ซ่อนรัก บทที่ 26 : เหตุผลของวิศว์

ซ่อนรัก บทที่ 26 : เหตุผลของวิศว์

โดย : โสภี พรรณราย

ซ่อนรัก โดย โสภี พรรณราย เมื่อความรักพังทลาย ปารีสจึงออกเดินทางด้วยหวังว่าโลกกว้างจะช่วยเยียวยาหัวใจ แต่สิ่งที่เธอคิดและตัดสินใจอาจไม่เป็นอย่างที่คาด เมื่อหนุ่มหล่อเข้มคนนี้เข้ามาในชีวิต และความหลังของหล่อนกับเขาเป็นความรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

แล้ววันนี้ทุกอย่างต้องกระจ่างชัด

ปารีสตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับวิศว์อีกครั้งแบบไม่ให้มี ‘อะไร’ ติดค้างในใจและสงสัย โดยมีกุลวดีกับหฤทัยเป็นเพื่อนเคียงข้างให้กำลังใจ

ต้องรู้ความจริง…

ที่ร้านของรัศมีที่กำลังตกแต่ง ที่วิศว์มาดูแลทุกวันอย่างเร่งด่วน อยากให้เสร็จงานอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอุเทนกับรัศมี กับอดีตที่เจ็บปวดของปารีส

วิศว์คิดว่าตัวเองหวังดีต่อคนรัก แต่เขาอาจคิดผิด ในขณะที่กำลังคุยกับช่างและบรม…พอมองออกไปข้างนอกร้านที่บรมเป็นคนสะกิดบอกเพื่อน ก็เจอสายตาสามคู่ ปารีส กุลวดีและหฤทัย

วิศว์เห็นสายตาของปารีส…เขาเข้าใจทันที มันเกิดอะไรขึ้นกับความเย็นชาที่ได้พบกัน เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องที่เขาปกปิด

หฤทัยนี่เข้าไปจัดการกับวิศว์ก่อนอย่างคนใจร้อน

“คุณทำแบบนี้กับเพื่อนฉันได้ยังไง ฉันหลงชื่นชมคุณว่าคุณเป็นคนดี คุณเก็บเพชรได้และคืนคุณนิกร ฉันแทบอยากลงไปกราบคุณเลย พอรู้ว่าคุณเป็นแฟนเพื่อนรักฉัน ฉันก็คิดว่ายัยปาเลือกถูกคน แต่คุณกลับมารับงานตกแต่งร้านให้นายอุเทน แฟนเก่ายัยปา แถมยังปกปิดไม่ให้ยัยปารู้เรื่อง

กุลวดีก็เสริมทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะต่อว่าใครเลย

“แสดงว่าคุณรู้ตัวว่าไม่ควรทำ แต่ยังทำ คุณทำให้ยัยปาเสียใจมาก คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณผิด!”

“ผม…” วิศว์ตั้งหลักแทบไม่ถูก

บรมรู้อะไรเป็นอะไร มองเพื่อนสลับกับปารีส และต้องทำอะไรสักอย่าง ถ้าเพื่อนสองสาวยังอยู่ด้วย ไม่มีทางจะปรับความเข้าใจกับปารีสได้ เขาจึงพยักหน้ากับวิศว์และพูดว่า

“แกเคลียร์กับแฟนแกนะโว้ย ด้านคุณกุลวดีกับคุณหฤทัย กันจัดการเอง”

หฤทัยโวยวายกลับบรม

“จัดการยังไง…จัดการยังไง?”

“สองคนมากับผมหลังร้านเลยครับ”

“ทำไมต้องหลังร้าน”

“ผมจะพูดความจริง”

“ก็พูดกันที่นี่เลยสิ”

“ผมว่าควรให้คนสองคนคุยกันเองดีกว่า พวกเราเป็นคนนอก แต่ผมสามารถชี้แจงได้ เพราะผมเป็นต้นเหตุ”

วิศว์กับปารีสเดินออกไปจากร้าน เพื่อคุยกันสองต่อสอง หฤทัยจะเดินตามแต่ถูกบรมคว้าแขน

“อย่าไปครับ”

หฤทัยแอบยิ้ม แหมเล่นถูกเนื้อต้องตัวฉันเลยนะ…พ่อรูปหล่อ มาดดี ลึกๆ เธอก็พอใจเขาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว จึงแอบยิ้มให้กุลวดี โดยที่กุลวดีก็รู้ว่ายิ้มของเพื่อนมีความหมาย

“คุณ…คุณ…คุณอย่าลากฉันสิ”

“เชิญครับทั้งสองคน ผมมีเรื่องต้องชี้แจง”

เมื่ออยู่หลังร้าน สองคนก็กอดอก รับฟังธรรมอธิบาย และคำอธิบายก็คือ…บรม…เขาเองล่ะ เป็นคนรับงานนี้ ตั้งแต่วิศว์ยังเดินทางเที่ยวยุโรปอยู่เลย โดยที่บรมไม่รู้ว่าวิศว์พบรักและแต่งงานกับปารีสที่อิตาลี

“สัญญากับคุณรัศมีก็เซ็นต์กันแล้ว ผมก็เลยต้องขอให้ไอ้วิศว์มันทำงานให้”

“คุณยกเลิกสัญญาได้นี่” หฤทัยแย้ง “ต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่ก็จ่ายไป”

“เรื่องต้องจ่ายเงินก็พอคุยกันได้ แต่อย่าลืมว่าบริษัทจะเสียหายแค่ไหน ชื่อเสียงของพวกผม ไม่คุ้มกับการยกเลิกสัญญาแบบไม่มีเหตุผล”

“เหตุผลมันเกินพอ ความรู้สึกของเพื่อนฉันมีค่ามากกว่าเงิน”

“คุณปารีสควรรู้จักแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร วิศว์มันจำเป็นต้องรับงานเพราะผมเอง”

“ผู้หญิงอ่อนไหวง่ายนะคุณ”

“ต้องแยกงานกับเรื่องส่วนตัวครับ”

“พูดยังกับพวกคุณไม่ผิด”

“ผมไม่รู้สึกผิดจริงๆ นะ เพราะมันเป็นงาน” เขาเน้น

“ความรู้สึกเพื่อนฉันล่ะ?”

“ถ้าเพื่อนคุณมีเหตุผล”

“นี่…นี่…คุณรับงาน คุณก็ผิด”

“อ้าว…ใครจะไปรู้ ใครเป็นใครล่ะครับ”

“คุณผิด…ผิดและผิด”

“อ้าว…กลายเป็นคุณไม่มีเหตุผลเอง”

หฤทัยทำท่าจะเถียง กุลวดีอีกตามเคยที่ต้องเบรค

“พอเถอะ คุณบรมก็อธิบายแล้ว เขารับงานเองเพราะไม่รู้ มีสัญญากันด้วย อย่าทำให้บริษัทพวกเขาเสียหาย ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว”

หฤทัยก็งอแงไปตามเรื่อง ประสาคนรักเพื่อน

“เห็นใจยัยปานี่นา”

อีกฝ่ายหนึ่ง วิศว์กับปารีส คู่กรณีโดยตรง ที่สุดท้ายก็ออกมานั่งดื่มกาแฟและคุยกัน โดยฝ่ายชายเริ่มต้นหลังจากกาแฟยกมาเสิร์ฟและพนักงานเดินจากไป

“ผมผิดเองล่ะที่ไม่บอกคุณแต่ต้น”

การยอมรับผิดง่ายๆ เป็นเรื่องที่ฝ่ายหญิงไม่คาดคิด เพราะคิดว่าเขาต้องหาทางแก้ตัวสารพัด

“หรือคะ”

“ผมผิดจริงๆ ทั้งที่ผมควรพูดกับคุณทุกเรื่อง ผมคิดไปเองว่าพูดแล้วคุณจะไม่สบายใจ ผมรับงานเพราะมีสัญญากับทางนั้น ผมไม่คิดว่าการปกปิดจะยิ่งทำให้คุณคิดมาก ทำให้คุณไม่พอใจ โกรธผมได้นะ แต่อย่าโกรธนาน ผมยอมรับผิดแล้ว แต่ผมขอให้ทำงานให้เสร็จตามตกลง เราเร่งงานอยู่ อีกเดือนสองเดือนก็เรียบร้อย”

เงียบ…

“คุณจะไม่พูดอะไรบ้างหรือครับ ต่อว่าผมก็ได้ ผมยอมรับทุกอย่างโดยไม่เถียงคุณเลย”

สุดท้ายเธอถอนใจยาว

“ตอนแรกพอพูดรู้เรื่องก็ไม่พอใจ ฉันอยากรู้จักปากคุณมากกว่าเห็นด้วยตาตัวเอง”

“ผมคิดน้อยไปหน่อย ผมขอโทษ”

“คุณ…”

“เราแต่งงานกันแล้ว ถ้าผมผิด ผมก็ขอโทษ ผมไม่รู้สึกเสียหน้าอะไร เพราะผมรักคุณมาก”

“คุณ…”

“อย่าโกรธเลยนะครับ”

“ฉัน…ฉัน…ไม่อยากให้คุณทำงานกับพวกเขา”

“ผมรู้…แต่อารมณ์มันรับงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”

“พวกเขา…”

“ดีเสียอีก ผมจะได้รู้จักพวกเขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากคำบอกเล่าของคุณ”

“แล้วคุณคิดว่าพวกเขาเป็นอย่างไร?”

“มันเร็วไปที่จะสรุป อะไรๆ มันยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่ผมอยู่ฝ่ายคุณเสมอ ผมเชื่อในเรื่องที่คุณเล่า ผมจะเห็นทุกอย่างชัดเจนในอนาคต หายโกรธผมหรือยังครับ”

ปารีสถอนใจยาว

“ฉันผิดเองใช่ไหมคะ ที่เก็บความไม่สบายใจไว้”

“ถ้าวันที่เราเจอกัน คุณถามผม คุณก็จะได้คำตอบ”

“คุณเองก็ไม่บอกทันที”

“ผมเองก็น้อยใจคุณ กลับมาเมืองไทยไม่บอกผม”

“อย่าพูดเลยค่ะ”

“ทีแบบนี้จะไม่ให้ผมพูด แต่ไม่พูดก็ได้ครับ เพราะผมต้องไม่คิดมาก เป็นผู้ชายต้องไม่คิดจุกจิก ผู้หญิงจะรำคาญ”

ฝ่ายหญิงเริ่มมีรอยยิ้ม แต่ยังยิ้มไม่สุด เท่านี้วิศว์ก็ใจชื้นและมีรอยยิ้มกว้าง มีความหวังกับการเริ่มต้นชีวิตที่เมืองไทย

“เรามาเริ่มต้นชีวิตคู่กันนะครับ”

“นี่ล่ะ…ผู้ชาย ผู้ชายที่ตรงไปตรงมาและใจร้อน

“ลืมที่เราเคยคุยกันแล้วหรือคะ การแต่งงานของเรา ขอเป็นเรื่องของเราสองคน ฉันยังไม่อยากให้ใครรู้ นอกจากยัยวดีกับยัยทัย เพื่อนตายของฉัน คุณก็คงยังไม่บอกใคร”

“ผมก็มีแต่บรมล่ะ ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง”

“ขอเท่านี้นะคะ”

“ผมอยากบอกป้าผมเหลือเกิน”

“พ่อกับแม่ฉันก็ยังไม่รู้เรื่องนะคะ”

“โอเคครับ เป็นความลับก่อน” พูดว่าโอเค แต่คนพูดก็นึกน้อยใจ หากว่าเขาก็อยากตามใจเธอ ขอเพียงเธอสบายใจ และรอให้พร้อม เพื่ออนาคตจะได้สมบูรณ์ที่สุด พร้อมที่สุด แล้วผมจะย้ายไปอยู่กับคุณได้เมื่อไหร่?”

“เอ้อ…”

“ผมมีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว คุณมีคอนโดส่วนตัวนี่ครับ”

คอนโดที่เธอเคยเล่าว่ามีสองห้องซื้อติดกันและต่อเชื่อมกันด้วยประตูกั้น เป็นบานเลื่อนพิเศษ

“คุณใจร้อนเหลือเกิน”

“ผมก็อยากอยู่กับเมียผมนี่”

“เดี๋ยวให้แม่บ้านคอนโดไปทำความสะอาดก่อนนะคะ”

“คืนนี้ไม่ได้คืนนี้เลยไม่ได้เหรอครับ?” แววตาชายหนุ่มเว้าวอนแปลกๆ

ผู้ชายล่ะนะ อยากอยู่ใกล้เมียเป็นธรรมดา ห่างกันเป็นเดือน ไม่คิดถึงสิตลก ข้าวใหม่ปลามันแท้ๆ

ปารีสรู้ความนัยในประโยคนั้น และรู้ด้วยแววตาที่เขาแสดงออก

“ไม่ได้ค่ะ!” บอกเสียงดังฟังชัด

 

“ดีใจด้วยโว้ยที่เข้าใจกับเมีย บรมโล่งอก เมื่อเห็นฤทธิ์เดินยิ้มแย้ม “กันรู้ว่าผู้หญิงก็แบบนี้ล่ะ ใครจะชอบที่ทำงานให้แฟนเก่า กันผิดที่ไม่รู้ แต่คุณปารีสของแกต้องเข้าใจในที่สุดล่ะว่า งานกับเรื่องส่วนตัวต้องแยกให้ชัดเจน”

“ใครถูกใครผิดช่างเถอะ แต่ถ้าเธอโกรธ ต้องยอมรับไว้ก่อน กันไม่เพิ่มปัญหาให้ใหญ่โตมากขึ้น เพราะเรื่องจริงคือ ทำให้เธอไม่สบายใจ แค่นี้ก็แย่แล้ว ความรู้สึกผู้หญิงอ่อนไหวง่าย ตอนแกรับงาน กันก็รู้แล้วว่าต้องมีปัญหา เลยไม่บอกเธอยิ่งไม่บอกยิ่งสร้างปัญหา”

“เอาเถอะ…จบสวยก็พอ แล้วพวกแกจะทำอย่างไรต่อไป”

“ย้ายไปอยู่คอนโดกับเธอ”

บรมขมวดคิ้ว

“เออ…จะทิ้งเพื่อนเลย แต่เข้าใจว่ะ แกก็อยากอยู่กับเมียแก ว่าแต่อย่าลืมเพื่อนเลยล่ะ”

“รอให้เธอจัดการเรื่องคอนโดให้เรียบร้อย ทำความสะอาดอีกวันสองวัน”

“แล้วจะแต่งงานที่เมืองไทยไหม ทางนี้แกมีเพื่อนและญาติผู้ใหญ่อยู่นะ”

วิศว์รีบโบกมือ

“คุณปาขอเป็นความลับก่อน มีแต่เพื่อนเธอสองคนกับแกที่รู้”

จากขมวดคิ้ว บรมเลิกคิ้ว

“มีแต่ผู้หญิงอยากเปิดเผยเรื่องแต่งงาน อยากประกาศให้โลกรู้ อยากมีงานหรูๆ แต่งตัวชุดเจ้าสาวสวยๆ นี่กลับให้ปกปิด”

กันตามใจคุณปา เธอยังไม่พร้อม”

“แต่ยอมแต่งงานกับแกที่เมืองนอกนะเนี่ย”

“กันก็ไม่รู้”

“อย่าว่ากันพูดมากเลยนะ บรรยากาศเมืองนอกมันโรแมนติก มันน่าแต่งงานนะ ตัดสินใจง่ายกว่าเมืองไทยนะ”

“เฮ้ย…เรารักกันเราถึงแต่งงานกัน”

“ชีวิตรักพวกแกแปลกดี”

“ขอไว้ก่อนแล้วกัน  อย่าขัดใจคุณปาเลย เธอเป็นผู้หญิง เธอต้องการความมั่นใจอีกระยะ กันต้องสร้างความมั่นใจให้เธอ”

 

ปารีสเดินมาเปิดห้องในคอนโดหรูของตัวเองให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด โดยมีกุลวดีและหฤทัยเดินตามต้อยๆ ฟังเพื่อนรักสั่งงานแม่บ้านคอนโดที่จ้างมาทำงานให้เป็นพิเศษ

หฤทัยแซวเพื่อน

“เอาล่ะ…อย่าลืมเปลี่ยนผ้าปูเตียงด้วย สำคัญตรงเตียงล่ะ ข้าวใหม่ประมาณอะไรไม่สำคัญเท่าเตียง นอนวันๆ อยู่แค่บนเตียงเท่านั้น”

“จะบ้าเรอะ” ปารีสว่า

“อ้าว…ใครบ้า พูดความจริงก็ว่าบ้า ไม่ล่ะ ไม่บ้าเลย เรื่องแบบนี้รู้ๆ กัน”

“ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่”

“แหม…ทำเป็นหน้าแดง”

“ไว้แก้แต่งงานแล้ว จะแซวให้หนัก”

หฤทัยหัวเราะเสียงดัง

“ขอให้เจอเจ้าบ่าวก่อน เพี้ยง ขอให้เจอเร็วๆ อยากแต่งงาน อยากมีผัวแบบแกบ้าง”

กุลวดีโพล่ง

“เห็นมองคุณบรมตาเป็นมัน”

หฤทัยมีหรือจะอับอาย

“ใช่สิ…สมัยนี้ต้องแสดงออกบ้าง  ไม่งั้นจะหาผัวยาก”

“กล้าพูดนะ”

“กล้าสิ ไม่งั้นจะเหมือนแกนะ ที่มอง…มองและมองคุณนิกรมาเป็นปีๆ แต่กินแห้ว เขายังไม่รู้ตัวอีก”

“ไม่…ไม่…พูดแล้ว” รีบเดินตามปารีสไปสำรวจห้อง และดูแม่บ้านกำลังเช็ดโต๊ะตู้ พลางถามเพื่อนว่า “แกกับคุณวิศว์ใช้ห้องเดียวก็พอแล้ว ห้องสำรองอีกห้องไม่เห็นต้องเปิดเลย มันใหญ่เกินไป”

“ก็จริงนะ ขี้เกียจทำความสะอาด” ปารีสเห็นด้วย “ห้องนั้นเผื่อไว้ให้พ่อแม่มาพัก เปิดถึงกันได้เลยดูแลพ่อกับแม่ได้ใกล้ชิด”



Don`t copy text!