นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ

นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

บ่าวผู้หญิงเดินขวักไขว่บนเรือนซึ่งแว่วเสียงเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงกำลังเร่งสั่งการให้ตระเตรียมของแห้งบรรจุลงหีบสำหรับการเดินทางไกล  เสียงฝีเท้าของหลานสาวคนโปรดผู้ก้าวขึ้นเรือนมาทำให้เจ้าของบ้านพักการสั่งการแล้วหันมาหาหญิงสาวเจ้าของร่างบอบบางแต่คล่องแคล่วสง่างาม

“ว่าอย่างไรแม่โชติ  หายหน้าไปเสียหลายวัน  ป้าจะให้คนถือหนังสือไปบอกอยู่เชียวว่าอยากให้เดินทางไปด้วยกัน”

“ไปไหนเจ้าคะคุณป้า”  หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งพับเพียบอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะบัดชายสไบสีม่วงเม็ดมะปรางอย่างเป็นธรรมชาติ

“เพชรบุรีแลเมืองกาญจน์”

“พระองค์จะเสด็จเมื่อไหร่คะ  หลานเห็นคุณพ่อตามคุณลุงมาเข้าเฝ้าอยู่หลายวันแต่ยังมิได้ถามไถ่ความกันเลยค่ะ”

“วันมะรืน  ป้าคิดว่าจะตามไปด้วยแต่ว่าก็ยังไม่แน่ใจเพราะยังมิได้บอกหลานให้เตรียมตัว”

“คุณป้าจะให้หลานตามไปด้วยทำไมกันคะ  บ่าวไพร่ออกมากมาย”

“มากมายแต่ก็ไม่ได้จะติดตามกันไปทุกคนสักหน่อยนะแม่โชติ”​ ผู้อาวุโสกว่ามองหลานอย่างหมั่นไส้ในความช่างต่อล้อต่อเถียงหากเจ้าตัวก็ไม่ถือสา

“หลานต้องช่วยครูสอนหนังสือเด็ก ๆ นะคะคุณป้า  แลงานที่บ้านก็ยุ๊งยุ่ง”  โชติเอ่ยเสียงสูงพลางหลบตาแล้วหันมาอีกครั้งอย่างนึกได้  “คุณป้าคะ  นี่แม่กลอยที่หลานไปช่วยมิให้ถูกขายไปบ้านท่านขุนเจ้าของที่พ่อกับแม่ของงแม่กลอยค่ะ”

กลอยยกมือขึ้นพนมแล้วก้มศีรษะทำความเคารพสตรีตรงหน้าที่ดูน่าเกรงขามหากทว่าแววตาช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างรู้สึกถูกชะตา

“ไหว้พระเถิดแม่กลอย  ฉันได้ยินพ่อหล่อนเล่าให้ฟังเรื่องแม่กลอยแล้ว”​ คุณหญิงอ่วมบอกหลานสาว  “ตกลงหล่อนจะไปกับป้าหรือไม่  แม่โชติ”

“แหม  คุณป้ามิลืมจริง ๆ ด้วย”​ โชติเอ่ยสุ้มเสียงเล็ก ๆ เช่นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่ากำลังเบี่ยงเบนความสนใจ

“ก็ไม่ลืมน่ะสิ  อย่าคิดเปลี่ยนเรื่องเสียให้ยาก  ป้าอยากให้ไปด้วยกันจะได้ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณลุงแลพ่อของหลาน”

“ครานี้ขอผลัดไปก่อนมิได้หรือคะ  นี่หลานก็จะมาขอให้คุณป้าช่วยให้คนไปบอกหมอบลัดเลย์เพื่อไปรักษาคุณน้าจันค่ะ  เธอมิใคร่สบายมาตั้งแต่คลอดแม่เพ็ญ  เห็นคุณน้า  เอ้อ  คุณหลวงทั้งสรรหายาไทยยาจีนไปให้กินก็มิทุเลาสักเท่าใด เธอดูเหนื่อยง่ายแลซูบผอมไปถนัดตาเลยเจ้าค่ะคุณป้า”

แววตาคุณหญิงอ่วมมีความกังวลพาดผ่านเมื่อเอ่ยเรื่องความเจ็บป่วยของคนรู้จัก  แม้มิได้สนิทชิดเชื้อกับหลวงภูบดินทร์พิทักษ์มากนักหากก็พอได้ยินชื่อเสียงจากสามีว่าเขาเป็นคนสนิทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทั้งยังเป็นผู้ดูแลเรื่องการต่อเรือพระที่นั่งที่ทรงสร้างอู่ต่อเรือที่วังหน้า  ทำให้เขาพอคุ้นเคยกับทางฝั่งบ้านสามีพอสมควรเนื่องจากเจ้าคุณกลาโหมพ่อสามีของคุณหญิงนั้นมีอู่ต่อเรือพระที่นั่งเช่นกัน

“จริงฤา  แบบนี้มิดีนัก  เช่นนั้นป้าจะให้คนไปบอกหมอว่าให้ไปบ้านคุณหลวงให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน  ส่วนหล่อนนั้นหากครานี้มิสะดวกใจหรืออยากติดตามอาการแม่จันก็แล้วไป  แต่อยู่ทางนี้ก็อย่าเที่ยวเล่นเพลิดเพลินมากนัก  ไปที่ใดก็จงระวัง  กำแพงมีอยู่ประตูมีช่อง  รู้หรือไม่”  ท้ายเสียงผู้อาวุโสสั่งราวกับรู้เรื่องใดมาทำให้หญิงสาวถึงกับขมวดคิ้วสงสัย

“คุณป้ามีอันใดก็บอกหลานมาตรง ๆ เถิดค่ะ”  โชติทำเสียงเป็นงานเป็นการ

“ที่ถนนเจริญกรุงนั่นมีคนเห็นฝรั่งแตะเนื้อต้องตัวหล่อนด้วยนะ”  คุณหญิงเอ่ยตรงประเด็น

“อุบัติเหตุค่ะคุณป้า”  หญิงสาวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาซึ่งคุณป้าผู้มีความคิดเท่าทันโลกสมัยใหม่ดูจะเข้าใจเธอเป็นอย่างดี  หากก็ยังอดที่จะกังวลไม่ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองหนุ่มสาวต่างเชื้อชาติ

“ป้ามิได้ขัดข้องหากหลานจะคบหาเป็นคนรู้จัก  เพราะหญิงชายก็สามารถรู้จักกันได้เป็นธรรมดา  หากแต่ในสังคมบ้านเราอาจมิเข้าใจถ่องแท้ก็เอาไปพูดกันให้อายขี้ปากชาวบ้าน  ยิ่งหลานเป็นถึงลูกขุนนางวังหลวงที่รับใช้ใกล้ชิด  การจะคบหากับใครย่อมต้องมีคนเห็นแลจับตาดูอยู่ว่าเหมาะควรหรือไม่”

“คุณป้าพูดราวกับว่าหลานทำสิ่งใดไม่เหมาะ”  แววตาหญิงสาวขรึมลงทันที

“หาเป็นเช่นนั้นไม่  แต่หลานเป็นบุตรสาวพระนรินทรราชเสนาแลเป็นหลานของป้าผู้เป็นสะใภ้บ้านเจ้าคุณกลาโหม  แม้มิได้เป็นลูกหลานบ้านนี้โดยตรงหากสายสัมพันธ์ที่เรามีต่อกันย่อมทำให้คุณลุงแลป้าต้องคิดเรื่องในกาลข้างหน้าว่าต้องส่งหลานไปอยู่ในที่เหมาะสมที่สุด”

โชตินิ่งไปอึดใจเพื่อทบทวนไตร่ตรองสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแล้วหญิงสาวก็ตระหนักได้ถึงนัยยะที่ซ่อนอยู่  แม้คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวแต่โชติก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าวันหนึ่งเรื่องการหาคู่ให้เธอจะต้องเกิดขึ้น  แล้วหญิงสาวผู้อยู่ในสถานะเช่นเธอจะมีโอกาสเลือกได้หรือ  แม้จะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างอิสระเสรีทางความคิดหากถึงจุดหนึ่งโชติก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องเข้ามามีบทบาทมาก

“หลานยังมิได้คิดเรื่องนี้ค่ะ  เพราะตอนนี้อยากช่วยเรื่องงานสอนหนังสือกับมิสซิสเฮาส์ไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

“การสอนหนังสือแก่เด็กผู้หญิงเป็นเรื่องดี  หากก็มิเกี่ยวข้องกับการที่หลานจะออกเรือน”  คราวนี้คุณหญิงเอ่ยตรงประเด็น  “เพราะถึงออกเรือนไปหลานก็ยังช่วยมิสซิสเฮาส์ได้  เว้นเสียแต่ว่า”  คุณหญิงหยุดพูดห้วงขณะหนึ่งจนคนตรงข้ามแทบกลั้นหายใจก่อนเอ่ยถามอย่างหวั่นใจ

“เว้นแต่เรื่องใดฤาคะคุณป้า”

“เว้นแต่ว่าหลานจะต้องถูกพาเข้าวังน่ะสิแม่โชติ”

คุณหญิงมองหลานสาวอย่างชั่งใจเพราะเรื่องนี้มีเหตุมาจากการที่หลานสาวอีกคนของเธอซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของเธอด้วยเนื่องจากเป็นบุตรสาวของสามีและน้องสาวคนรองหรือคุณป้ารองของแม่โชติกำลังจะได้รับการถวายตัวให้กับพระองค์ชาย  คุณหญิงคิดว่าแม่โชติเป็นหลานสาวรุ่นใหญ่คงไม่มีใครสนใจว่าจะต้องพาเข้าวังอีกทั้งยังมิได้เกี่ยวข้องโดยสายเลือดกับบ้านนี้  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะเธอได้ยินสามีของเธอหารือกับคุณพระผู้เป็นบิดาของแม่โชติเรื่องนี้อยู่เมื่อไม่กี่วันนี้เองว่าอยากพาแม่โชติเข้าวังไปพร้อมกับบุตรสาว  แม้มิได้เพื่อถวายให้เป็นหม่อมห้าม  แต่การให้ติดตามไปกับว่าที่หม่อมของพระองค์ชายก็ทำให้เป็นที่รู้กันแล้วว่าแม่โชติจะต้องถูกเก็บตัวอยู่ในรั้วในวัง  การที่มีชายใดจะได้เห็นและติดต่อก็อาจยากขึ้น  และผู้ที่เหมาะสมกับหญิงสาวคงมีเพียงแค่เจ้านายหรือข้าราชการตระกูลใหญ่ที่คู่ควรเท่านั้น

 

“หนังสือของนายเทิดร้องเรียนเรื่องใดฤาคะคุณพ่อ”  หญิงสาวเอ่ยถามขณะที่ในมือกำลังสาละวนกับการจัดเตรียมเสบียงของแห้งให้บิดาสำหรับเดินทางไกลไปถึงเมืองเพชรบุรีและกาญจนบุรี

“เรื่องทุจริตของพระยากาญจนบุรีน่ะ  ชาวบ้านเดือดร้อนจากการรีดไถเหลือเกิน  เสด็จไปครานี้คงได้จัดการให้เรียบร้อย  อีกเรื่องนึงคือนอกจากนายเทิดรู้เห็นการทุจริตแล้วก็คือเขายังไปรักกับลูกสาวเจ้าเมืองทำห้เป็นที่รังเกียจเพราะขวางหูขวางตาจนเกือบถูกใส่ร้ายให้ต้องรับโทษ”

“นี่คงเป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ให้นายเทิดหนีมาที่นี่สินะคะ”

“พ่อก็คิดว่าคงเป็นเหตุนี้”  บิดาของหญิงสาวเอ่ยเสียงสุขุมหากแววตาครุ่นคิด

“คุณพ่อมีเรื่องกังวลอันใดอีกฤาคะ”

“มิมีอันใดดอกแม่โชติ  พ่อเพียงแต่ได้ยินเรื่องของลูกมาว่ามีผู้ชายมาพัวพัน”

“ใครช่างกล่าวหาคะ  คำพูดฟังแล้วรู้สึกว่าลูกกระทำสิ่งใดร้ายแรงทั้งที่แท้จริงเพียงแค่สอนหนังสือให้ฝรั่งผู้หนึ่งก็เท่านั้น  แลมิเคยอยู่ลำพังกับเขาเลย”

“พ่อหาได้หมายความเช่นนั้น  เรื่องที่ลูกสอนหนังสือให้ฝรั่งผู้นั้นที่บ้านมิสซิสเฮาส์นั้นแม่เขาบอกพ่อแล้วซึ่งพ่อก็มิได้คิดว่าเสียหายแต่อย่างใด  แต่เรื่องที่อยากให้ลูกระวังคือการที่เขาเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมมากเกินงาม  ยิ่งรู้ว่าเขามากับกงสุลเช่นที่ลูกเคยเล่าให้ฟังยิ่งต้องระวังว่าเขาจะมาเยี่ยงไร  เพลานี้กงสุลฝรั่งเศสผู้นี้ช่างกระทำการมิบังควรเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทยิ่งนักหากก็ทรงมีขันติไม่แสดงออกมาว่าไม่พอพระทัยด้วยเกรงจะกระทบกับความสัมพันธ์”

โชตินิ่งฟังอย่างไตร่ตรอง  หญิงสาวรู้มาเช่นกันว่าเวลานี้เรื่องราวของกงสุลโอบาเรต์นั้นเป็นที่อึดอัดแก่คนในราชสำนักแต่กระนั้นก็ไม่มีใครทำอะไร  กระทั่งเมื่อไม่นานนี้หนังสือบางกอกรีคอเดอร์ของหมอบลัดเลย์นำเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของกงสุลไปลงในทำนองวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งโชติได้มีโอกาสอ่านที่บ้านครูแหม่ของเธอ

“เรื่องที่ลงหนังสือพิมพ์นั่นจริงใช่หรือไม่คะ”

“เป็นเช่นนั้น  กงสุลคนนี้ไม่เกรงใจในหลวงเลย  หนำซ้ำยังไม่มีท่าทีที่จะยอมให้ทางเราเจรจาเรื่องเขมรตามที่เราขอแต่เรื่องการให้คนที่อยู่ในร่มธงของเขาหลับเรียกร้องมากมายเกินไป”

“เรื่องคนที่เปลี่ยนไปเข้ากับเขาแล้วไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่คะ”  เมื่อเห็นบิดาพยักหน้าหญิงสาวจึงเล่าเรื่องราวที่เป็นเหตุให้เธอกับมิเชลต้องใกล้ชิดจนเป็นที่กล่าวถึงไปทั่วในสายตาคนที่มองมา  “วันนั้นคนที่เปลี่ยนไปเข้ากับฝรั่งเศสผู้นั้นมาทำตัวระรานไปทั่วมิได้เกรง  แม้คุณหลวงจะเข้าไปปรามก็หาได้เกรงใจไม่”  โชติหมายถึงหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ผู้ผ่านไปแถวถนนเจริญกรุงพอดี

“กงสุลเคยขอไว้เรื่องการที่คนของเขาทำผิดว่าเป็นคนถือศาสนาเอมเปเรอจึงขออย่าให้จับแลตั้งกฎหมายใหม่ว่าหาผิดโทษตายก็ของให้เพียงเนรเทศอย่าให้ถึงกับโทษประหาร  ซึ่งในหลวงไม่ทรงตอบรับแต่ทรงให้เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ได้กระทำไว้”

“ในความเป็นจริงหากทางเขามิจัดการให้คนร้ายรับโทษสยามก็มิอาจทำอันใดได้ใช่หรือไม่คะ”

“ใช่  ลูกเข้าใจถูกต้องแล้วแม่โชติ”  พระนรินทรราชเสนามองบุตรสาวคนเดียวอย่างพินิจ  ปีนี้โชติเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มวัยทั้งร่ายกายและความคิด  สำหรับผู้เป็นบิดาเช่นเขาแม้มิได้ใกล้ชิดเท่ามารดาหากการที่มีเวลาพูดคุยกับโชติเสมอทำให้เขารู้ดีว่าโชติเป็นหญิงสาวที่มีความคิดแตกต่างจากคนอื่นในพระนคร  แม้ต้องปฏิบัติตัวไม่ต่างบุตรสาวบ้านขุนนางคนอื่นในเรื่องการแต่งกายและเรียนรู้การบ้านการเรือนต่าง ๆ ให้สมกับที่อยู่ในตระกูลขุนนางหากแต่โชติกลับมิได้ฝักใฝ่ในเรื่องการออกเรือน  อาจเพราะแม่แสงผู้เป็นภรรยาของเขาเป็นหญิงที่มีกิจการค้าขาย  แม้มิได้แต่งงานกับเขาฐานะของแม่แสงก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้  เขาคิดว่าแม่โชติคงซึมซับความคิดเหล่านี้มาจากมารดา  ทั้งยังได้คุลกคลีกับทั้งพี่สาวของเขาและมิสซิสเฮาส์ทำให้โลกการเรียนรู้ของผู้เป็นบุตรสาวก้าวออกไปไกลกว่าเรื่องของตนเอง

“พ่อคิดว่ากลับมาคราวนี้ในหลวงคงได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ที่รอเจรจากับทางฝรั่งเศสแต่ยังไม่เป็นผลสักที”

เสียงสุดท้ายก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะลุกจากไปพาให้หญิงสาวคิดตามว่าการเจรจาเรื่องดินแดนเขมรซับซ้อนละเอียดอ่อนยิ่งนัก  ยิ่งท่านกงสุลฝรั่งเศสผู้นี้ไร้ทีท่าประนีประนอมหากแต่มาเพื่อจุดประสงค์อันชัดเจนยิ่งทำให้ผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทเช่นบิดาของโชติรวมทั้งคุณลุงของเธอรับรู้ได้ถึงเมฆหมอกอันอึมครึมระหว่างสองประเทศผ่านผู้เป็นประมุขแห่งสยามและผู้แทนพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ อันมีนามว่าโอบาเรต์

ใจของโชติประหวัดถึงชายหนุ่มผู้ใกล้ชิดท่านกงสุลทันที  หญิงสาวคิดว่ามิเชลคงจะไม่มีส่วนรู้เห็นความเป็นไปในการทำงานของท่านกงสุลตามที่เขาเคยกล่าวอ้างมาแล้ว  แค่คิดหญิงสาวก็แปลกใจในความรู้สึกของตนเองที่เกิดขึ้นเพราะความเกี่ยวข้องหรือรับรู้การทำงานของเขากับกงสุลหาควรได้เกี่ยวกับเธอไม่ว่าทางตรงก็ทางอ้อม  เพราะอย่างไรเสียเขากับเธอก็เป็นคนต่างชาติต่างภาษาที่บังเอิญเวียนมาบรรจบพบกันชั่วคราวเท่านั้น

นอกเสียจากว่าความรู้สึกที่กำลังก่อตัวเงียบ ๆ ในใจโชติขณะนี้มิได้เป็นเพียงแค่ที่หญิงสาวเข้าใจ  หรือแท้จริงแล้วลึกลงไปอาจมีความรู้สึกอื่นซุกซ่อนอยู่มากเกินกว่าที่เธอรู้

หรืออาจรู้แต่มิอาจทำใจยอมรับมัน



Don`t copy text!