เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน “ดำเนินไพร-นางในฝัน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน “ดำเนินไพร-นางในฝัน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

หนานทิพย์ค่อนข้างพอใจเมื่อพาคณะเดินทางมาถึงบ้านแล้วพบว่าลูกสาวอยู่ในเครื่องแต่งกายอย่างพรานหนุ่มน้อย ในลมหายใจเข้าออกของมุ่ยคงเฝ้าแต่นับวันรอจะได้เดินทางไปเมืองละกอน จึงเตรียมพร้อมอยู่เสมอดุจว่าถ้าฤกษ์เดินทางคือเดี๋ยวนี้ มุ่ยก็จะคว้าหน้าไม้สะพายขึ้นหลังช้างได้ทันที

“หมู่นายห้างพักกันที่นี่ก่อน เฮือนเฮาแม้บ่กว้างขวาง แต่ก็รับรองอีกสามสี่คนได้” ส่วนคณะเดินทางคนอื่นๆ หนานทิพย์ให้ไปพักที่วัด ก็ไม่มีใครคัดค้านอย่างใด

ผ่านไปสามวันอาการป่วยของวิลเลียมดีขึ้นเกือบหายสนิท เพียงแต่ต้องฝืนกลืนน้ำขมๆ ผสมรสชาติที่บอกไม่ถูกหลายมื้อ มื้อละชามใหญ่ๆ หรือเกือบจะเป็นหม้อ เพราะนางเที่ยงยืนยันว่ารักษามาด้วยขนานใดให้กินจนหายด้วยยาขนานนั้น ไม่ยอมให้วิลเลียมกินยาฝรั่งเพราะฤทธิ์ยาจะตีกันจนกลายเป็นอาการทรุดลง

แต่กว่าจะสื่อสารกันเข้าใจอย่างนี้ก็เหนื่อยกันไปทั้งสองฝ่ายเพราะใช้คนละภาษา วิลเลียมจึงเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อพ่อและตาของเขาไปประจำอยู่ที่ทางใต้ของอินเดีย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการรู้ภาษาของคนที่นั่นเสียก่อน พ่อและตาของเขาเรียนรู้ภาษาทมิฬด้วยตัวเองจนแตกฉาน สามารถสอนหนังสือให้คนที่นั่นได้

วิลเลียมสังเกตมาหลายหนแล้วว่า ‘ลูกชาย’ ของบ้านนี้น่าจะพอช่วยได้ เพราะทุกครั้งที่เขาบ่ายเบี่ยงกับนางเที่ยงเรื่องการกินข้าวและกินยา นางเที่ยงจะฉุดลูกออกไปคุยอะไรกันเหมือนจะหารือ…แน่นอนว่าเป็นเรื่องเขา เพราะสายตาเจ้าเด็กน้อยชำเลืองมาบ่อยครั้ง แล้วเมื่อนางเที่ยงกลับมาก็เป็นว่าคุยกันเข้าใจ

ในวันหนึ่งหลังจากมื้อเที่ยงผ่านพ้น วิลเลียมจึงบอกหนานทิพย์ผู้บัดนี้เขารู้แล้วว่าเป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปเมืองละกอนคราวนี้

“เราต้องการคนสอนภาษาถิ่นที่นี่ ถ้าเป็นคนในคณะเดินทางด้วยก็ยิ่งดี กว่าจะถึงที่หมายเราคงเรียนรู้ได้หลายคำ”

หนานทิพย์ลำบากใจ เพราะไม่รู้จะไปหาคนสอนภาษาจากที่ไหน แม้วิลเลียมจะเสนอค่าตอบแทนให้อย่างงามก็ไม่มีใครรับ เพราะส่วนใหญ่กลัวพวกกุลาเผือกด้วยเชื่อว่าพวกนี้สืบเชื้อสายมาจากยักษ์ ฉวยโมโหร้ายขึ้นมามันก็จับกินไม่เหลือแม้แต่กระดูก คนเดียวที่หนานทิพย์นึกออกก็คือลูกสาว…พยายามสลัดความคิดนี้ทิ้งหาวิธีอื่นก็วนมาที่มุ่ยอยู่ดี

วิลเลียมแอบสังเกตเงียบๆ ก็รู้ว่าหนานทิพย์ไม่ได้มีปัญหาเรื่องหาคนไม่ได้ แต่เขาไม่ยอมให้คนคนนั้นมาสอนมากกว่า หลังมื้อเย็นมื้อใหญ่ที่หนานทิพย์เชิญกลุ่มผู้นำในคณะเดินทางมาร่วมขันข้าวเพื่อปรึกษาหารือกำหนดการเดินทางครั้งใหม่ แจ้งฤกษ์ยามที่เหมาะสมซึ่งก็อีกไม่กี่วันใกล้เข้ามานี้แล้ว วิลเลียมจึงท้วงขึ้นมาเบาๆ ทว่าหนักแน่น

“เราจะยังไม่เดินทาง จนกว่าพ่อหนานจะหาคนสอนภาษาให้ฉันได้”

ชั่วแวบนั้นที่วิลเลียมเห็นประกายตาของลูกชายหนานทิพย์ลุกวาว เขารู้ว่าไอ้เด็กนี่เฝ้าคอยวันเดินทางอย่างใจจดใจจ่อ จึงใช้ไม้นี้เพื่อให้เจ้ามุ่ยบีบพ่อให้ตัดสินใจ

แล้วก็ได้ผล

หนานทิพย์ถอนใจอย่างยอมจำนนต่อทุกสิ่งที่ทำให้มาถึงจุดนี้ การเดินทางล่าช้ามานานแล้ว แม้ไม่ต้องเร่งรีบแต่ก็ไม่อยากให้เนิ่นนานออกไปอีก จึงตกลงว่า

“ให้เจ้ามุ่ยนี่แหละ เป็นคนสอนภาษา มันพอรู้ภาษาของนายห้าง”

วิลเลียมหันไปมองเด็กชายตัวเล็กที่เม้มปากน้อยๆ อย่าง…เขาไม่แน่ใจว่ามันขัดใจหรือเปล่า แต่คงมีความไม่พอใจอยู่บ้าง ที่ถูกบังคับให้ต้องเป็นครูสอนภาษาจำเป็น…วิลเลียมไม่แปลกใจนักที่ครูคนนั้นคือเจ้ามุ่ย ออกจะแน่ใจเสียด้วยซ้ำ

ทว่าผู้ที่มีปัญหาคือเบ็ตตี้ หล่อนพูดเบาๆ เป็นเชิงหารือระคนปรามาสกับวิลเลียมและลีรอย

“เด็กตัวเท่านี้น่ะรึ จะมาสอนภาษาเรา เห็นทีจะถูกพวกนี้หลอกเล่นเสียก็ไม่รู้”

“จะตัวเท่าไหนก็ไม่เห็นเป็นไร” ลีรอยแย้งขึ้นมา “ตอนแรกเราก็แค่ชี้นิ้วให้เขาบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร กว่าจะได้คำศัพท์พอผูกเป็นประโยคได้ก็พอดีถึงเมืองละกอน”

“แต่มันก็ยังไม่สะดวกอยู่ดี เวลาที่ต้องอธิบาย” หญิงสาวยังคงมีปัญหา แม้ไม่โวยวายแต่หล่อนก็ยังไม่ศรัทธาในตัวครูที่เป็นเพียงเด็กชายบ้านป่า

“ลองดูสักนิดน่า เธอลองคุยกับเขาดูสิ” วิลเลียมประนีประนอม

เบ็ตตี้จึงส่งยิ้มหวานไปยังมุ่ย ถามด้วยภาษาอังกฤษอย่างง่ายช้าๆ เป็นคำๆ

“หนูพูดภาษาอังกฤษได้จริงหรือจ๊ะ ไหนลองพูดมาให้ฟังสักคำซิ”

เบ็ตตี้กลั้นยิ้ม พยายามไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาเป็นเยาะเมื่อเห็นว่าคนถูกถามนิ่งงันไป เม้มปากแน่น ส่งมาเพียงแววตาเหมือนลูกแมวอารมณ์เสีย

มุ่ยพอเข้าใจที่พวกกุลาขาวสนทนากัน เมื่อเบ็ตตี้ยิ้มชดช้อยถามมาทว่าน้ำเสียงนั้นแฝงรอยเหยียดที่มุ่ยสัมผัสได้ ในใจจึงมาดหมายว่าจะเรียกนางผู้นี้ว่า ‘อีเบ็ด’ แล้วนึกหาทางโต้ตอบอยู่ในใจ

“ว่ายังไงจ๊ะ หนูพูดคำไหนได้บ้าง”

กระตุ้นมาอย่างนี้ โดยพลันมุ่ยก็เอ่ยออกไป ทำให้คนฟังทั้งหมดฮาครืนตบมือตบเข่าว่าไอ้มุ่ยมันพูดภาษาของพวกกุลาขาวได้จริงๆ ในขณะที่พวกกุลาขาวหน้าตึงขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเบ็ตตี้ เพราะคำที่มุ่ยเอ่ยออกไปนั้นคือคำว่า

“Bustard!”

 

วันที่มุ่ยรอคอยมาถึงในที่สุด

อรุณยังไม่ไขแสง ทว่าเด็กสาวแต่งกายทะมัดทะแมงดูผาดเผินเหมือนเด็กชายร่างบางพร้อมอยู่แล้วที่กองสัมภาระ เวียนเดินตรวจตราเพื่อเมื่อถึงเวลาฤกษ์ดีที่เคลื่อนขบวนจะได้มิต้องรั้งรอหรือพะวงต่อสิ่งใด แต่ละคนที่รู้จักลูกสาวหนานทิพย์ได้แต่กลั้นยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นที่มุ่ยแสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด

ผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดมารวมกันที่ข่วงบ้านหนานทิพย์ เกวียนต่างข้าวของ ม้า ช้าง และเสบียงเรียงจัดไว้เป็นหมวดหมู่ มุ่ยผลุบเข้าไปหายายทวดตาบอดในห้องเพื่อร่ำลาแล้วรีบปรูดออกมาวนเวียนอยู่ข้างพ่อ เพราะกลัวว่าจะถูกแกล้งลืมทิ้งไว้ที่นี่

เบ็ตตี้และลีรอยช่วยกันประคองวิลเลียมออกมา

แม้ว่าอาการไข้ของนายห้างปางไม้คนใหม่จะหายดีแล้วจากยาหม้อรสขมปร่า ทว่าอาการที่ยังอยู่คือความบอบช้ำตามเนื้อตัวร่างกาย

“นายห้างน่าจะขึ้นช้าง ดีกว่านั่งล้อ” หนานทิพย์เสนอเพราะการนั่งล้อหรือเกวียน ถ้าทางเรียบก็ดีไป แต่ถ้าทางขรุขระก็จะโยกสะเทือนไปตลอดเส้นทาง ต่างจากการนั่งบนหลังช้างแม้จะโยกไหวเอนไปมา ทว่านุ่มนวลกว่าตามจังหวะก้าวย่างของสัตว์พาหนะตัวใหญ่

วิลเลียมไม่คัดค้านอย่างใด มองแหย่งหรือสัปคับที่ผูกไว้บนหลังช้างพลางคิดว่าจะขึ้นไปได้อย่างไร ในขณะที่เบ็ตตี้ร้องขึ้นมา

“สูงอย่างนั้น ฉันปีนขึ้นไปไม่ไหวแน่” หล่อนว่าพลางก้มมองตัวเองที่สวมชุดกระโปรงบานยาวถึงเท้า ข้างในยังมีครีโนลีนหรือโครงสุ่ม ทำให้การปีนขึ้นไปนั่งบนหลังช้างเป็นเรื่องทุลักทุเลโดยไม่ต้องจินตนาการ

“เบ็ตตี้นั่งเกวียนไปกับลีรอยก็ได้ ฉันนั่งหลังช้างกับมุ่ยเอง”

ทุกคนหันมามองวิลเลียมเป็นตาเดียว

“ที่นั่งบนหลังช้างพอสำหรับคนตัวใหญ่หนึ่งคน” เขาหมายถึงตัวเองแล้วหันไปยังมุ่ยที่ยืนข้างบิดา “แล้วก็เด็กตัวเล็กๆ อีกคน มุ่ยเป็นครูของพวกเรา ระหว่างทางจะได้สอนคำศัพท์ใหม่ๆ ให้ฉันด้วย”

‘เด็กตัวเล็ก’ ทำตาวาวขึ้นมาแวบหนึ่ง ส่วนหนานทิพย์สีหน้าเจื่อนลงดุจจู่ๆ ก็มีคนบีบปากกรอกยาขมลงคอ อยากจะคัดค้านแต่ยังหาทางไม่ได้สักที

“อย่างนั้นก็ดี” ลีรอยสรุป เปิดฝานาฬิกาพกดูเวลาแล้วถามหนานทิพย์ว่า จวนได้เวลาตามฤกษ์ยามที่รอกันแล้วหรือยัง

หนานทิพย์มองเงาที่ทอดบนพื้น แหงนมองท้องฟ้า ไล่นิ้วมือพลางขมุบขมิบปากไปมาแล้วบอกว่าใกล้เวลาเคลื่อนขบวนเต็มที่แล้ว แม้จะหนักใจเรื่องลูกสาว แต่ก็ไม่อยากให้ฤกษ์ดีคลาดเคลื่อน จึงปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยตนเองก็เป็นควาญ

คิดได้ดังนั้น หนานทิพย์ก็เดินนำไปที่ช้างตัวนำขบวน ปู้คำแสนเป็นช้างพลาย มุ่ยบอกกับนายฝรั่งว่า

“ปู้…ก็คือตัวผู้ ส่วนคำแสนเป็นชื่อมัน” ครูสอนภาษานายห้างตบขาช้างอย่างสนิทสนม “ไอ้ตัวนี้ชื่อ ปู้คำแสน มันฮู้กำ…เชื่อฟัง แค่สามคนเท่านั้น คือ พ่อ อ้ายเมือง แล้วก็เฮา” คำสุดท้ายชี้เข้าอกตัวเอง ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงอวดโอ่

มือน้อยตบขาช้างพลายตัวใหญ่อีกครั้ง ปู้คำแสนย่อตัวลงเล็กน้อยยกขาข้างหนึ่ง มุ่ยก็เหนี่ยวตัวเองขึ้นไปแล้วกระโดนแผล็วขึ้นไปอยู่บนหลังอย่างง่ายดาย วิลเลียมพยายามทำตามแต่ไม่สำเร็จเพราะเนื้อตัวยังระบม หนานทิพย์จึงต้องสั่งให้ปู้คำแสนยอบตัวนั่งและคู้ลงต่ำที่สุดเพื่อให้นายห้างวิลเลียมขึ้นไปได้

มุ่ยออกแรงฉุดช่วยเพราะไม่อยากให้นายห้างร่วงลงไป ครั้นพอทรงตัวนั่งได้ก็สั่งแกมขู่

“เกาะไว้มั่นๆ เดี๋ยวตกลงไปแข้งหัก ขาห้าน”

วิลเลียมทำตาม ยึดแหย่งไว้มั่นโดยเฉพาะตอนที่รู้สึกเหมือนกำลังถูกยกขึ้นที่สูง

เสียงโห่ร้องเอาชัยดังขึ้นเมื่อปู้คำแสนหยัดตัวยืนมั่นคง หนานทิพย์กระทุ้งขาเบาๆ ที่ข้างหู ปู้คำแสนก็ย่างออกไป การเดินทางเริ่มต้น ณ บัดนี้

วิลเลียมใช้เวลาไม่นานในการทำความคุ้นเคยบนหลังช้าง เมื่อรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการโยกไหวตามจังหวะก้าวย่าง จึงได้เวลาทัศนาภูมิทัศน์โดยรอบ อันประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่เขาไม่รู้จัก ไกลสุดสายตาเป็นแนวป่าและภูเขาเขียวครามซ้อนเหลื่อมกันดุจฉากภาพเขียน

ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าหนังหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วถามคนนั่งข้าง

“มุ่ยเห็นที่ไกลๆ ตรงโน้นไหม” เขาชี้ไปยังระยะไกลเบื้องหน้า คิดว่ากล้องส่องทางไกลนี้เป็นเหมือนของเล่นที่จะเอามาล่อเด็กซนเพื่อกำราบให้อยู่ในโอวาทได้ “สิ่งนี้เรียกว่า ไบโนคิวลาร์…กล้องส่องทางไกล”

มุ่ยรับกล้องทองเหลืองเงาวับนั้นมาจ่อที่ตาแล้วร้องอุทานเมื่อเห็นภาพที่ไกลสุดสายตานั้นอยู่ใกล้ราวจะเอื้อมคว้าได้ แล้วก็นึกสนุกเปลี่ยนมุมส่อง หัวเราะคิกคักที่เห็นนกตัวน้อยอยู่ใกล้จนเผลอยกมือคว้าไขว่ แต่ก็สัมผัสได้เพียงอากาศ

วิลเลียมหัวเราะน้อยๆ อย่างพึงใจ เมื่อรู้ว่าแผนปราบพยศเด็กซนของเขาน่าจะได้ผล

“ถ้ามุ่ยตั้งใจสอนภาษาให้ฉัน อยู่ติดตามฉันไม่ห่าง ฉันมีของเล่นให้มุ่ยสนุกอีกเยอะเชียว”

“แต๊กา…จริงหรือ ถ้าอย่างนั้น เฮาจะอยู่บ่ห่างนายห้างเหมือนเงาติดตัวเลย”

วิลเลียมยิ้มกว้างอย่างพึงใจ ในขณะที่หนานทิพย์กระแอมดังดุจคันคอขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

แต่มุ่ยจะสนใจว่าพ่อเตือนให้ระวังตัวก็หาไม่

คณะเดินทางลัดเลาะไปตามแนวไพร บางช่วงเป็นทางราบ บางช่วงหนทางลาดชันแต่ไม่มาก และบางช่วงก็คดเคี้ยว ทว่าทั้งหมดเป็นทัศนียภาพที่ชวนเจริญตา ไม่ว่าจะเป็นพรรณไม้นานาชนิดที่วิลเลียมไม่เคยเห็น แต่เจ้ามุ่ยรู้จักทุกต้นอย่างไม่น่าเชื่อ บางชนิดที่ติดดอก มุ่ยก็เด็ดมาเปรียบเทียบให้ดูว่านี่เป็นดอกตัวผู้ นี่เป็นดอกตัวเมีย บางช่วงที่ผ่านไปมีธารน้ำใสเห็นกรวดทรายสาหร่ายกระทั่งปลาตัวน้อยแหวกว่ายไปเป็นฝูง เสียงนกยูงดังมาเป็นระยะ แต่หาตัวไม่เจอ เสียงแมลงที่ระงมในพงไพรส่วนใหญ่เป็นเสียงจักจั่นและแมงว้าง ยิ่งช่วงใดมีต้นมะพร้าว เสียงแมงว้างจะดังชัดจนรู้สึกได้

หากทั้งหมดนี้วิลเลียมยังไม่สามารถจำแนกแจกแจงได้อย่างมุ่ย

และเมื่อลูกศิษย์แยกเสียงจักจั่นกับแมงว้างไม่ได้ หรือแยกดอกไม้ตัวผู้กับตัวเมียไม่ได้ คนเป็นครูก็จะทำหน้าเอือมระอา ส่ายหน้าแทนคำพูดว่าสอนแล้วไม่รู้จักจำ ทำไมหลึกหลึน…สมองทึบอย่างนี้ บางทีเหลืออดก็สบถออกมาทีหนึ่งว่า “ง่าว!”

ทีแรกแรกวิลเลียมไม่รู้ความหมาย รู้แต่ว่าเมื่อใดที่ครูเอ่ยคำ ‘ง่าว’ ออกมา ผู้เป็นบิดาของครูจะกระแอมดังเป็นการปรามอยู่ในทีมิให้เกินหน้าเกินงาม ต่อมาจึงรู้ได้เองว่าคำนั้นแปลว่า…โง่

เมื่อมุ่ยส่งกล้องให้เขาดูนกสองตัวที่อยู่บนกิ่งไม้ ถามว่าตัวใดเป็นตัวผู้และตัวเมีย วิลเลียมจึงแกล้งตอบไปส่งๆ และได้ผล…ครูพ่นลมหายใจพรืด เพราะนกทั้งสองตัวเป็นตัวผู้

“ง่าว!” คราวนี้วิลเลียมพูดก่อนที่มุ่ยจะเอ่ยออกมา

ดวงตาครูจึงวาวเรืองเคืองที่อีกฝ่ายรู้ทันและดักคอ สะบัดค้อนไปทางหนึ่ง ทำหน้าตึง ทว่าวิลเลียมหัวเราะอย่างสบอารมณ์ที่รู้ทันเจ้าจอมซนจนมันเสียหน้า…อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง

 

เสียงขลุ่ยเอื้อนทำนองเป็นจังหวะสนุกสนาน เมื่อจบท่อนหลายเสียงก็โห่ขานรับว่า ‘ฮิ้ว’ ลากเสียงยาวเหมือนลูกคู่

วิลเลียมสะกิดถาม ‘ครู’ ว่าคนในขบวนกำลังสนุกกันเรื่องอะไร มุ่ยทนรำคาญไม่ไหวจึงอธิบาย

“นี่คือเพลงเสเลเมา”

พลันเสียงหนึ่งในขบวนก็ร้องขึ้นมาถึงคนบนหลังช้าง

“เอาเลยมุ่ย ร้องกันสักเพลงหื้อม่วนใจ๋ ยามนี้คงบ่มีเพลงใดเปิง…เหมาะสม เท่าเพลงนี้อีกแล้ว”

โดยไม่รอให้ตอบรับหรือปฏิเสธ คนชวนก็โก่งคอขันเป็นทำนอง

ไก่แจ้ขันเหน่อกุ่ง นกยูงขันเหน่อฮ่อย ก้อยข้านี้ไผจักมาตัดบ่ม แล….

แปลความได้ว่า ไก่แจ้ขันเหนือทุ่ง นกยูงขันเหนือห้วย กล้วยเครือนี้ใครจักมาตัดไปบ่ม

เสียงเครื่องดนตรีดังประสานกัน อันมีทั้งขลุ่ย ซึง และเปี๊ยะ เป็นทำนองว่า

มงแซะ มงแซะ แซะมง ตะลุ่มต้มมง

คนที่รักสนุกคือลีรอย ในชั้นแรกเขาแปลกใจว่าคนในขบวนต่างมีสัมภาระที่ต้องรับผิดชอบ แต่ครั้นมีผู้นำเล่นดนตรี อีกหลายคนก็ล้วงย่ามหยิบเครื่องดนตรีชิ้นเล็กขึ้นมาบรรเลงร่วมกัน ลีรอยฟังวนไปมาหลายเที่ยวก็พอจับทำนองได้จึงควักหีบเพลงที่พกติดตัวไว้เสมอขึ้นมาเป่าผสมวงร่วมไปด้วย คณะเดินทางจึงยิ่งครึกครื้นใหญ่ที่นายห้างพลอยสนุกไปด้วยกัน

มุ่ยอิดออดไม่ยอมร้องสักที คนเล่นดนตรีก็ไม่ลดละ จนหนานทิพย์ต้องหันมาบอกเชิงเกลี้ยกล่อม ขอร้อง และอนุญาตอยู่ในที

“ร้องเต๊อะลูก จะได้ม่วนงัน…เพลิดเพลิน”

นั่นแล้วริมฝีปากบางจึงขยับเปล่งเสียงใสออกมาเป็นบทเพลง

“อะโลโลโล ไปเมืองโกตวยพี่เงี้ยว หนทางคดเลี้ยว ข้าน้อยจักขอถาม หนทางเส้นนี้เป็นถนนก็เมืองพาน เฮย…ป้อเฮย…ผ้าสีปูเลยป้าดเก่งตุ๊มเกิ่ง”

“ฮิ้ว!” คราวนี้เสียงลูกคู่ประสานรับทั้งดังและยาว

จนจบเพลงวิลเลียมก็หาได้เข้าใจความหมาย แต่ความบันเทิงเริงใจนั้นครบถ้วน โดยเฉพาะเสียงร้องของมุ่ยที่กังวานใสเหมือนแก้ว น่าเสียดายที่อีกไม่นานเสียงมันจะแตกเพราะย่างเข้าวัยหนุ่ม

“เงี้ยวคือใคร” วิลเลียมถามเมื่อสบโอกาส เขาออกเสียงคำนี้ได้ยากเย็น

“เงี้ยวก็คือไทใหญ่ อยู่ทั่วไปทางเหนือนี้ละ นายห้างยะก๋าน…ทำงานที่ปางไม้ก็จะเห็นว่า ทั้งคนงานและคนเลี้ยงช้าง ส่วนใหญ่เป็นเงี้ยวกันทั้งนั้น”

“เพลงที่ร้องเป็นยังไง” เขาเรียบเรียงไม่ถูก แต่มุ่ยรู้ว่านายห้างถามถึงเนื้อเพลง จึงอธิบายได้ตรงกับคำถามของวิลเลียม

“เพลงนี้อู้ถึงนายเงี้ยวคนหนึ่งจะไปเมืองโก อยู่ที่พม่า เดินป่าไปทางเมืองพาน…เมืองพานนี้อยู่เจียงฮาย…เชียงราย”

คนฟังพยักหน้าครึมครางว่าเข้าใจทั้งที่ไม่สามารถนึกออกว่าแผนที่เส้นทางนั้นเป็นอย่างไร

“ทางที่เราไปจะผ่านเมืองโกหรือเมืองพานไหม”

“บ่ผ่านหรอกนาย” มุ่ยตอบทันที เพราะก่อนเดินทางพ่อทบทวนเส้นทางอีกครั้งจนจำได้แม่น “จากระแหง เฮาเลียบแม่น้ำวังขึ้นไปก็ถึงนครลำปางในสองวัน แต่คราวนี้เฮาต้องใช้อีกเส้นทาง ไปทางท่าสองยาง ผ่านเมืองพิงค์” คนพูดหมายถึงเชียงใหม่ “อมก๋อย ดอยเต่า เข้าจอมทอง ก็จะถึงเมืองแจ๋ม…นายห้างต้องไปเมืองแจ๋มก่อนใช่ก่?”

ประโยคสุดท้ายเป็นคำถาม เพราะวิลเลียมบอกกับหนานทิพย์ว่าทางบริษัทอยากให้เขาผ่านไปดูพื้นที่ทางเมืองแจ๋มหรือแม่แจ่มอีกครั้ง ก่อนไปสำนักงานของบริษัทที่เมืองละกอน…ลำปาง เพราะหลายปีก่อนเมื่อครั้งสำรวจพื้นที่เมืองแจ๋มพบว่ายังไม่เหมาะที่จะทำปางไม้ แม้ว่าจะมีป่าอุดมสมบูรณ์ แต่ยังขาดเส้นทางสัญจรที่ดีและแม่น้ำสายใหญ่ที่จะล่องซุงลงมา

ทว่ายามนี้ต้องทบทวนอีกคราเพื่อขยายพื้นที่ขอทำสัมปทาน ปัญหาเริ่มจากพื้นที่ป่าที่เจ้าผู้ครองนครให้สัมปทานทำไม้แก่บริษัทต่างชาติทับซ้อนกัน แต่เมื่อเกิดวิวาทะเจ้าผู้ครองนครก็ทำเพิกเฉยไม่ยี่หระรับรู้ ปล่อยให้คู่ขัดแย้งชิงชัยปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ครั้นสยามยื่นมือเข้ามาร่วมจัดการการให้สัมปทานป่าไม้ก็เหมือนจะยิ่งยุ่งขิงกันไปใหญ่ ทางบริษัทจึงใช้โอกาสนี้ขอให้วิลเลียมสำรวจพื้นที่เมืองแจ๋มก่อนไปเมืองละกอน

แม้ใจมุ่ยอยากไปให้ถึงละกอนไวๆ ดังที่ปากพร่ำบอกเสมอว่า…อ้ายเมืองจะคอยหา…ทว่าเมื่อเปลี่ยนเส้นทางทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางนานขึ้น…ราวห้าวัน ทว่ามุ่ยกลับไม่คัดค้านอันใด

ก็เดินป่าท่องไพรน่ะสนุกจะตาย…ยังไงอ้ายเมืองก็คอยที่ลำปางอยู่แล้ว ถึงช้าไปสามสี่วันก็ไม่เป็นไรหรอก

‘ครู’ ทบทวนเส้นทางให้ ‘ศิษย์ผิวขาว’ เข้าใจอย่างละเอียดอีกครั้ง จบสิ้นพอดีเมื่อถึงชัยภูมิเหมาะสมจะเป็นที่พักแรม หนานทิพย์สั่งให้หยุดขบวน บางส่วนแยกไปผูกห้างบนต้นไม้เพื่อใช้เป็นทั้งที่นอนและอยู่เวรยาม บางส่วนเก็บกิ่งไม้แห้งมาสุมไฟเตรียมหุงหาอาหาร

“เห็นทีแลงนี้จะได้กิ๋นของลำ…อาหารอร่อย”

คนหนึ่งในขบวนชี้ชวนให้ดูรังมดแดงรังใหญ่บนต้นไม้ ใช้ภาษาท่าทางบอกนายห้างฝรั่งว่านี่แหละคือวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับมื้อค่ำวันนี้

ระหว่างที่ต่างคนต่างง่วนอยู่กับภารกิจของตน ด้วยสัญชาตญาณของผู้ที่เกิดและโตมากับป่า มุ่ยรู้ว่าเข้าไปอีกไม่ไกลนักจะมีน้ำตก จังหวะที่ไม่มีคนสนใจ นายห้างฝรั่งถูกนางแหม่มยึดตัวไว้ทั้งสองคน หนานทิพย์บิดาก็ตรวจตราความเรียบร้อยของสัมภาระ ร่างน้อยในชุดทะมัดมะแมงจึงค่อยๆ ถอยดอดออกไปไม่มีใครสังเกต

แล้วเด็กสาวก็สมดังใจ น้ำตกตรงหน้าดุจมีมนตร์เรียกหาให้ลงเล่น มุ่ยเปลื้องเสื้อผ้ากองไว้ริมฝั่ง นุ่งซิ่นกระโจมอกลงแหวกว่ายน้ำใสเย็นชื่นผิวกายอย่างสบายอารมณ์

 

เสียงน้ำตกซัดซ่าพาให้เท้าของวิลเลียมสืบเข้าไปใกล้ มั่นใจว่าไอ้มุ่ยจอมซนต้องแอบมาเล่นน้ำตรงนี้แน่ๆ ครั้นเห็นกองผ้าบนโขดหินริมฝั่งก็ยิ่งมั่นใจ ร้องออกไปจังหวะเดียวกับที่ตนเองพ้นออกมาจากพุ่มไม้

“มุ่ย!”

ต่างฝ่ายต่างตกใจแต่ไม่มีเสียงร้องออกมา วิลเลียมหันหน้าไปอีกทางหลังจากที่ฝ่ายนั้นซัดน้ำใส่หน้าเขาด้วยความตกใจ

“ขอโทษครับ Sorry ผมคิดว่าเป็นคนที่ผมตามหา”

วิลเลียมค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปก็พบฝ่ายนั้นยังแช่ตัวเองอยู่ในน้ำหันหลังให้เขา เส้นผมยาวสีดำขลับชื้นด้วยละอองน้ำสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายราวละอองเพชร ปลายผมแผ่เป็นแพอยู่บนผิวน้ำ

“นายเซาะหาไผ?…ตามหาใครรึ” ร้องถามออกไปทั้งที่ยังหันหลังให้

“เด็ก…เด็กซนคนหนึ่ง…คุณเห็นบ้างหรือไม่”

คนแช่ตัวในน้ำเม้มปาก อยากตวัดสายตาไปจ้องหน้านัก มีอย่างรึมาเรียกเราว่าเด็กซน

“คุณอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว เห็นใครผ่านมาบ้างไหม” วิลเลียมถามออกไปทั้งยังไม่ได้คำตอบ

“บ่มีไผผ่านมาทั้งนั้น เพิ่งมีกุลาหน้าเซอะผ่านมาคนเดียว”

นั่นแหละวิลเลียมจึงรู้ตัวว่าเขาถูกตำหนิ ยืนมองผู้หญิงเปลือยกายอาบน้ำ ไม่ว่าหล่อนจะเป็นคนที่ร่วมมาในขบวน หญิงสาวในหมู่บ้าน หรือใครก็ตาม ก็ไม่สมควรที่เขาจะยืนสนทนาให้ยืดยาวในขณะที่ร่างหล่อนยังแช่อยู่ในน้ำด้วยความอาย เขาจึงขอโทษและขอตัวจากไป หากรบกวนทิ้งท้าย

“ถ้าเจอเจ้าเด็กซนผ่านมา บอกให้รีบกลับไปด้วย มีคนคอย”

หญิงสาวผงกศีรษะน้อยๆ ให้ฝ่ายนั้นเห็นว่าหล่อนรับรู้ หากไม่วายได้ยินเสียงของวิลเลียมพึมพำก่อนจากไป

“เจอตัวจะจับตีให้ก้นลายเลย”

มุ่ยหมดอารมณ์เล่นน้ำต่อ ว่ายกลับเข้าฝั่งฉวยผ้าแห้งขึ้นมากระโจมอกไว้ ซับผมจนหมาดแล้วขมวดเป็นมวยอย่างคล่องแคล่ว หยิบเสื้อผ้าชุดเดิมที่กองไว้มาสวมใส่ สิ่งสำคัญคือผ้าเคียนหัว…ผ้าโพกหัวพันไว้ เดินกลับพลางฮึดฮัดในใจ

‘จะจับเฮาฟาดหื้อก้นลายกา บ่มีทาง!’

 

 



Don`t copy text!