ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
ที่ฟากหนึ่งของจักรวาลอันอยู่ระหว่างแดนสวรรค์ ป่าหิมพานต์และโลกของมนุษย์ยังมีสถานที่หนึ่งที่ทางเข้าทุกทิศทางถูกควบคุมอย่างรัดกุมเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้เสมอนับหลายร้อยหลายพันปีถึงผู้เข้าและออกจากพิภพอสูรแห่งนี้
เว้นแต่เหล่าผู้มีฤทธิ์มากหรือทิพยอสุราหรืออสุราชนชั้นปกครอง เล่าสืบต่อกันว่าเมื่อครั้งมหานครดาวดึงส์บรรดาบุรพเทพ (1 ผู้เมามายด้วยสุรานั้น เมื่อครั้งบรรพกาลเกิดศึกรบกันใหญ่หลวงกลางนคร แต่เพราะเมามายด้วยสุราน้ำเมาทำให้พลาดท่าหลงกลและตกลงมาที่ดินแดนใต้เชิงเขาพระสุเมรุ
ด้วยความแค้นนี้ หลังจากสถาปนาขึ้นเป็นนครเทวาแดนสวรรค์ เหล่าผู้เมามายที่ตกลงมาที่ใต้เขาพระสุเมรุด้วยความไม่พอใจจึงประกาศตนว่าเป็นอสุระ แปลความหมายว่าผู้ที่ไม่ใช่พวกเทวาและผู้ที่จะไม่ดื่มสุราอีกต่อไป จึงบังเกิดนครงามใต้เชิงเขาพระสุเมรุที่อยู่ระหว่างแดนสวรรค์ หิมพานต์ และโลกของมนุษย์
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีดำที่ดูแสนคุ้นตา บัดนี้ปรากฏกายอยู่ที่หน้าปราสาทที่ทำจากหินทรายขนาดใหญ่ที่ด้านหน้ามีทหารนับสิบนายคอยเฝ้าอยู่ ประตูทางเข้าที่สูงตระหง่านถูกสลักเสลาลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม และภายในมวลอากาศโดยรอบนั้นยังมีเกล็ดละอองสีทองที่ลอยออกมาจากเนื้อหินสีเข้มตลอดเวลา
“องค์ยะศิณา”
ทหารทุกนายที่อยู่บริเวณนั้นก้มศีรษะลงทันทีเมื่อหญิงสาวย่างกรายผ่าน นางเพียงยิ้มเล็กๆ ก่อนจะตรงเข้าไปที่ปราสาทเบื้องหน้า
เมื่อเท้าเรียวงามเหยียบเข้าทวารประตู ร่างกายของนางก็เรืองแสงสว่างสีขาวออกมาก่อนที่ชุดกระโปรงสีดำที่เคยสวมใส่นั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นผ้าถุงยาวสีน้ำตาลและผ้าคาดเกาะอกสีเดียวกัน กรองคอทำจากเส้นทองคำถักอย่างประณีตและผมที่เคยยาวสยายบัดนี้กลับรวบขึ้นเป็นมวยไว้ที่ด้านหลัง ทัดไว้ด้วยปิ่นทองเรียบๆหากแต่ที่ปลายมีอัญมณีสีดำประดับอยู่
เมื่อเข้ามาในท้องพระโรง เบื้องหน้าเป็นชายร่างสูงกำยำกำลังนั่งอยู่ที่บัลลังก์เหนือสุด เขามองมาที่หญิงสาวด้วยแววตากระตือรือร้นก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ทุกคนออกไปให้หมด
“กลับมาแล้วหรือน้องพี่ หวังว่าครั้งนี้เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“ท่านพี่ยะษา” นางก้มศีรษะลงเพื่อเป็นการเคารพก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“ได้ความอย่างไร” เขาพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของน้องสาว
“อย่างที่ท่านพี่ทราบ ข้าพบองค์ราพสูรแล้ว” นางนิ่งไปชั่วขณะเหมือนช่างใจครู่หนึ่ง “และยังพบดอกปาริชาตนั่น….นางมนุษย์ที่อยู่ใกล้องค์ราพสูรแท้จริงแล้วนางคือคนที่เราตามหา”
เมื่อได้ฟัง คิ้วของยะษาก็ยกสูงขึ้นในทันทีก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร”
นางก้าวออกมาก้าวหนึ่งก่อนในมือจะปรากฏเศษของกระจกที่เปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ยะษามองดูเศษกระจกนั้นด้วยแววตายินดียิ่ง
“โลหิตของมนุษย์นามว่าพิภพที่อาบกลิ่นปาริชาต ท่านพี่…” นางพูดพลางส่งเศษโคมไฟที่ได้จากโรงแรมที่แดนมนุษย์ให้ยะษา
เขารับมันมาไว้ในมือแล้วจึงส่งมันลอยขึ้นไปที่ด้านบนยอดปราสาท เศษแก้วนั้นค่อยๆ สลายหายไปเหลือเพียงหยาดโลหิตสีแดงที่ส่องแสงทอประกายสว่างไสว มันลอยตัวสูงขึ้นจนกระทั่งอยู่เหนือยอดปราสาทที่เบื้องหน้าเป็นอัญมณีสีนิลสนิทที่บัดนี้มีเปลวไฟไหลเวียนอยู่เพียงน้อยนิด
เมื่อหยาดโลหิตนั้นสัมผัสที่อัญมณีที่ยอดปราสาทก็ปรากฏแรงสั่นสะเทือนและเสียงฟ้าร้องดังสนั่น อัญมณีอสุรกาลส่องสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ยะษาที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ในที่สุดข้าก็หาพวกเจ้าพบ”
ยะศิณาที่เห็นดังนั้นก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่างด้วยเพราะที่กระทำลงไปเพียงเพื่อสั่งสอนให้หญิงมนุษย์ผู้นั้นรู้จำเท่านั้น ไม่ได้ต้องการถึงขั้นเอาชีวิตแต่อย่างใด แต่เพราะด้วยเหตุบังเอิญนี้ทำให้นางทราบว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยคือผู้ที่มีพลังของดอกปาริชาตที่หาอย่างไรก็หาไม่พบเมื่อสิบกว่าปีในโลกของมนุษย์นั้นคือ ริชา หญิงสาวที่อยู่ข้างกายพิภพนั่นเอง
“นางเป็นใครกัน เหตุใดพวกเราถึงสัมผัสถึงนางไม่ได้เลย” ยะษาถามขึ้นอย่างสงสัย
“นางคือสหายคนสนิทของพิภพท่านพี่ แต่เหตุที่เราสัมผัสถึงนางไม่ได้เหมือนเมื่อสิบปีก่อนในแดนมนุษย์ ข้าคาดการณ์ว่าคงเพราะองค์ศิคินปิดผนึกพลังของนางไว้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าศิคินชายหนุ่มก็ถึงกับเลิกคิ้วในทันที “พ้นทัณฑ์จากเขาไกรลาสแล้วหรือ”
“ข้อนี้ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ก่อนที่ข้าจะกลับมาที่นี่ข้าเห็นองค์ศิคินไปที่แดนมนุษย์เพื่อปกป้องนางผู้นั้นจึงมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นคนที่เรากำลังตามหาไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของยะศิณาก็นับเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี “ไม่ผิดแน่ มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้นที่ทำให้องค์ศิคินปรากฏตัวออกมาทั้งที่เพิ่งจะพ้นทัณฑ์จากเชิงเขาไกรลาส” รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นนั้นมีท่าทีพอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เช่นนั้นเมื่อศิคินมันลงสนามด้วยตนเอง เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจำต้องลงไปดูเสียหน่อยแล้วว่าฝีมือจอมทัพแดนสวรรค์จักยังคงเด็ดขาดเหมือนครั้งกาลก่อนหรือไม่”
ยะษาพูดจบก็ปรากฏแววตาและสีหน้าชั่วร้ายในทันที แต่ก่อนจะได้ทำในสิ่งที่ตนตั้งใจนั้นทหารคนสนิทของเขาผู้หนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“มีอะไร” เสียงทรงอำนาจกังวานขึ้นก่อนผู้รีบร้อนนั้นจะรีบคุกเข่าลงที่พื้นเบื้องหน้าเจ้าเหนือหัว
“กราบทูลองค์ยะษา บัดนี้องค์พายะแห่งแดนสวรรค์ได้ยกกำลังพลส่วนหนึ่งมาที่ชายแดนแล้วเจ้าข้า” เขาพูดอย่างลนลานก่อนผู้เป็นนายจะไม่พูดอะไร หากแต่ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก
“พายะหนอพายะ เพียงเห็นมณีอสุรกาลทรงอัคคีเท่านั้นเจ้าถึงกับยกพลมาให้ข้าขยี้เล่น…เช่นนั้นจงนำคำเราไปสั่งดารันยกพลไปชายแดน ส่วนเจ้าทำตามที่เราสั่ง” เขาพูดพลางเริ่มร่ายพระเวทก่อนที่ยะศิณาจะดูตื่นตกใจเมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“พี่ท่าน…” ยะศิณาด้วยทราบดีด้วยนิสัยของยะษานั้นไม่ว่าอย่างไรจะไม่ยอมเป็นแน่
“ข้าจะไปชมดอกปาริชาตที่โลกมนุษย์” เมื่อยะษาพูดจบร่างของทหารผู้นั้นจึงเริ่มแปรเปลี่ยนก่อนที่จะมีหน้าตาเหมือนกับผู้เป็นนายอย่างเขาทุกประการ
ณ ร้านดอกไม้ของสองสาวที่บัดนี้ป้ายสีขาวที่แขวนอยู่ด้านหน้านั้นกำลังขึ้นคำว่า ‘ปิด’ อย่างชัดเจน ด้านในร้านมีร่างของเจ้าของร้านที่ตอนนี้กำลังหลับตาสนิทอยู่บนโซฟา และอีกคนที่นั่งนิ่งที่เคาน์เตอร์มองไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวด้วยดวงตาไร้แวว
“คนสวย ตื่นได้แล้ว…”
ริชาที่เหมือนกับได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นที่ข้างๆ หู ทำให้เธอค่อยๆ กลับมาได้สติก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ
“คนสวยตื่นแล้ว”
เสียงเฮอย่างดีใจดังขึ้นก่อนริชาที่กำลังลุกขึ้นนั่งจะมองไปรอบๆ น่าแปลกยิ่งนักเมื่อไร้ซึ่งเงาของผู้คนในร้านแต่บัดนี้เสียงเซ็งแซ่ของคนหลายคนก็ดังขึ้นไม่หยุด
“เสียงใคร” ริชามองไปรอบๆ ตามเสียงนั้นก็พบเพียงชมแพรที่ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านเท่านั้น
“ไอ้แพร” เธอเรียกชมแพรเสียงดัง แต่ราวกับว่าเพื่อนของเธอนั้นไม่ได้ยินอะไรเลย
“เธอไม่ได้ยินหรอกคนสวย แต่ถ้าลองเขย่าสักทีน่าจะรู้สึกตัว” เสียงดังชัดเจนมาจากกองดอกกุหลาบสีขาวด้านหลัง ริชารีบหันหลังไปตามเสียงนั้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ขึ้น
ริชาเอื้อมมือไปหยิบดอกกุหลาบดอกหนึ่งขึ้นมาไว้ แต่ในครั้งนี้เสียงกลับเงียบลงในทันทีไม่มีเสียงใดดังออกมาอีก เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะถ้าดอกไม้มีเสียงขึ้นมาจริงๆ เธอคงคิดว่ากำลังโดนผีหลอกอยู่แน่ๆ
“ค่อยยังชั่ว…” เธอพูดก่อนทำท่าจะวางมันลงที่กองดอกไม้อย่างเดิม
“เบามือหน่อยคนสวย เห็นสวยๆ แบบนี้มือหนักใช่เล่น” เสียงดังขึ้นจากดอกไม้อีกครั้งก่อนหญิงสาวจะตกใจอย่างสุดขีดแล้วเผลอปล่อยมันตกลงกระทบพื้นในทันที
“บอกให้เบาๆ ไง เดี๋ยวก็ไม่สวยแล้วหรอก” ดอกกุหลาบสีขาวร้องประท้วงก่อนริชาจะรีบเอามืออุดปากไม่ให้ตัวเองกรี๊ดออกมา
ริชามองภาพตรงหน้าก่อนจะพยายามรวบรวมสติเท่าที่จะสามารถทำได้ แล้วจึงจะเดินเข้าไปมองดอกกุหลาบอีกครั้ง “แกพูดได้เหรอ….”
“ไม่ใช่แค่ฉัน ดอกนี้ดอกนั้นก็ด้วย…พูดได้กันหมด” เสียงถอนหายใจของดอกไม้ดังขึ้น ยิ่งทำให้ริชาแทบจะกรี๊ดออกมาเสียให้ได้ด้วยเธอกำลังพูดกับดอกไม้ “ก่อนจะกรี๊ดนะยัยหนู ไปดูเพื่อนเธอตรงนั้นก่อน”
ริชามองไปที่ชมแพรตามที่ดอกกุหลาบพูด แล้วจึงเข้าไปดูเพื่อนของเธอที่เคาน์เตอร์ในทันที
“แพรๆ” ริชาเขย่าแขนชมแพรแรงๆ ไปหลายครั้งก่อนชมแพรจะกลับมาได้สติ
“อะไรไอ้ชา เรียกซะเสียงดัง”
“จะไม่เสียงดังได้ไง ก็แกเล่นยืนนิ่งไป ฉันเรียกตั้งนานกว่าแกจะตอบ” ริชาโวยเสียงดังก่อนชมแพรจะชี้มาที่ตัวเอง
“เห็นไหมคนสวย บอกแล้วว่าต้องเขย่าซะหน่อย” ดอกกุหลาบเสริมขึ้น
“เธอน่ะเงียบก่อนได้ไหม” ริชาพูดขึ้นก่อนจะมองไปที่ดอกไม้และชมแพรที่มองอยู่ก็ได้แต่รู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่
“ชาแกพูดกับใคร”
ริชาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะไม่ตอบชมแพร เพราะตอนนี้เธอกำลังคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับเริ่มปะติดต่อต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในขณะที่กำลังคิดหาหนทางอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของริชาก็ดังขึ้นก่อนจะพบว่าคือพิภพนั่นเอง
“ภพ…” เธอเรียกเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก แต่เหมือนปลายสายจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้นในทันที
“ชาอยู่ร้านไหม เดี๋ยวเราจะเข้าไปหา” พิภพร้อนใจอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงของริชาจึงตอบกลับไปในทันทีที่หญิงสาวพูดจบประโยค
“ชาอยู่ร้าน เข้ามาได้เลย ชาก็มีเรื่องอยากคุยกับภพเหมือนกัน”
หลังจากวางสายจากริชาแล้วนั้น พิภพก็รีบกระโดดขึ้นรถแล้วขับมาที่ร้านดอกไม้ในทันที ทั้งที่ขับรถยนต์ด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติแต่ในใจที่แสนร้อนรนนั้นกลับรู้สึกช้าเสียจนทุกครั้งที่ต้องมองสัญญาณไฟสีแดง ซึ่งช่างยาวนานเหมือนผ่านไปราวหลายชั่วโมง
เมื่อรถสปอร์ตสีดำเทียบจอดที่หน้าร้านดอกไม้ พิภพก็พบกับป้ายสีขาวที่เขียนคำว่าปิดตัวใหญ่ เขาพยายามมองเข้าไปในร้านจึงพบกับริชาและชมแพรที่สีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ
“เข้ามาเลย” เขาอ่านปากของริชาก่อนหญิงสาวจะกวักมือเรียก
แต่เมื่อพิภพสัมผัสลูกบิดที่ประตูร้านจู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แล่นผ่านฝ่ามือในทันที พลังงานความร้อนที่แผ่ออกมานั้นร้อนเสียจนเขาสะบัดมือออกจากลูกบิดประตูเสียแทบไม่ทัน
พิภพที่เห็นดังนั้นในใจก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่างทั้งเป็นห่วงริชา ทั้งอารมณ์สับสนว้าวุ้นต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กัน ด้วยอุปสรรคก็ดูมากมายเสียจนน่าโมโหไปหมด
“มันจะอะไรนักหนา!”
เขาสบถด้วยความเดือดดาลก่อนจะจับไปที่ลูกบิดแล้วกระชากทิ้งในทันที แต่ก็ต้องตกตะลึงเพราะลูกบิดเหล็กที่ติดกับประตูไม้หลุดติดมากับมือของเขาในทันที เสียงดังที่เกิดขึ้นทำให้ชมแพรและริชารีบวิ่งออกมาดู
“ไอ้คุณบอส ทำอะไรเนี่ยประตูพังหมด! เปิดเบาๆ ไม่เป็นหรือไง” ชมแพรบ่นก่อนจะรีบรับลูกบิดออกจากมือพิภพมาถือเอาไว้
“ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” พิภพเองที่ตอนนี้ก็ตกตะลึงกับพละกำลังของตนเองอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ ก็กระชากลูกบิดให้หลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย
ริชาที่มองดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็ถึงขั้นกุมขมับในทันที เธอไม่พูดอะไรนอกจากกลับเข้าไปในร้านหยิบกระเป๋าสะพายและไม่ลืมที่จะหยิบดอกกุหลาบสีขาวติดมือมาด้วย
“แพรเดี๋ยวฉันออกไปทำธุระกับภพนะ ฝากแกดูร้านกับหาช่างมาซ่อมประตูหน่อยนะ” ริชาพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะโดนชมแพรคว้าแขนไว้
“แกจะไปไหน เมื่อครู่นี้แกยังสลบไปอยู่เลย แล้วไหนจะดอกไม้ในมือแกอีก” ชมแพรถามขึ้นด้วยความสับสนเช่นกัน
ริชาจับมือชมแพรอย่างอ่อนโยนแล้วมองเข้าไปในดวงตานั้น “แพร ฉันไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันขอคุยกับภพมันก่อน แล้วสัญญาเลยว่าจะกลับมาเล่าให้แกฟังนะ” เมื่อเห็นแววตาสับสนของริชาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนชมแพรก็ค่อยๆ ปล่อยมือจากแขนของริชาในทันทีก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
ภายในรถทุกอย่างเงียบสนิทเสียจนได้ยินเสียงของอากาศเย็นที่ถูกผลิตออกมาเป็นจังหวะของเครื่องปรับอากาศ
“พูดบ้างก็ได้นะคนสวย เพื่อคนสวยเขาหน้าเสียหมดแล้ว” เสียงจากดอกกุหลาบจู่ๆ ก็ดังขึ้นจนริชาที่นั่งเงียบอยู่นานหันไปมองพิภพที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถอยู่
“ทำไมชา นับตีนกาฉันอยู่เหรอ” เขาพูดพลางยิ้มที่มุมปากก่อนทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
“เวลาแบบนี้ยังจะพูดติดตลก”
“เออว่าแต่ ทำไมเราสองคนต้องกลับไปที่บ้านชาล่ะ คุยกันที่ร้านไม่ได้เหรอ” พิภพถามขึ้นพลางมองไปยังริชาที่ถือดอกกุหลาบสีขาวไว้ในมือตลอดเวลา
“ชาอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่ต้องให้พ่อเป็นคนยืนยัน”
ในขณะที่รถเคลื่อนตัวเข้ามาจอดช้าๆ ที่ระหว่างรั้วบ้านสองหลัง ริชารีบลงไปเปิดประตูบ้านพร้อมๆกับผู้เป็นพ่อจะรีบเข้ามาช่วยในทันที พิภพยังคงนั่งอยู่บนรถก็อดที่จะมองไปยังบ้านไม้สีขาวที่อยู่ข้างๆ บ้านริชาไม่ได้ด้วยความคิดถึงผู้เป็นย่า
รั้วไม้สีเดียวกันกับตัวบ้านที่บัดนี้มีสีเก่าหลุดลอกออกมาเล็กน้อยกับแม่กุญแจอันใหญ่ที่คล้องอยู่กับโซ่เหล็กหน้าบ้าน พิภพมองดูบ้านของคุณย่าเขาเงียบๆ พลางหวนนึกถึงวัยเด็กที่แสนสุข เขาขับรถเข้าไปจอดที่โรงจอดรถบ้านของริชาก่อนจะลงมาทักทายวิษณุ
“สวัสดีครับพ่อ”
“สบายดีนะภพ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมาบ้านกันกะทันหันแบบนี้ล่ะ”
พิภพที่เดิมทีตนนั้นก็ไม่รู้ถึงเหตุผลของริชาที่พาตนมาที่บ้าน ก่อนจะมองไปที่เจ้าจอมแสบที่ตอนนี้ได้แต่ยืนคิดอะไรใจลอยไปเรื่อย
“ชา” เขาสะกิดริชาเบาๆ ก่อนริชาจะสะดุ้งโหยงสุดตัว
“เข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ หนูมีอะไรจะถามพ่อหน่อย” พูดจบริชาก็เดินนำสองคนเข้าบ้านไปในทันที ทิ้งให้วิษณุที่หันหลังไปสบตากับพิภพด้วยความสงสัยก่อนจะเดินตามลูกสาวเข้าไปด้านในบ้าน
เชิงอรรถ :
(1) ผู้อยู่เดิมที่นครดาวดึงส์
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ