แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 8 : โชคชะตา
โดย : ดาราวดี
แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co
กลางดงพงไพรเต็มไปด้วยเสียงลั่นคำรามของสัตว์ป่า ทั้งเสียงโขลงช้างและลิงค่างบ่างที่ห้อยโหนอยู่บนยอดไม้ อีกเสียงจักจั่นและบรรดาแมลงไพรที่แผดเสียงร้องสนั่นหวั่นไหว ไหนจะเสียงงูเงี้ยวเขี้ยวขอลากพุงเลื้อยไปมากับพื้นดิน ป่าไม้ต้นสูงทึมทึบมืดครึ้มลึกลับ ไร้ถนนหนทางตัดผ่าน ไร้ชุมชนหมู่บ้านและผู้คนสัญจร…ที่นี่คือเขตดอยหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาล
คนเดินนำหน้าอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคนข้างหลังด้วยความเป็นห่วงอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างพากันเดินลัดเลาะไปตามแนวเขตป่าเขาสูงชันสลับสล้าง อดทนเดินทางกันมาตลอดทั้งคืนจนฟ้ามืดเปลี่ยนเป็นสว่าง จุดหมายปลายทางของคนผจญไพรทั้งสอง คือ ‘อำเภอเมืองฝาง’ ที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือไกลออกไป
หากแต่การเดินทางไปยังอำเภอที่แสนห่างไกลอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนดั่งใจคิด อีกทั้งระหว่างทางก็ต้องคอยระมัดระวัง ไม่ให้เดินผิดฝั่งจนพลัดหลงเข้าไปในเขตพื้นที่สีแดงอันตราย ด้วยถิ่นแถบนี้คือ เขตชายแดนที่ติดกับเมืองหน้าด่าน เป็นพื้นที่ทับซ้อนเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ตลอดแนวเทือกเขาและช่องแคบจึงเต็มไปด้วยพวกนักรบชายขอบ พวกค้าฝิ่น หรือพวกที่ลักลอบค้าขายอาวุธของเถื่อนระหว่างดินแดน
เมื่อเดินขึ้นมาจนถึงยอดดอยสูง ก็จึงทำให้เห็นถึงภูเขาน้อยใหญ่อีกหลายๆ ลูก ที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่างนอนขนาบสองฝั่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลนิ่งเอื่อยไปตามความเลี้ยวลดของเขาแต่ละลูก
“เห็นแม่น้ำนั่นไหม เลยจากฝั่งด้านนั้นขึ้นไปทางทิศเหนือไม่ใช่ดินแดนของพวกเรา ถิ่นแถบนั้นเป็นเมืองขึ้นของพวกต่างชาติล่าอาณานิคม” ชายหนุ่มชี้ไปยังสายน้ำที่ทอดตัวอย่างสงบเหมือนงูยักษ์ที่กำลังนอนอยู่ท่ามกลางพงไพร
“พวกล่าอาณานิคมน่ากลัวมากไหมเจ้า”
“น่ากลัวสิ ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกเขา ก็หมายถึงการสูญสิ้นซึ่งอิสรภาพและอำนาจที่เป็นของเราอย่างสมบูรณ์ พวกเขาจะแย่งชิงเอาไปหมด ทั้งแผ่นดิน ที่อยู่อาศัย ป่าไม้ เงินตรา หรือแม้แต่ชีวิต ชนพวกที่ล่าอาณานิคมพวกนั้นเป็นพวกโลภมากและหวังจะยึดครองทุกสิ่งที่อยากได้”
“แล้วหากเฮาหลงเข้าไปในดินแดนที่ว่า…”
“พวกเราจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก”
“แต่เฮากำลังมุ่งหน้าไปทางนั้นกันบ่ใช่หรือครู”
“เราจะไปถึงแค่เมืองฝางเท่านั้น พอถึงเมืองฝางแล้วเราจะนั่งรถโดยสารกลับเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เมืองฝางเป็นเมืองใหญ่มีชุมทางรถขนส่งโดยสาร ว่าแต่เธอ…ยังอยากจะไปกับฉันอยู่ใช่ไหม”
ครูราชถามหญิงสาวอีกครั้งเพื่ออยากให้นางชั่งใจ แม้ความเป็นจริงทั้งคู่ได้เดินทางมาไกลเกินกว่าจะถามคำถามนี้แล้วด้วยซ้ำ
จันทร์หล้าพยักหน้าเป็นคำตอบแม้จะอยู่ในอาการเศร้าหมอง แววตาฉายฟ้องถึงความรู้สึกหวาดหวั่นที่ประเดประดังเข้ามาในใจลึกๆ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
ตอนนั้นที่หนีออกมา หญิงสาวคิดเพียงอย่างเดียวคืออยากจะหนีไปให้พ้นจากหมู่บ้านหนองป่าซางเท่านั้น พ่อแม่เลือกทิ้งนางแล้วอย่างใจจืดใจดำ บังคับจิตใจนางให้รับคนรุ่นราวคราวปู่มาเป็นผัว รู้ทั้งรู้ว่าหากส่งตัวนางเข้าไปในปางไม้เมื่อไหร่ ก็เหมือนกับส่งนางไปตกนรกทั้งเป็น พ่อเลี้ยงไม่ได้มีแต่เพียงเงินทองหรืออิทธิพลเท่านั้น หากแต่ยังมีความวิตถารในรสนิยมการเสพสม ในปางไม้เขามีแต่สาวรุ่นลูกหลานอยู่เป็นโขยง เมียคนล่าสุดของเขาก็เป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่นอายุเพียงสิบสี่ สิบห้าเท่านั้น และจันทร์หล้าไม่ใช่รายแรกที่ถูกท่านหมายปอง
…ไม่เอาด้วยหรอก สู้หนีไปตายเอาดาบหน้าเสียดีกว่า พอได้ดีแล้วค่อยกลับมาก็ยังได้
แต่แม้จะคิดไว้แบบนั้น จริงๆ ในใจของนางก็ยังคงหวั่นไหว ชีวิตของนางเปลี่ยนไปแล้ว นับตั้งแต่นี้
“ครู…” สาวน้อยเรียกคนข้างๆ น้ำเสียงอ่อนแอ “ครูจะบ่ทิ้งข้าแน่ใช่ไหม”
“ทำไมถึงถามฉันแบบนั้นล่ะ”
“วันข้างหน้าครูอย่าทิ้งข้านะ จากนี้ข้าบ่มีใคร ข้ามีแต่ครู”
“อย่าเพิ่งกังวลใจกับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยนะ มากันถึงขนาดนี้แล้ว ฉันคงทิ้งเธอไม่ลง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังโหยหวนหลอกหลอนเหมือนเสียงผีไพรดังขึ้นก้อง คนขวัญอ่อนสะดุ้งสุดตัวจนกระโดดไปหลบอยู่ด้านหลังของครูราช แววตาที่กำลังตื่นตระหนกกลอกมองไปรอบๆ ด้วยอาการตื่นไพร กลิ่นสางสัตว์ใหญ่ระเหยเจือจางมากับลมพัด
แม้จะเป็นคนบ้านดง แต่ป่าลึกที่กว้างใหญ่อย่างนี้ จันทร์หล้ายังไม่เคยเดินหลงเข้ามาเลยสักครั้ง ว่ากันว่าดอยหลวงนั้นเป็นป่าลึกลับเต็มไปด้วยอาถรรพ์ ทั้งผีสางนางป่า ภูตผีพราย อีกทั้งยังตำนานเจ้าป่าเจ้าเขา เสือเย็นหรือแม้แต่โขมดดง ชาวบ้านเล่าลือต่อๆ กันมา ว่าหากไม่มีคาถาอาคมไม่ควรเข้าเขตดอยหลวงเด็ดขาด เพราะแม้แต่พระออกธุดงค์ก็ยังต้องเลี่ยงทางเส้นนี้ ด้วยเชื่อกันว่าป่าลึกด้านในใกล้เขตชายแดนมีลักษณะเป็นเขาวงกต น้อยคนที่พลัดหลงเข้าไปแล้วจะรอดกลับมาได้อย่างปกติ
ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง เพราะพอทั้งคู่เดินทางมาได้สักพักหนึ่ง จากป่าโปร่งที่ต้นไม้ขึ้นห่าง ก็เริ่มเป็นต้นใหญ่ขนาดหลายคนโอบขึ้นอยู่หนาแน่น ต้นไม้ทุกต้นล้วนแผ่กิ่งก้านและใบปกคลุมกางกั้นแสงแดด ส่งให้บรรยากาศอึมครึมและเย็นยะเยือกอยู่ตลอดเวลา กว่าจะผ่านป่าประหลาดนั้นออกมาจนถึงหมู่บ้านมูเซอดำได้ก็เป็นเวลาเกือบเย็น
ครั้นมาถึงได้ไม่ทันไร เม็ดฝนก็เทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ก่อนจะกระหน่ำโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับพายุฝนฟ้าคะนองลูกใหญ่ หมู่บ้านชาวมูเซอดำบนเนินสันดอยเหมือนกับจะจมหายไปกับห่าฝนหลวง มองไปทางใดก็ล้วนมีแต่สายน้ำที่ทิ้งตัวลงมาจากฟ้าอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งค่ำๆ ฝนหลวงก็เริ่มซาลงไป หลงเหลือแต่เพียงปรอยฝอยน้ำเบาๆ
อดีตครูหนุ่มที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นพรานป่าอย่างจำเป็นอัดบุหรี่เข้าปอดก่อนจะเดินตรงไปยังป่าอีกฝั่ง พลางดึงมีดสั้นออกมาจากฝัก ตัดฉับเข้าตรงก้านเครือกล้วยก่อนจะยกเอามาวางลงตรงหน้าหญิงสาวที่นั่งรออยู่บนกระท่อมหลังน้อย
“ฝนเพิ่งหยุดตก พวกเราคงเดินกันต่อไปไม่ได้แน่ๆ อีกอย่างตอนนี้ก็มืดแล้ว คืนนี้เราจะพักค้างคืนที่นี่กันก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางกันอีกที”
“อีกไกลไหมครู กว่าจะถึงเมืองฝาง” คนจากบ้านมาไกลเอ่ยถามเสียงอ่อย
“ไกล…เดินข้ามเขาไปอีกสองลูกก็จะมีหนทางลาดยางตัดผ่าน ตามทางเส้นนั้นไปอีกไม่ไกลก็จะถึงตลาดค้าวัว ใกล้ๆ แยกไปตลาดวัวจะเจอชุมชนชาวบ้าน ที่นั่นมีชุมทางรถโดยสาร”
“ไยครูถึงรู้เส้นทางดีนัก ตั้งแต่เย็นวานที่พาข้าฝ่าดอยหลวงมา ครูก็รู้ว่าตรงเนินเขาลูกนี้จะมีหมู่บ้านมูเซอดำ แถมยังรู้อีกด้วยซ้ำว่าทางข้างหน้าตรงไหนมีถนนหนทางตัดผ่าน หรือแม้แต่ทิศทางที่จะไปยังเมืองฝาง ครูก็รู้ว่าจะต้องไปทางไหน อย่างไร”
ชายหนุ่มหัวเราะในคออย่างไม่ได้กังวลใจกับคำถาม
“เดินทางมาด้วยกันดีๆ ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดระแวงกันขึ้นมาเสียได้”
“บ่ได้ระแวงเสียหน่อย ข้าแค่อยากรู้ว่าครูเป็นใคร”
“ไม่เชื่อใจฉันหรือ”
“หากบ่ไว้ใจ ข้าคงบ่หนีตามครูมา” ดวงตาหญิงสาวยังคงคาดคั้นเอาคำตอบ “ครูดูบ่ใช่คนที่จะทะลวงไพรได้เลย ครูเชี่ยวชาญการเดินป่ามาก”
“ก็ถ้าฉันไม่ชำนาญป่า มีหรือที่ฉันจะกล้าพาเธอเข้าป่า”
ครูราชบ่ายหน้าออกไปทางนอกกระท่อมที่มืดมิด มีแสงตะเกียงจุดส่องสว่างให้เพียงวิบวับ น้ำค้างยังเปียกหล่นตกค้างจากพายุเมื่อช่วงหัวค่ำ หลังย้ายเข้ามานั่งลงใกล้ๆ กัน ชายหนุ่มก็ยกมวนบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะผุยควันไปอีกทาง
“…ก็ฉันเป็นทหาร ฉันลาดตระเวนแนวป่า เป็นนายกองยังไงล่ะ เธอลืมไปแล้วหรือ”
จันทร์หล้าฟังคำเขาว่าแล้วก็คิดตาม ใช่จริงๆ ด้วย ลักษณะท่าทางเขาไม่ได้เป็นเพียงคนบางกอก ที่มาท่องเที่ยวถิ่นเมืองเหนือเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และนางเองก็ไม่ได้บื้อจนถึงขนาดจะมองไม่เห็นความเจนไพรของเขา อีกทั้งเมื่อคืนนางก็ได้ยินเขาร่ายคาถามากมายมาตลอดทาง จนพากันผ่านดอยหลวงที่แสนอันตรายมาได้อย่างปลอดภัย
“งั้นตอนที่ข้าเห็นครูแต่งเครื่องแบบเป็นนายกองในรูปถ่ายใบนั้น ก็คงหมายถึง…”
“เป็นนายกองทหาร” เขากล่าวสรุปชัดเจน “รู้อย่างนี้แล้ว เธอเองก็ควรเลิกเรียกฉันว่าครูได้แล้ว”
“ถ้าบ่ให้เรียกว่าครู แล้วจะให้เรียกว่านายกองเหมือนคนอื่นหรืออย่างไร”
“ให้เรียกฉันว่าพี่”
“เรียกว่านายกองแทนได้ไหม”
“แล้วกัน ฟังดูห่างเหินกันเข้าไปใหญ่”
“ก็ข้าเจ้าบ่ชิน”
“เอาเถอะๆ ตามใจเธอแล้วกัน จะเรียกว่าพี่หรือเรียกว่านายกองอย่างไร ก็สุดแล้วแต่เธอจะเรียกเอา”
เมื่อนั้นลมหลวงหอบเอาไอชื้นและความหนาวเย็น เข้ามาปะทะผิวกายจนขนแขนแห่ลุกเป็นตุ่มไร ลมพัดมาอีกครั้ง แต่คราวนี้พัดแรงเสียจนกระท่อมคลอนเอนเอียงโยกไหว จันทร์หล้าที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายเพียงตัวเดียวนั่งกอดอกสั่นโหย่งๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบตะเกียงเจ้าพายุ แล้วพากันเข้าไปด้านใน
ด้านในกระท่อมเป็นแค่ห้องเปล่า ไม่มีหมอนมุ้งหรือผ้าห่ม เป็นกระท่อมเฝ้าสวนเก่าๆ ที่เจ้าของอนุเคราะห์ให้พักนอนชั่วคราวได้
นายกองราชถอดเสื้อม่อฮ่อมตัวนอกออกคลุมให้คนเนื้อเย็น แล้วจึงโน้มนางให้มาลงนอนหนุนแขน ส่วนตัวเขาเองก็สวมกอดนางจากทางด้านหลังเพื่อแบ่งปันไออุ่น
“พอเราไปถึงเชียงใหม่ ฉัน…พี่จะพาเธอลงไปยังเมืองบางกอก เธอไปอยู่กับพี่นะจันทร์หล้า”
“นายกองจะให้ข้าไปอยู่ในฐานะอันใด”
“จะฐานะใดก็แล้วแต่ แต่ต้องอยู่กับพี่…แต่ถ้าไปอยู่ด้วยกันที่บางกอก เธอก็ต้องเป็นเมียพี่สักวัน”
“นายกองจะให้ข้าเป็นเมียท่านจริงๆ หรือ”
“ใช่ ถ้าไม่เป็นเมียแล้วจะเป็นอื่นใดไปได้อีกเล่า…เธอมากับพี่ มาอยู่กับพี่ ก็ต้องเป็นคนของพี่สิ”
เสียงเข้มแหบพร่ากระซิบอยู่ด้านหลังกกหูที่ร้อนผ่าว เขาขยับวงแขนแกร่งกอดรัดคนในอ้อมอกให้แน่นขึ้นไปอีก แนบสนิทชิดใกล้เสียจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักของกันและกัน
“เอาจริงๆ พี่ก็ไม่รู้ว่าจะยกยอตัวเองให้ดูดีอย่างไร เพราะตัวพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าพ่อเลี้ยงปางไม้นั่นหรอกหนา พี่เองก็พอใจเธออยู่ลึกๆ หลงรักเธอมาตั้งแต่แรกเห็น ใจจริงก็อยากได้เธอมาเป็นเมียนะ ติดเสียที่เธอเป็นศิษย์”
สาวน้อยนอนหน้าร้อนผ่าว กล่าวเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก
“นายกองพูดคำว่าเมียเสียหลายครั้ง ทั้งๆ ที่ก็เคยพูดเองว่าคนอายุเท่าข้ายังเด็กเกินไปที่จะออกเรือน ไหนว่าอายุเท่านี้ยังต้องเรียนหนังสือตำรา”
“กว่าจะรอเธอเรียนจบ พี่คงจะเฉาตายกันพอดี เธอคงไม่รู้ว่าหนุ่มวัยฉกรรจ์อย่างพี่ เลือดมันร้อนมากขนาดไหน”
ว่าแล้วไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มรีบพลิกร่างอันนุ่มนิ่มของคนในอ้อมอกขึ้นมา ก่อนจะโน้มตัวลงไปหอมฮุบเข้าที่แก้มนวลเนียน ไม่ปล่อยจังหวะให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว
“เดี๋ยวก่อน…”
หญิงสาวเผลอออกสำเนียงอ้อนวอน หากคนมียศเป็นนายกองยังทำเป็นไม่ฟัง ไม่ได้ยิน ไม่สนใจริมฝีปากกระด้างอันร้อนเร่ายังคงซอกไซ้พรมจูบไปทั่วเนินคอที่ขาวผ่องเหมือนไข่มุก ส่วนมือใหญ่กร้านค่อยๆ ล้วงลึกเข้าไปด้านในเสื้อผ้าฝ้ายตัวโคร่ง จับสะเปะสะปะจนไปจับถูกเนื้ออ่อนสาวจนนางสะดุ้งสุดตัว จันทร์หล้าพยายามยกมือขึ้นผลักแผงอกกว้างที่แข็งแกร่งด้วยสัญชาตญาณ แต่ไม่ว่าจะปฏิเสธเขาอย่างไรก็ไม่แพ้แรงชายอยู่ดี
“นายกอง อย่าทำข้าเจ้า…”
“เธอกลัวพี่หรือ จันทร์หล้า”
ร่างที่นอนแข็งทื่อพยักหน้าลงตามซื่อ กายที่สั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์เป็นเครื่องยืนยัน นายกองราชหัวเราะอย่างเอ็นดูให้กับความซื่อบริสุทธิ์นั้น ก่อนจะยอมถอนมือออกจากพื้นที่สงวนของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เขาไม่ใช่คนกักขฬะและป่าเถื่อน ความเป็นคนมีการศึกษานั้นทำให้เขารู้จักคำว่าสุภาพบุรุษและอารยธรรม
“กลัวพี่จะกินเธอจนหมดทั้งร่าง หรือกลัวอย่างอื่น”
“กลัวทั้งหมด กลัวทุกอย่าง” สาวน้อยน้ำลายหนืดคอ น้ำตาคลอเบ้า
“โถ จันทร์หล้าของพี่ หวังว่าเธอจะให้อภัยที่พี่เป็นคนเอาแต่ใจจนเผลอบุกรุกเธอ”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หยาดเยิ้มฉายคำว่ารักอยู่เต็มสองตา ก่อนริมฝีปากอันร้อนผ่าวจะค่อยๆ บรรจงจูบลงบนหน้าผาก ปลอบโยนอีกฝ่ายจากความอุกอาจที่เกิดขึ้น
“สักวัน ข้าจะเป็นเมียให้นายกอง แต่ตอนนี้ข้ายังบ่พร้อม ข้า…”
“ไม่พร้อมก็ไม่พร้อมสิ พี่หาได้เร่งรัดที่ไหนกันเล่า รอพร้อมเมื่อไหร่ก็ขอเธออนุญาตให้พี่ได้จูบเธอสักครั้งเถิดหนา พี่ปรารถนาริมฝีปากเธอมานานนักแล้ว” เขาลูบไล้เส้นผมเส้นละเอียดของนางอย่างอ่อนโยน บรรจงเกลี่ยน้ำตาที่รื้นขอบ “นอนกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า”
จันทร์หล้าพยักหน้า ก่อนจะหลับตาลงนอนอย่างว่าง่ายราวกับถูกเขาเป่าเสก แม้จะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามประคองสติไม่ให้ตนเองหลับลึกมากจนเกินไป แต่สุดท้ายนางก็หลับอย่างสนิทโดยมีชายหนุ่มนอนสวมกอดอยู่ข้างๆ
ค่ำคืนที่หมู่บ้านชาวมูเซอดำไม่ได้ยาวนาน เพราะนอนหลับไปได้ไม่นาน จันทร์หล้าก็ถูกสะกิดเรียกให้ตื่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง
การเดินทางไกลเริ่มต้นขึ้นเมื่อแสงสว่างแรกปรากฏเหนือเมฆฝน คนทั้งสองรีบจูงมือกันเข้าป่าอีกหนโดยนำกล้วยที่กินเหลือจากเมื่อคืนและกระบอกน้ำใส่ย่ามติดตัวไปกินระหว่างทาง สีของท้องฟ้าบนภูเขาลูกข้างหน้าที่ทั้งคู่กำลังจะเดินทางไปช่างมืดครึ้ม พายุฝนลูกใหญ่กำลังตั้งเค้ารออยู่ แต่ไม่มีทางเลือก เพราะทางเส้นนี้เป็นทางที่ใกล้ที่สุด
อากาศเย็นชื้นพื้นดินเฉอะแฉะเพราะพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืน ทำให้การเดินทางในวันนี้ไม่ราบรื่นสักเท่าไรด้วยหนทางมีแต่โคลนตม คนเดินนำหน้าถือไม้เท้าพลางถางพงหญ้า ไล่สัตว์มีพิษไปพลาง ก่อนจะหันไปหาคนรักแล้วจับมือกันไว้เพื่อกันการพลัดหลงระหว่างทางขึ้นเขาลงเขา
จันทร์หล้ากวาดตามองทุกสรรพสิ่งรอบข้าง ความเปียกชื้นทำให้ป่าดูหนาใหญ่ขึ้นไปอีกจนรู้สึกว่าตัวเองลีบเล็กลงไป กลางป่าลึกยังมีดอกไม้แซมอยู่เป็นหย่อมๆ ดอกสีแดงสดบานแต้มตัดกับสีเข้มของใบไม้ดูงามตา หากแต่ตอนนี้หญิงสาวกลับไม่ภิรมย์อะไรทั้งสิ้น เพราะร่างกายกำลังรู้สึกพะอืดพะอม เหมือนกำลังโดนพิษไข้สุมหัวเล่นงาน
“จันทร์หล้า…”
“นายกองเรียกข้ามีอันใด”
“ยุงป่าเยอะเหลือเกิน เธอระวังอย่าให้ยุงกัดมากนัก เดี๋ยวจะพานเป็นไข้ป่าไปเสียก่อน”
“ข้าปวดตัวเหมือนจะมีไข้ไปเสียแล้วนายกอง รู้สึกปวดหัวหนักๆ เหลือเกินเหมือนหัวกำลังจะแตก ครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างใดก็บ่รู้”
“นั่นปะไร พูดยังไม่ทันขาดคำ”
นายกองราชหันมาแตะหน้าผากหญิงสาวเพื่อวัดไข้ จนเมื่อแน่ใจแล้วว่านางมีไข้ตัวร้อนจี๋ ใบหน้าเข้มก็ยิ่งเข้มขึ้นไปอีกด้วยความเป็นกังวล ไข้ป่าไม่ใช่ความเจ็บไข้ได้ป่วยเล่นๆ เขาเคยไปลาดตระเวรเดินป่าภาคใต้แถบที่ติดกับฝั่งมาเลเซีย เห็นคนโดนไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียเล่นงานจนตาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พูดอะไรให้อีกฝ่ายใจเสีย
“เราออกเดินทางกันตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เดินลัดเลาะตลอดไม่ได้หยุดพัก เมื่อคืนก็พากันนอนหนาวตากไอชื้น เธอคงจะรู้สึกเมื่อยล้าเสียมากกว่า เดี๋ยวพอถึงลำธารด้านหน้า พี่จะพาเธอไปนั่งพักที่นั่น…แข็งใจเดินทางกันต่ออีกนิดเถอะนะ เราพักกันที่นี่ไม่ได้ ตรงนี้เป็นทางเสือเดิน ยังไหวอยู่ใช่หรือไม่”
แม้จะพยักหน้าลงว่ายังไหว แต่สีหน้าของคนเป็นไข้เริ่มบ่งบอกว่าอาการไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หน้านวลเริ่มซีดเผือดและมีอาการร้อนสลับหนาว เม็ดเหงื่อเท่าลูกมะนาวผุดออกเต็มใบหน้า ใจหวีดหวิวเหมือนคนเจียนจะเป็นลมอยู่รอมร่อ เนื้อกายบ่มร้อนสั่นเทิ้มเหมือนร่างทรงโดนผีเข้าสิง ออกเดินไปได้เพียงนิดก็ถึงขั้นกับต้องหยุดคว้าต้นไม้พยุงร่างกายเอาไว้
นายกองหนุ่มเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบพยุงร่างนางน้อยให้ไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ ก่อนเขาเองจะไปนั่งลงขอขมาบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าแล้วก็จึงบริกรรมคาถา ชักมีดสั้นออกมาปักลงดินสามครั้ง พร้อมกับวางเครื่องสังเวยอันมีดอกไม้ป่าที่พอจะหาได้แถวๆ นั้น
“พี่จะลองไปเดินหาสมุนไพรป่ามาให้เธอกินลดไข้ นั่งรอพี่อยู่ตรงนี้นะ อย่าเดินไปไหน”
“นายกองอย่าทิ้งข้าไว้คนเดียวได้ไหม ข้ากลัว…” หญิงสาวละล้าละลัง เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกทิ้งให้อยู่ผู้เดียวเพียงลำพัง
“เธอจะกลัวอะไร”
“เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อ…”
“อย่าทักนะ” ชายหนุ่มรีบปราม หน้าตาขึงขัง “เวลาเข้าป่า หากได้ยินเสียงอะไรอย่าเอ่ยทักเด็ดขาด เห็นอะไรก็อย่าเอ่ยถาม เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”
“เข้าใจ”
นายราชจะจากไปแต่ใจก็ยังเป็นกังวล เขาหันรีหันขวางมองหาบางอย่าง ก่อนจะก้มไปหยิบก้อนหินสี่ก้อนมาเสกคาถาใส่ ว่าแล้วก็จึงโยนก้อนหินเอาไว้สี่มุมรอบๆ หญิงสาว
“พี่เสกเขตอาคมให้เธอแล้ว ให้นั่งรอพี่อยู่ในเขตนี้ อย่าออกนอกเขตที่ก้อนหินวางไว้เด็ดขาด พี่ไปไม่นาน เดี๋ยวเดียวก็กลับมา…”
“นายกองรีบกลับมานะ ข้าบ่อยากอยู่คนเดียว”
“ไม่ต้องกลัวนะจันทร์หล้า อยู่ในเขตอาคมของพี่ ไม่มีอะไรทำอันตรายเธอได้แน่”
จันทร์หล้าพยักหน้าเนือยๆ มองตามเบื้องหลังชายหนุ่มที่รีบสะพายย่ามจากไป นางนั่งพิงหลังไปกับต้นไม้ หลับตาลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย พลางยกมือสำรวจร่างกายที่ร้อนๆ หนาวๆ
ป่าเขาลำเนาไพรไยถึงได้กว้างขวางอย่างนี้ เดินมาตั้งเท่าไรๆ แต่ก็ไม่พ้นเขตป่าสักที นี่ถ้าหากเกิดพลัดหลงขึ้นมา จะหาทางออกจากป่ายังไงกันนะ
คิดไปคิดมาก็พลันคล้ายคนง่วงนอนด้วยฤทธิ์ของพิษไข้ แม้จะพยายามขึงตาไว้เท่าไหร่แต่หนังตาก็กลับหนักลงไปทุกทีๆ ก่อนที่จันทร์หล้าจะผล็อยหลับไปเสียดื้อๆ
หลับไปนานหรือไม่ ไม่รู้เรื่องนัก และเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นอย่างไรไม่รู้ มาตกใจตื่นเอาก็เมื่อตอนได้ยินเสียงเเว่วดีดซึงและเสียงขับลำนำมาไม่ใกล้ไม่ไกล เสียงนั้นเคียงมากับเสียงนกป่าร้องประหลาดคล้ายเสียงสางป่า จันทร์หล้าพยายามเงี่ยหูฟังหาที่มา แต่ทันใดนั้น คนโทรมไข้ก็ขนหัวลุกซู่…
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ : บทส่งท้าย
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 31 : ขุนหอคำ
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 30 : เทศกาลตาซองไดง์
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 29 : ปะหยิ่นอูลหวิ่น
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 28 : คำสำคัญ
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 27 : ดอกรักบานที่ปางขอน
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 26 : การเดินทาง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 25 : เสมียนคนใหม่
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 24 : มิตรไมตรี
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 23 : ฤดูแห่งการประทุษร้าย
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 22 : งานกีฬากระชับมิตร
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 21 : งานกีฬากระชับมิตร
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 20 : หมู่บ้านปะหล่อง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 19 : ชิดใกล้
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 18 : เข้าถ้ำเสือ
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 17 : เจ้าหอหน้า
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 16 : การกลับมาพบกันอีกครั้ง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 15 : เรื่องวุ่นๆ ในงานเลี้ยงรับรอง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 14 : เจ้าหญิงตะบินได
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 13 : เข้าพบมหาเทวี
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 12 : ลมหายใจ
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 11 : โรงยาหลวง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 10 : หอตะวันตก
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 9 : ฝันร้าย
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 8 : โชคชะตา
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 7 : หญิงงามเลือกคู่
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 6 : ก่อนอาทิตย์จะอัสดง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 5 : คนในวันวาน
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 4 : พระธาตุเวียงอินทร์
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 3 : ลมหนาว
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 2 : โรงการพนัน
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 1 : เมืองหาง
- READ แสนฟ้าพันธุ์คำ : บทนำ