เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “เสี่ยวช้าง-เสี่ยวคน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “เสี่ยวช้าง-เสี่ยวคน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

วิลเลียมคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้วแต่ก็ช้ากว่าสองพี่น้องและเหล่าคนงาน แสงฉานเพิ่งพ้นขอบฟ้าจับเมฆเป็นริ้ว บริเวณป่าและทิวเขายังไม่สว่างแจ้ง ทว่าหน้าเต็นท์ของนายห้างกลับพร้อมพรั่งไปด้วยความสะดวกสบายคล้ายว่ามาตั้งแคมป์หย่อนใจมากกว่าตามหาช้างหาย เมื่อนายห้างแหวกเต็นท์ออกมา กุลีที่คอยท่าก็ยกถังไม้บรรจุน้ำใสมาให้ล้างหน้าบ้วนปาก ซับใบหน้าด้วยผ้าสะอาด หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ กาแฟร้อนควันกรุ่นก็ส่งถึงมือ

“นายห้างจะรับข้าวมื้อเช้าเลยหรือไม่”

เมืองถามเป็นภาษาอังกฤษเมื่อวิลเลียมและลีรอยรับแก้วกาแฟไป ครั้นทั้งสองพยักหน้า มุ่ยก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟ มีทั้งซุปข้น ขนมปัง เนยและแยมส้ม จนวิลเลียมนึกประหลาดใจว่า คนงานของปางไม้เตรียมข้าวของเหล่านี้ตอนไหน ในความทรงจำของเขาเมื่อวานนี้ หลังจากที่ได้รับแจ้งข่าวว่ามีช้างล้มในป่า เมืองสั่งการรวดเร็ว คณะตามหาช้างก็ออกเดินทางภายใน ๒๐ นาทีจากนั้น

ลำพังแค่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายและเตรียมอุปกรณ์ป้องกันตัวก็หมดเวลาแล้ว แต่เอาเข้าจริงกลับมีทั้งเต็นท์ผ้าใบหลังใหญ่ เครื่องสนามครบครัน รวมไปถึงอาหารเช้าอย่างตะวันตก ผิดจากที่มิสเตอร์อีแวนเดอร์เคยเหมาเอาว่าคนที่นี่เชื่องช้า คิดไม่เป็น ทำตามคำสั่งได้อย่างเดียว และหากจะให้คำสั่งนั้นสัมฤทธิ์ผลอาจจะต้องแกมขู่เข้าไปด้วย เช่นเดียวกับโทมัสที่มักเรียกคนถิ่นนี้รวม ๆ ว่า ‘พวกลิงเหลือง’ ก็ปรามาสให้ได้ยินหลายที

แต่วิลเลียมได้เห็นกับตาเมื่อวานนี้ จนกระทั่งเช้านี้ ว่าพวกลิงเหลืองของโทมัสนั้นทำอะไรได้มากมายซ้ำยังคล่องแคล่ว เขาและลีรอยเสียอีกที่กลายเป็นภาระในการเดินทาง

“เมืองกับมุ่ยก็มากินด้วยกันสิ” วิลเลียมชวนแต่เมืองส่ายหน้า

“พวกเราเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนตะวันสางแล้วละ” ว่าพลางบุ้ยหน้าไปทางที่คนงานนั่งล้อมวงกันสูบยาพ่นควันปุ๋ย บางคนเคี้ยวเมี่ยงหลังอาหารเพลินใจ บางคนก็ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน

วิลเลียมรู้สึกหน้าชาขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งที่คำพูดของเมืองไม่มีริ้วรอยของการตำหนิหรือประชดประชัน แต่เขากลับรู้สึกว่าการตื่นสายกว่ากุลีที่เดินทางมาด้วยกันเป็นเรื่องน่าละอายอย่างที่สุด วิลเลียมจึงรีบกินอาหารเช้าให้เสร็จโดยไว ทั้งที่บรรยากาศรอบกายตอนนี้ชวนให้ค่อย ๆ ละเลียดเล็มขนมปังปาดเนยและแยมส้มอย่างช้า ๆ

ปะเลเข้ามาสมทบในวงของนายห้างเมื่อเมืองกวักมือเรียก หารือว่าจะตามหาปู้คำแสนอย่างไร

“เฮากึ๊ดว่าปู้คำแสนคงอยู่แถวนี้ แต่แอบมอบ…ซ่อนตัว บ่ให้เห็น” น้ำเสียงของปะเลไม่ทุกข์ร้อน ต่างจากวันวานที่เขาเร่งเร้าให้มาดูซากช้างล้ม

“ช้างตัวโตเท่าภูเขา ป่าที่นี่ก็ไม่ใช่ป่าทึบ จะซ่อนจะพรางตัวยังไงได้มิดชิดอย่างนั้น” วิลเลียมว่า

“ถ้าช้างมันจะมอบ เซาะหื้อต๋ายก็บ่ปะ” มุ่ยบอกอย่างรู้ธรรมชาติของช้างว่า ถึงจะตัวโตเท่าใดก็ตาม แต่หากมันนึกสนุกอยากแอบซ่อน ไม่มีทางเจอตัวได้ง่าย ๆ

โดยเฉพาะปู้คำแสนที่โตมาด้วยกัน มุ่ยรู้ว่านิสัยของช้างเชือกนี้ก็ไม่ต่างจากเด็กซน ๆ คนหนึ่ง

“ซากช้างที่เฮาเจอ บ่ใช่ปู้คำแสน คิดในทางที่ดีก็หมายความว่าปู้คำแสนยังไม่ตาย” เมืองว่า

“หรือว่าจะถูกขโมยไปแล้วจริง ๆ” ลีรอยออกความเห็นบ้าง แต่เมืองส่ายหน้า

“ไม่น่าเป็นอย่างนั้นหรอก นายห้าง เพราะโจรขโมยช้างจะไม่ใช้เส้นทางนี้ ผมกำลังคิดว่า ที่ปู้คำแสนหายไปนี้ คงเจอเสี่ยวแล้วละ” เมืองสันนิษฐาน ปะเลก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เสี่ยว…” วิลเลียมทวนคำ หันมาหามุ่ยเพื่อขอคำอธิบาย

“ปู้คำแสนมันเป็นช้างหนุ่มแล้ว นิสัยของช้างจะหา ‘เสี่ยว’ เป็นคู่กัน” มุ่ยคิดว่านายห้างวิลเลียมเข้าใจแต่ไม่กระจ่างแจ้ง จึงบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Buddy น่ะ”

“ออ” วิลเลียมและลีรอยครางออกมาพร้อมกัน

“หลังจากที่ช้างมันผูกเสี่ยวแล้ว มันจะแยกไปอยู่ด้วยกันสองตัว ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง” มุ่ยเล่าเพิ่มเติม

“พวกเธอกำลังจะบอกว่า เราไม่ต้องเร่งร้อนตามหาปู้คำแสนแล้วเหรอ” วิลเลียมถาม

“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอก นายห้าง” เมืองว่า “เพียงแต่ไม่ต้องเซาะหาเป็นแต๊เป็นว่า…เอาจริงเอาจัง…ผมเชื่อว่าจะเจอปู้คำแสนเร็ว ๆ นี้ ดีบ่ดีมันปิ๊กไปที่ปางคนเดียว…กลับไปเอง…ที่น่าหนักใจมากกว่าคือ ช้างเสี่ยวปู้คำแสนเป็นช้างตัวใด…ช้างเลี้ยงหรือช้างป่า เพราะตอนนี้ ช้างของปางที่หายไปมีตัวเดียว”

ข้อสรุปของเมืองและปะเลแทบจะตรงกับความคิดของคนทั้งหมดที่คลุกคลีกับวิถีของช้างมานาน ที่ปู้คำแสนหายไปคงกำลังผูกเสี่ยวอยู่ กุลีจึงช่วยกันเก็บเต็นท์ รับคำสั่งว่าสำรวจป่าอีกเล็กน้อยแล้วก็กลับไปคอยที่ปางไม้

ปะเลนำไปทางหนองน้ำในป่าเพราะคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการตามหา เพราะช้างชอบเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ หากน้ำมากก็จะแช่ทั้งตัวพ่นน้ำเล่น แต่หากน้ำแล้งก็กลิ้งเล่นให้โคลนชโลมผิวกาย เป็นวิธีการป้องกันมิให้แมลงวันมาแอบไข่บนผิวหนัง อันจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้

ปะเลหันมาบอกคณะให้ชะลอฝีเท้าลง นิ่ง และเงี่ยหูฟัง

ครั้นทุกคนทำตามก็ได้ยินเสียงพ่นน้ำและเสียงร้องเบา ๆ สืบเท้าเข้าไปช้า ๆ มิให้เป้าหมายตื่นตระหนกจนอยู่ในระยะที่เห็นชัดก็พบว่า ช้างสองเชือกกำลังพ่นน้ำหยอกล้อกันสนุกสนาน แล้วเชือกหนึ่งก็ทุ่มตัวเองลงบนแอ่งโคลนกลิ้งไปมา

“ปู้คำแสน ไอ้เด็กดื้อ มาหลบอยู่นี่เอง” วิลเลียมบ่นปนหัวเราะกับท่าทีของช้างตัวใหญ่ที่เล่นเหมือนเด็กซน

คณะตามช้างทั้งหมดสาวเท้าออกมาเรียงหน้ากระดาน ปะเลร้องตะโกนออกไปคำหนึ่ง วิลเลียมเดาว่าคงบอกให้ปู้คำแสนรู้ว่าพบตัวแล้วและสั่งให้กลับปางไม้ ปู้คำแสนก็ชูงวงร้องแปร๋นเสียงดังลากยาว ทั้งแปลว่ารับรู้และดื้อดึงไม่ยอมทำตามคำสั่ง

“ช่วยกันจับแล้วพาไปที่ปางไม้เร็ว ๆ เถอะ” วิลเลียมร้องสั่ง

ปู้คำแสนจะรู้ถ้อยคำสั่งนั้นด้วยวิธีใดก็ตามที แต่สิ่งที่เจ้าช้างตัวใหญ่ทำคือใช้งวงสอดเข้าไปในปาก ดูดน้ำลายจนเต็มที่แล้วพ่นใส่นายห้างหนุ่มผมทองเป็นการเฉพาะเจาะจง แล้วก็ชูงวงร้องแปร๋นอย่างถูกใจ

“เฮ้ย!”

วิลเลียมร้องได้แค่นั้น หลบไม่ทันเพราะไม่รู้มาก่อน แต่บัดนี้ใบหน้าและเนื้อตัวของเขาชุ่มไปด้วยน้ำลายช้างที่เหม็นอย่างร้ายกาจ แมลงวันบินเข้ามารุมตอมเร็วรี่

แต่ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องร้ายแรง กลับเห็นเป็นเรื่องชวนขัน หัวเราะกันถ้วนหน้า

“ปู้คำแสนนี้มันหลวกแต๊…ฉลาดจริง” มุ่ยว่า

“เราคงปล่อยให้อยู่ตรงนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเราก็ต้องพาช้างกลับไปที่สถานี” ลีรอยตัดสินใจพลางถามวิธีแก้ปัญหา “แต่ว่าช้างอีกตัวนี่สิ เราจะจัดการอย่างไร”

“เราต้องพาไปที่ปางทั้งคู่” เมืองว่า “ช้างคู่ใด ถ้าผูกเสี่ยวกันแล้วจะไม่ยอมให้จับแยกเด็ดขาด ขนาดว่าผูกตัวหนึ่งไว้ในป่า ตัวหนึ่งไว้ในคอก มันก็พังคอกออกไปหากัน”

“แสดงว่าเราไม่มีทางเลือกสินะ” ลีรอยสรุป

“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นละ นายห้าง ช้างนี้คือ ปู้คำตุ่น” เมืองบอกราบเรียบแต่ลีรอยสัมผัสได้ถึงความหนักใจในน้ำเสียงเมื่อเอ่ยชื่อช้างเชือกนั้น

“ถ้ามันเป็นแค่ช้างธรรมดา เรานำไปคืนเจ้าของก็น่าจะจบเรื่อง แต่น้ำเสียงของเธอไม่ได้บอกอย่างนั้น”

เมืองระบายลมหายใจออกมาทั้งรู้ว่ามิใช่กิริยาที่สุภาพ หากแล้วเขาก็เอ่ยให้รู้ทั่วกันถึงปัญหาของช้างเชือกนี้

“ปู้คำตุ่นเป็นช้างของเจ้านางนกน้อย”

ทุกคนนิ่งงันไปทันที เห็นภาพยุ่งเหยิงที่จะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำออกมา

 

“จ๊างกูอยู่ไหน?”

เสียงเกรี้ยวแสดงอำนาจดังขึ้นทันทีที่ร่างเล็กบางปรากฏตัวที่ปางไม้ ข่าวปู้คำตุ่นไปถึงหูเจ้านางนกน้อยไวกว่าที่คิด

“เฮามาฮับจ๊างของเฮาคืน พาเฮาไปที่คอกจ๊างบะเดี๋ยวนี้” เจ้านางนกน้อยสั่งพลางสะบัดหน้าเมื่อเห็นนางหนูที่อุ้มท้องมองมา ส่งสายตาให้เจ้านางค่อย ๆ พูดจาหารือกัน

ระหว่างที่คนแบกเสลี่ยงเจ้านางนกน้อยไปยังคอกช้าง นางหนูจึงกระซิบบอกมิสเตอร์อีแวนเดอร์ผู้เป็นสามี ให้เตือนวิลเลียมว่าเจ้านางคงไม่เพียงแต่มารับช้างแล้วจบเรื่องไป นางหนูเป็นข้ารับใช้ข้างกายมานาน รู้นิสัยเจ้านางดีว่า เจ้านางรังเกียจพวกกุลาเผือกหรือพวกดั้งขอเข้ากระดูก และเจ้านางก็เคยประกาศก้องว่าจะไม่ยอมมาเหยียบปางไม้ที่พวกกุลาเผือกมาตั้งออฟฟิศเด็ดขาด หากต้องเจรจา เจ้านางจะให้คนมาตามพาตัวไปพบที่คุ้ม

การที่เจ้านางนั่งเสลี่ยงมาทวงช้างด้วยตนเองจึงมิใช่เรื่องปกติ

ไม่ผิดจากที่นางหนูคาดการณ์ไว้ เมื่อไปถึงคอกช้าง ปู้คำตุ่นก็ชูงวงร้องรับเจ้านางนกน้อยอย่างคุ้นเคยกัน เจ้านางก็แสดงความรักและห่วงหาช้างตัวโปรดที่หายไปหลายวัน บอกทนายที่เจ้านางให้คนไปตามมาด้วย

“ปู้คำตุ่นหายไปจากคุ้มหลายวัน เซาะเท่าใดก็บ่เจอ มาเห็นกับตาที่นี่ ว่าปางไม้นี่ลักเอาช้างเฮามา”

“เจ้านางอย่ากล่าวหากัน” วิลเลียมแย้งทันควัน “เราพบช้างเชือกนี้อยู่กับช้างของเราที่ชายป่า”

“ก็หมู่คิงลักไปซ่อนไว้ในป่า คิดว่าเฮาเลิกเซาะหาแล้ว จึงพามาบ่มไว้ที่ปางนี่” เจ้านางไม่ลดละ

“ถ้าพวกเราจะขโมยจริง ป่านนี้ก็คงไม่มีฮอกแขวนคอแล้ว” วิลเลียมชี้ให้ทุกคนดูกระดึงไม้สักที่คล้องคอช้างพลายตัวใหญ่งาขาว

“คิงบ่รู้วิธีเอาออกน่าก่ะ” เจ้านางเย้ย หันไปบอกแก่ทนาย “จ๊างเฮาหายไปสองตัว เจอปู้คำตุ่นละ แต่ยังขาดปู้คำเงา หมู่คิงเอาไปแอบไว้ไหน เอามาคืนเฮาบ่าเดี๋ยวนี้”

เมืองหยิบ ‘ฮอก’ หรือกระดึงซึ่งเขาเก็บมาจากซากช้างล้มส่งให้คนของเจ้านางนกน้อย ฝ่ายนั้นรับไปพิจารณาครู่เดียวก็ยืนยันแก่เจ้านางว่าเป็นฮอกของปู้คำเงาจริง ๆ เจ้านางจึงสะบัดหน้าถามถึง

วิลเลียมตอบอย่างพยายามข่มใจสู้กับความเจ้าอารมณ์ของสตรีร่างเล็กแต่วางท่าทรงอำนาจอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

“ช้างเชือกนี้ล้มแล้ว ถูกงูกัดตาย เราเผาให้แล้ว เหลือแต่งาที่เราตัดเก็บไว้”

เจ้านางนกน้อยกรีดร้องขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว

“วอกนัก หมู่คิงลักช้างกูไปฆ่าเอางา มาตัดไม้บ้านกูไปขาย ยังจะเอางาช้างไปขายแหมกา หยังมาเป็นคนขี้โลภจะอี้…เห็นแก่ได้ที่สุด” เจ้านางนกน้อยรู้ดีว่า บริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้มิได้ทำธุรกิจแค่ส่งออกขอนไม้เท่านั้น หากยังมีสินค้าอื่นอีกทั้งสมุนไพรหายากและสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นช้าง กวาง เสือ นกยูง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต งาช้างเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ดีพอ ๆ กับหนังสือโคร่งและเขากวาง เจ้านางจึงแค้นใจนัก

“เอางาคู่นั้นมาหื้อกู” เจ้านางสั่ง

“ไม่ได้หรอกเจ้านาง เราเป็นผู้พบซากช้างล้ม งานี้ต้องเป็นของเรา”

“หน้าด้าน บ่ใช่ของตั๋ว มาตู่เอาหน้าด้าน ๆ ถ้าอู้…เจรจา…กันดี ๆ บ่ได้ ก็หื้อตุลาการตัดสินก็แล้วกั๋น”

เจ้านางนกน้อยจากไปด้วยความฉุนเฉียวดุจพายุเช่นเมื่อตอนมา วิลเลียมไม่เกรงคำขู่ของเจ้านางที่ว่าจะให้เค้าสนามหลวงหรือศาลท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณา ดีเสียอีก จะได้ตัดสินกันอย่างยุติธรรมว่าใครผิดใครถูก

แต่โทมัสคือผู้ที่ทักท้วงให้ทบทวนดูอีกที เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ

“ถ้าให้ศาลเป็นผู้ตัดสินคดี นอกจากคู่กรณีจะต้องจ่ายค่าทนายของตนแล้ว ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้พิพากษา ค่าเปิดคดี และค่าตัดสิน ที่ผ่านมาเวลาชาวบ้านมีคดีกับพวกเจ้านายหรือคนมีเงินถึงเป็นฝ่ายแพ้คดีอยู่ร่ำไป เพราะไม่มีเงินจ่ายในส่วนนี้”

“เราไม่มีปัญหาเรื่องเงิน” วิลเลียมตอบกลับ แต่โทมัสยังส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ตอนนี้รัฐบาลสยามค่อย ๆ ทอนอำนาจของพวกเจ้าเมืองลงก็จริง แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด คดีลักช้างเจ้านางไม่มีทางได้ตัดสินที่ศาลของอังกฤษหรอก ถ้าเจ้านางยืนกรานว่าเรื่องนี้เป็นคดีของท้องถิ่น เผลอ ๆ เจ้านางจะแจ้งว่าจำเลยในกรณีนี้คือเมืองหรือปะเล ซึ่งไม่ใช่คนในบังคับอังกฤษ จะเอาไปตัดสินที่ศาลอังกฤษไม่ได้”

“หมายความว่ายังไงเราก็แพ้อย่างนั้นหรือ” ลีรอยถาม

“ร้อยเปอร์เซ็นต์” โทมัสย้ำให้แน่ชัด

“ถ้าอย่างนั้นเราก็คืนช้างให้เจ้านางเสีย จะได้จบเรื่องกันไป” วิลเลียมให้ข้อสรุป

 

เช้าวันต่อมา เมืองและปะเลต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะแยกช้างสองเชือกที่ผูกเสี่ยวกันแล้วออกจากกัน ส่งปู้คำตุ่นให้เจ้านางนกน้อยที่คุ้มแล้วก็ต้องมาคอยเฝ้าปู้คำแสนที่อาละวาดฟาดงวงฟาดงาจนใครเข้าใกล้ไม่ได้ กลัวจะถูกเหยียบบาดเจ็บหรือตาย ช้างพลายวัยหนุ่มส่งเสียงร้องโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลาไม่ผิดกับเวลาตกมัน

ดึกสงัดจันทร์แขวนอยู่กลางฟ้า เมื่อคนเฝ้าเผลอปิดตาม่อยหลับ ปู้คำแสนก็พังคอกออกไป

ในตอนบ่ายของอีกวันคนงานก็พบปู้คำแสนและปู้ค่ำตุ่นเล่นน้ำอยู่ด้วยกันที่ชายป่าที่เคยตามพบครั้งก่อน

เจ้านางนกน้อยใส่ความหนักขึ้นว่าปะเลใช้เล่ห์มนตร์คาถาสะกดช้างของเจ้านางให้แหกคอกออกไปเจอช้างของปางไม้ จับแยกทีไรช้างสองเชือกก็ทลายพันธนาการไปพบกันจนได้ จนวิลเลียมอ่อนใจยอมรับขอเสนอของเจ้านางนกน้อย

“ช้างเชือกหนึ่ง ปกติก็ซื้อขายกันราว ๒๐๐ รูปี” แพทริกผู้กุมบัญชีทั้งมวลให้ข้อมูล สีหน้าหนักใจเมื่อวิลเลียมเห็นว่าหนทางนี้น่าจะจบเรื่องได้อย่างประนีประนอมที่สุด “แต่เจ้านางเรียกถึง ๑,๐๐๐ รูปี”

“ราคาออกจะสูงไปมาก เห็นชัดว่าต้องการเอาคืนให้สาแก่ใจ เจ้านางรู้ว่าตัวเองเป็นต่อในเรื่องนี้” ลีรอยว่า

นางหนูเยี่ยมหน้าเข้ามาในวงที่กำลังหารือกัน เพราะอีแวนเดอร์ผู้เป็นสามีร่วมอยู่ในวงนั้น

“ให้ข้าเจ้าไปเจรจากับเจ้านางสักเตื้อ อาจจะจ่ายน้อยกว่านี้ หรือบ่ต้องจ่ายเลย”

“อย่าเลย หนู” มิสเตอร์อีแวนเดอร์ปราม “ถ้าไม่ต้องจ่าย แปลว่าเจ้านางจะยึดเอาตัวหนูแลกกับช้าง หนูเป็นเมียฉัน เป็นอิสระ ไม่ใช่บริวารของใคร”

นั่นแล้วนางหนูจึงเงียบแล้วถอยออกไป ปล่อยให้กลุ่มนายห้างหารือกันต่อ

ก่อนหน้านี้ลีรอยได้ถามเมืองว่า ปลายทางที่ร้ายที่สุดของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือ การแพ้หรือชนะคดีขึ้นอยู่กับเงินที่จ่ายสินบนให้ตุลาการ นอกจากนี้ยังต้องเสียเงินค่าปรับเบี้ยหวัดให้แสนท้าวพญาเค้าสนามหลวง คดีลักขโมยต้องเสียค่าปรับให้ศาลและชดใช้เป็นสองเท่าของมูลค่าสิ่งของ อย่างคดีขโมยช้างต้องเสียค่าปรับ ๒๐๐ รูปี หากไม่จ่ายค่าปรับ จำเลยต้องถูกล่ามโซ่ ทำงานเลื่อยไม้หรืองานกุลีอื่น ๆ ระหว่างเป็นนักโทษ จนกว่าจะมีคนมาไถ่ตัว หรือตายไปเสียก่อนระหว่างรับโทษอยู่นั่นเอง

“ปู้คำแสนเป็นกำลังสำคัญของที่นี่ ส่วนปู้คำตุ่นก็ดูจะฝึกได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากที่สุดคือแยกช้างคู่นี้ออกจากกัน ซึ่งพวกเราก็คงเห็นแล้วว่าทำไม่ได้” ลีรอยไล่เรียงความคิดของตน

บัดนี้ดูจะได้ข้อสรุปกันแล้วว่าถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายเงินให้แก่เจ้านางนกน้อยเป็นค่าตัวปู้คำตุ่นในราคาที่แพงเกินจริง แพทริกก้มเงยดูสมุดบัญชีพลางจะค้นหาว่าจะมีทางออกอื่นใดแวบขึ้นมาหรือไม่ ซับเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าทั้งที่อากาศเริ่มเย็นสบาย

“บริษัทจะจ่ายได้เท่าไหร่?” ลีรอยถามแพทริกก็ได้คำตอบว่าไม่เกิน ๓๐๐ รูปี

“ส่วนที่เหลือผมจะรับผิดชอบเอง คุณหักจากเงินเดือนของผมได้ เหลือไว้ให้ผมพอใช้จ่ายบ้างก็พอ”

คำตอบของลีรอยทำให้ทุกคนอึ้งไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะวิลเลียม ไม่คิดว่าเพื่อนจะตัดสินใจเช่นนี้ เขาเอื้อมมือมาแตะมือลีรอย มองด้วยแววตาไม่เข้าใจ แต่ลีรอยก็พยักหน้าว่ายืนยันตามคำพูดและบอกให้วิลเลียมไม่ต้องกังวลใจ

เหตุผลที่ลีรอยตัดสินใจเช่นนี้ เขารู้ของเขาเองคนเดียว…ก็พอแล้ว

 

หลังจากปู้คำตุ่นได้มาอยู่กับปู้คำแสนซึ่งเป็น ‘เสี่ยว’ กันแล้ว ปะเลก็รับหน้าที่ฝึกปู้คำตุ่นให้ทำงาน การฝึกช้างทำงานในปางไม้นั้น ใช่ว่าช้างทุกเชือกจะถนัดและทำได้เหมือนกันทั้งหมด บางเชือกเก่งในทางงัดและชักลากในภูมิประเทศที่ลาดชัน ในขณะที่ช้างบางพวกถนัดการทำงานบนที่ราบหรือริมตลิ่งมากกว่า คนเลี้ยงช้างจึงต้องหาให้เจอว่าช้างแต่ละเชือกเหมาะจะทำงานอย่างใดแล้วฝึกฝนให้ชำนาญ

โชคดีที่ปู้คำตุ่นมีแววถนัดในการทำงานบนพื้นที่ที่เป็นเนินเช่นเดียวกับปู้คำแสน จึงไม่ต้องจับแยกจากกัน จนบางครั้งปะเลก็อดถามเมืองไม่ได้ว่า หรือไอ้สองตัวนี้มันกลัวคนเลี้ยงจะจับแยกอีก มันเลยทำให้เห็นว่าถนัดงานอย่างเดียวกัน

เป็นที่รู้กันว่าปู้คำตุ่นมาอยู่ที่ปางไม้นี้ด้วยราคาแสนแพงและลีรอยเป็นผู้ควักกระเป๋าจ่าย บ่อยครั้งปะเลจึงเรียกปู้คำตุ่นว่า ‘ช้างนายห้าง’ ซึ่งจะรู้กันว่าหมายถึงนายห้างลีรอย และเรียกปู้คำแสนว่า ‘ช้างอ้ายเมือง’

บ่ายวันหนึ่งเมื่อเสร็จสิ้นจากการฝึก ปะเลสั่งพรรคพวกคนเลี้ยงช้างพาช้างไปเล่นน้ำที่แม่น้ำวังหน้าออฟฟิศ ต้อนช้างเดินแถวกันไปเป็นขบวนดูเอิกเกริก เหล่านายห้างเห็นสนุกด้วยจึงสั่งกุลีให้ตั้งเต็นท์ที่ริมฝั่งน้ำเพื่อจิบน้ำชายามบ่ายและดูคนงานอาบน้ำช้างให้เพลิดเพลินใจ เบ็ตตี้กางร่มลูกไม้บังแดดสั่งการให้คนงานตั้งชุดน้ำชาและของว่างอย่างระมัดระวัง

ในตอนแรกคนงานก็ปล่อยให้ช้างได้เล่นน้ำกันเองตามอัธยาศัย เมื่อถึงเวลาต้องขัดตัว คนงานจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย พันผ้าผืนเดียวรอบเอวแล้วรั้งขึ้นสูงอย่างที่เรียกกันว่า ‘เค็ดม้าม’ อวดเรือนร่างกำยำและต้นขาหนาบึกบึนที่ส่วนใหญ่พร้อยไปด้วยลายสัก

เป็นครั้งแรกของนายห้างหลายคนที่เห็นเมืองมาอาบน้ำให้ปู้คำแสน

ภาพชินตาของชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ทั้งเลขานุการและเสมียนคือชายหนุ่มในชุดเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสีทราย ทว่าวันนี้ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นว่าหน้าอกของเมืองกว้างและแน่นหนั่นด้วยกล้ามเนื้อ หน้าท้องเป็นลูกเรียงสวย ผืนผ้าแคบยาวที่พันเอวและรั้งขึ้นไปจนสูงนั้นเผยให้เห็นสะโพกกลมได้รูปงาม ต้นขาใหญ่สักลายที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมืองก็สักเช่นเดียวกับชายท้องถิ่นที่นี่

“นายห้าง มาอาบน้ำช้างด้วยกัน” เมืองร้องเรียกนายห้างชาวอังกฤษอย่างสนุก ไม่ระบุชัดว่าผู้ใด ทุกคนล้วนส่ายหน้า

ทว่าสายตาสองคู่จับอยู่ที่เรือนร่างของเมืองไม่วางตา

เจ้าตัวพยายามสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเป็นกำลัง ยกมือขึ้นกดไว้กับอกราวกลัวว่าหัวใจที่เต้นโครมครามนั้นจะระเบิดออกมา ประจานความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นในตอนนี้ กลบเกลื่อนให้แนบเนียนด้วยการเสจิบน้ำชา แต่ก็ไม่อาจละสายตาจากเรือนร่างที่เคลื่อนไหวอยู่บนหลังช้างนั้นได้

ความคิดของสองคนที่เต็นท์ขาวริมตลิ่งตรงกันโดยมิได้นัดหมาย

อยากจะแล่นเข้าไปใกล้เมือง กอดและเกลือกหน้าลงกับอกกว้างนั้นด้วยแรงปรารถนา

 

วันนี้วิลเลียมไม่อยู่เพราะตามมุ่ยไปที่บ้านหมอสจ๊วตตั้งแต่เช้าเพื่อขอความรู้จากหมอสจ๊วตเกี่ยวกับยาแต่ละชนิดที่เขาได้มาจากมัลลิกา เผื่อยามเข้าป่าจะได้ใช้ไม่ผิด หากมีเวลาเหลือก็วางแผนว่าจะไปดูวัดที่หนานทิพย์ควบคุมการบูรณะอยู่ เบ็ตตี้ตามติดไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ลีรอยไม่ใคร่จะตามไปด้วยเพราะอยากพักผ่อนและได้ทำสิ่งที่รัก

อันที่จริงลีรอยก็ตั้งใจไปบ้านหมอสจ๊วตกับวิลเลียม แต่เปลี่ยนใจเมื่อสายตาสะดุดตากับกล้วยไม้ป่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

มันวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาโดยไม่รู้แหล่งที่มา ลีรอยอยากรู้ว่าใครนำมาให้ แต่ไม่ถามออกมาให้สิ้นสงสัย ตั้งใจจะสังเกตไปเงียบ ๆ เชื่อว่าสักวันคงได้คำตอบเอง

ความสวยงามแปลกตาทำให้เขาหยิบสมุดวาดเขียนคู่กายมากางออก พินิจกล้วยไม้ป่าช่อนั้นทุกมุมแล้วจึงร่างเส้นกรอบโครงเพื่อลงสีเป็นลำดับถัดไป ความเพลิดเพลินใจที่ได้วาดรูปสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาแวบไหวที่หางตา เงยหน้าขึ้นดูก็เห็นว่าเมืองยกอาหารกลางวันมาให้

“ถึงเวลาข้าวตอน…มื้อเที่ยง…แล้วนายห้าง”

“เมือง นี่ดอกอะไร รู้ไหม” ลีรอยถามผู้ที่คิดว่าจะให้คำตอบได้

“ดอกเอื้อง” เมืองตอบแค่นั้น ลีรอยก็ทำหน้ากึ่งสิ้นหวัง คาดคั้นต่อ

“ฉันรู้แล้วว่ามันคือดอกเอื้อง กล้วยไม้ทุกชนิดในป่านี้ พวกเธอก็เรียกกว่าดอกเอื้องทั้งหมด แล้วมันเป็นเอื้องอะไรล่ะ เอื้องผึ้ง เอื้องสาย หรือเอื้องอะไร”

“เอื้องพลาย…แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”

เมืองจัดอาหารเที่ยงบนโต๊ะกินข้าว ได้ยินนายห้างลีรอยบ่นพึมพำกับตัวเองว่า…วิลเลียมไปเก็บมาจากไหน

ระหว่างที่ลีรอยตักอาหารเข้าปากด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับเอื้องป่าหมุนไปมาราวพิศเท่าไรไม่เบื่อ เมืองก็ขออนุญาตดูสมุดภาพเขียนของเขา ลีรอยก็ไม่หวงห้าม เมืองพลิกไปแต่ละหน้าด้วยความทึ่งทั้งฝีมือและหน้าตาของดอกไม้หลายชนิดที่เขาไม่เคยเห็น

หยุดที่หน้าหนึ่ง ถามนายห้างลีรอยถึงผลไม้สีแดงมีเม็ดรอบผล

“เขาเรียกว่า สตรอว์เบอร์รี” ลีรอยตอบ

“รสชาติมันเป็นยังไง เหมือนมะเขือเทศไหม” เมืองถามพลางเปรียบเทียบ เพราะผลแดง ๆ รี ๆ คล้ายกัน “หรือเหมือนหน่วยผักแคบ…ผลตำลึง”

“น่าจะใกล้เคียงกับมะเขือเทศนะ รสหวานอมเปรี้ยว” ลีรอยตอบพลางคิด “เอ…ฉันไม่แน่ใจว่าเครื่องกระป๋องที่สั่งเข้ามามีแยมสตรอว์เบอร์รีไหม ถ้ามีฉันจะแบ่งให้เมืองลองชิม”

เมืองไม่รบกวนนายห้างอีก ปล่อยให้เขารับมื้อเที่ยงจนเสร็จ วางช้อนเช็ดปากเรียบร้อยแล้วจึงเลียบเคียงถาม

“นายห้างจะวาดรูปต่อ หรือทำอะไร ผมจะได้เตรียมให้”

“ฉันจะวาดรูปต่อให้เสร็จ” ลีรอยบอกแล้วก็ย่นหน้าน้อย ๆ บ่นพ้อ “แหม เสียดายจริง ดอกเอื้องนี้มันเฉาไปแล้ว ถ้ายังสดเหมือนเมื่อเช้าก็จะดีหรอก”

“ถ้านายห้างพอมีแรงเดิน ผมพาไปเก็บใหม่ก็ได้ ผมรู้ว่าดอกเอื้องนี้อยู่ตรงไหน” เมืองอาสาเสียงเรียบ

“ฮ้า! ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ เมืองค่อยเดี๋ยว ฉันขอเปลี่ยนชุดก่อน”

เมืองยกถาดอาหารกลับไปเก็บ เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศอีกครั้ง นายห้างลีรอยก็พร้อมสำหรับการเดินทางระยะสั้นทั้งการแต่งกายและอุปกรณ์วาดเขียน ชายหนุ่มนำไปยังบริเวณที่ดอกเอื้องพลายบานเป็นดง

ตรงที่เขาเก็บมาวางไว้ให้นายห้างตั้งแต่เช้ามืด

 



Don`t copy text!