื่องเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์รับชาว่าต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวแต่เก่าก่อน แน่นอนว่าสิทธิ์นี้มันไม่สามารถพิสูจน์ได้ในเมื่อเวลามันผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำราพยากรณ์

แต่ไม่ว่าเธอจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง จะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่ได้ปฏิเสธความจริงเรื่องที่ว่าเธอเป็นคนเอ่ยปากอยากลบเขาไปจากใจด้วยตัวเธอเอง

เฉินเอินครุ่นคิดวุ่นวาย เขายืนอยู่อย่างนั้นที่หอกลางน้ำไม่รู้ว่านานเท่าไร รู้ตัวอีกทีถึงได้เดินตามหาเธอ สุดท้ายก็ตามไปพบมโนชาอยู่ที่ห้องครัว

มโนชากำลังเตรียมอาหารง่ายๆ หลายวันนี้เธอทำเก่งขึ้นมากโดยที่ไม่ต้องเปิดข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหรือดูคลิปวิดีโอสอนทำอาหารใดๆ อีก เมื่อนึกได้ว่านี่อาจเป็นอาหารมื้อสุดท้ายฝีมือเธอก็ดังคล้ายก้อนแข็งๆ จะขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ

“ช่วยยกไปหน่อยสิคะ ใกล้จะเสร็จแล้ว” มโนชาหันหน้ากลับมา ใบหน้านั้นที่เขานอนจ้องมองทุกค่ำคืนตอนนี้ประดับยิ้มซึ่งดูฝืนทนกล้ำกลืน เขารีบเดินเข้าไปคว้าจานอาหารที่เธอยื่นมาให้

“ซิน…” เขาเรียกชื่อคุ้นเคยแต่ไม่อาจหาคำใดมาเอ่ยได้

“คุณเข้าไปก่อนนะคะ ซินขอทำตรงนี้อีกเดี๋ยวเดียวแล้วจะตามเข้าไป” ชั่วขณะหนึ่งเขาหวังว่าเธอจะขอร้องเขาอีกสักครั้ง ขอต่อเวลาไปอีกสิบวัน แต่พอย้อนกลับมาถามตัวเองว่าหากเป็นอย่างนั้นเขาจะทำตามที่เธอขอร้องหรือเปล่า เขามีคำตอบอยู่แล้ว

ชายหนุ่มนั่งรออย่างเงียบงัน มองจานข้าวสองจาน แก้วน้ำสองใบ ช้อนส้อมล้วนเป็นคู่ เหลียวมองไปรอบกายรู้สึกหดหู่อ้างว้าง เสียงร้องไห้เบาๆ ดังมาจากครัวพร้อมกับเสียงน้ำไหลแต่เขาแยกแยะได้

เฉินเอินผุดตัวลุกขึ้นตั้งใจจะเดินไปที่ครัวแต่แล้วก็เปลี่ยนใจกลับนั่งลงเหมือนเดิม ไม่นานเธอก็เดินเข้ามาหลังจัดการหน้าตาตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ยังเห็นอยู่นั่นเองว่าดวงตาของเธอบวมแดง

“กินเยอะๆ นะคะ ต่อไปก็ไม่ต้องทนกินฝีมือซินแล้ว” เธอยิ้มก่อนจะตักเนื้อหมูในจานตัวเองมาให้ เฉินเอินรู้สึกเหมือนมีคนเอาเข็มนับร้อยมาทิ่มใจเขา สุดท้ายก็ได้แต่กลืนมันลงไป

 

เชิงอรรถ : 

(1) การปฏิวัติซินไฮ่ หรือการปฏิวัติ ค.ศ.1911 เป็นการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองจีน เปลี่ยนการปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐโดยมี ดร.ซุนยัดเซ็นเป็นผู้ก่อการและเป็นผู้นำในการปฏิวัติ



Don`t copy text!