แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 18 : เข้าถ้ำเสือ

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 18 : เข้าถ้ำเสือ

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เมื่องานปอยฤดูหนาวจบลงไปหลังจากจัดงานมาแล้วถึงแปดวันแปดคืน แสนฟ้าก็กลับคืนสู่ภาวะปกติที่แสนเงียบสงบอีกหน

นาข้าวที่ปลูกตามฤดูกาลเต็มไปด้วยรวงทองเปล่งปลั่ง ส่งกลิ่นหอมทั่วทั้งทุ่งและเริ่มเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาเตรียมเอาเม็ดถั่วเหลืองออกมาผึ่งแดดเพื่อเตรียมการเพาะปลูกหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จ หมอกเหมยตกลงเรี่ยพื้นดินมากกว่าทุกวัน สายลมหนาวพาดผ่านปกคลุมลงมาจากทิศเหนือสู่ทิศใต้อย่างสมบูรณ์

เช้านี้จันทร์หล้าติดตามเจ้าสามเมืองมายังโรงพยาบาลหลวง ด้วยเจ้าชายท่านอยากเสด็จมาเยี่ยมเยือนดูกิจการและทรงงานแทนเจ้ามารดาของท่าน เมื่อมาถึงทั้งสองก็ได้พบกับหมอกุปป้าและบรรดานางพยาบาลที่ออกมารอต้อนรับ ก่อนท่านหมอจะนำเจ้าชายหนุ่มไปยังห้องรับรอง

ความสัมพันธ์ของเจ้าสามเมืองกับนายแพทย์ชาวอินเดียไม่ต่างอะไรจากศิษย์และอาจารย์ เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน ก็ทำให้บทสนทนาของทั้งคู่ยาวนานและเต็มไปด้วย
การแลกเปลี่ยนความรู้ ความก้าวหน้าด้านการแพทย์และการรักษาโรค ทั้งสองสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ

เจ้าชายซึ่งเป็นนักศึกษาที่โรงเรียนแพทย์สยามทรงเล่าถึงเรื่องการได้มีโอกาสติดตามอาจารย์หมอของท่านเข้าร่วมการประชุมเวชกรรมเมืองร้อนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา อันเป็นการประชุมทางการแพทย์นานาชาติโดยมีทางรัฐบาลสยามเป็นเจ้าภาพ งานจัดขึ้นที่เมืองบางกอก มีคณะผู้แทนเดินทางมาจากหลายประเทศทั่วโลก ตัวแทนสถานทูตและนักข่าวที่มาเข้าร่วมงานประชุมกว่าห้าร้อยคน

“ปีนี้ในที่ประชุมมีการหารือถึงเรื่องโรคระบาดสำคัญ อย่าง ไข้เหลือง กาฬโรค มาลาเรีย และโรคเรื้อน ในที่ประชุมพวกเขาเน้นย้ำให้นานาชาติร่วมมือกันป้องกันและควบคุม อย่างผู้ที่จะเดินทางไปในตำบลที่มีไข้จับสั่นชุกชุม ก็จะต้องกินยาควินินวันละห้าเกรน หรือสัปดาห์ละห้าถึงสิบเกรน แต่ว่า การใช้ควินินติดต่อกันในจำนวนมากๆ ก็อาจไม่เป็นผลดีนัก”

“ช่วงหลังๆ ทางไทคำหลวงเราเองก็มีผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคไข้จับสั่นกันมาก ยิ่งโดยเฉพาะหน้าฝน” หมอกุปป้ากล่าว

“ตอนนี้ที่สยามกำลังนำยาชนิดใหม่เข้ามารักษาโรคมาลาเรีย ว่ากันว่า ยาชนิดนี้ใช้ได้ผลกับประเทศทางเขตร้อนอย่างบ้านเรา สุมาตราหรือยุโรปฝ่ายใต้ หากได้ผลชัดเจนอย่างไร ผมจะแนะนำมาทางฝั่งนี้”

“การแพทย์ทางสยามลุล่วงหน้าไปไกลมาก จำได้ว่าในอดีต มาลาเรียเคยเป็นโรคระบาดอันดับต้นๆ”

“ผมโชคดีมากที่ตัดสินใจเลือกไปศึกษาโรงเรียนแพทย์ที่สยาม ตอนที่ได้รับทุนจากรัฐบาล ผมลังเลอยู่นานระหว่างโรงเรียนแพทย์ในรางกูนและสยาม แต่พอทราบข่าวว่ามูลนิธิร็อคกี เฟลเลอร์เข้ามาปรับปรุงหลักสูตรการแพทย์ให้กับทางนั้น ผมเลยตัดสินใจได้”

“ฉันจำได้ว่าตอนงานประชุมเวชกรรมเมืองร้อนเมื่อสี่ปีที่แล้วที่กัลกัตตา ทางรัฐบาลสยามก็ส่งผู้แทนเข้าร่วมกันมากกว่าทุกครั้ง ผมได้พูดคุยผู้แทนจากรัฐบาล ผู้แทนจากกรมแพทย์สุขาภิบาลทหารบก จำได้ว่ามีผู้แทนของมูลนิธิร็อคกี เฟลเลอร์ไปด้วย”

“คงหมายถึงหมอโนเบิลกระมัง”

“ใช่ เขาโด่งดังทีเดียว พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขาหลายเรื่องทั้งเรื่องไข้มาลาเรียและการสาธารณสุขที่ไทคำหลวงเรา ทั้งยังเรื่องการขาดแคลนแพทย์ฝีมือดีๆ บุคลากรของเราก็มีค่อนข้างจำกัด สถานบันทางการแพทย์จะเห็นมีเพียงวิทยาลัยวิชาการพยาบาลของมิชชันนารีชาวอเมริกันที่เมืองน้ำคำเท่านั้น”

“แล้วเขาว่าอย่างไรบ้างครับ” เจ้าชายหนุ่มถามด้วยรอยยิ้ม

“ผมไม่แน่ใจว่าเขากล่าวกล่าวติดตลกหรือเปล่า แต่เขาบอกว่าการสาธารณสุขของรางกูนนั้นเทียบเท่ากับลอนดอนเลยทีเดียว ไทคำหลวงเคยขึ้นตรงกับรางกูน แถมตอนนี้ก็ยังขึ้นตรงกับอังกฤษโดยตรง ผมจึงมั่นใจว่าเขาไม่อยากก้าวก่ายเข้ามาทางฝั่งนี้ เลยออกความคิดเห็นเพียงอ้อมๆ…คงจะเหลือแต่คุณเท่านั้นที่จะเป็นอนาคตของไทคำหลวงเรา เจ้าชาย”

“แล้วผมจะกลับมาครับ…”

“พาผู้หญิงสยามดีๆ สักคนกลับมาด้วยสิ” หมอกุปป้าเย้าหยอก

“ผมคงไม่กล้าพาพวกเธอมาลำบากด้วย”

เมื่อนั้นจันทร์หล้าก็ค่อยๆ ยกถาดที่มีกาน้ำชาร้อนๆ อันใหม่เข้ามาเปลี่ยนให้ หมอกุปป้าจึงวานให้เธอเอากาน้ำชาอันเก่าไปล้างเก็บไว้ในห้องครัว

เจ้าสามเมืองรู้สึกแปลกใจอยู่ในทีที่เห็นความใกล้ชิดสนิทสนมกันของคนทั้งสอง แม้จะเคยทราบว่าหญิงสาวเคยเป็นคนไข้ในความดูแลของหมอกุปป้ามาก่อน ก่อนเจ้ามารดาของท่านจะอุปการะนางต่อจากนั้น

“ผมยังไม่ค่อยรู้ประวัติของเธอมากนัก ทราบเรื่องทางจดหมายจากเจ้าแม่มาตลอด พอกลับมาอีกทีเธอก็กลายมาเป็นน้องสาวบุญธรรมของผมเสียแล้ว ได้คุยกับเธอมาสองสามวัน ผมว่าเธอน่ารักมากทีเดียว”

“คุณหมายถึงหน้าตาของเธอหรือ”

เจ้าชายหนุ่มยิ้มเนียมอายอยู่ในทีเมื่อถูกถามตรงๆ หากแต่รีบปฏิเสธด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ “ผมหมายถึงเธอนอบน้อมแล้วก็มีมารยาทดี”

“เธอเป็นเด็กน่าสงสาร” หมอกุปป้ามองไปทางประตู “หากคุณมาเจอเธอก่อนหน้านี้ คุณจะพูดไม่ออกกับสิ่งที่เธอเผชิญ”

“เจ้าแม่บอกกับผมแค่ว่า เจ้าแกมเมืองเป็นคนช่วยเธอเอาไว้ และเป็นคนพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาล ท่านฝากฝังเธอไว้กับเจ้าแม่ บอกแค่ว่าเธอเป็นคนเชียงใหม่ มาจากอีกฝั่ง ผมเลยมั่นใจว่าเธอข้ามชายแดนมา แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ พวกเขาไปเจอเธอที่ไหน”

หมอกุปป้าหัวเราะขึ้น ก่อนจะยกกาน้ำชาริมใส่จอกสีขาวเล็กๆ

“คงจะไม่ดีแน่ๆ หากว่าผมเปิดเผยประวัติที่มาที่ไปของคนไข้ตัวเอง แต่สิ่งที่ผมจะบอกได้ก็คือตอนที่เจ้าแกมเมืองนำเธอมาส่งโรงพยาบาลนั้น ตัวท่านเองก็ได้รับบาดเจ็บ ส่วนจันทร์หล้าถูกส่งมาที่โรงพยาบาลด้วยไข้มาลาเรียและมีแผลแตกที่ศีรษะ อาการห้าสิบ – ห้าสิบ”

“เกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งสองนั้นกันแน่”

หมอกุปป้าหัวเราะจนหนวดกระดิก “ถ้าให้ผมเดา พวกเขาทั้งสองคนสนิทกัน”

คำพูดนั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มสนใจใคร่รู้อยู่ในที “คุณหมายความว่ายังไง”

“คุณลองคิดดูสิ ว่าคนอย่างเจ้าแกมเมืองที่นานทีปีหนจะกลับมายังแสนฟ้า หากแต่ยอมแอบกลับบ้านเมืองมาเพื่อพาเด็กสาวต่างถิ่นมารักษาตัวที่โรงพยาบาลหลวง เขากำลังคิดอะไรอยู่”

“เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้ข่าวว่าท่านจะกลับมาพำนักที่แสนฟ้าอย่างถาวร ถ้าให้เดา ผมว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกันแน่ๆ”

“หากได้คำตอบเมื่อไหร่ก็ฝากบอกผมด้วยก็แล้วกัน”

“วันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปหาท่านที่หอหน้า จันทร์หล้าคงจะดีใจมากแน่ๆ ที่จะได้เจอกับคนที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตเธอไว้”

“ฮาฮ่า แต่ผมพนันได้ว่าเธอจะรู้สึกอีกอย่าง!”

ในวันรุ่งขึ้น เจ้าสอาดองค์เดินทางมาที่หอหน้าพร้อมกับเจ้าสามเมืองและเจ้าสุนันต่า หมายมั่นว่าจะพาจันทร์หล้าบุตรีบุญธรรมคนใหม่มากราบฝากเนื้อฝากตัวกับผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเหลือนางไว้เมื่อคราวเจ็บไข้ได้ป่วยในครั้งนั้น…

ทว่า ประเด็นสำคัญที่ทุกคนยังไม่ทราบ แท้จริงแล้วนั่นคือ ทั้งเจ้าของหอหน้าและจันทร์หล้ารู้จักกันและเคยพบกันมาแล้วก่อนหน้า ทว่า ทุกครั้งที่เจอกันก็ช่างเต็มไปด้วยความบาดหมาง และต่างฝ่ายต่างก็สาดคำพูดร้อนร้ายใส่กันอย่างดุเดือด

การเดินทางมากราบไหว้เสือถึงถ้ำเสือในครั้งนี้ หญิงสาวเลยเอาแต่นั่งหน้าอมทุกข์มาตลอดทางระหว่างนั่งอยู่ในรถยนต์…

จันทร์หล้าไม่อยากเจอผู้มีพระคุณอะไรนั่นอีกแล้ว นางรู้แน่ชัดแล้วว่าเขาเป็นใครอย่างไม่ต้อง
แก้ปริศนาหรือตั้งข้อสงสัยอะไรอีก เขาเป็นคนที่เคยจ่ายเงินซื้อตัวนางจากพวกโจรชั่ว เพื่อจะใช้บำเรอในค่ำคืนนั้นที่เมืองหาง การพบเจอกันอย่างผิดที่ผิดเวลา นำมาสู่ความทรงจำอันเลวร้ายที่นางเคยอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล เป็นหนึ่งในสาเหตุการตรอมใจจนป่วยไข้

บัดนี้ ความทรงจำและเรื่องราวต่างๆ ปะติดปะต่อกันครบจบสมบูรณ์แล้ว มาพร้อมกับรอยจูบที่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ทิ้งร่องรอยความอดสูอยู่ที่สองแก้มในคืนที่เขาและนางได้หวนกลับมาชดใช้เวรกรรมซึ่งกันและกัน คิดแล้วก็น่าอับอาย

…เกลียดที่สุด ชังเหลือเกิน แล้วนี่นางยังจะต้องไปกราบไหว้แสดงความกตัญญูขอบคุณเขาอีก

หลังลงจากรถตรงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหลังประตูรั้วสีเงิน ทหารยามที่เปิดรั้วให้ก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวเรือนหลังเล็กๆ สีขาวไข่มุกรูปทรงแบบเรือนฝรั่งเพื่อเรียกหาใครบางคน ข้างๆ เรือนหลังนั้นมีโรงจอดรถที่กว้างขวาง ด้านในโรงรถมีรถยนต์คันหรูจอดอยู่หลายคัน หนึ่งในนั้นคือรถยนต์คันสีฟ้าที่ดูคุ้นตา

“บ่…บ่ได้มาที่นี่ตั้งนาน” เจ้าสุนันต่าทรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส ว่าแล้วก็หันไปถามคนข้างๆ “สู…สูจำคฤหาสน์ธอร์นฟิลด์ในเรื่องเจน แอร์ได้ไหม จันทร์หล้า”

“จำได้บาทเจ้า”

“ที่…ที่นี่แหละ คฤหาสน์ธอร์นฟิลด์ของมิสเตอร์โรเชสเตอร์แห่งแสนฟ้า”

จันทร์หล้าเพียงยิ้มแหยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าเดิมและไม่รู้จะตอบต่อไปอย่างไร ยามเมื่อใจนึกไปถึงอีกตัวตนหนึ่งของเจ้าชายหนุ่มที่ตนเคยเห็นในโรงการพนันแห่งนั้น นางก็มั่นใจว่า คนอื่นๆ ไม่น่าตัดใจเชิดชูเขาลงแน่ๆ ทุกคนคงไม่เคยเห็นบทบาทนั้นของเขาเหมือนอย่างที่นางได้เห็น หญิงสาวก็ไม่เคยยินดียินร้ายกับคำชื่นชอบ ชมเชยจากคนอื่นที่มีต่อตัวเขาอีกเลย หากแต่ก็ต้องพยายามเก็บอาการ

เมื่อนั้นพ่อบ้านของตำหนักซึ่งเป็นชายชราผิวสองสี ก็กุลีกุจอออกมาต้อนรับเจ้านายด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและนอบน้อม เขาแจ้งว่าเจ้าแกมเมืองทรงกำลังรอทุกท่านอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเชื้อเชิญและนำทางคนทั้งหมดให้ตามไป

เจ้าชายหนุ่มทรงกำลังบรรเลงบทเพลงอยู่บนเปียโนหลังใหญ่ในห้องโถงสีขาวราวกับศิลปินเอก เมื่อเห็นแขกมาถึงแล้วก็จึงหยุดเล่นเปียโนและลุกมาต้อนรับทักทาย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกสีแดงเลือดหมู และนุ่งเพียงโสร่งลำลองสบายๆ แว่นตากรอบทองที่สวมใส่วันนี้ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูแปลกตา

“เชิญเจ้าน้าและทุกคนที่โซฟากันก่อน”

เขาบอก ก่อนจะหันไปพเยิดหน้าให้พ่อบ้านคนเดิมไปจัดเตรียมน้ำชาอุ่นๆ มารับรอง

จันทร์หล้าระมัดระวังท่าทีที่ค่อนข้างสับสนและประหม่า ยอมรับกับใจตนว่าถึงนางจะชังเขาแต่ก็ต้องให้เกียรติเขาไปในตัว ด้วยศักดิ์และฐานันดรที่ต่างกันแถมนางเองก็เป็นเพียงผู้มาเยือน ทว่าเมื่อนางมองหน้าเขาครั้งหนึ่ง ก็กลับถูกเขาเมิน ดวงตาคมเหมือนนกเหยี่ยวที่หลบซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นใสๆ นั้น ไม่แม้แต่จะชายตาแลนาง

ก็ดี…

หญิงสาวเผลอยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ระหว่างที่เดินตามคณะมานั่งลงตรงโซฟาตัวนุ่ม รู้สึกกระดากอายอยู่นิดๆ ที่ตนมานั่งทัดเทียมเจ้านายท่านอย่างนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเจ้าชายาปรามไม่ให้นางนั่งข้างล่าง เมื่อนางทำท่าว่าจะหย่อนเข่าลงไปนั่งลงกับพื้น

บรรยากาศชวนอึดอัด พิลึกพิกล จันทร์หล้าได้แต่มองไปรอบๆ ตำหนักที่เต็มไปด้วยภาพวาด
สีน้ำมันที่แขวนเต็มอยู่ทุกด้านของผนัง ราคาของมันคงจะแพงมากโข เจ้าของถึงจัดใส่ไว้ในกรอบสีทองราวกับเป็นความสุนทรียศาสตร์ทางศิลปะส่วนตัว…ที่อาจจะไม่มีใครเข้าถึง

ภาพวาดส่วนใหญ่เป็นภาพเชิงนามธรรม ไม่ได้เป็นภาพทิวทัศน์ธรรมชาติทั่วไปหรือภาพวาดบุคคล เป็นภาพที่มีลายเส้นและการสาดสีแบบแปลกประหลาด มองแล้วค่อนข้างเข้าใจยากว่าเป็นรูปที่สื่อถึงอะไร แต่ก็เอาเถอะ ภาพพวกนี้ก็คงแปลกเหมือนเจ้าของตำหนัก หญิงสาวคิด

“ได้ข่าวว่าเจ้าอ้ายจะกลับมาอยู่แสนฟ้าอย่างถาวร เห็นว่าอีกบ่กี่วัน ก็จะทรงเดินทางไปเยี่ยมเยือนชาวปะหล่องที่ขุนสามลอหรือ” เจ้าสามเมืองเป็นผู้เปิดหัวข้อสนทนา หลังจากพ่อบ้านจัดเอาน้ำชามาถวาย

“พ่อเจ้าบอกหรือ”

“บาทเจ้า วันก่อนพ่อเจ้าชวนข้าไปเล่นบริดจ์ด้วยกันที่หอคำ ทรงเผลอเอ่ยเรื่องนี้ออกมา”

เกือบจะหัวเราะ ดีที่แกมเมืองหนุ่มเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มได้ทัน “ยังบ่ทันได้ตอบตกลงความใด พ่อเจ้าก็เอาไปโพนทะนาจนทั่วเสียแล้ว มัดมือชกกันชัดๆ”

“พ่อเจ้าเล่าว่าเจ้าอ้ายเองอยากกลับมาแสนฟ้าและเริ่มเรียนรู้งานว่าราชการ”

“คำกล่าวของพ่อเจ้า บางครั้งก็ทีเล่นทีจริง”

“แต่ครั้งนี้เห็นจะเอาจริง ชุมชนชาวปะหล่องนั้นอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากโข การสำรวจยังเข้าบ่ถึง พ่อเจ้าคิดถูก ที่จะส่งเจ้าอ้ายไป”

“พ่อเจ้าเป็นจอมวางแผน เจ้าก็รู้”

“พ่อเจ้าเคยกล่าวถึงโครงการที่อยากจะทำเพื่อพัฒนาแสนฟ้าอยู่เนืองๆ ทั้งเรื่องพัฒนาหมู่บ้านชาวเขา การทำสัมปทานท่าดูดทราย ทำประมูลเหมืองแร่ที่หนองเขียว ทั้งอยากสร้างแปลนและคิดค้นเครื่องทุ่นแรงชาวไร่ชาวสวนในไร่ชาและไร่ส้ม เจ้าอ้ายทราบไหม ว่าพ่อเจ้าซื้อสวนส้มทางเหนือไว้หลายร้อยไร่”

ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายส่ายหน้า “บ่เคย พ่อเจ้าบ่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้า”

“ท่านซื้อสวนส้มเอาไว้ที่เมืองปางขอน ติดกับเมืองล่าเสี้ยว เกือบถึงชายแดนจีน” เจ้าสอาดองค์ที่ทรงนั่งฟังชายหนุ่มคุยกันทรงตรัสเสริม

“แต่ถิ่นแถบนั้นมีแต่พวกฮ่อและไร่ฝิ่นเต็มไปหมด”

เจ้าแกมเมืองชะงักกึก ว่าแล้วก็จึงแสร้งถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วเจ้าเสือล่ะ จะเรียนจบปีไหน ใกล้จะได้กลับมาช่วยงานพ่อเจ้าที่บ้านเมืองหรือยังบ่ใกล้”

“อีกสักสองสามปีเห็นจะได้หรืออาจจะนานกว่านั้น” น้องชายต่างมารดาตอบ “เรียนจบปีนี้แล้วข้าเองอยากจะไปเรียนแพทย์เฉพาะทางต่อที่อเมริกา เสียแต่ได้ข่าวว่าทุนรัฐบาลคงจะบ่ส่ง แต่พ่อเจ้าก็รับปากว่าจะท่านจะส่งเสีย เพราะหากเปลี่ยนไปรับทุนของทางรัฐบาลกลาง ข้าต้องไปเรียนที่อังกฤษ ที่เมืองเคมบริดจ์ แต่จะต้องกลับมารับราชการในกองทัพเพื่อชดใช้ทุนคืน”

“ใครบอก”

“ท่านข้าหลวง” เจ้าสามเมืองขยับคิ้วคิดหนัก “…บอกกับข้าในคืนนั้น คืนงานเลี้ยง”

“เขาบีบบังคับเจ้าน่ะซี อย่าพึ่งพาพวกเขาให้มากนักเลย ข้อเสนอของพวกเขามีแต่จะเอาประโยชน์เข้าหาตัวเอง”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น เจ้าพ่อเลยรับปากว่าจะออกทุนให้”

“หากเจ้ามีเรื่องต้องใช้เงินมากหลายในเรื่องการเรียนก็ให้มาบอกพี่ชายของเจ้าคนนี้…วงศ์ตระกูลเฮามีทรัพย์สินเพียงพอที่จะส่งเจ้าเสือเรียน เพราะฉะนั้นจงขอให้ตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ อยากเรียนอันใดก็ให้เรียนสุดทาง แล้วนำความรู้กลับมาช่วยเหลือบ้านเมืองในภายภาคหน้า”

เจ้าสามเมืองยกมือกราบไหว้พี่ชายที่เคารพกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยรอยยิ้มประทับบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา “ข้าจะบ่ลืมพระคุณเจ้าอ้าย หากในวันข้างหน้ามีโอกาสที่ข้าจะตอบแทนบุญคุณท่านได้ ข้าผู้นี้ยินดีจะทำ”

“แล้วกลับมาแสนฟ้าคราวนี้ เจ้าเสือจะอยู่นานหรือไม่”

“นานร่วมเดือนเหมือนกัน คงจะทันอยู่ร่วมแข่งขันงานกีฬาที่สโมสรปีนี้ หลายปีแล้วที่ข้าบ่ได้ไปร่วมงานฉลองก่อนวันคริสต์มาสที่นั่น บ่รู้ว่าตอนนี้สมาคมชาวอังกฤษเติบโตไปจนถึงไหนกันแล้ว”

“ก็เติบโตมากหลายทีเดียว มีชาวอังกฤษและชาติอื่นๆ มาเข้าร่วมกับสมาคมมากขึ้น บ้างก็เป็น
ผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนา หรือบ้างก็เป็นพวกที่ติดตามมาทำงานกับห้างร้านและบริษัทต่างๆ ประเดี๋ยววันนั้นเจ้าเสือก็จะได้พบกับพวกเขาเอง” ว่าแล้วเขาก็ทำเป็นมองหา “แล้วนี่ เจ้าสิงห์บ่มาด้วยหรือ”

“เจ้าสิงห์ไปแต้มลิ่ก (เขียนหนังสือ) เรียนโฮมสกูลอยู่ที่เรือนของแหม่มไดแอนน์ เลิกเรียนช่วงบ่ายๆ” เจ้าสอาดองค์ทรงตอบให้แทน ว่าแล้วก็ทรงหันไปแนะนำหญิงสาวอีกคนที่นั่งกระมิดกระเมี้ยนอยู่บนเก้าอี้ไม้“เจ้าแกมเมือง เด็กสาวคนนี้ล่ะ จำได้หรือบ่ได้”

ว่าแล้วดวงหน้าคมคายก็หันชำเลืองแลหญิงหน้าขาวเพียงนิด ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เจ้าชายา

“เจ้าหญิงตะบินได ใช่หรือไม่”

“ใช่ นางชื่อจันทร์หล้า ตั้งแต่ที่เจ้าแกมเมืองบอกน้าในคืนนั้นว่าบ่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร น้าก็เลยยังบ่ได้บอกกับนาง ว่าผู้มีพระคุณที่นางเฝ้าถามด้วยอยากจะรู้จักหนักหนานั้นเป็นใคร”

“นางบอกนางอยากเจอข้าอย่างนั้นหรือ”

เสียงทุ้มต่ำแสร้งทำเป็นถามด้วยความประหลาดใจ ซึ่งจันทร์หล้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดวงหน้าขาวจึงระเรื่อแดงเต็มสองพวงแก้มด้วยรู้สึกกระดากอาย แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยที่เจ้าสอาดองค์ทรงกล่าวก็ล้วนเป็นเรื่องจริงทุกประการ ตอนนั้นนางเองก็รู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ ที่เมตตาช่วยนางไว้ให้พ้นจากความตาย แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าเป็นใคร แต่นางก็อยากจะสำนึกในบุญคุณส่วนนั้นอยู่ดี

…แม้จะเป็นเพียงความรู้สึกที่แค่อยากจะขอบคุณเพื่อให้จบๆ ไปเท่านั้น จะได้ไม่ติดค้างอะไรกันไปมากกว่านี้

หญิงสาวยกมือไหว้เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะลงไปนั่งกับพื้นปูพรมเพื่อเข้าไปถวายพานทองที่มีเชี่ยนหมากและของที่ระลึกเป็นการขอขมาและขอบคุณ

แกมเมืองหนุ่มรีบยื่นมือไปรับของที่ยกถวายให้มา แต่ทันใดนั้นเอง นิ้วหนาใหญ่ก็ตรงเข้าไปช้อนคางนางให้มองขึ้นสบตา โดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

“ดีใจที่ได้กลับมาพบฉันอีกครั้งอย่างงั้นหรือ…เธอพูดแบบนั้นจริงๆ หรือ”

เขาพูดเป็นสำเนียงสยาม จงใจกลั่นแกล้งคนนั่งล่างให้เสียขวัญ ดวงตาที่มองตาต่อตากับหญิงสาวนั้นเป็นประกายวับก่อนจะปรากฏรอยยิ้มเยาะด้วยความลำพองใจ

 



Don`t copy text!