ซ่อนรัก บทที่ 9 : พวงกุญแจดาว

ซ่อนรัก บทที่ 9 : พวงกุญแจดาว

โดย : โสภี พรรณราย

ซ่อนรัก โดย โสภี พรรณราย เมื่อความรักพังทลาย ปารีสจึงออกเดินทางด้วยหวังว่าโลกกว้างจะช่วยเยียวยาหัวใจ แต่สิ่งที่เธอคิดและตัดสินใจอาจไม่เป็นอย่างที่คาด เมื่อหนุ่มหล่อเข้มคนนี้เข้ามาในชีวิต และความหลังของหล่อนกับเขาเป็นความรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

วิศว์นั่งรออยู่ที่ห้องอาหารเช้าในโรงแรม

หวังว่าหญิงสาวจะมาทานอาหารด้วยกัน เหมือนเมื่อวาน

จนอิ่มหล่อนก็ยังไม่มา…

ชายหนุ่มโทรศัพท์ถึงปารีส…เธอก็ไม่รับ

เขาย้ายตัวเองไปนั่งรอที่บริเวณล็อบบีโรงแรม และมองโทรศัพท์เป็นระยะ สลับกับมองพวงกุญแจในมือ

เป็นวันคริสต์มาสมาถึงวันปีใหม่ที่เงียบเหงาสำหรับเขาเหลือเกิน

มีความสุขเพียงไม่กี่วัน…อยู่ๆ เพราะพวงกุญแจพวงเดียว ทำหล่อนหายตัวไปเลย ทั้งๆ ที่วิศว์เชื่อว่า การแต่งงานของตนกับหญิงสาวเป็นชะตาลิขิต เป็นเนื้อคู่ เป็นพรหมลิขิต

การเดินทางที่บังเอิญพบกันทุกวัน ทุกช่วงเวลา คือความหวัง คือความสุข

วันนี้เราจะไปไหนดี

ชมพระราชวังแวร์ซาย ไปหอไอเฟล หรือ…หรือ

สุดท้ายเขาเลือกล่องเรือบาโต มูช ล่องแม่น้ำแซน เพื่อชมสภาพบ้านเมือง และสถาปัตยกรรมกรุงปารีส

วันนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ นักท่องเที่ยวประเทศต่างๆ มาเป็นหมู่คณะ

แต่วิศว์…คนเดียว ก็ถือเป็นเรื่องปกตินะ เขาเดินทางคนเดียวเสมอ จนครั้งนี้ที่มีเพื่อน

เพื่อน…ไม่ใช่สินะ…เป็นภรรยา

น่าขบขัน เป็นเมียที่ต้องเก็บซ่อนความจริง บอกไม่ได้แม้กระทั่งพ่อแม่ฝ่ายเธอ

เรือแล่นออกจากท่าแล้ว ไปตามแม่น้ำแซน เขาเคยชื่นชมวิวสองฝั่งฟากมาหลายครั้ง กี่ครั้งก็ยังสวยงาม ตื่นตาตื่นใจเสมอ

โดยไม่รู้เลยว่า อีกด้านของเรือ ปารีสอยู่ที่นั่นด้วย

หากครั้งนี้ไม่เห็นกันและกัน เพราะต่างไม่ได้ขยับไปไหนในเรือ จนกระทั่งขึ้นฝั่งแล้ว

วิศว์เห็นหลังของหญิงสาว

ใช่หรือเปล่า หล่อนเดินไปแล้ว มีเสื้อโคตหนาๆ กับผ้าพันคอสีสด ด้านหลังของผู้หญิงก็คล้ายกันหมด

“คุณปารีส”

วิ่งไปคว้าต้นแขนเธอ

เธอหันมา…ไม่ใช่ ด้านหลังคล้ายมาก ชายหนุ่มเอ่ยปากขอโทษทันที เพราะจำผิด

วิศว์ผิดหวังหันหลังกลับ และ…เธออยู่ตรงนั้น

ตรงหน้า…ใช่เลย…ปารีส

หญิงสาวกำลังมองเขา เห็นตั้งแต่เรียกชื่อ ‘ปารีส’ และวิ่งไปคว้าต้นแขนผิดคน

ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ กับตัวเองและเดินมาหาหญิงสาว

“คุณไม่ได้ไปกินอาหารเช้ากับผม”

ประโยคแรกควรจะเป็นประโยคนี้หรือ

ทั้งที่เขาอยากรู้ที่สุดว่า…พวงกุญแจดาวประดับคริสตัล ทำไมทำให้หล่อนไม่พอใจ และผลุนผลันจากไปอย่างไม่มีคำอธิบาย แถมยังโยนทิ้งอีก

มารยาทเช่นนี้ ไม่น่าที่หญิงสาวจะทำได้

ถ้าไม่มีเหตุผลละก็ เขาคงผิดหวังมาก

“เราต้องคุยกันค่ะ” ปารีสเริ่มพูด

“เราก็คุยกันทุกวันแล้ว”

“วันนี้อาจจริงจังมากขึ้น” ดูใบหน้าเธอเคร่งเครียดผิดปกติ

ใบหน้าเช่นนี้ที่วิศว์ไม่อยากจะเห็น

อยากเห็นเธอยิ้มแย้มแจ่มใส สดชื่น ร่าเริง เขาต้องทำให้เธอลืมอดีตที่เจ็บปวดให้ได้

“จริงจังเรอะ งั้นคุณบอกผมสิ ทำไมไม่ยอมรับพวงกุญแจดาว”

“คุณยังไม่รู้รายละเอียดอีกหลายเรื่อง เพราะเราแต่งงานแลกแหวนกันเร็วไปที่เวนิส เร็วเกินไป”

“คุณเสียใจ”

“ค่ะ…ที่ตัดสินใจเร็ว…เร็วเกิน”

“แต่ผมเต็มใจ”

“สำหรับฉัน ฉันเริ่มไม่แน่ใจ”

“ในขณะนั้น ผมว่าคุณจริงใจ”

“ค่ะ…ในขณะนั้น ฉันจริงใจ แต่…แต่…”

“เรามีความสุขด้วยกัน”

“แต่เราไม่รู้จักกันดี ไม่เคยเรียนรู้กัน ไม่เคยศึกษากัน รู้จักไม่กี่วันก็…ก็…”

“เพราะเรา…ใจตรงกัน”

“ไม่ใช่ค่ะ…ไม่ใช่”

เพราะ…หล่อนผิดเอง…ผิดเอง ใจเร็วไป เร็วไป

“เดี๋ยว…เดี๋ยว…ผมยังสงสัย เรื่องพวงกุญแจ…”

ปารีสพยักหน้าช้าๆ

“ฉันควรอธิบายตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อคืนฉันทรมานกับความคิดของตัวเอง พลอยทำให้คุณอาจจะต้องคิดหนักไปด้วย เอ้อ…งานแต่งงานของอุเทนกับคุณรัศมี ของชำร่วยที่แจกแขกมาร่วมงาน เป็นพวงกุญแจรูปดาวประดับเพชรรัสเซีย คิวปิก เซอร์โคเนีย”

วิศว์ถอนใจยาว กับเหตุผลของหล่อน

โอเคเลย…มีเหตุผล

บาดแผลหัวใจของหญิงสาวยังไม่หาย ไม่หาย…ไม่หายแน่นอน

ชายหนุ่มเงียบงันไปนานๆ

“คุณกำลังคิดว่าฉันโง่มากใช่มั้ยคะ ทันทีที่เห็น ฉันตกใจ ฉันโยนมันทันที ฉัน…ไม่อยากเห็น”

“มันเป็นของที่ผมตั้งใจซื้อให้คุณ”

“แต่ฉันไม่อยากได้…”

เขาชะงัก

“ไม่อยากได้”

หญิงสาวกลืนน้ำลายยากเย็น

“ทำไมคุณไม่เลือกอย่างอื่น ทำไมต้องเป็น…”

“เพราะผมยังนึกถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น ภาพของเธอที่นอนหลับในอ้อมแขน ผมจุดเด่นของเธอบนศีรษะ กิ๊บดาวประดับคริสตัลสวยใสเสมือนเพชร ผมจดจำได้แม่นยำ พอเห็นพวงกุญแจคลายกิ๊บติดผมของเด็กผู้หญิงคนนั้น ผมก็ชอบทันที”

“แต่ฉันไม่ชอบ!”

“ก็แค่ของชำร่วย”

“สำหรับคุณมัน…แค่…ของชำร่วยไร้สาระ คุณคิดถึงจิตใจฉันบ้างหรือเปล่า”

วิศว์พยักหน้าและสูดลมหายใจลึกๆ

“ใช่…ผมอาจคิดถึงจิตใจคุณน้อยไป ผมจะไม่ฝืนใจคุณ จะเก็บพวงกุญแจไว้เอง จะไม่ทำให้คุณรู้สึกตะขิดตะขวงใจอีก แล้วเราจะมาเริ่มต้นกันใหม่”

“อีกเรื่องที่ต้องคุยกับคุณอย่างจริงจัง”

“ว่า…”

“ฉันต้องเน้นอีกครั้ง…เอ้อ…ฉัน…ฉันไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของเราเลยค่ะ”

“แต่วันนั้นที่เวนิส เราแต่งงานอย่างเรียบง่าย แลกแหวนกัน…ผมไม่คิดว่าเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ใช่แน่ๆ”

“คือ…คือ…”

พยายามจะถามตัวเอง อารมณ์ชั่ววูบหรือ อาจ…อาจ…อาจจะมีส่วน

“บอกผมสิ…ไม่ใช่”

“ใช่หรือไม่ใช่ มันก็เร็วเกินไป”

“เราเคยรู้จักกันตั้งแต่เด็ก”

“แค่เจ็ดปีเอง”

“เอาเถอะ คุณพูดมาตรงๆ คุณต้องการอะไรแน่”

“เอ้อ…การแต่งงานของเราที่เวนิส…ถ้าไม่จำเป็น…ฉัน…ฉัน…อยากให้เป็นความลับก่อนค่ะ”

ความลับ…เก็บซ่อน?

“ความลับอย่างไรครับ” ต้องถามให้ชัดเจน

“อย่าเปิดเผยคะ”

“เพื่อนรักผมรู้ ไอ้บรม ส่วนเพื่อนรักคุณ คุณกุลวดี คุณหฤทัย รู้แล้ว”

“เท่านั้นก็พอนะคะ สองคนเป็นเพื่อนตายของฉัน เราอยู่ด้วยกันที่คอนโด ถ้าฉันไม่ให้พูด พวกเธอจะไม่พูดกับคนอื่น”

วิศว์นิ่งงันไปนาน แต่เขาก็ยอมรับ

“เพื่อความสบายใจของคุณ ก็ได้ครับ”

หล่อนถอนใจยาว รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นที่เขาไม่ดื้อรั้นและยอมรับข้อเสนอของหล่อน

“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจฉัน”

“ผมอยากเห็นคุณสบายใจที่สุด และผมก็ยังอยากดำรงความสัมพันธ์ของเราไว้ให้เหมือนเดิม แล้วถ้ากลับเมืองไทย เรื่องที่อยู่ยังเหมือนเดิมไหมครับ”

“คะ?”

“ผมไปอยู่กับคุณ”

“เอ้อ…”

“หรือจะหาคอนโดอยู่ด้วยกันใหม่”

เขาถอยให้เธอมากแล้ว ปารีสต้องยอมบางอย่างบ้าง ถึงจะเป็นสามีภรรยากันได้

“ยังเหมือนเดิมค่ะ”

“ก็ตามนั้นก่อน เพราะบ้านผมอยู่ไกลเมือง เดินทางอาจไม่สะดวก”

“ฉันไม่อยากให้ญาติคุณรู้”

“อ๋อ…ผมลืมไป ระหว่างที่อยู่กับคุณ ผมจะลองหาบ้านไปด้วย เพื่อเป็นเรือนหอจริงๆ ของเรา”

ความจริงใจของชายหนุ่ม ปารีสซาบซึ้ง

“อนาคต…ค่อยคุยกันนะคะ”

“ผมมีเรื่องขอคุณบ้าง”

“ว่าไงคะ”

“เวลาคุณไม่สบายใจให้บอกผมสิ เรายังต้องเรียนรู้กันไปอีกนาน คุณโยนพวงกุญแจทิ้ง และหนีหลบหน้าไปเฉยๆ ผมงง และคาดเดาไม่ถูกว่าเพราะอะไร”

หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ

วิศว์ดึงร่างหญิงสาวเข้ามากอดกลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง

เธอซุกร่างกับอ้อมแขนเขาแนบแน่น แม้จะไม่แน่ใจอนาคต แต่เธอก็ฝากอนาคตกับเขาแล้ว

“ผมไม่อยากให้ช่วงฮันนีมูนของเราจบเร็วเกินไปครับ” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูหญิงสาว

ความสุข สดใส เริ่มต้นอีกครั้ง และจบลงที่บนเตียงบนห้องพักในโรงแรม

“คุณจะกลับเมืองไทยวันไหนครับ” วิศว์กล่าวพลางลูบไล้ผิวขาวผ่องตั้งแต่ลำคอเรื่อยไปตลอดแขน อากาศภายนอกหนาวเพราะมีหิมะ แต่ในห้องอุ่นกำลังสบาย

“ฉันตกงานแล้ว กลับไปก็ทำงานกับพวกเขาไม่ได้ ฉันจะอยู่กับพ่อแม่อีกสักระยะ ครึ่งเดือนมั้ง แล้วจะกลับค่ะ หลังพ่อผ่าตัดแล้ว”

“แต่ผมจะกลับอีกสองวัน…มีงานต้องรีบกลับไปเคลียร์ และรับงานใหม่ไว้ด้วย บรมบอกว่าเป็นงานเร่งด่วน”

“คุณก็บินกลับไปก่อน”

“บอกตามตรงว่าผมยังไม่อยากกลับเลย”

“ตกงานคนเดียวก็พอค่ะ เผื่อฉันต้องให้คุณเลี้ยง”

“ผมเต็มใจนะ”

“ฉันพูดเล่น ฉันเป็นคนชอบทำงาน ไม่ทำงานคงบ้าตายค่ะ”

“ก่อนกลับผมขอไปกินข้าวบ้านคุณได้ไหมครับ อาหารเย็นพรุ่งนี้”

“ได้สิคะ จะบอกแม่ให้เตรียมอาหารเผื่อคุณค่ะ”

 

วิศว์พกไวน์ดีๆ ขวดหนึ่งและไปถึงบ้านพักคุณวรวิทย์กับคุณวาสนาในเวลาทุ่มครึ่ง

ปารีสสบตากับชายหนุ่ม และแอบอมยิ้มให้กัน

ผู้ใหญ่ทั้งสองต้อนรับอย่างดีในฐานะ…

“ผู้มีพระคุณต่อปารีส” ท่านย้ำเสมอ “ไม่มีวิศว์วันนั้น วันนี้ยังมีปารีสอยู่มั้ย น้าไม่กล้าคิดเลย”

วันนี้ท่านทำสเต๊กเนื้อ ทานกับผักและมันอบเนย กับสลัดผักชามโตๆ ทั้งสองชวนคุย ทำให้บรรยากาศไม่อึดอัด

“ปาลูกต้องรักและเคารพคุณวิศว์มากๆ นะลูก” ย้ำแล้วย้ำอีก

รัก…และเคารพ สองหนุ่มสาวสบตากัน หากไม่กล้าแสดงออกถึงความรัก

“รักและเคารพคุณวิศว์ให้เสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แม่อยากให้คุณวิศว์ช่วยดูแลปาด้วย เพราะปาก็เสมือนเป็นน้องสาวของคุณวิศว์ มีบุญเคยช่วยกันมาตั้งแต่เด็ก” แล้วหันมาทางวิศว์ “ได้ไหมคะ คุณวิชให้รักปาแบบน้องสาวแท้ๆ เลย น้าจะได้หายห่วงเวลาปาต้องอยู่เมืองไทยคนเดียว”

“ครับ ได้ครับ” รักมากกว่าเป็นน้องสาวด้วย

“ดีนะ ปามันโชคดี” คุณวรวิทย์เสริมคำพูดของภรรยา “มีเพื่อนรักเพื่อนตายสองคน มีคนรักแสนดีรักมันมาก ตามใจทุกอย่างอย่างอุเทน และตอนนี้ก็มีพี่ชายเพิ่มอีกคน”

อุเทนอีกแล้ว

“เอ้อ…แม่โทรหาอุเทน”

“แม่คะ โทรอีกแล้ว อย่าไปรบกวนเค้าเลยนะคะ อย่ารบกวนเขาอีกเด็ดขาด!”



Don`t copy text!