เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก “เลียบละกอน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก “เลียบละกอน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

รถม้าเคลื่อนออกจากออฟฟิศหรือสถานีป่าไม้ที่วิลเลียมและลีรอยมารับหน้าที่ผู้จัดการในตอนสาย เลียบไปตามแนวแม่น้ำวัง อันสองฟากฝั่งเป็นชุมชนคนอาศัยและสถานีป่าไม้อีกหลายบริษัทที่ได้รับสัมปทานป่าในแถบนี้

“แม่น้ำวังเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของที่นี่ สถานีป่าไม้ต้องอยู่ริมน้ำเพื่อสะดวกต่อการขนซุงลงน้ำ” เมืองผู้บังคับรถม้าเล่าพลางชี้ให้ดูสถานีป่าไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด “ตรงนั้นคือออฟฟิศของสยามฟอเรสต์”

บริษัทต่างชาติที่เข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ที่นครลำปางนี้มีสี่แห่ง ที่เป็นของอังกฤษ คือ บอมเบย์เบอร์มา และบริติชบอร์เนียว อีสต์เอเชียติกเป็นของฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ส่วนสยามฟอเรสต์นั้นเป็นของอังกฤษและสยามบริหารร่วมกัน หากกระนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งบริษัทที่มีบทบาทด้านการค้าและทำไม้ในลำปาง นั่นก็คือบริษัทหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์

ชาวอังกฤษผู้มาใหม่เพลินตากับทัศนียภาพที่แผกไปจากความคุ้นเคย ฟากถนนริมฝั่งแม่น้ำวังที่รถม้าวิ่งผ่านไปเป็นบ้านและห้องแถวซึ่งส่วนใหญ่สร้างจากไม้ไผ่และไม้สัก กั้นอาณาเขตด้วยรั้วไม้ไผ่สานที่เมืองบอกให้เห็นความแตกต่างว่า ถ้าขัดสานถี่จนชิดเป็นแพเรียก ‘ฮั้วสลาบ’ แต่หากสานเป็นตารางตาห่างเรียก ‘ฮั้วตาโก้ง’

“เฮือนงามๆ ตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นของนายจีนและหม่องเฮดแมน” เมืองเล่าทันทีที่ผ่านอาคารสองชั้นเป็นตึกปูนผสมไม้ ทั้งระเบียง หน้าต่าง ช่องลม สร้างจากไม้ฉลุลายอย่างที่เรียกว่าลายขนมปังขิง หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินขออย่างดี บอกให้รู้ว่าหากมิใช่บ้านของคหบดีก็ต้องเป็นบ้านของคนสำคัญ เมืองก็ขยายความเพิ่มว่า “เฮดแมน คือคนกลางเจรจาค้าขายให้ชาวอังกฤษ พม่า และคนที่นี่ แล้วยังช่วยควบคุมแรงงานตอนขนขอนไม้ด้วย ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า”

“จากตรงนี้ไปก็เป็น กองหลวง กองก๋าง และกองต้า ตรงที่คนคึกๆ นั่นละ คือกาดกองต้า” เมืองว่าต่อไปไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะบอกให้รู้ถึงสภาพแวดล้อมและสังคมของที่นี่ เพราะนายห้างวิลเลียมยังต้องเผชิญสิ่งต่างๆ อีกมากในเวียงละกอน

สายตาของผู้มาใหม่ตามไปยังจุดที่เมืองชี้ ‘กอง’ คือ ซอย ซึ่งขนาดที่ปรากฏต่อหน้ายามนี้จะเรียกเป็นถนนก็ได้ หากคนที่นี่ยังเรียกกอง กองหลวงคือซอยใหญ่ กองก๋าง คือซอยกลาง แต่กองต้า…วิลเลียมไม่เข้าใจ

ขณะที่ผ่านไปมีความคึกคัก เรือสินค้าหลายลำจอดอยู่ตรงนั้น กุลีขนของจากเรือขึ้นฝั่งอย่างแข็งขัน เจ้าของเรือสินค้าชาวจีนซึ่งดูไม่ยากเพราะมีหางเปียยาวทิ้งลงไปถึงกลางหลังถือสมุดคอยจดบัญชีรายการสินค้า

“กาด ก็คือ ตลาด ต้า ก็คือ ท่าน้ำ” ครูสอนภาษาผู้นั่งมาด้วยในรถม้าเปิดปากช่วยพี่ชาย หยุดดูว่า ‘ลูกศิษย์’ สนใจเรื่องที่บอกหรือไม่ ครั้นเห็นตาสีอ่อนยังเป็นประกายก็อธิบายต่อว่า “ตรงท่าน้ำนี้มีเรือสินค้าทั้งของจีนและพม่ามาขึ้นฝั่ง ขนขึ้นจากน้ำแล้วก็กองขายกันริมท่าน้ำนี่แหละ จึงเรียกตรงนี้ว่า กาดกองต้า”

“นายห้างอยากได้อะไรก็มาซื้อหาที่นี่ได้” เมืองบอก “หรือถ้าบ่มี ก็บอกนายจีนไปเสาะหามาให้ เท่าที่ผ่านมายังบ่เคยเห็นว่า บ่มีอะหยังที่นายจีนจะหาบ่ได้”

“ร้านขายขนมปังก็มีเน่อ นายแหม่ม”

มุ่ยบอกแก่เบ็ตตี้ที่นั่งเคียงกัน ทว่าหญิงสาวกระตุกมุมปากเล็กน้อยให้เห็นว่ายิ้มรับขอบใจ แต่ในใจคิดว่าฟ้ามุ่ยกำลังเหน็บแนมเรื่องการกินของหล่อน

เมืองบังคับรถม้าอย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด วิลเลียมสังเกตพี่ชายของมุ่ยในเวลาเพียงสองสามวันที่เมืองดูแลอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ เขาก็สรุปกับลีรอยว่าเมืองเป็นผู้ที่หยิบจับอะไรก็ทำได้ดีไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นการบังคับรถม้า คุมพ่อครัวขมุให้เคี่ยวสตูอย่างอังกฤษ หรือคิดคำนวณผลประโยชน์ของปางไม้จากสมุดบัญชีหลายเล่มที่ยกมาให้ดู เมืองก็ทำได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนทว่าเข้าใจง่าย

เส้นทางที่เมืองพาไปวันนี้คือเส้นทางเดียวกับวันที่เขามาถึง แต่ในวันนั้นเขามิได้เห็นความสวยงามของสองฟากฝั่งแม่น้ำวัง เพราะใจคอยพะวงอยู่แต่ว่าหนานทิพย์จะพา ‘ไอ้ตัวร้าย’ ไปร่วมมื้อเย็นที่บ้านหมอสจ๊วตจริงหรือไม่

ทว่าวันนี้ทัศนียภาพเดิมกลับงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ ‘ไอ้ตัวร้าย’ ซึ่งกลายเป็นฟ้ามุ่ยหรือบลูแวนด้าตามที่มิสซิสสจ๊วตเรียกนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาคู่กับเบ็ตตี้

ที่โต๊ะอาหารค่ำวันนั้น หนานทิพย์ยืนยันมั่นคงจะยุติการเป็นครูสอนภาษาของมุ่ยให้แก่บรรดานายห้าง เพราะเมืองลูกชายคนโตก็ทำหน้าที่นี้ได้เช่นกัน ฝากฝังให้อยู่กับหมอและมิสซิสสจ๊วต แต่ทั้งคู่มีแผนเดินทางไปเชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้น และยังต้องเดินทางไปเมืองต่างๆ อีกหลายแห่ง กว่าจะกลับมาที่ละกอนก็คงอีกร่วมเดือน วิลเลียมเห็นสีหน้าหนักใจของหนานทิพย์เมื่อประตูบานแรกปิดลง หมอสจ๊วตถามว่าทำไมไม่ให้อยู่ด้วยกันกับหนานทิพย์ ลูกสาวอยู่กับพ่อก็ย่อมหายห่วงเบาใจได้มากที่สุด ตนและภรรยากลับมาเมื่อไรก็ค่อยมาอยู่ด้วยกัน

หนานทิพย์ตอบเพียงว่าไม่สะดวกที่จะทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครรู้เหตุผล

จนกระทั่งวันถัดมา วิลเลียมรู้เบื้องหลังเรื่องนี้จากเมืองตอนเริ่มสำรวจออฟฟิศในสถานีป่าไม้ ก็ได้คำตอบว่าหนานทิพย์พ่อของเขาเป็นสล่า…นายช่างใหญ่…เป็นช่างแกะสลักไม้ฝีมือดี มีเครือญาติเจ้าหลวงอุปถัมภ์ค้ำจุน แต่ก็มีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันเมื่อหนานทิพย์พาลูกทั้งสองไปคลุกคลีอยู่กับมิชชันนารี ผู้เป็นเจ้านายก็เหมาเอาว่าหนานทิพย์เริ่มเอาใจออกหากและเห็นดีเห็นงามกับการเข้ารีตของพวกกุลาเผือก ยิ่งเมืองมาช่วยงานนายห้างฝาหรั่งที่สถานีป่าไม้ ท่านก็ยิ่งเห็นว่าครอบครัวนี้คงกู่ไม่กลับจึงเลิกเมตตา

เมืองเล่าอย่างรวบรัดราวไม่อยากพูดถึงรายละเอียดความขัดแย้งที่ละเอียดอ่อนว่า

‘พ่อพาแม่กับน้องไปอยู่ที่ระแหงแล้ว เรื่องนี้ก็เลยซาๆ ไป’

ครั้นแล้วในเวลาต่อมา เจ้านายของพ่อเกิดรุ่งเรืองในการงานจึงอยากทำบุญสั่งสมบารมีและเก็บไว้เป็นทุนในภายภาคหน้า ตามความเชื่อของคนถิ่นนี้ บุญกุศลแรงอันใดเทียบเท่ากับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัดไม่มี ท่านพบวัดร้างแห่งหนึ่งสภาพยังดีแต่ทรุดโทรมไปมากเพราะขาดการดูแล จึงตั้งปณิธานว่าจะบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างศิลปะอย่างพม่าแห่งนี้ให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งเช่นยามก้านกุ่งรุ่งเรือง

คนของท่านจึงเรียกเมืองมาพบให้เขาติดต่อบิดามาเพื่อควบคุมงานนี้ เพราะสล่ากี่คนที่ท่านมอบหมายให้ดูแลก็ไม่เป็นที่ถูกใจ ตรวจงานคราใดชวนหัวเสียจนมีคำพูดติดปากว่า…ถ้าไอ้ทิพย์อยู่ กูคงไม่ต้องขัดเคืองใจอย่างนี้

ทันทีที่หนานทิพย์ได้รับแจ้งจากลูกชายก็มีหนังสือตอบกลับไปทันทีว่าไม่ขัดข้อง หนานทิพย์บอกเหตุผลแก่ลูกชายที่ยอมเดินทางกลับไปรับใช้เจ้านายเก่า โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ยาวนานแค่ไหนว่า

‘ป้อเจ้าจะได้เห็นว่า พ่อบ่ได้เอาใจออกหากจากพระพุทธศาสนา แม้ว่าจะพาลูกทั้งสองไปข้องเกี่ยวกับหมู่กุลาเผือก ก็บ่ได้หมายความว่าจะต้องเข้ารีต เห็นว่ากุลาเผือกดีกว่าคนบ้านเฮา’

วิลเลียมและลีรอยเข้าใจเหตุผลของหนานทิพย์ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมหนานทิพย์ไม่ยอมให้ลูกสาวไปอยู่ด้วย ทั้งที่วางท่าหวงหนักหนา จนยอมตกลงอย่างเสียมิได้ให้มุ่ยมาอยู่กับพี่ชายที่สถานีป่าไม้ไปพลางก่อนจนกว่าหมอและมิสซิสสจ๊วตจะกลับ เมืองก็ไขข้อสงสัยนี้ว่า

‘ที่คุ้มคนมากมาย เหล่าป้อจายหลายวัย แล้วหลายคนก็มักถือสิทธิ์เอาว่า ผู้ใดอยู่ในบ้านก็ถือเป็นทรัพย์สินของตัว’

คิ้วย่นของวิลเลียมทำให้เมืองรู้ว่านายห้างไม่เข้าใจ จึงบอกตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

‘ป้อกลัวว่ามุ่ยจะไปถูกตาต้องใจคนในคุ้ม ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเจ้าเมือง ถ้าเจ้าเมืองมาขอ ป้อก็คงปากบ่ออก…ปฏิเสธไม่ได้’

วิลเลียมพยักหน้าครึมครางเข้าใจและกระจ่างขึ้นเมื่อได้ฟังเหตุผลสุดท้าย

‘อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ นายห้างอีแวนเดอร์ก็บ่อยู่ที่ปางไม้ กว่าจะปิ๊ก…คืนกลับมา…ก็คงพอดีกับหมอสจ๊วตปิ๊กมา’

‘นายห้างอีแวนเดอร์…’ วิลเลียมครางเบาๆ ครุ่นคิด รู้จักชื่อแน่ละเพราะเป็นคนในบริษัทเดียวกัน เขาสำรวจรายชื่อผู้ร่วมงานส่วนหนึ่งมาแล้ว และที่ทราบมาจากมิสเตอร์โรเจอร์ก็คือ อีแวนเดอร์มีภรรยาเป็นคนท้องถิ่น ปลูกบ้านส่วนตัวแยกออกไปจากออฟฟิศของปางไม้

‘ป้อกลัวแบบเดียวกับเรื่องเจ้าเมืองนั่นละ หนู…เมียของนายห้างอีแวนเดอร์ก็สนิทกับมุ่ย ฮักกันเหมือนพี่น้อง ตอนนี้มุ่ยเป็นสาวแล้ว ป้อกลัวว่าหนูกับมุ่ย แทนที่จะเป็นพี่น้องกัน จะกลายเป็นคนที่มีผัวคนเดียวกัน’

วิลเลียมคอแข็งขึ้นมาทั้งที่ยังไม่เห็นหรือนึกไม่ออกว่ามิสเตอร์อีแวนเดอร์หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็ตั้งปณิธานขึ้นมาในใจโดยพลันว่า เขาจะต้องดูแลฟ้ามุ่ยช่องามนี้ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของภู่ผึ้งวายร้าย ไม่ให้บินมาตอมไต่ หรือให้มือมารจากไหนมาเด็ดไปเชยชม

ดวงตาสีอ่อนจ้องหญิงสาวเกล้าผมมวยเสียบดอกไม้ นุ่งเสื้อผ้าฝ้ายและซิ่นเรียบๆ ด้วยสายตาหวงแหนและถือสิทธิ์ว่าตนเป็นเจ้าของ

ก็มุ่ยเป็นครูของเขานี่ เขาก็มีสิทธิ์ในการที่ปกป้องสวัสดิภาพของครูได้มิใช่หรือ

 

รถม้าผ่านคุ้มเจ้าหลวงแล้วพาข้ามไปยังฝั่งเหนือของแม่น้ำวังเยื้องมาทางตะวันออกซึ่งครึ้มและหนาแน่นไปด้วยป่าสัก จนถึงย่านที่มีบ้านเรือนปลูกอยู่เมืองก็บอกแก่นายห้างทั้งสองว่าที่นี่คือ บ้านท่ามะโอ ออฟฟิศป่าไม้ของสยามและบริษัทบริติชบอร์เนียวอยู่ฝั่งนี้ วิลเลียมและลีรอยตื่นตาเสมอเมื่อได้พบเห็นสิ่งใหม่ ในขณะที่เบ็ตตี้เริ่มเบื่อหน่าย เพราะหล่อนเห็นเพียงป่า ป่า และป่า ไม่มีสิ่งเจริญตาและศิวิไลซ์เท่ากับรถม้าที่หล่อนนั่งอยู่เลย

จนกระทั่งเมืองบังคับรถม้าผ่านอาคารหลังหนึ่งตั้งโดดเด่นในอาณาเขตกว้างขวาง ด้านหน้ามีสนามหญ้าตัดเรียบกว้างขวางพอจะเล่นเทนนิสหรือคริกเก็ตได้ มีแขกยามยืนเฝ้าอยู่

เรือนไม้สักหลังคาทรงปั้นหยาหลังนั้นโอ่อ่าเกินกว่าจะเป็นของชาวบ้านทั่วไป ไม่เพียงแต่ขนาดใหญ่ยังมีมุขแปดเหลี่ยมที่มิใช่ลักษณะของสถาปัตยกรรมถิ่นนี้ แม้เพียงชั่วไม่กี่นาทีที่รถม้าวิ่งผ่าน วิลเลียมก็อดเหลียวมองและถามออกมาไม่ได้

“ที่นี่เป็นบ้านของใคร หรือว่าจวนเจ้าเมือง”

“บ่แม่นจวนข้าหลวงหรอกนายห้าง” เมืองตอบทันที “แต่เป็นบ้านของมิตซ่าหลุยส์”

“มิตซ่าหลุยส์…” วิลเลียมคราง พยายามนึกว่าเป็นใคร ผู้เป็นครูจึงไขข้อสงสัย ยั้งคำพูดติดปากว่า…ง่าว…ไว้ได้

“มิตซ่า ก็มิสเตอร์ไง มิตซ่าหลุยส์ ก็คือมิสเตอร์หลุยส์ แต่ชาวบ้านที่นี่ออกเสียงเป็น มิตสะหลวย”

เมืองยิ้มให้กับคำอธิบายนั้นแล้วให้ความกระจ่างในตอนท้าย

“มิตซ่าหลุยส์…หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์”

วิลเลียมนึกออกทันที หลุยส์ผู้นี้เองที่มิสเตอร์โรเจอร์เล่าให้ฟังว่า เป็นลูกของแหม่มคนหนึ่งที่พระเจ้ากรุงสยาม…คิงมงกุฎ…ว่าจ้างให้มาสอนหนังสือในพระบรมมหาราชวัง หลังจากตามมารดากลับไปใช้ชีวิตในอังกฤษ หลุยส์ก็กลับมาที่สยามอีกครั้งเมื่อผลัดแผ่นดินแล้ว เป็นรัชสมัยของคิงจุฬาลงกรณ์ หลายคนจึงว่าหลุยส์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากกษัตริย์สยามเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก คิงจุฬาลงกรณ์พระราชทานแต่งตั้งให้หลุยส์เป็นผู้บังคับบัญชากองทหารม้า ให้เดินทางกับคณะของเจมส์ แม็คคาธี ในการสำรวจทำแผนที่พระราชอาณาเขตฝั่งดินแดนลาว ไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นตัวแทนดูแลเรื่องสัมปทานป่าไม้ที่เมืองระแหง หลุยส์จึงกลายเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของบริษัทบริติชบอร์เนียว จากระแหงมาอยู่เชียงใหม่ ก่อนมาลงหลักปักฐานกับภรรยาใหม่ที่เวียงละกอนหรือนครลำปางแห่งนี้

“ตึกอีกหลังที่ปลูกข้างกัน…” เมืองบอกให้สังเกตอาคารที่อยู่ถัดไป “เป็นทั้งสำนักงานและตู้เซฟของบริษัท มิตซ่าหลุยส์นี่ทั้งใจป้ำแต่ก็เขี้ยวอย่างร้ายกาจทีเดียว ก่ออาคารล้อมตู้เซฟไว้ตรงกลางเลย”

“ฉันพอนึกออกแล้ว มิสเตอร์โรเจอร์เปรยๆ ไว้เหมือนกันว่า หลุยส์มีส่วนช่วยเหลือบริษัทของเราอยู่ แต่ก็มีปัญหากัน ตอนนี้เลยไปตั้งบริษัทของตัวเอง คงจะเป็นที่นี่สินะ” วิลเลียมสรุปความเข้าใจของตนเอง

เมืองย้ำว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง

“ใช่แล้วนายห้าง ที่นี่เป็นทั้งบ้านพักและออฟฟิศของบริษัทหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์”

ขณะที่คุยกันอยู่นั้น สายตาของเบ็ตตี้เห็นไกลๆ ว่ารถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นสวนมา คนบนรถม้าคือหนุ่มอังกฤษวัยกลางคน เคียงกันคือหญิงสาวสวยที่นั่งตัวตรงคอเชิดอย่างสง่าดูภูมิฐาน เมื่อสวนกันฝ่ายชายก็จับหมวกฟางปีกแคบยกขึ้นเป็นการทักทาย ในขณะที่ฝ่ายหญิงค้อมศีรษะลงมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม

หากเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่เบ็ตตี้จะพอใจว่าในบ้านเมืองอันแร้นแค้นนี้ จะยังมีสังคมชาวอังกฤษชั้นสูงให้หล่อนได้มาวิสาสะด้วย

“นั่นละ มิตซ่าหลุยส์กับเรต้า เมียของเขา” เมืองบอกแก่ผู้โดยสาร วิลเลียมหันไปมองก็เห็นรถม้าคันนั้นเลี้ยวเข้าไปในบ้านไม้สักหลังใหญ่ที่เขาเพิ่งผ่านมา

“มิตซ่าหลุยส์รักเมียคนนี้มาก ถึงขนาดที่ว่าขอนไม้สักของบริษัทนี้ จะตีตราว่า RETA”

“ฉันคิดว่าเราน่าจะหาโอกาสมาเยี่ยมหลุยส์และเรต้า อย่างน้อยก็ในฐานะที่เขาอยู่ที่นี่มาก่อนเรา” น้ำเสียงของเบ็ตตี้เริงร่าเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้

“นายห้างและแหม่มคงได้มาแน่ๆ เพราะปัญหาของมิตซ่าหลุยส์กับที่บริษัทยังค้างคาอยู่ แต่นายห้างอีแวนเดอร์ประกาศเด็ดขาดเลยว่าไม่ขอเจรจาด้วยอีก”

วิลเลียมทำหน้าฉงน ก่อนที่คิ้วจะย่นหนักเข้าไปอีกเมื่อเมืองบอกว่า

“นายห้างอีแวนเดอร์บอกเฮาไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางว่า ถ้านายห้างคนใหม่มาถึง ก็ให้จัดการปัญหาของบริษัทกับมิตซ่าหลุยส์ให้เรียบร้อย”

“เอ๊ะ! ทำไมอย่างนั้นล่ะ” เบ็ตตี้โวยวายขึ้นมาเพราะรู้สึกว่านี่เป็นการผลักภาระ “ทำไมมิสเตอร์อีแวนเดอร์ไม่จัดการเอง”

“ก็ถ้านายห้างจัดการได้ ก็คงยะไปเมิน…ทำไปนานแล้ว” คนพูดขึ้นมาคือมุ่ย จบคำพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญว่า “เรื่องแค่นี้ก็คิดบ่ได้…”

แล้วเสียงของวิลเลียมและลีรอยก็ดังขึ้นพร้อมกับที่มุ่ยเอ่ยคำติดปากว่า…ง่าว!

อาคารออฟฟิศของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาหันหน้าสู่แม่น้ำวัง เพื่อสะดวกเวลามองการชักลากซุงลงแม่น้ำ แต่ยามนี้มิใช่ฤดูน้ำหลาก ความคึกคักจากการลากไม้จึงยังไม่เกิดขึ้น หากกระนั้นเบ็ตตี้ก็สั่งให้แรงงานขมุยกโต๊ะไม้สักตัวเล็กและเก้าอี้สานด้วยหวายสามตัวมาตั้งด้านหน้าเพื่อชมทัศนียภาพของแม่น้ำสายสำคัญพร้อมจิบน้ำชายามบ่าย

เบ็ตตี้กำชับคนรับใช้ชาวขมุให้อยู่พ้นจากสายตาหล่อน แต่ต้องปรากฏตัวทันทีที่เรียกหา และอนุญาตให้คนที่จะเข้าใกล้หล่อนและนายห้างทั้งสองได้มีเพียงแขกรับใช้เท่านั้น ด้วยว่าหล่อนคุ้นเคยกับแขกที่เรียกชาวตะวันตกอย่างยกย่องว่า ปักกาซาอิบ มากกว่าคนพื้นเมืองที่นี่ซึ่งดูเบื้อใบ้ เจรจาไม่รู้ความ

หญิงสาวสำรวจชุดชาว่าครบถ้วนดีแล้วก็สั่งให้แขกรับใช้ประคองถาดเงินเดินตาม มุ่ยผ่านมาพอดีเสนอตัวจะช่วยเหลือ แต่เบ็ตตี้ก็ยิ้มหวานส่งคำตอบที่ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ขอบใจเธอมาก และนี่แน่ะ…แม่สาวน้อยแวนด้ากล้วยไม้ป่า ถ้าจะกรุณา ขอพวกเราใช้เวลาหย่อนใจเป็นส่วนตัวกันสักหน่อยเถิด เธอไม่ต้องห่วงว่าจะถูกตำหนิว่าเป็นครูที่ไม่ดีหรอก”

มุ่ยได้ยินคำตอบแล้วยกไหล่นิดหนึ่งก่อนเดินจากไปให้นังเบ็ดรู้ว่าตนมิได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่ต้องอยู่ร่วมวงด้วยสิดี จะได้เข้าป่าไปหาน้ำผึ้ง หรือเก็บยอดผักกูดมายำกินให้อร่อย

เบ็ตตี้รินน้ำชาลงถ้วยส่งให้วิลเลียม ลีรอย และของตนเป็นถ้วยสุดท้าย ชายหนุ่มถามขึ้นมาเมื่อสังเกตว่าทั้งเก้าอี้และชุดชามีเพียงแค่สาม

“เมืองกับมุ่ยล่ะ ทำไมไม่มานั่งด้วยกัน ฉันมีเรื่องอยากถามเมืองให้กระจ่างสักหน่อย เกี่ยวกับพื้นที่ป่าที่เราได้สัมปทาน”

ในมือของวิลเลียมมีสมุดเล่มหนึ่ง เขาใช้นิ้วคั่นหน้าที่คงจะเป็นเรื่องสงสัยของเขา แต่เบ็ตตี้แสร้งทำไม่สนใจ ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องคุยกันเดี๋ยวนี้

“ฉันชวนทั้งสองคนแล้ว แต่เขาว่าอยากพักผ่อนและเบื่อเต็มทีที่จะต้องคอยตามพวกเราทุกฝีก้าวเป็นเงาตามตัว”

“ฉันว่าเมืองและมุ่ยไม่น่าจะพูดอย่างนั้น” ลีรอยขัดขึ้นมา ทว่าเบ็ตตี้โต้กลับทันควัน

“เขาไม่ได้พูดอย่างนี้หรอก แต่ก็หมายความอย่างนี้ นี่เธอตั้งท่าคอยจับผิดฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ลีรอย”

“อย่าเพิ่งเถียงกันน่า สองคนนั้นไม่มาด้วยก็ดีเหมือนกัน พี่น้องจะได้มีเวลาอยู่กันตามลำพังบ้าง ไม่ต้องมาอยู่คอยรับใช้เรา เพราะเขาไม่ใช่คนรับใช้” วิลเลียมย้ำสถานะของสองพี่น้องและปรามก่อนที่การประคารมจะลุกลามออกไป พลิกเปิดสมุดหน้าที่ใช้นิ้วคั่นไว้ เพ่งมองตัวอักษรคิ้วขมวดแล้วว่า “บริษัทของเราได้พื้นที่สัมปทานแค่ป่าแม่ต๋ำแม่จางกับป่าแม่วังสองแห่ง แต่บริษัทหลุยส์ได้พื้นที่สัมปทานป่าตั้งสี่แห่ง”

ลีรอยรับสมุดเล่มนั้นไปดูครู่หนึ่งอย่างพิจารณาก่อนบอกว่า

“ส่วนสยามฟอเรสต์ได้ที่ป่าแม่งาวกับป่าแม่จูน…เอ ไม่รู้ว่าสองป่านี้อยู่ตรงไหน ถ้าเมืองอยู่ด้วยคงบอกได้ทันที”

เบ็ตตี้พ่นลมหายใจอย่างระอา พยายามหาทางเบี่ยงประเด็นสนทนาจากเรื่องงานปางไม้ไปเรื่องอื่นแต่ก็ไร้ผลเพราะวิลเลียมและลีรอยยังวิเคราะห์กันต่อไปว่า

“ถ้าดูจากพื้นที่สัมปทานทั้งหมดนี้แล้ว หลุยส์ได้เปรียบที่สุดเพราะนอกจากพื้นที่ป่าที่ตนเองได้สัมปทานแล้ว พื้นที่ป่าที่เป็นของพวกเจ้านายและพ่อค้าพื้นเมืองก็น่าจะอยู่ในเครือข่ายของหลุยส์ด้วย ไม่ว่าจะในนามของบริษัทหลุยส์หรือบริติชบอร์เนียว บริษัทของเราถือว่ามาใหม่ ถ้าเราสามารถเป็นตัวแทนให้กลุ่มเจ้านายและพ่อค้าพื้นเมืองได้ ก็น่าจะทำให้เราเป็นต่อมากขึ้น”

“แต่นายอย่าลืมนะ ว่าบริษัทของเรานี่แหละที่ทำให้พม่าตกเป็นของจักรวรรดิอังกฤษ” ลีรอยกระตุ้นเตือน

วิลเลียมนึกถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ป่าไม้สักในแถบนี้กลายเป็นขุมทรัพย์มหาศาลทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครรู้จักไม้สักและการขายในตลาดเอเชียก็ได้กำไรน้อย จนกระทั่งกัปตันเรือชาวเดนมาร์กรายหนึ่งนำไม้สักสยามไปขายที่ลิเวอร์พูลได้กำไรมหาศาล ไม้สักจึงบุกตลาดยุโรปได้และชักพานักลงทุนชาวตะวันตกให้เข้ามาขอสัมปทานป่าไม้ที่สยามและพม่า

นอกจากได้สัมปทานป่าไม้ในพม่าแล้วบริษัทบอมเบย์เบอร์มายังออกเงินกู้ โดยผู้กู้รายสำคัญคือราชสำนัก และมักเป็นการปล่อยกู้ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีวันได้คืน แต่ก็แลกมากับการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำปางไม้อยู่ไม่น้อย จนกระทั่งการเข้ามาของฝรั่งเศส บริษัทบอมเบย์เบอร์มากับราชสำนักจึงถึงจุดพิพาท

เรื่องขัดแย้งระหว่างบริษัทบอมเบย์เบอร์มากับราชสำนักพม่ากลายเป็นประเด็นระดับโลก เมื่อมีผู้จารกรรมหลักฐานสำคัญอันเป็นจดหมายรายงานของกงสุลฝรั่งเศสต่อรัฐบาลปารีสมาเปิดเผยต่อสังคมโลก เนื้อหาในรายงานระบุว่าราชสำนักพม่าอนุญาตให้ฝรั่งเศสเข้ามาสร้างทางรถไฟ ค้าอาวุธ และปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาลพม่า แลกกับการได้สัมปทานเหมืองทับทิมและป่าไม้ทั้งหมดที่เคยให้สัมปทานแก่บริษัทบอมเบย์เบอร์มา ครั้นเรื่องนี้สะพัดออกไป รัฐบาลอังกฤษจึงต้องออกโรงปกป้องสิทธิ์ของประเทศ เจรจาไกล่เกลี่ยแกมขู่เข็ญให้พม่าเลิกเอาเรื่องกับบริษัทบอมเบย์เบอร์มาทว่าไร้ผล กองทัพอังกฤษจึงยาตรามายึดมัณฑะเลย์ จับพระเจ้ากรุงพม่าและพระบรมวงศานุวงศ์ไปกักกันที่อินเดีย แล้วประกาศให้ตอนบนของพม่าผนวกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในวันที่ 1 มกราคม 1886

“แต่ที่นี่คือสยาม คงไม่มีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้น” วิลเลียมรำพึงออกมา รู้สึกว่าบทสนทนาจะชวนไปไกลเกินกว่าคำว่าผ่อนคลาย เขาจึงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ หลับตาเพื่อเรียกความสงบจากการฟังเสียงป่าหน้าร้อน เสียงลมพัดใบไม้ไหว และเสียงแมลงไพรที่ร้องประสานกันอยู่ตรงนั้นตรงนี้

ลำนำดนตรีแว่วมาไกลๆ วิลเลียมจำเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองชิ้นนั้นได้ คนที่นี่เรียกว่า ซึง

พ่อเลี้ยงหมอชิตกับมิตสะหลวย เอาสาวนอยตวยสองคืนสิบห้า

เสียงขับลำนำดังมา เสียงนี้เขาจำได้ไม่ลืมว่าเป็นเสียงของมุ่ย เพลงที่ร้องนั้นว่าอย่างไรไม่เข้าใจนัก แต่ก็สะดุดหูว่ามีชื่อ มิตสะหลวย หรือหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ อยู่ในนั้น วิลเลียมเงี่ยหูฟังต่อไปแม้ไม่รู้เรื่อง หากก็หมายใจไว้ว่าถ้าพบหน้ามุ่ยจะถาม

พลันทั้งเสียงร้องและเสียงดนตรีก็หยุดชะงักราวผู้ร้องและนักดนตรีเลิกเอาดื้อๆ

กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียว เมื่อเสียงเพลงสะดุดวิลเลียมจึงกระตุกใจไปด้วย หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับมุ่ยจึงยันตัวจะลุกไปดู แต่เสียงเจ้ามุ่ยนั่นเองที่ตะโกนบอกเด็ดขาดว่า

“หยุด! อย่าขยับ”

ชาวอังกฤษทั้งสามหันขวับไปยังเจ้าของเสียง โดยเฉพาะเบ็ตตี้มีแววตาขุ่นเขียวเพราะหล่อนกำชับแล้วว่าอย่าเข้ามายุ่มย่ามในยามที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่มุ่ยหาฟังไม่ ซ้ำยังสาวเท้าเข้ามาช้าๆ ดุจพยายามจะให้เสียงเบาที่สุด วิลเลียมชักสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะในมือมุ่ยมีหน้าไม้อันเล็กคู่ใจ

หญิงสาวยกนิ้วขึ้นแตะปากแทนการบอกให้เงียบแล้วชี้ลงไปที่พื้น ทั้งสามคนจึงค่อยๆ ก้มลงมองแล้วก็ได้เห็นว่ามีท่อนลำสีดำมะเมื่อมขนาดเท่าแขนอยู่ใต้เก้าอี้ เบ็ตตี้เกือบกรีดร้องออกมาแต่มุ่ยเบิกตากว้างอย่างตำหนิ กำชับเบาๆ ทว่าเด็ดขาด

“ดักปาก!…เงียบเดี๋ยวนี้ ถ้าบ่อยากตายก็เงียบ”

เบ็ตตี้ยกมือขึ้นอุดปากกลัวเสียงจะเล็ดลอดออกมา ในขณะที่วิลเลียมกับลีรอยส่งสายตาต่อกันว่าควรจะกระโจนออกไปให้ไกลที่สุด เล็งหาไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเป็นเป้าหมาย หากคว้าได้ก็หันกลับมาตีเจ้าขดเชือกเส้นใหญ่นั้น

สายตามองกันแล้วพยักหน้าแทนการนับ หนึ่ง สอง สาม

ทันทีที่ร่างสองหนุ่มกระโจนออกไป จงอางตัวใหญ่ก็ปรากฏตัวเต็มที่แผ่แม่เบี้ยขึ้นมารับลูกดอกจากหน้าไม้ที่มุ่ยปล่อยไปในจังหวะเดียวกัน ร่างยาวนั้นก็ไถลไปนิดหนึ่งด้วยแรงปะทะ แล้วก็บิดไปมาหลายนาทีกว่าที่ขดเชือกใหญ่สีดำนั้นจะหยุดเคลื่อนไหว

เบ็ตตี้กรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เหงื่อตกทั่วร่างกาย ผิวขาวกลายเป็นเผือดซีดราวเลือดในกายหายไปหมดสิ้น

คราวนี้มุ่ยย่ำเท้าเข้ามาเอ็ดอย่างหัวเสีย

“เฮาบอกแล้วว่าห้ามขยับ นายห้างกระโดดยะหยัง”

“ถ้าไม่กระโดดหนี แล้วจะปล่อยให้โดนฉกตายหรือยังไง”

เมืองเห็นเหตุการณ์โดยตลอดเพราะตนคือคนที่เล่นซึงให้น้องสาวร้องเพลง เมื่อเห็นจงอางตัวใหญ่เลื้อยเข้าไปอยู่ใต้เก้าอี้ของวิลเลียมจึงนัดแนะแผนการกันว่าจะทำอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เมืองยอมรับว่าน้องสาวทำได้ดีกว่าตนคือฝีมือการยิงหน้าไม้ที่แม่นยำพุ่งเข้าเป้าราวจับวาง เขาจึงปล่อยให้มุ่ยทำตามแผนการนี้ ตนเองเตรียมพร้าเพื่อเข้าไปจัดการหากแผนของมุ่ยไม่เป็นไปดังคาด

“นายรู้ก่ จงอางนี้เลื้อยเร็วเพียงใด แล้วถ้ามันคิดจะจู่โจมเหยื่อ ฉกแล้วมันจะขบจนจมเขี้ยวปล่อยพิษจนกว่าเหยื่อจะตาย เกิ่งชั่วโมงเท่านั้น นายห้างยังบ่ทันได้ยะก๋าน…ทำงาน ฟั่งตายเป็นผีเฝ้าปางไม้เพราะงูขบเลย”

ลีรอยสังเกตน้ำเสียงของเมืองก็รู้ว่าฝ่ายนั้นหัวเสียที่ตนและวิลเลียมกระโจนออกไปจากเก้าอี้ พลันก็นึกได้ว่าที่เห็นสองพี่น้องช่วยเหลืออย่างยอมตามทุกอย่างนั้น บางทีพวกเขาก็อาจจะเอือมระอากับความไม่รู้เรื่องของชาวตะวันตกผิวขาวก็เป็นได้

เมืองเรียกคนงานมาจัดการซากงูเคราะห์ร้ายตัวนั้นออกไป ชวนน้องสาวไปด้วยกันกับกลุ่มคนงาน และบอกกับนายห้างทั้งสองและแหม่มเบ็ตตี้ที่ยังอ่อนระทวยหน้าซีดเผือดว่า

“ปลอดภัยกันแล้ว นายห้างช่วยเหลือกันเองเน่อ”

 



Don`t copy text!