เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ “แรงใจและไฟฝัน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ “แรงใจและไฟฝัน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ชายหนุ่มสองคนเดินคุยกันเรื่อยๆ มาถึงสวนสาธารณะแล้วพบว่าหญิงสาวที่นัดไว้นั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้มุมหนึ่งของสวน ชุดแต่งกายสีเหลืองอ่อนที่หล่อนสวมมิได้กลืนไปกับสีของกลีบแดฟโฟดิลที่รายล้อมอยู่ แต่กลับกันมันทำให้ลีรอยทักทายกึ่งเย้า เหยียดขาไปข้างหน้าแล้วโค้งตัว หมุนมือควงลงมาดุจองครักษ์ทำความเคารพราชินี

“แดฟโฟดิลพรินเซส มาคอยนานแล้วหรือกระหม่อม”

เบ็ตตี้หัวเราะอวดแนวฟันงามราวสร้อยมุก ส่งยิ้มให้วิลเลียมที่วันนี้เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบของทีมคริกเก็ตแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แต่เป็นเครื่องแบบเต็มยศที่มิใช่สำหรับลงแข่งขัน คือชุดขาวทั้งตัว ทว่าสูทขาวประดับแถบสีน้ำเงินที่ปกและปลายแขน วิลเลียมแตะหมวกกระดกเล็กน้อยเป็นการทักทายหล่อน

“ฉันดีใจมาก ที่วันนี้เธอมีเวลามากพอจะเดินเล่นและคุยกัน”

“ก็เธอยังเล่าเรื่องครอสคันทรีค้างอยู่นี่จ๊ะ ฉันอยากรู้ว่า เธอสองคนเป็นตัวแทนแฟลตได้ยังไง”

วิลเลียมหันไปประสานเสียงหัวเราะกับลีรอย

“เราไปดูถ้วยที่ร้านกันเลยดีกว่า ระหว่างที่เดินไปนี้ ฉันจะเล่าต่อที่ค้างจากเมื่อวาน”

เบ็ตตี้ลุกจากเก้าอี้แล้วกางร่มลูกไม้ แม้ว่าแดดในยามสายยังไม่แผดกล้าจนแสบผิว แต่หล่อนก็กางร่มตลอดทางที่เดินไป ด้วยว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหญิงผู้ดี

“ลีรอยกับฉันฝึกซ้อมหนักมากเพื่อจะให้แฟลตของเราชนะ และเราต้องเป็นห้าคนแรกที่เข้าเส้นชัยด้วย” วิลเลียมเริ่มเล่าเมื่อออกเดิน เบ็ตตี้ฟังอย่างเพลินเพลินและสนใจ

“ครอสคันทรีก็เหมือนกับวิ่งวิบาก เริ่มจากสนามในโรงเรียนเป็นจุดปล่อยตัว พวกเราต้องวิ่งออกไปนอกโรงเรียน ผ่านพุ่มไม้หนาม”

ลีรอยกลั้นหัวเราะเมื่อวิลเลียมเล่าถึงตรงนี้ เพราะในปีนั้นหลังการแข่งขันสิ้นสุด วิลเลียมก็ร้องโอดโอยหลายครั้งโดยเฉพาะตอนอาบน้ำ เพราะรอยหนามเกี่ยวเต็มตัว วิลเลียมผลักเพื่อนชายเบาๆ ทำนองว่า อย่าล้อเขาต่อหน้าสุภาพสตรีตอนนี้

“จากพงหนาม เราก็วิ่งไปทางที่เป็นสวนของชาวบ้าน ปีนรั้วหนามเข้าไป แล้วกระโดดข้ามแปลงผักผลไม้ วิ่งเลาะไปทางลำห้วย…ห้วยนั้นชื่ออะไรนะ ลีรอย”

“เกจ” เขาจำได้แม่นยำ

“ใช่ๆ ห้วยเกจ แล้วจึงย้อนมาเข้าเส้นชัยในโรงเรียน ทั้งโหดทั้งท้าทาย แต่ก็สนุกมาก”

“ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนแก่เด็กๆ ได้ดี ทั้งก่อนและหลังการแข่งขัน” ลีรอยปรารภขึ้นมา น้ำเสียงแฝงปริศนาไว้นิดๆ เบ็ตตี้ถามว่าหมายความอย่างไร เขาจึงอธิบาย “ก็ก่อนแข่ง รุ่นพี่ที่แฟลตจะเกณฑ์น้องๆ มาซ้อมวิ่งฝึกความอดทนและทรหดของร่างกายให้คงที่น่ะสิ พอวิ่งทางราบได้คล่องแล้ว ก็ฝึกให้กระโดด ทีแรกก็กระโดดได้สูงอยู่หรอก แต่พอหลายครั้งเข้า ข้อเข่าอ่อนไปหมดแล้ว ก็แทบกระโดดไม่ได้ เหมือนกบอ่อนแรง”

วิลเลียมช่วยเสริมให้ครึกครื้น

“ก่อนแข่งหลายสัปดาห์ จะมีเสียงครวญครางจากทั้งสองแฟลต ก็เสียงพวกเราร้องโอดโอยโหยหวนนี่แหละ แหม…มันร้าวระบมไปทั้งร่าง ฉันรู้มาว่า ครูผู้ปกครองแอบพนันกัน ว่าเสียงร้องของใครจะดังกว่า ระหว่างแฟลตบนกับแฟลตล่าง” วิลเลียมหันไปยิ้มกับลีรอย เพราะตอนนั้นต้องพยายามกลั้นเสียงร้องเต็มที ทั้งที่อยากจะตะโกนว่าเจ็บใจจะขาด เพราะกลัวว่าจะดังกว่าแฟลตล่าง

“หลังแข่งก็ร้องโอดโอยไปอีกพักหนึ่งเหมือนกัน เพราะนอกจากร่างกายจะระบมแล้ว ยังได้แผลที่เกิดตอนแข่งขัน แต่ตอนนั้นมันไม่รู้ตัวหรือไม่ทันเจ็บหรอก ความอยากเอาชนะ อยากเข้าเส้นชัยให้ได้มันอยู่เหนืออื่นใดทั้งหมด”

“แล้วเธอกับวิลเลียมเข้าเส้นชัยเป็นห้าคนแรกไหม” เบ็ตตี้ถามลีรอย หากวิลเลียมเป็นผู้ตอบ

“แน่นอนสิ ฉันและลีรอยเข้าเส้นชัยเป็นคนที่สี่และห้า”

“เราวิ่งเข้าไปพร้อมกันนะวิลเลียม” ลีรอยแย้งอย่างสนุก เรื่องนี้ยังเอามาถกกันได้เรื่อยๆ

“เราวิ่งเข้าไปพร้อมกันก็จริง” วิลเลียมยอมรับแค่ครึ่งเดียว “แต่ตอนเข้าเส้นชัย ฉันยื่นหน้าเข้าไปก่อน ปลายจมูกฉันเข้าเส้นชัยก่อนนายแน่ๆ”

ลีรอยไม่เถียงเพื่อเอาชนะอีก ยังคงเดินต่อไป

“ฟังดูน่าสนุกจริงๆ แต่แปลงผักของชาวบ้านไม่เสียหายเหรอ ถึงเธอจะว่าต้องกระโดดข้าม แต่ฉันเชื่อว่าหลายคนต้องเหยียบลงไปเต็มๆ แน่”

“เสียหายสิ เพราะอย่างนี้หลังแข่งเสร็จ พวกเราเลยถูกเกณฑ์ให้มาทำแปลงผักให้เรียบร้อย แต่ชาวสวนก็ร้องเรียนมาทุกปี อีกหน่อยคงต้องปรับเส้นทางให้วิ่งแค่ในโรงเรียนละมัง” วิลเลียมว่าขำๆ ไม่คิดว่าอีกหลายปีจากนั้น การแข่งขันครอสคันทรีของทรินิตี คอลเลจ จะอยู่แค่ในบริเวณโรงเรียนจริงๆ หันมาทางลีรอยเพื่อบอกความคิดของเขา “ฉันคิดว่า มอบถ้วยรางวัลให้แล้ว เรากำหนดกติกาใหม่ด้วยดีไหม”

พอดีมาถึงหน้าร้านถ้วยรางวัล เพื่อนอีกสองคนมาถึงก่อนแล้ว ลีรอยจึงเสนอ

“ถามเจ้าสองคนนั้นด้วยละกัน สำหรับฉัน ถ้าปรับกติกาใหม่แล้วมันดีขึ้น ฉันก็เห็นด้วย แม้ว่าเสน่ห์ของการวิ่งอย่างที่เราเคยผ่านมาจะหายไปบ้างก็เถอะ”

วิลเลียมเปิดประตูให้เบ็ตตี้ก้าวเข้าไปในร้านก่อน ลีรอยตามเข้าไป โบกมือทักทายเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกสองคน วิลเลียมจึงตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย

 

ถ้วยรางวัลความสูงราวหนึ่งฟุตจากฐานขึ้นไปทำจากเงินสเตอร์ลิงอย่างดีเป็นเงาวาววับ มีตราเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดประทับอยู่ ทุกคนมองด้วยความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจ โดยเฉพาะส่วนฐานที่สลักชื่อผู้ร่วมแนวคิดและมอบให้ทั้งสี่คน อันล้วนเป็นศิษย์เก่าของทรินิตี คอลเลจ ผู้กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

“เป็นอันตกลงว่า เราจะตั้งชื่อถ้วยนี้ว่า ออกซ์ฟอร์ดชาเลนจ์คัพ”

ลีรอยปรารภขึ้นมาเพื่อบอกฉันทามติ มองสลับไปมาระหว่างถ้วยของจริงกับแบบร่าง เบ็ตตี้ถึงกับร้องออกมาว่า

“ของจริงเหมือนแบบร่างเปี๊ยบเลย ทั้งสวย ทั้งสง่า”

“ต้องยกความดีนี้ให้ลีรอย” วิลเลียมบอกแก่หล่อน “เขาเป็นคนออกแบบ เอาความคิดของพวกเราทุกคนไปใส่จนออกมาหน้าตาแบบนี้”

ลีรอยยิ้มกว้างรับคำชมอย่างเต็มใจ พลางบอกเพื่อนอีกสองคนถึงกติกาใหม่ที่วิลเลียมเปรยไว้เมื่อครู่ คนทั้งหมดรับถ้วยจากร้านแล้วไปถ่ายรูปด้วยกันที่สนามหญ้า เพื่อนในทีมคริกเก็ตที่แต่งเครื่องแบบเช่นเดียวกันมาคอยอยู่แล้วเพราะตั้งใจว่าจะถ่ายรูปทีม ครั้นกลุ่มของวิลเลียมไปถึง จึงเริ่มถ่ายรูปผู้เป็นเจ้าของถ้วยออกซ์ฟอร์ดชาเลนจ์คัพก่อนแล้วจึงถ่ายรูปหมู่ทีมคริกเก็ตกันภายหลัง

เบ็ตตี้คอยอยู่ห่างๆ ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมง แต่หล่อนก็ไม่เบื่อ เพราะวิลเลียมคอยส่งสายตาและรอยยิ้มมาให้หล่อนเป็นระยะ

จนการถ่ายรูปเสร็จสิ้น ทีมศิษย์เก่าทรินิตี คอลเลจ จึงหารือกันเรื่องกำหนดกติกาใหม่ในการแข่งครอสคันทรีเพื่อชิงรางวัลถ้วยชาเลนจ์คัพ

วิลเลียมเป็นผู้เริ่มก่อน

“ฉันอยากให้จัดแข่งเป็นประจำทุกปี ก่อนฤดูกาลแข่งขันฟุตบอล” เพราะในปีหลังๆ มานี้มิได้จัดสม่ำเสมอ และกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือฟุตบอล “แล้วก็ให้คัดเลือกตัวแทนเข้าแข่งขัน แฟลตละห้าคนก็พอ จะได้ควบคุมง่าย และไม่สร้างความเสียหายให้เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านมาก”

“ระยะทางโดยรวมประมาณ 4.2 ไมล์ ฉันก็ว่าพอดีแล้ว” ลีรอยบอก เพื่อนอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วการตัดสินผู้ชนะล่ะ จะเป็นยังไง”

วิลเลียมมีคำตอบอยู่แล้วจึงบอกได้ทันที

“ก็นำลำดับที่เข้าเส้นชัยของทั้งห้าคนในทีมมารวมกัน ทีมไหนได้ผลรวมน้อยกว่า ก็เป็นผู้ชนะ”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ตกลงกันว่าจะซื้อตั๋วเรือเดินทางไปมอบถ้วยรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้ทันก่อนฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลประจำปี ทั้งหมดนี้ เบ็ตตี้ได้แต่ฟังด้วยความอิจฉา หล่อนอยากเห็นโลกกว้างอย่างชายหนุ่มเหล่านี้บ้าง หากสิ่งที่หล่อนทำได้มีเพียง

“ฉันจะคอยเธอกลับมา ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

หลังเสร็จสิ้นภารกิจมอบถ้วยออกซ์ฟอร์ดชาเลนจ์คัพให้แก่ทรินิตี คอลเลจ วันที่เรือกลับเข้าสู่ชายฝั่งอังกฤษ วิลเลียมก็นึกถึงสองปีก่อนตอนที่เขากลับมาหลังจบมัธยมปลายเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอังกฤษ แม่มาคอยรับที่ท่าเรือด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ผู้ยืนเคียงกันคือสาธุคุณแอชตัน พี่ชายคนโต ผู้สำเร็จด้านการศาสนาจากออกซ์ฟอร์ด

ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับบ้าน วิลเลียมสังเกตว่าแม่แก่ลงและดูเคร่งขรึมกว่าแต่ก่อน เมื่อแม่ถามถึงแผนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเขาตอบไปว่าจะพยายามสอบให้ได้ สีหน้าของแม่ก็ฉายรอยยิ้ม และเป็นสุขเต็มที่เมื่อต่อมาเขาได้แจ้งข่าวดีว่าสอบเข้าออกซ์ฟอร์ดได้แล้ว

จะเพราะแม่หมดห่วงในตัวลูกชายคนเล็ก หรือฝืนต่อสู้กับโรคภัยที่รุมเร้าในกายเงียบๆ มาหลายปีไม่ไหว ในคืนหนึ่ง แมรีก็เดินทางไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าอย่างสงบ

ในงานศพของแม่ วิลเลียมพบคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบอีก นั่นก็คือ น้าอีวาน

‘น้ากลับมาที่อังกฤษพอดี ไม่คิดว่าจะได้มางานศพแม่ของหลาน’

วิลเลียมพยายามถามน้าอีวานว่าเขากับแม่ทะเลาะกันหรือไม่ เหตุใดน้าอีวานต้องจากไปอยู่ที่อื่น แต่น้าอีวานก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงไป ตอบเพียงว่า

‘น้ากลับไปเป็นตำรวจที่อินเดียเหมือนเดิม ที่มาอังกฤษคราวนี้ก็ด้วยเรื่องงาน แต่อยู่ไม่นานก็ต้องกลับไปแล้ว’

น้าอีวานห่วงอนาคตของหลานชายที่เพิ่งเป็นกำพร้าในวัย 18 ปี จึงถามถึงแผนการชีวิตของหนุ่มน้อย คิดไว้ในใจว่าหากถึงที่สุดแล้ว เขาจะพาวิลเลียมไปอยู่ด้วยกันที่อินเดีย แต่รอฟังหลานชายก่อน

‘ผมสอบเข้าออกซ์ฟอร์ดได้แล้ว แต่ผมไม่มีเงินจ่ายแน่ๆ’ น้ำเสียงที่ทอดยาวและอ่อยลงในตอนท้ายบอกให้รู้ว่าวิลเลียมเสียดายโอกาส นิ่งไปสักครู่หนึ่งเหมือนชั่งใจ ก่อนจะถามด้วยความหวังเลือนรางเต็มที ‘ถ้าผมจะขอให้ลุงไรอันช่วยจะได้ไหมครับ’

สาธุคุณแอชตันได้ยินเข้าพอดีก็ขัดเรียบๆ ทว่าจริงจัง

‘อย่าข้องเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด ในเมื่อเขาไม่เคยแยแสเรา ทำไมเราจะต้องลดเกียรติไปงอนง้อขอความช่วยเหลือให้เขาสมเพชเวทนา’

วิลเลียมจำได้ว่าทั้งตนเองและน้าอีวานเงียบไปและยุติการพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนสาธุคุณแอชตันก็คงมุ่งมั่นจะช่วยน้องชายให้ได้ หรือเพราะกลัวว่าวิลเลียมจะไม่ฟังที่ตนห้าม แอบติดต่อหาพันเอกไรอันผู้เป็นลุง และการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดนั้นก็ถือเป็นหน้าเป็นตาเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลอยู่มาก ด้วยรู้กันอยู่ว่าผู้เรียนที่นี่มีแต่ลูกหลานของคนมั่งมีและคนในตระกูลสูง จะเรียกว่าเป็นมหาวิทยาลัยของอภิสิทธิ์ชนก็ยังได้ แอชตันจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้น้องชายยังได้เรียนที่นี่

แล้วเขาก็แจ้งข่าวแก่วิลเลียมในวันหนึ่ง วันที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะอยู่อังกฤษหรือเดินทางไปอินเดียกับน้าอีวาน

‘ถ้าเป็นนักศึกษาสังกัดวิทยาลัย ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก’ สาธุคุณแอชตันเกริ่นนำก่อนเข้าสู่ประเด็นสำคัญ ‘แต่เธอสามารถเรียนที่ออกซ์ฟอร์ดได้ ในฐานะนักศึกษาไม่สังกัดวิทยาลัย’

ทั้งวิลเลียมและน้าอีวานขมวดคิ้วสงสัย ว่ามันต่างกันอย่างไร

‘ทางมหาวิทยาลัยไม่อยากให้เด็กที่มีความสามารถต้องหมดโอกาสเพียงเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน มันไม่ควรมีปัญหาความไม่เท่าเทียมในการศึกษาอย่างนี้ เขาจึงหาทางออกด้วยการจัดตั้งสมาคมนักบุญแคทเธอรีน’

คนฟังยังไม่ค่อยเข้าใจกระจ่างดีนัก สาธุคุณแอชตันจึงอธิบายต่อไป

‘เธอไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนเดียวที่เจอปัญหานี้ พูดง่ายๆ ก็คือ เธอจะยังได้เรียนที่ออกซ์ฟอร์ด โดยเป็นนักศึกษาไม่สังกัดวิทยาลัย แต่มีสมาคมนักบุญแคทเธอรีนดูแลแทน’ (1)

ลีรอยเข้ามาสะกิดให้วิลเลียมหลุดพ้นจากภวังค์ในอดีตที่ผ่านไปแล้ว เห็นชายฝั่งอังกฤษอยู่ลิบๆ กำลังใกล้เข้ามาในแสงสนธยาและเสียงหวูดเรือ

“นายคิดอะไรอยู่หรือ คิดว่าเบ็ตตี้จะมาคอยที่ท่าเรือหรือเปล่า…ใช่ไหม” ลีรอยแกล้งเย้าให้สนุก

“เปล่าหรอก ฉันคิดถึงตอนที่กลับจากแคนาดามาอังกฤษครั้งก่อน แล้วไม่นาน…แม่ฉันก็ตาย” วิลเลียมหันมามองหน้าเพื่อนสนิท “บอกตรงๆ ว่าฉันกลัว ในชีวิตฉัน…ทุกครั้งที่เรือเทียบท่า คนสำคัญในชีวิตของฉันจะจากไปเสมอ ตอนฉันอยู่ในท้องแม่ พ่อฉันก็ตายเมื่อเรือถึงท่าเซาแธมป์ตัน พอฉันกลับจากแคนาดา แม่ฉันก็ตาย จนกลัวว่า เรือเทียบท่าคราวนี้…”

วิลเลียมทอดเสียงให้หายไปกับสายลมและหวูดเรือ ลีรอยตบบ่าเพื่อนเบาๆ ให้กำลังใจ

“ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอกน่า แต่ถ้าจะมีใครสักคนต้องตายไปจริงๆ ฉันสัญญาว่าฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่ทิ้งนาย” ลีรอยมองหน้าวิลเลียมนิ่ง แววตาและน้ำเสียงมีความลึกซึ้งบางประการที่วิลเลียมยังจับไม่ได้ว่ามันคืออะไร สัมผัสได้แต่ความซาบซึ้งใจเมื่อเขาบอกว่า “วันที่เราสัญญาเป็นเพื่อนกัน นายกับฉันก็เหมือนเงาของกันและกันเสมอมา ฉันถึงตามนายมาอยู่ออกซ์ฟอร์ดนี้จนได้ไงล่ะ”

“แล้วก็ยังเป็นนักศึกษาไม่สังกัดวิทยาลัยเหมือนกันด้วย” อารมณ์ของวิลเลียมผ่อนคลายขึ้น “อีกปีเดียวเราก็จะจบแล้ว นายคิดยังไงต่อไป”

ลีรอยไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม

“นายจะทำอะไรต่อไป หางานเสมียนอย่างที่พี่ชายนายเคยทำ บวชเป็นบาทหลวง หรือไปช่วยธุรกิจเบียร์ของลุงนาย”

วิลเลียมส่ายศีรษะเมื่อให้คำตอบ

“เรื่องช่วยลุงไรอันนั้นตัดไปได้เลย ส่วนงานเสมียนหรือบวชเป็นพระก็ไม่อยู่ในความคิดฉันเหมือนกัน” วิลเลียมหันมาจ้องลีรอยตาเป็นประกาย “ฉันบอกนายเป็นคนแรกนะ ฉันคิดว่าฉันจะไปหาน้าอีวานที่อินเดีย ฉันอยากเป็นตำรวจเหมือนน้าอีวาน อยากเห็นหมู่บ้านที่ตาเคยไปสอนศาสนา อยากเห็นโบสถ์ที่สวยที่สุดที่พ่อฉันสร้างไว้”

ลีรอยพยักหน้ารับรู้ วิลเลียมจึงถามกลับ

“นายยังไม่มีแผนการในใจจริงๆ เหรอ”

“ตอนนี้…ฉันคิดว่ามีแล้วละ”

“จริงเหรอ! อะไรล่ะ” วิลเลียมตาโตเมื่อเพื่อนรักหาหนทางอนาคตของตนเองเจอ และยิ่งตื่นเต้นเมื่อลีรอยบอกว่า

“ก็ไปอินเดียกับนายยังไงล่ะ ถ้านายจะไปจริงๆ นะ”

วิลเลียมโผเข้ากอดเพื่อนรักพลางพึมพำ

“ฉันดีใจที่นายจะไปด้วยกัน ฉันสารภาพตรงนี้เลยว่า ฉันก็ห่วงนายอยู่เหมือนกัน หากฉันไปอินเดียแล้วต้องทิ้งนายไว้ทางนี้ โดยที่นายยังไม่ได้ทำงานที่มั่นคง ฉันต้องพะวงถึงนายมากแน่ๆ แต่พอนายบอกว่าจะไปด้วย ฉันยิ่งมีเป้าหมายที่แน่ชัด ว่าฉัน…เรา…จะไปอินเดียด้วยกัน ขอบใจมากนะ ลีรอย ที่นายไม่ทิ้งฉัน”

“ก็เราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ เป็นเพื่อนแล้ว ต้องเป็นเพื่อนตาย นายกับฉันมันแยกกันไม่ออกเหมือนแสงกับเงาไปเสียแล้ว นายเป็นแสง ฉันเป็นเงา นายเป็นเงา ฉันเป็นแสง ยังไงก็ต้องอยู่คู่กัน ขาดอันใดอันหนึ่งไปไม่ได้เลย”

แสงตะวันลับลาไปแล้วเมื่อเรือเทียบท่า แต่ความฝันของเด็กหนุ่มสองคนกลับสว่างไสวเจิดจ้า รอเวลาเดินไปให้ถึงจุดหมายในเร็ววัน

 

เชิงอรรถ : 

(1) นักศึกษาไม่สังกัดวิทยาลัย (Non-Collegiate Students) นี้ ในเวลาต่อมาได้ยกเลิกไป แล้วกลายเป็น ‘วิทยาลัยของนักบุญแคทเธอรีน’ (St. Catherine Collage Oxford) ซึ่งยังอยู่ภายในกำกับของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

 



Don`t copy text!