เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ “สมาคมเถ้าศักดิ์สิทธิ์”

เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ “สมาคมเถ้าศักดิ์สิทธิ์”

โดย : เนียรปาตี

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ชายสี่คนจับขาแกะนอนหงายขึงพรืดบนแท่นบูชา หญิงชราเงื้อมีดขึ้นสุดแขนแล้วปักลงมาอย่างแรง มือเหี่ยวเหมือนซากไม้แห้งที่กุมด้ามมีดเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนลากคมมีดกรีดท้องแกะเป็นทางยาวสุดช่วงลำตัว จากนั้นนางก็เกลือกหน้าดื่มเลือดสดๆ อย่างกระหายในช่องท้องแกะซึ่งไร้ลมหายใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเลือดแดงฉานจึงอาบไปทั้งใบหน้าไม่ผิดอะไรกับภาพของนางปีศาจ

เบ็ตตี้เข่าอ่อนแทบจะทรุดลงตรงนั้น

หญิงชราหันขวับมายังจุดที่ชาวต่างชาติผิวขาวยืนอยู่ ชี้นิ้วตรงมาอย่างไม่รู้ว่าหมายความอย่างไร ในวินาทีต่อมานางก็พ่นเลือดมาทางผู้ที่ยืนอยู่ เบ็ตตี้กรีดร้องสุดเสียงก่อนหน้ามืดเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น วิลเลียมและลีรอยช่วยกันประคองหล่อนออกไป ในขณะที่แกะตัวใหม่กำลังถูกหามเข้ามาเพื่อประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับตัวแรก

“ป่าเถื่อนอะไรอย่างนี้”

เบ็ตตี้ครางออกมาเมื่ออยู่นอกวิหาร สูดอากาศเข้าปอดเพื่อเรียกสติและขวัญของตนกลับคืนมา

วิลเลียมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นหลังจากหญิงชราก้มลงไปเกลือกหน้าดื่มเลือดในท้องแกะเป็นครั้งที่สอง นางโยกไหวตัว กล้ามเนื้อแข็งเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนไปทั้งร่าง แกะตัวที่สองคงได้ชิมคมมีดแล้ว เพราะเสียงสาธุการระงมกึกก้อง ตามด้วยเสียงปี่แหลมหากกระด้างก็แผดขึ้นมาเสียดเข้าไปในหู คนในวิหารพรูออกมาตั้งขบวนกันด้านนอก

มัลลิกาชวนให้ดูต่อ วิลเลียมและลีรอยไม่อยากพลาด แต่ขอสังเกตอยู่ห่างๆ เท่านั้น

กลุ่มชายฉกรรจ์หน้าขบวนเต้นรำย่ำเท้าส่ายหัวโยกตัวกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่สอดคล้องกับจังหวะดนตรี ทว่าที่หวาดเสียวจนแทบกลั้นหายใจ คือภาพเด็กชายสองคนที่ท่อนบนเปลือยถูกดึงออกมาอย่างทารุณ ข้างลำตัวถูกเจาะรูร้อยเชือกไว้ เมื่อถูกดึงหนังส่วนนั้นจึงยืดออกมา เลือดไหลซิบชวนสยดสยองและสังเวชใจไปพร้อมกัน

หญิงชราผู้บัดนี้ทั้งร่างเปรอะไปด้วยเลือดก้าวออกจากวิหารเป็นคนสุดท้าย ตามหลังเด็กชายคู่นั้น บนศีรษะของนางเทินหม้อทองแดงบรรจุถ่านไม้ที่ไฟลุกโชน แต่นางจะสะทกสะท้านก็หาไม่ วิลเลียมมองตามอย่างไม่เชื่อสายตา หม้อทองแดงร้อนๆ อย่างนั้น โดยปกติแค่แตะผ่านๆ ปลายนิ้วยังแทบไหม้ แต่นี่นางเทินไว้บนหัว ไฉนหนังศีรษะนางจึงไม่ไหม้ติดหม้อ

“ชาวบ้านเชื่อว่านางถูกปีศาจสิง จึงเทินหม้อไฟไว้บนหัวได้” มัลลิกาบอกเหตุผลที่ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาในตัวหญิงชราผู้นั้น “ทุกคำที่นางเอ่ยออกมาล้วนเป็นคำพยากรณ์ที่ต้องนำไปตีความ จะจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พวกเขายินดีจ่ายเงินบูชาเพื่อให้นางทำพิธีนี้”

“ป่าเถื่อนและทารุณที่สุด” เบ็ตตี้อดไม่ไหว เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะมิอาจทนดูได้อีก

“พวกเขาจะไปที่ไหนกัน แล้วเด็กสองคนนั้นจะเป็นอย่างไร” แววตาของวิลเลียมฉายแววประหวั่นพรั่นพรึง “หวังว่า…จะไม่เหมือนกับแกะสองตัวนั้น”

มัลลิกาไม่ตอบ หากใช้วิธีเดียวกับคราวแรก คือถามความสมัครใจ

“พวกคุณอยากตามไปดูให้จบพิธีไหมล่ะ”

“ไม่ละ” วิลเลียมส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมไม่อาจทนดูอะไรที่เลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีก”

เด็กชายสองคนที่ถูกจูงไปในขบวนหันมาทางกลุ่มชาวอังกฤษ วิลเลียมเห็นแววตาวิงวอนของทั้งคู่แล้วยิ่งเวทนาต่อชะตากรรมของทั้งคู่ หวังว่าจุดจบจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด หากชายหนุ่มทำได้เพียงภาวนา…ขอพระเจ้าคุ้มครอง

“กรี๊ด!”

เบ็ตตี้ร้องขึ้นมาเพราะจู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาหล่อน เอาผงขี้เถ้าสีเทาปนเหลืองกลิ่นเหม็นเอียนมาป้ายหน้าและเนื้อตัวของหล่อน

วิลเลียมและลีรอยก็ถูกทำแบบเดียวกัน จึงต่างปัดป่ายป้องกันตัวผลักผู้เข้ามาจู่โจมให้ล้มไป รีบควบม้าออกมาให้ไกลจากจุดนั้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เบ็ตตี้โวยวายมัลลิกา ถือเอาว่าหญิงสาวเป็นตัวแทนของคนป่าเถื่อนกลุ่มนั้น

“พวกนี้คือกลุ่ม ‘สมาคมเถ้าศักดิ์สิทธิ์’ เป็นกลุ่มที่ต่อต้านพวกที่นับถือคริสต์”

“บ้า! บ้าที่สุด” เบ็ตตี้ฉุนจัด “แล้วทำไมต้องเอาโคลนมาป้ายฉันด้วย”

“ขี้เถ้าสีไม้จันทน์” มัลลิกาแก้ไขให้ถูกต้อง “คนในสมาคมนี้สาบานต่อพระศิวะว่าจะต่อต้านการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้ถึงที่สุด บางทีก็ให้แก๊งอันธพาลเข้าไปปล้นและทำร้ายพวกสอนศาสนาหรือชาวอินเดียที่หันไปนับถือคริสต์ คนในสมาคมนี้จะแสดงสัญลักษณ์ด้วยการทาขี้เถ้าสีของไม้จันทน์ที่หน้าผาก แขน และหน้าอก”

“แล้วเธอล่ะ ทาไว้ตรงไหน” เบ็ตตี้ย้อนแดกดัน หากมัลลิกาคงข่มอารมณ์ให้นิ่ง

“ไม่มี เพราะฉันไม่ได้อยู่ในสมาคมนี้” น้ำเสียงมัลลิการาบเรียบ…เรียบจนวิลเลียมจับได้ว่ามีนัยบางอย่างอยู่ในคำตอบของหล่อน

“ฉันนับถือคริสต์”

เบ็ตตี้ทำหน้าเยาะอย่างไม่เชื่อถือ

“อย่าบอกนะว่าเธอในศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า” หญิงสาวค่อนแคะ หากคำตอบของมัลลิกาทำให้เบ็ตตี้ปิดปากเงียบไปตลอดทางที่ควบม้ากลับที่พัก

“เปล่าเลย แต่ฉันเปลี่ยนตามที่พวกบริติชราชอยากให้เราเป็น เพราะฉันอยากรู้วิธีคิดแบบบริติชราช ว่ากันว่าถ้าเราอยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าในทางดีหรือร้าย ให้ดูจากภาษาและสิ่งที่เขาเคารพศรัทธา ฉันจึงตั้งใจเรียนภาษาและวัฒนธรรมของบริติชราช เปลี่ยนศาสนาตามที่เขานับถือ ให้รู้วิธีคิด จะได้ไม่ถูกเอาเปรียบมากไปกว่าที่พวกเราเผชิญอยู่ทุกวันนี้”

กลับถึงโรงแรมเพียงชั่วเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่ามีคนมาขอพบมัลลิกา เขาเป็นผู้ที่หล่อนคุ้นเคยดี เพียงแต่แปลกใจว่ามาหาหล่อนถึงนี่ทำไม เมื่อมัลลิกาปรากฏตัวในส่วนรับแขกพร้อมกับเพื่อนชาวอังกฤษ ชายวัยกลางคนในชุดสีขาวที่คอยอย่างร้อนรนกระวนกระวายก็ลุกขึ้นแสดงความเคารพ มัลลิกาแนะนำให้เพื่อนชาวอังกฤษรู้ว่าชายคนนี้คือพ่อบ้านของมาจิด…เจ้าบ่าวในขบวนที่พบวันก่อน

ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าเจ้าบ่าวผู้นั้นคือคนรักเก่าของมัลลิกา

“มาจิดมีอะไรจะบอกกับฉัน” มัลลิกาไม่อ้อมค้อม

“หามิได้นายหญิง แต่กระผมอยากให้นายหญิงไปช่วยนายน้อย ก่อนที่จะสายเกินไป”

“เขาเป็นอะไร” น้ำเสียงนั้นค่อนข้างเย็นชา “เพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่วัน เขาน่าจะมีความสุขมากนี่”

“เปล่าเลยนายหญิง นายน้อยป่วยหาสาเหตุไม่ได้ ตอนนี้ที่บ้านกำลังตามหมอ”

ชาวอังกฤษทั้งสามเข้าใจเรื่องทั้งหมดเพราะมัลลิกาเล่าให้ฟังตลอดการสนทนากับพ่อบ้านของฝ่ายนั้น และพอจะรู้นัยเบื้องหลังในความสัมพันธ์นี้เมื่อมัลลิกาบอกว่า

“ครอบครัวของมาจิดและเจ้าสาว เป็นแกนนำสมาคมเถ้าศักดิ์สิทธิ์”

ได้ยินแค่นี้เบ็ตตี้ก็ขนลุกเกรียวขึ้นมา แต่วิลเลียมคิดว่ามีอะไรมากกว่านั้น

“มาจิดก็เหมือนกับฉัน เขาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาของบริติชราช”

“นายหญิงไปช่วยนายน้อยด้วยเถิด รีบไปตอนนี้เลย ก่อนที่นายน้อยจะถูกกรีดเลือดออกไปจนหมดตัว” พ่อบ้านของมาจิดเร่งเร้า

มัลลิกาไม่คิดว่าตนเองจะช่วยอะไรได้ คนที่บ้านนั้นรังเกียจว่าหล่อนเป็นพวกนอกรีต เอาใจพวกบริติชราช และมัลลิกาเป็นคนชักนำมาจิดไปในทางที่ขัดแย้งกับคนทางบ้าน จึงคัดค้านขัดขวางสุดความสามารถ หากกระนั้นมัลลิกาก็ตกลงที่จะไปพบมาจิด โดยให้ผู้จัดการโรงแรมขับรถไปส่งหล่อนพร้อมกับเพื่อนชาวอังกฤษ

ครั้นถึงบ้านของมาจิดก็พบว่าสายเกินไป

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวทรงสำอางในวันก่อน บัดนี้นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง แขนข้างหนึ่งห้อยลงมา มีรอยกรีดที่เลือดไหลออกมาเป็นทางลงไปในอ่างที่รองไว้เกือบเต็ม ตามลำตัวยังมีฝูงปลิงเกาะกระจายไปทั่ว ผู้เป็นหมอนั่งดูอาการ ส่วนภรรยาและแม่ของมาจิดกำลังสวดวิงวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า

หญิงสาวตรงไปนั่งข้างเตียง ไม่สนใจว่าสายตาอื่นจะพุ่งมาที่หล่อนอย่างไร

“ฉันดีใจที่ได้พบเธอ ก่อนที่ฉันจะไม่เหลือสติรับรู้ หรือตายไปในวันพรุ่ง”

มัลลิกาเอื้อมมือไปแตะดวงหน้าชายหนุ่มอดีตคนรัก หลายคนคิดว่าหล่อนอาลัย หากแท้จริงแล้วมัลลิกากำลังตรวจอุณหภูมิและชีพจรของมาจิด นิ้วเรียวเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างครู่เดียวแล้วจึงระบายลมหายใจช้าๆ…อย่างโล่งใจ

“หมอถ่ายเลือดเสียให้เธอแล้ว แถมยังเอาปลิงมาดูดเลือดช่วยอีกทาง พรุ่งนี้เธอคงดีขึ้น ไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก”

“ฉันขอร้องพ่อ ให้ตามเธอมารักษา แต่พ่อไม่ยอม”

“ไม่แปลกนี่ เพราะในสายตาของครอบครัวเธอ ฉันเป็นทาสของเจ้าจักรวรรดิ เธอเองก็รู้ดีว่าที่เราต้องแยกทางกันเดินเพราะอะไร และต่อให้พ่อเธอยอมให้ฉันรักษา ฉันก็จะไม่ฉีดยาให้เธอ แต่จะใช้วิธีกรีดเลือดเหมือนกัน”

“ถ้าเธอลงมือเอง ฉันยอมทุกอย่างไม่มีเงื่อนไข ขอให้เธอเป็นคนลงมีดเองเถอะ ปักที่หัวใจนี้เลยก็ได้ กดให้ลึก กรีดให้กว้าง เธอจะเอาเลือดจากหัวใจฉันไปเท่าไรก็ได้ ถ้าเธอได้เห็นว่าจนถึงบัดนี้ฉันก็ยังไม่เคยมีใครอื่น นอกจากเธอ”

“เธอเพ้อใหญ่แล้วละ”

“ฉันไม่ได้เพ้อ ฉันพูดความจริง เธอจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม ถ้าฉันหายแล้วฉันจะไปพบเธอที่โรงแรมของน้าชาย หรือถ้าเธอจากไปก่อนฉันหาย ฉันก็จะตามไปพบเธอที่บอมเบย์”

“อย่าเสียเวลาเลย มาจิด” มัลลิกาตัดความหวังทั้งมวล “เราอาจไม่พบกันอีกนาน ถือเสียว่าวันนี้ฉันมาลาเธอก็แล้วกัน”

“ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนในอินเดีย ฉันก็จะตามไปพบเธอจนได้” น้ำเสียงของมาจิดมุ่งมั่น

“ฉันเกรงว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉันตั้งใจไปอยู่ที่อื่น”

“ที่ไหน ไกลมากเหรอ ที่บริติชเหรอ”

มัลลิกาส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนบอกคำตอบที่ตนเองก็ยังไม่แน่ใจ

“เบอร์มา หรือไม่ก็…สยาม”

มาจิดแค่นหัวเราะออกมานิดหนึ่งกับคำตอบที่ได้รับ

“ทำไมเธอต้องไปถึงที่นั่น ที่อินเดียยังแร้นแค้นไม่พอสำหรับให้เธอผจญภัยอย่างนั้นหรือ”

“เพราะที่นั่นไม่มีเธอ” น้ำเสียงราบเรียบปราศจากเยื่อใย “ฉันอยากไปอยู่ที่ไหนๆ ก็ได้ที่ไม่มีเธอ”

มัลลิกาหันหลังออกจากคฤหาสน์หลังนั้นโดยไม่ผินกลับไปมอง เพื่อนชาวอังกฤษไม่รบเร้าหรือเพียรปลอบโยนเพราะคิดว่าหล่อนกำลังต่อสู้กับอารมณ์ภายในตัวเองมากพออยู่แล้ว

ใช่! มัลลิกากำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง

สำหรับมัลลิกา…มาจิดเป็นทั้งความสุขและความทุกข์ยิ่งใหญ่ในชีวิต

ฟองคลื่นขาวที่ซัดเข้าสู่หาดทรายทำให้จิตใจของมัลลิกาพลอยสงบลง ก่อนเดินทางมาที่ติรุเชนดูร์ตามแผนการของวิลเลียมที่อยากเห็นวิหารฮินดูริมทะเลที่สวยที่สุดในทมิฬนาฑู มัลลิกาก็ได้ข่าวว่ามาจิดมีอาการดีขึ้นหลังจากหมอกรีดเลือดออกไปสามอ่าง

“เธอจะไปที่เบอร์มาจริงๆ หรือ”

วิลเลียมถามสตรีที่นั่งบนหาดทราย ปล่อยให้ฟองคลื่นซัดสาดเข้ามาโดยไม่สนใจว่าชายส่าหรีจะเปียกหรือไม่ ดวงตางามเขียนขอบเข้มคมทว่าแววเศร้าเหงาลึกปิดไม่มิดจ้องไปยังยอดวิหารใหญ่ใต้ท้องฟ้ายามอัสดง

เขาสังเกตเห็นว่ามัลลิกาเปลี่ยนไปนับแต่หล่อนพ้นจากรั้วบ้านมาจิดด้วยถ้อยคำตัดรอนอย่างสิ้นเยื่อใย หล่อนพยายามทำตัวให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วิลเลียมรู้ว่าหล่อนเปลี่ยนไป เพราะบ่อยครั้งที่มัลลิกาอยู่คนเดียว หล่อนมักมองเหม่อไปยังสิ่งไร้จุดหมายเบื้องหน้า อันเขาประเมินว่าทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุจากมัลลิกายังมีความผูกพันลึกซึ้งกับมาจิด

เกือบสองอาทิตย์ที่มัลลิกาทำตัวเป็นผู้นำเที่ยวเมืองทางใต้ตามแผนการของวิลเลียมที่ต้องการไปพบญาติของเขาให้มากที่สุด ญาติทุกคนต้อนรับเขาและเพื่อนอย่างดีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร ทว่าวิลเลียมก็ไม่รู้สึกว่าผูกพันกับใครเป็นพิเศษ เบ็ตตี้เสียอีกที่เข้ากับทุกคนได้ดีราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัว เพราะหล่อนถือว่าเป็นคนที่พูดภาษาเดียวกัน

จุดหมายสุดท้ายของการเดินทางก่อนกลับกัลกัตตาก็คือวิหารฮินดูริมทะเลที่ติรุเชนดูร์

วิหารที่คุณพ่อ…สาธุคุณแอชลีย์ตั้งเป้าว่าจะสร้างโบสถ์ให้ยิ่งใหญ่กว่าวิหารแห่งนี้

ครั้นตกเย็น มัลลิกาขอแยกตัวออกไปเดินเล่นตามลำพัง วิลเลียมคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้พูดกับหล่อน เขาจึงปลีกตัวจากเบ็ตตี้และลีรอยตามมาจนพบมัลลิกานั่งทอดอาลัยอยู่ที่ชายหาดด้านหนึ่ง

“ฉันหมายถึงว่า เธอมีแผนการแต่แรก หรือเพียงเพราะประชดมาจิดเท่านั้น”

มัลลิกาหันมองชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าอย่างยอมรับว่าเขาอ่านใจหล่อนได้ทะลุปรุโปร่ง จึงสารภาพว่า

“ทีแรกฉันก็แค่ประชดอย่างเธอว่า แต่สองสัปดาห์ที่ได้พบกับญาติของเธอ ฉันก็ตัดสินใจว่าอยากจะไปที่เบอร์มาจริงๆ”

“ทำไมล่ะ เพื่อหนีจากมาจิดน่ะหรือ เขาเองก็ประกาศว่าจะตามหาเธอจนพบ”

หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ มองหน้าหนุ่มตะวันตกนิ่งนานก่อนเอ่ยคำ

“ถ้าฉันบอกเหตุผลที่อยากไปเบอร์มาว่า เพราะฉันอยากเห็นว่าบริติชราชทำลายที่นั่นเหมือนที่ทำกับบ้านของฉันอย่างไร เธอจะยังมองฉันในทางที่ดีอยู่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไป ด้วยไม่นึกมาก่อนว่าเหตุผลของหล่อนจะเป็นเช่นนี้

“ในสายตาของเธอ…และอาจหมายรวมถึงคนที่นี่อีกมาก พวกฉันคงเลวร้ายมากสินะ”

“เธออาจมองว่าเธอเป็นผู้ที่เจริญแล้ว และมีหน้าที่ต้องทำให้ที่อื่นเจริญตามไปด้วย เธอจึงเริ่มด้วยการบอกว่าเราป่าเถื่อน ล้าหลัง และจำเป็นต้องมีผู้ปกครอง เธอจึงครอบพวกเราด้วยระบบของเธอ เพื่อครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของเธอ แต่เธออ้างกรรมสิทธิ์ในสิ่งเหล่านั้นเพื่อจะทำได้ตามใจชอบ” มัลลิกายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าของวิลเลียมสลดลงอย่างที่เขารู้ว่าคำพูดของหล่อนกำลังเอ่ยถึงพวกเขาอย่างสมเพชมากกว่ากลัวเกรง “พวกเราบางคนมองว่า พวกเธอคือโจรที่ปล้นบ้านของพวกเรามากกว่าผู้มาเยือนด้วยความหวังดี เพราะ ‘มิตร’ ที่หวังดีต่อกัน ย่อมไม่เข้ามาทำลายบ้านของมิตร แล้วฉกฉวยของในบ้านเขาไปแล้วประกาศว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตน…จริงไหม”

วิลเลียมนิ่งไปอย่างจนถ้อยคำ เขาสะอึกกับคำพูดของมัลลิกาและไม่พยายามโต้แย้ง หากเบ็ตตี้อยู่ด้วยหล่อนคงค้านหัวชนฝาให้บริติชราชได้รับความชอบธรรม จากจุดไกลๆ ของสายตา วิลลียมเห็นว่าลีรอยพยายามรั้งเบ็ตตี้ไม่ให้พุ่งตรงมายังจุดที่เขาและมัลลิกานั่งอยู่

“แต่ฉันก็ไม่ได้กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของบริติชราชทั้งหมดหรอก อย่างน้อย…การเข้ามาของพวกเธอก็ทำให้ฉันได้เรียนหนังสือ แม้จะต้องแลกด้วยการเปลี่ยนความเชื่อก็ตาม”

“เธอมิได้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงหรอกหรือ”

“พระผู้เป็นเจ้าทั้งของเธอและของฉันคือความเชื่อ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจ” มัลลิกาค่อยๆ อธิบายให้หนุ่มอังกฤษเข้าใจ “ถ้าเธอเคยตกอยู่ใต้อะไรสักอย่างโดยไม่เต็มใจ เธอจะรู้ว่าสิ่งที่ต้องทำคือเอาตัวรอดให้ได้ และบางครั้งก็ต้องพยายามหาทางให้อยู่เหนือกว่า ไม่ว่าที่ไหนในโลกชื่นชมผู้มีความรู้ เพราะความรู้คืออำนาจ แต่ที่อินเดียนี้ผู้หญิงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เด็กสาวอินเดียที่ขับร้องและอ่านบทกลอนได้มีเพียงนางรำในวิหาร ซึ่งมีสถานภาพไม่ต่างจากหญิงคณิกา ฉันจึงยอมเปลี่ยนศาสนา เพื่อแลกกับการได้เรียนหนังสือ”

“และเธอก็ทำได้ดี ฉันไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะเป็นหมอ จนกระทั่งเห็นเธอรักษามาจิด”

อีกครั้งที่เสียงหัวเราะอย่างดูแคลนพ้นจากริมฝีปากเรียวงามของมัลลิกา

“ในสายตาเธอ ผู้หญิงคงเป็นได้แค่เมีย แม่ คนรับใช้ และนางบำเรอสินะ”

“ฉันไม่คิดอย่างนั้น เพราะที่อังกฤษ ผู้หญิงก็ได้เรียนหนังสือ”

“แต่ก็ไม่เท่ากับโอกาสที่ผู้ชายได้รับ…ผู้ชายได้รับโอกาสให้เรียนรู้ ส่วนผู้หญิงถูกกีดกันให้เป็นเพียงผู้สนับสนุนผู้ชาย เธอรู้ไหมว่าฉันไม่ชอบงานเย็บปักถักร้อยเท่าไรเลย สิ่งที่ฉันเย็บบ่อยกว่าเย็บผ้าคือเย็บแผล…แผลสดๆ นี่ละ ฉันคิดว่ามีประโยชน์กว่าการนั่งเย็บผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตาผิงเสียอีกนะ” มัลลิกาแค่นหัวเราะให้ตนเอง “อีกนานเลยละ กว่าคนเราจะมองข้ามเรื่องเพศที่ต่างกันให้เป็นความเท่าเทียมกัน ฉันคงอยู่ไปไม่ถึงวันนั้น ส่วนวันนี้…เธอคงเห็นแล้วว่าต่อให้ผู้หญิงเก่งกล้าสามารถ มีความรู้ทัดเทียมกับผู้ชายได้แค่ไหน ก็ยังถูกมองว่าเป็นเพียงผู้หญิงนอกคอกเท่านั้น”

“เธอเรียนวิชาแพทย์มาจากไหน”

“ก็ทั้งจากหมอสอนศาสนาและญาติๆ ของฉัน” มัลลิกาเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “ตระกูลของฉันกับมาจิด จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เราสืบทอดความรู้เรื่องการรักษาแบบอายุรเวทกันมานาน ฉันน่าจะเป็นคนแรกที่เรียนแพทย์สมัยใหม่ อย่าว่าแต่ครอบครัวของมาจิดเลย ทางฝ่ายฉัน…ญาติบางคนก็ไม่ชอบใจนัก”

“แสดงว่าที่เอาปลิงมาดูดเลือดให้มาจิดนั้น เป็นวิธีการแบบอายุรเวทงั้นหรือ”

“ศาสตร์นี้เก่าแก่กว่านั้น” มัลลิกายิ้ม “เธอมองว่ามันเป็นความเจริญของมนุษย์ไหมล่ะ หรือยังมองว่าเป็นการรักษาที่ป่าเถื่อน”

วิลเลียมเม้มปากแน่น รู้ว่ามัลลิกากำลังย้อนว่าเขาโง่เง่าและหลงตัวเองว่าการเป็นชาวบริติชราชคือผู้ที่เหนือกว่าผู้ใดในโลกทุกด้าน

“ศาสตร์หนึ่งเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากเลือดเสีย การรักษาก็แค่ถ่ายเลือดเสียจากตัวทิ้งไป” มัลลิกาอธิบาย “วิธีง่ายๆ ก็ใช้ทากหรือปลิงมาดูดเลือดเสียออก หรือถ้าอยากให้เร็วกว่านั้น ก็กรีดเลือดเสียทิ้งไปอย่างที่เธอเห็นที่บ้านมาจิดนั่นละ”

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทุกที ลมทะเลที่พัดโชยมาเย็นขึ้น หากหญิงสาวไม่ใส่ใจ มองสองร่างที่เคลื่อนใกล้เข้ามา

“เธอกับเบ็ตตี้จะลงเอยกันเมื่อไหร่ หากเธอต้องไปเบอร์มา เบ็ตตี้จะอยู่อย่างไร”

“ฉันกับเบ็ตตี้เรายังเป็นเพื่อนกัน เบ็ตตี้แค่ส่งฉันเดินทางมาที่นี่เท่านั้น อย่างไรเสียก็ต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวที่อังกฤษ ถ้าฉันต้องไปเบอร์มา ฉันก็คงต้องจัดการให้เบ็ตตี้ลงเรือกลับอังกฤษเสียก่อน ฉันจึงจะเดินทางได้อย่างโล่งใจ แล้วหลังจากนั้น เมื่อฉันกลับไปอังกฤษ ก็คงเป็นเวลาที่ฉันพร้อมจะขอเบ็ตตี้แต่งงาน”

มัลลิการู้สึกว่าท่าทางอย่างหนุ่มนักผจญภัยของวิลเลียมหายไปเมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงที่หาความหนักแน่นไม่พบ

เมื่อฉันกลับไปอังกฤษ…มันดูไม่มีความชัดเจนเลยว่าเมื่อใด หรืออาจไม่มีวันนั้นเลยก็ได้

ร่างของเบ็ตตี้และลีรอยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มัลลิกานึกสนุกที่จะยั่วเย้าเช่นเคยมา จึงคว้ามือวิลเลียมมากุมไว้เพื่อบอกบางสิ่งแก่เขา

“ฉันยินดีที่ได้พบพวกเธอ ขออย่าได้คิดว่าฉันเป็นคนอินเดียและพวกเธอคือบริติชราช แต่ขอให้คิดว่าเราทั้งหมดเป็น ‘เพื่อน’ กัน”

มัลลิกาโน้มหน้าแนบใกล้หูซ้ายของวิลเลียม ในสายตาคนอยู่ไกลย่อมมองเห็นว่าสตรีในชุดส่าหรีนั้นกำลังโน้มหน้าจูบชายต่างชาติอย่างหน้าไม่อาย

“ฉันขอฝากข้อคิดเตือนใจเธอ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันสักสองข้อ ข้อแรก อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน”

มัลลิกาถอนหน้าออกมาแล้วยิ้ม ยั่วให้วิลเลียมถามถึงข้อสอง แล้วหล่อนก็โน้มไปกระซิบที่หูอีกข้างของเขา

“ข้อสอง อย่าประมาทผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัว”

เสียงร้องแหลมดังขึ้นมาก่อนที่ร่างเพรียวในกระโปรงบานยาวถึงข้อเท้าจะมาถึง

“กระซิบกระซาบอะไรกัน เสียงคลื่นดังนักหรือไง จึงต้องแนบใกล้กันอย่างนั้น”

“ฉันกำลังบอกเรื่องสำคัญกับวิลเลียม” มัลลิกายั่วทั้งแววตา สีหน้าและรอยยิ้ม

“แหม…เธอน่าจะบอกให้พวกเรารู้บ้าง” ลีรอยว่าอย่างสนุกเพื่อคลายสถานการณ์

“อันที่จริงก็มิใช่ความลับอะไรหรอก ฉันแค่อยากบอกให้วิลเลียมรู้เป็นคนแรก ในฐานะเพื่อนคนพิเศษ” หล่อนจงใจเน้นคำอย่างมีความหมาย “แต่เธอสองคนมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้บอกเสียเลยว่า ฉันตัดสินใจจะเดินทางไปเบอร์มากับพวกเธอ หากเธอได้รับการตอบรับให้ไปทำงานที่นั่น”

ดวงตาคมดำสนิทหันมามองหน้าขาวที่บัดนี้ซีดราวได้ยินเรื่องชวนสยดสยอง

“ฉันถามถึงเธอ วิลเลียมก็บอกว่าจะเดินทางทันที หลังจากที่ส่งเธอลงเรือกลับอังกฤษไปแล้ว”

เบ็ตตี้สะบัดมองทุกหน้าอย่างขัดใจ หากก็ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี

 

จดหมายจากบริษัทบอมเบย์เบอร์มาส่งมาถึงที่อยู่ของน้าอีวานหนึ่งวันก่อนวิลเลียมกลับ แทบไม่ต้องแกะอ่านชายหนุ่มก็รู้ว่าใจความเป็นอย่างไร ใจเต้นโครมครามเมื่อใช้มีดเปิดจดหมายคลี่กระดาษออก กวาดตามองหาข้อความสำคัญเพื่อตอกย้ำว่าเขาคาดเดาไม่ผิด

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ…เขาคิดตั้งแต่เห็นจ่าหน้าซอง

ถ้าบริษัทจะไม่รับเข้าทำงาน จะเสียเวลาส่งจดหมายแจ้งผลแห่งความผิดหวังทำไม มิสเตอร์โรเจอร์ก็เปรยๆ อยู่มิใช่หรือว่า คนสมัครมีมากแต่ตำแหน่งว่างมีน้อยนิด

ทางบริษัทจะเห็นเป็นการประหยัดหรือสะดวกก็ตามที จึงแจ้งมาในฉบับเดียวกันว่ารับทั้งวิลเลียม บรูค และลีรอย บลูมเมอร์ เข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการปางไม้ที่เมืองละกอน

สายตาของลีรอยและน้าอีวานมองไปยังวิลเลียมด้วยคำถามเดียวกัน…จะตัดสินใจอย่างไร

“ถ้าหลานจะสอบตำรวจใหม่ คงต้องรอไปอีกสักพัก…พักใหญ่ๆ” เพราะในระหว่างที่หลานชายท่องเที่ยวเมืองทางใต้ของอินเดียตามบันทึกของสาธุคุณแอชลีย์ บรูค อีวานก็สอบถามไปยังกรมตำรวจในอินเดีย ว่ามีตำแหน่งว่างที่เมืองไหนบ้าง ระยะเวลาที่ดูจะมีหวังมากที่สุดก็ราวแปดเดือน

“นายต้องรีบตัดสินใจ” ลีรอยอ่านทวนจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง “ถ้าตกลง เราต้องส่งจดหมายตอบรับไปโดยด่วน…ภายในสามวันนี้”

เพราะตอนหนึ่งในจดหมายระบุว่า หากทั้งสอบตอบรับแล้ว มิสเตอร์โรเจอร์จะมาพบที่กัลกัตตาแล้วเดินทางต่อ ได้ไม่เสียเวลาย้อนไปมา ด้วยว่ากัลกัตตานั้นอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและมีพรมแดนติดกับเบอร์มา ซึ่งทั้งหมดนี้คืออาณานิคมของบริติชราช

วิลเลียมอ่านทวนเนื้อความตรงนี้อีกครั้งให้ได้ยินทั่วกัน

“นัดหมายพบกันที่กัลกัตตา เดินทางต่อไปยังมัณฑะเลย์ก่อน แล้วจึงไปที่ย่างกุ้ง เข้าเขตแดนสยามตรงเมืองระแหง แล้วเดินทางต่อไปที่เมืองละกอน”

ชายหนุ่มลังเลไม่นานก็ให้คำตอบแก่ทุกคน

“ฉันตัดสินใจจะเดินทางไปกับมิสเตอร์โรเจอร์คราวนี้ นายว่ายังไงล่ะ ลีรอย”

“นายอยู่ที่ไหน ฉันก็ต้องอยู่ที่นั่น เราเป็นเงาของกันและกันไม่ใช่หรือ” ลีรอยตอบกลับไป วิลเลียมโผกอดเพื่อนรักแทนคำขอบใจทั้งมวลที่จะมีให้ได้ แล้วจึงสบสายตาหญิงสาวหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“เบ็ตตี้…ฉันอาจต้องลาเธอตรงนี้ คงอีกนานกว่าฉันจะได้กลับไปพบเธอที่อังกฤษ”

“อีกห้าวันเรือจากอังกฤษจะเข้าเทียบท่า คงพอดีกับวันที่มิสเตอร์โรเจอร์มาพบหลานทั้งสองแล้วเดินทางต่อ” น้าอีวานบอกแก่ทุกคน แล้วหยุดเฉพาะหน้าหญิงสาว “ไม่ต้องห่วงเรื่องตั๋วเรือไปอังกฤษ น้าจะเป็นธุระให้เอง”

มิสเตอร์โรเจอร์มาถึงก่อนวันนัดหมาย แต่ทั้งวิลเลียมและลีรอยต่างตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งใหม่ รีบจัดกระเป๋าเตรียมข้าวของเรียบร้อยก่อนวันเดินทางเสียด้วยซ้ำ วิลเลียมค่อนข้างโล่งใจเมื่อรู้ว่าเรือกลไฟจากอินเดียไปอังกฤษมีกำหนดออกจากท่าวันเดียวกับวันที่เขาเดินทาง อันหมายความว่าเขาไม่ได้ทอดทิ้งให้เบ็ตตี้ต้องเผชิญโชคตามลำพัง ครั้นคลายใจจากเรื่องทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เขาก็เริ่มนึกถึงจุดหมายใหม่ของชีวิตอีกครั้ง

เมืองชื่อแปลกที่ยังหาพิกัดมิได้บนแผนที่

ละกอน ดินแดนหนึ่งซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้ ทางตอนเหนือของสยาม

 



Don`t copy text!