นิลนาคินทร์ บทที่ 1 : ไม่ทรยศ

นิลนาคินทร์ บทที่ 1 : ไม่ทรยศ

โดย : อลินา

Loading

นิลนาคินทร์ หนึ่งในนิยายชุด นวหิมพานต์ นิยายออนไลน์ แนวแฟนตาซีเหนือจริง ภายใต้นามปากกา อลินา เรื่องราวสุดจินตนาการที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ 

—————————————————

เสียงหักเผาะของกิ่งไม้เล็กเหมือนสัญญาณเตือนให้รู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาใกล้โพรงถ้ำเล็กๆ ที่เขาซ่อนตัวอยู่ แม้ฝีเท้านั้นจะหนักเกินกว่าจะเป็นพวกพราน แต่เขาก็ยังไม่ไว้วางใจพยายามขดตัวแน่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่ถ้าเขาแปลงกายเป็นหินได้คงดี หินก้อนใหญ่หนักแน่น ไม่มีเนื้อหนังไม่มีหัวใจ เฆี่ยนตีถูกดึงทึ้งเท่าไหร่ก็ไม่เจ็บกาย ด่าว่าอย่างไรก็ไม่เจ็บใจ

แต่ทำยังไงเขาก็ไม่ใช่หินผา ทำได้เพียงพยายามขดตัวเบียดให้แนบชิดผนังโพรงที่ชื้นแฉะให้มากที่สุดเท่านั้น

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

เขาขู่ฟ่อในลำคอเป็นเชิงป้องกันตัว

“อ๊ะ เธอ ทำไมมาอยู่ตรงนี้” เสียงเล็กๆ แสดงความประหลาดใจของเด็กหญิงดังขึ้น

ตัวของเขาสั่นเทาอย่างอดไม่อยู่ บางทีเด็กผู้หญิงก็โหดร้าย  เห็นเขาแล้วเอาก้อนหินขว้างปาเขา วิ่งไปฟ้องพ่อ เมื่อเขาถูกจับกลับมาถูกทุบตีทำร้าย พวกนั้นมองอย่างพอใจ ปรบมือแล้วบอกว่าเขาน่ากลัว เขาต้องถูกกักขัง ถูกตีเพื่อคุมความประพฤติ มิเช่นนั้นเขาจะเป็นตัวอันตรายที่น่ากลัว

อันที่จริง…ใครกันแน่ที่น่ากลัว  

เขาหรือเด็กพวกนั้น

“เธอบาดเจ็บนี่”

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเอื้อมมาแตะตัว เขาก็ปัดมือเล็กๆ นั้นออกอย่างรวดเร็ว เล็บที่ดำยาวและสกปรกของเขาข่วนหลังมือเล็กๆ จนทิ้งรอยถลอกไว้บนผิวสีน้ำตาลอ่อนที่เนียนนุ่ม

“อุ๊ย” เด็กหญิงร้องอย่างตกใจ แต่ไม่ร่ำไห้ ไม่ได้วิ่งหนีพร้อมกรีดร้องไปอย่างที่ควรทำ

หนูน้อยกลับนั่งลงกับพื้นโดยทิ้งระยะห่างจากเขาพอสมควร พร้อมเอ่ยปลอบว่า

“เธอบาดเจ็บหรือ ไปบ้านฉันไหมฉันอยู่กับท่านลุงท่านป้า  พวกท่านใจดีมาก และฉันจะช่วยทายาให้นะ…นะ”

เขาขู่ฟ่อแทนคำตอบ

“เสียงเธอแปลกจัง เจ็บคอหรือ ฉันก็เคยเจ็บคอ ไอด้วย แต่ไม่บ่อยนะ พวกเราไม่ค่อยเป็นหวัดกัน ไม่ค่อยป่วยด้วย ฉันอยากเป็นหมอ แต่พวกพี่ๆ ถามว่าฉันจะรักษาใครเพราะพวกอสูรนั้นแข็งแรง และเราสมานแผลเองได้” เด็กหญิงยังพูดเจื้อยแจ้ว

อสูรงั้นหรือ…

เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างอดไม่อยู่ สิ่งแรกที่ได้เห็นคือรอยยิ้มงดงามที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ้มนั้นอบอุ่นและเหมือนจะทำความเจ็บปวดของเขาบรรเทาลงเล็กน้อย

“ยอมมองหน้าฉันแล้วหรือ” เด็กหญิงที่ถามอายุคงไล่ๆ หรือน้อยกว่าเขาเล็กน้อย หล่อนสวมชุดขาวตามแบบโบราณนิยม  คงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์แด่ญาติผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้ชุดขาวคงเปื้อนไม่น้อย เพราะเจ้าตัวนั่งลงบนพื้นที่สกปรกและเปียกชื้นอย่างไม่สนใจหาอะไรมารอง

เขาทำเสียงเหมือนพ่นลมหายใจดังๆ ออกมา  ก่อนเอ่ยเสียงพร่า

“นี่หรืออสูร  ไม่เห็นต่างจากมนุษย์หรือคนธรรพ์เลย”

“ฉันมีเขี้ยวนะ”  อสูรน้อยบอกพลางยิ้มกว้างอวดเขี้ยวเล็ก ๆ

เขาทำเสียงเหมือนเหยียดหยาม เขี้ยวเล็กเท่าหนามกุหลาบยังกล้าอวด เขี้ยวเขายาวและแหลมคมกว่าของเจ้าหล่อนมาก เขายังไม่อวดเลย

“เจ็บมากไหม” น้ำเสียงถามนั้นห่วงใย

“ฮึ” เขาตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธ

“ไปหาหมอไหม ข้างๆ บ้านท่านลุงมีร้านหมอ”

เขาเมินหน้าหนี

“หิวไหม”

เขายังเมินแต่ท้องร้องครวญครางลั่นขึ้นมา เด็กหญิงที่อ้างตัวเองเป็นอสูรหัวเราะเบาๆ ยื่นมือส่งของตรงหน้ามาให้ของบางอย่างกลมๆ ที่ห่อมาในโครงใบไม้บางเฉียบมองเห็นผิวเหลืองใสของสิ่งของภายใน

“พี่พิทยาธรไปนวหิมพานต์มา” เจ้าหล่อนหมายถึงเมืองหลวงที่มีชื่อเดียวกับดินแดนแถบนี้  “ได้ลูกกวาดน้ำผึ้งมาฝาก เห็นว่ามาจากอุดรพนา”

“แดนกินนรนะหรือ” เขาถาม ถึงเขาจะถูกขังอยู่ในตระกร้ามนตรา แทบจะไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แต่เรื่องราวต่าง ๆ ยังผ่านรอยแยกสานของตระกร้าเข้าหูอยู่เรื่อยๆ

“นั่นแหละ พวกกินนรเอาของมาแลกกับของที่ปราสาทอสูรเรื่อยๆ บางทีก็ต้นไม้ บางทีก็ของกินแปลกๆ กินไหม แบ่งกันคนละเม็ดนะ”  อสูรน้อยเสนอให้อย่างใจป้ำ

เขาอยากจะปัดข้อเสนอนั้นทิ้ง ไม่เคยมีใครให้อะไรใครโดยไม่หวังผลประโยชน์ แต่ท้องที่ร้องโครกครากฉีกหน้าเขาจนย่อยยับ ทำให้ยายเด็กอสูรยัดลูกอมเม็ดหนึ่งใส่มือเขา อีกเม็ดเจ้าหล่อนแกะโครงใบไม้แล้วส่งเข้าปากตัวเอง

เด็กชายยังลังเลแต่เขาหิวเหลือเกิน ความจริงเขาก็หิวตลอดเวลานั่นแหละ เพียงแต่สองวันนี้นอกจากน้ำค้างบนยอดหญ้าแล้วเขาแทบไม่ได้กินอะไรอีกเลย ความหิวกัดกร่อนจนเขาไม่มีเรี่ยวแรง

สุดท้ายมือดำสกปรกที่ค่อนข้างสั่นก็แกะโครงใบไม้ก่อนส่งลูกอมสีเหลืองทองเข้าปาก

สั่งซื้อ “นิลนาคินทร์” ฉบับรวมเล่มได้ที่นี่

ความหวานและหอมจัดของน้ำผึ้งฟุ้งกระจายในปากทันทีที่ลิ้นสัมผัส ทำให้เขาต้องหลับตาและแทบครางออกมาอย่างเป็นสุข ในชีวิตไม่เคยได้ลิ้มรสอะไรที่อร่อยล้ำเช่นนี้มาก่อน  ร่างทั้งร่างของเขาแทบสั่นระรัวด้วยความยินดี

ครู่หนึ่ง…ลูกอมที่หอมหวานละลายไปเกือบครึ่ง ร่างกายเขากระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่น่าเชื่อว่าลูกอมเม็ดเล็กกลับทำให้มีพลังขึ้นมากมาย มีสติจนนึกถึงเจ้าของลูกอมขึ้นได้ เขาลืมตามองด้วยความหวาดระแวงและได้รับรอยยิ้มสดใสกลับมา

“อร่อยเนอะ” ยายเด็กอสูรหน้าตาน่าเอ็นดูพยักเพยิด

“อืม ก็ใช้ได้” เขาปด การพูดความจริงยอมเปิดเผยทุกอย่างในใจอาจจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายเอาความจริงมาทำร้ายเขาได้ เขาจึงต้องตอบทุกอย่างอย่างระมัดระวัง

และยายเด็กอสูรคงรู้ แต่เจ้าหล่อนไม่ได้แสดงท่าทางอะไร  แค่นั่งอมลูกอมไปเรื่อย ๆ

“เธออยู่ที่นี่หรือ”

“ไม่ เดี๋ยวก็จะไปแล้ว” เขาโกหก ไร้เรี่ยวแรงอย่างนี้อย่าว่าแต่จะไปไหนเลย แค่ก้าวเท้าออกจากโพรงเล็กๆ แห่งนี้เขาก็แทบไม่ไหวแล้ว

“เหรอ เสียดายนะ ฉันคิดว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ จะเอาขนมมาฝากเธออยู่เลย”

“ไม่จำเป็น มาก็ไม่เจอ”

“เหรอ เสียดายจริงๆ นะ”  เด็กหญิงว่า เจ้าหล่อนดูนาฬิกาข้อมือแล้วลุกขึ้นปัดฝุ่นจากกระโปรง แต่ช่วยอะไรได้น้อยมากพร้อมบอก “ฉันต้องไปแล้ว ช้ากว่านี้เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง”

เด็กชายที่สกปรกมอมแมมทั้งตัว ทำเสียงบางอย่างในลำคอ กระทั่งลับร่างเด็กหญิงไปแล้วเขาถึงได้พึมพำคำที่เขารู้ความหมายแต่ไม่เคยเอ่ยเลยสักครั้งว่า

“ขอบใจ”

หลังจากอสุรีตัวน้อยจากไปแล้ว เขาเริ่มเกร็งตัวนับเวลาคอยเสียงเอะอะค้นหา เสียงด่าทอของพ่อและบรรดา ‘ผู้ดูแล’  รอการถูกค้นพบถูกทุบตีถูกทรมาน แต่เวลาค่อยๆ เคลื่อนไป พระอาทิตย์ตกดินพระจันทร์ที่แหว่งเป็นเสี้ยวปรากฏขึ้น เขาผลอยหลับไปเมื่อไหร่โดยไม่รู้ตัว

สายๆ วันถัดมาขณะที่เด็กชายยังซุกตัวอยู่ซอกลึกสุดในโพรงถ้ำ ใบหน้ากลมยิ้มแย้มก็โผล่เข้ามาพร้อมถุงผ้าในมือ  ท่าทางยายเด็กนั่นดีอกดีใจร้องว่า

“ดีจังที่เธอยังไม่ได้ไปไหน ฉันเอาข้าวมาฝาก มีผลไม้กับลูกอมแล้วก็ยาด้วย”

เจ้าหล่อนรื้อค้นถุงในมือก่อนหยิบของที่จาระไนออกมาวางกองตรงหน้า ก่อนถามด้วยสายตาเป็นประกายว่า

“กินได้ไหม”

เขาอ้ำอึ้งไปก่อนตอบเสียงเบา

“กินได้…” แม้จะไม่ใช่อาหารของเขาทีเดียว แต่ก็พอบรรเทาความหิวโหยไปได้บ้าง  

“ดีแล้ว กินเลย กินเยอะๆ นะ เดี๋ยวฉันทำแผลให้”

“ทำเป็นหรือ” เด็กชายถามอย่างไม่ไว้วางใจ ท่าทางเจ้าหล่อนเด็กกว่าเขา…อย่างน้อยก็หลายปี เด็กขนาดนี้จะรู้จักวิธีการรักษาอะไรได้ยังไงกัน

“ฝึกอยู่ เคยทำแผลป้อนยาให้ตุ๊กตา ตุ๊กตาหายด้วยนะ”

“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตา” เขาตอบทั้งที่เริ่มตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ  เขาไม่เคยกินอาหารของพวกอสูรมาก่อน แต่รสชาติของมันดีกว่าเศษอาหารที่ถูกเทลงในตระกร้ามนตราที่กักขังเขาอยู่มาก มากๆ เลยล่ะ

“เธอไม่ใช่ตุ๊กตา เธอเป็นเพื่อนฉัน”

เด็กชายชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเขา เด็กผู้ชายคนอื่นชอบเอาไม้แหลมๆ มาแทงเขาเล่น ถ้าพ่อเผลอพวกนั้นก็ขว้างก้อนหินใส่เขา เด็กผู้หญิงกรีดร้องและวิ่งหนีเขา

เขาไม่เคยมีเพื่อน

“ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ”

“อ้าว งั้นเป็นอะไร” เด็กหญิงเอียงคอมองอย่างสงสัย “เราเจอกันสองครั้งแล้ว ถึงจะไม่ได้เล่นด้วยกันแต่ก็คุยกัน  นับว่าเป็นเพื่อนได้ไม่ใช่หรือ”

“ไม่นับ” เขาส่ายหน้า ข้าวหมดไปแล้วอย่างรวดเร็ว ผลไม้กำลังตามลงท้องไป การได้กินผลไม้ที่ไม่เน่า ไม่มีหนอนชอนไชเป็นอะไรที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน และมันให้ความรู้สึกที่ดี ดีมากทีเดียว

“แล้วทำยังไงถึงจะนับ” เจ้าหล่อนถามอย่างกระตือรือร้น

“ไม่ทรยศกัน”

“ไม่ทรยศอยู่แล้ว”

“อย่าบอกใครว่าฉันอยู่ที่นี่”

“ไม่บอกแน่นอน” อสุรีน้อยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมเกินวัย

เขาพยักหน้ารับ

“งั้นพอจะนับเป็นเพื่อนได้”

เด็กหญิงยิ้มหวานจนดวงตาดำสนิทคู่งามเป็นประกายเจิดจ้า

“เป็นเพื่อนกันแล้ว ดีจังๆ ยื่นแขนเธอมาเดี๋ยวฉันทำแผลให้”

เขาลังเลเล็กน้อยก่อนตัดใจยื่นแขนไปตรงหน้า ช่างเถอะ…มันเจ็บอยู่แล้ว จะเจ็บมากขึ้นอีกนิดคงไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็เพื่อเพื่อนคนแรกในชีวิตของเขา…

สามวันถัดมายายเด็กอสูรหิ้วถุงอาหารและยามาหาเขาทุกวัน เจ้าหล่อนถามชื่อเขา แต่พอเขาไม่ตอบ หล่อนก็เรียกเขาว่าตัวดำ เพราะเขามีปานดำขนาดใหญ่ที่ต้นแขนขวา เขาหน้างอเรียกเจ้าหล่อนว่าตัวยุ่ง แทนที่จะโกรธยายเด็กที่อยากเป็นหมอกลับหัวเราะชอบใจ และลงมือทำแผลเขาง่วน

ยายตัวยุ่งมีฝีมือด้านการรักษาจริงๆ  อย่างน้อยแผลหนังที่ถูกดึงออกเป็นจุดๆ ตามแขนขาเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก  แต่อสูรที่อยากเป็นหมอยังมิวายบ่น

“แผลนี่หายช้าจัง ถ้าเป็นอสูรนะ ใส่ยาเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว”

ตัวดำทำเสียงหึในลำคอ ก็เขาไม่ใช่อสูร ลองเจ้าหล่อนเป็นเขาแล้วถูกถอดเกล็ดจนเลือดอาบบ้าง ดูสิแผลจะหายได้เร็วไหม

ความคิดของเขาชะงักเมื่อมีเสียงร้องตะโกนแว่วๆ จากภายนอก

“คุณหนูคะ คุณหนูอยู่ไหนคะ ไหนบอกว่าจะมาเดินเล่นแถวนี้ มาเล่นกับเพื่อนที่ไหนก็ไม่รู้ คุณหนูหฤษร…”

ร่างมอมแมมเกร็งขึ้นทันทีด้วยความหวาดกลัว คุณหนูอสูรจึงรีบบอก

“ไม่เป็นไรนะตัวดำ พี่เลี้ยงฉันเอง”

แต่สายตาของเด็กชายเปลี่ยนไปแล้ว ความหวาดกลัวทำให้เขามองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดเขาตวาดทว่าเสียงกลับเบาราวเสียงกระซิบ

“ไหนรับปากแล้วว่าจะไม่บอกใคร เธอโกหก!”

“ไม่นะ ไม่ได้บอกใครจริงๆ ตัวดำ…”  

เขาหูอื้อตาลายไปแล้ว ทรยศ เพื่อนคนแรกและคนเดียวของเขาหักหลังเขา สัตว์ชั้นต่ำอย่างเขาไม่มีเคยมีใครต้องการหรือหวังดีด้วยจริง ๆ

“คนทรยศ!”

“ฉันไม่ได้บอกใครจริง ๆ”

มือน้อยยื่นออกมาเหมือนจะจับเขาไว้ ยึดเขาไว้เพื่อจะได้ส่งตัวเขากลับไปหาพ่อ ตัวดำไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป วินาทีหนึ่งเขายังตัวแข็งทื่ออยู่วินาทีถัดมาความร้อนเหมือนไฟแล่นพล่านไปทั่วร่าง  เขาอ้าปากและงับใส่มือที่ตัดสินใจว่าคือ ‘ศัตรู’

เขี้ยวจมสู่หลังมือเล็กๆ ตรงจุดเดียวกับที่เขาเพิ่งข่วนเจ้าหล่อนไปเมื่อหลายวันก่อน พิษที่เพิ่งสร้างขึ้นหลังถูกรีดไปจนหมดพุ่งเข้าสู่อสุรีตัวน้อย  

จากนั้นต่างฝ่ายต่างตะลึงไปอย่างคาดไม่ถึง ลงเขี้ยวไปแล้วถึงได้สติ ได้แต่มองดวงตากลมดำสนิทที่เบิกกว้างมองเขาด้วยอารมณ์สับสน ทั้งประหลาดใจ ตระหนก เจ็บปวด

ร้อน…หฤษรเทวีตัวน้อยรู้สึกเหมือนมีเพลิงโหมแรงจู่โจมไปตามเส้นเลือดทั่วร่างกาย ความร้อนนั้นเหมือนจะเผาร่างจากภายใน  

ร้อน…จนร่างทรุดลงกับพื้น  น้ำตาร่วงพรูก่อนดวงตาจะพร่าเลือนไปด้วยความเจ็บปวด

“คุณหนูอยู่นี่เอง ตายแล้วเกิดอะไรขึ้นทำไมตัวแดงและร้อนเป็นไฟแบบนี้ แย่แล้ว แย่แน่ๆ”  พี่เลี้ยงสาวที่เป็นอสุรีร่างใหญ่อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา แทบสะดุ้งกับความร้อนที่สัมผัสได้  ราวกับว่าหล่อนกำลังอุ้มถ่านติดไฟก้อนหนึ่ง “วิทยาวัฒน์ อำภา มาช่วยกันเร็ว คุณหนูหฤษรเป็นไข้หนักมาก”

คุณหนูหฤษรกลอกตาอย่างทรมาน เด็กหญิงมองกอง ‘เชือก’ สีขาวที่ซุกอยู่ในสุด แม้จะอยู่ในความมืดประกายเพชรของเกล็ดรอบเชือกนั้นยังส่องสว่างจับตา ส่วนหัวของเชือกยังโผล่ออกมาหงอนแดงก่ำราวพลอยน้ำงาม ทั้งตัวงามไร้ที่ติยกเว้นรอยปานดำรอยหนึ่งบนร่างเท่านั้น

ดวงตาดำสนิทคู่หนึ่ง แดงดั่งเพลิงคู่หนึ่งสบกันเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ

“ไม่ได้บอกใคร” อสุรีตัวน้อยกระซิบเสียงแผ่วก่อนหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด



Don`t copy text!