มนตร์เบญจรงค์ บทที่ 1 : FIRST IMPRESSION

มนตร์เบญจรงค์ บทที่ 1 : FIRST IMPRESSION

โดย :

Loading

มนตร์เบญจรงค์ เรื่องราวของน้ำทอง หญิงสาวอาศัยอยู่ในบ้านทรงไทยไม้สักทองหลังงามกลางสวน กับการได้ครอบครองเบญจรงค์โบราณลายเทพบุตรทรงกลมแป้นที่ได้มาในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ และเบญจรงค์ใบนี้ทำให้เหตุการณ์ในบ้านอันสงบสุขของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นิยายออนไลน์ โดย จรัสพร ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………

-1-

 

น้ำทองขับรถลงลานจอดศูนย์ศิลปะใจกลางกรุงด้วยความรีบเร่ง วันนี้เธอได้รับเชิญให้มาร่วมฟังเสวนา เรื่อง ‘กระเบื้องมีเรื่องเล่า’ เป็นหัวข้อที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ทำงานผลิตรายการสารคดี หากแต่เมื่อขับรถลอดเข้าสู่ลานจอดชั้นใต้ดินก็ต้องเบรกอย่างกะทันหัน เนื่องจากข้างหน้ามีรถโรลส์-รอยซ์สีงาช้าง รุ่นโบราณ กำลังพยายามจะถอยเข้าซองอยู่ อย่างเก้กัง รถเดินหน้าถอยหลังไปมาอยู่หลายครั้ง ขวางทางเจ้ามินิคูเปอร์ที่หญิงสาวขับมา เธอคงจะไม่ว่าอะไรหรอกถ้าวันนี้ไม่รีบ เพราะนานๆ จะได้เห็นรถที่สวยงามคลาสสิกอย่างนี้สักที แต่นี่ใกล้เวลาจะเริ่มเสวนาแล้ว น้ำทองตัดสินใจ เข้าไปช่วยดูทางให้เจ้าของโรลส์-รอยซ์คันงามนั้นเพื่อที่เธอจะไม่เสียเวลามากไปกว่านี้ หากแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ คนขับกลับดับเครื่องยนต์แล้วเดินลงมาส่งกุญแจรถให้เธอเอาดื้อๆ  พร้อมพูดกับหญิงสาวว่า

“รบกวนจอดรถให้ที ผมรีบ เดี๋ยวเอากุญแจไปให้ผมที่งานเสวนานะครับ”

น้ำทองรับกุญแจมาด้วยความงุนงง มองตามร่างนั้นด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด ชายหนุ่มหน้าขาวปากแดง นุ่งโจงกระเบนไหมหางกระรอกสีน้ำตาลอมทอง สวมเสื้อคอปิดไหมสีชา หนำซ้ำเขายังคล้องมาลัยครุยร้อยด้วยดอกพุดประดับดอกจำปาเป็นระยะรับกับอุบะสร้อยสนงามวิจิตรทิ้งชายไว้ข้างสะโพก แสงเพชรจากเครื่องประดับชิ้นเบิ้มที่ส่องประกายมากระแทกสายตา ทำให้เธอรู้สึกราวกับโดนนะจังงังเลยทีเดียว หากแต่หญิงสาวไม่มีเวลางงนานนัก เพราะเธอก็ต้องรีบไปให้ทันฟังเสวนา จึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถอยรถหรูเข้าซองอย่างชำนาญ แล้วรีบมาจัดการจอดรถของตัวเองที่ขวางชาวบ้านเขาอยู่เช่นกัน

เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องเสวนาน้ำทองก็สอดส่ายสายตามองหาเจ้าของกุญแจรถที่อยู่ในมือ พวงกุญแจทองคำฝังเพชร เป็นตัวอักษร ล ลิง กับ ย ยักษ์ ไขว้กันอย่างวิจิตร

“อีตาบ้าเอ๊ย… เอามายัดใส่มือกันได้ เดี๋ยวแม่ก็เชิดซะทั้งรถทั้งกุญแจเลย” หญิงสาวบ่นเบาๆ อย่างหัวเสีย

“น้ำทอง แกมาแล้วทำไมไม่ไปนั่งที่ เขาจะเริ่มเสวนากันแล้วนะ” เสียงกังไส เพื่อนสนิทของเธอทักขึ้นมา

“อ้าว ไอ้ลิงกัง แล้วแกจองที่ไว้ตรงไหนล่ะ พาฉันไปสิ” น้ำทองตัดสินใจยังไม่ตามหาเจ้าของพวงกุญแจทอง เดินตามเพื่อนไปนั่งที่ที่ได้จองเอาไว้

แสงไฟในห้องเริ่มลดความสว่างลง บนเวทีปรากฏภาพของผู้ร่วมเสวนาสามท่าน ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้น  หากแต่หนึ่งในนั้น คือชายหนุ่มแต่งไทยเต็มยศแบบเปิ๊ดสะก๊าดเจ้าของพวงกุญแจที่เธอกำลังหาตัวอยู่นั่นเอง หญิงสาวจึงสะกิดเพื่อน พร้อมถามว่า

“คนนั้นใครวะแก ที่แต่งไทย ไท้ ไทย บนเวทีน่ะ”  

“อ๋อ  ดร.ลงยา ทิวากร ไงแก ไม่รู้จักเหรอ คนนี้แหละเป็นตัวพ่อในเรื่องเครื่องกระเบื้องเชียวนะ” เพื่อนสนิทของเธอตอบ หญิงสาวชูพวงกุญแจให้เพื่อนดูพร้อมบอกว่า

“แล้วเขาก็เป็นเจ้าของพวงกุญแจนี่ด้วย  คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ถอยรถเข้าซองไม่เป็น ดันเอากุญแจมายัดใส่มือฉัน ท่าทางจะเป็นสาวนะแกว่าไหม?” เพื่อนของเธอจุปากให้หญิงสาวเงียบเพื่อฟังการเสวนาที่กำลังจะเริ่มขึ้น

น้ำทองรู้สึกอิ่มใจและปลาบปลื้มกับการฟังเสวนาจากผู้รู้ทั้งสามท่าน ท่านหนึ่งเป็นศาสตราจารย์ผู้ได้รับการยอมรับว่ามีความรู้เรื่องเครื่องกระเบื้องโบราณทั้งไทยและเทศ อีกท่านหนึ่งเป็นเอตทัคคะในเรื่องการเขียนลาย ส่วน ดร.ลงยา ผู้ทำหน้าที่ดำเนินการเสวนานั้นก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างลื่นไหล จนผู้ฟังรู้สึกเพลิดเพลิน จนการเสวนาจบลง หญิงสาวรีบลากเพื่อนของเธอไปข้างเวทีเพื่อที่จะนำกุญแจรถไปคืนให้ชายหนุ่ม ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยสบอารมณ์กับวิธีการของเขานัก แต่เธอก็อดจะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขาไม่ได้  กังไสเรียก ดร.ลงยา ชายหนุ่มผู้นั้นหันมา พร้อมยิ้มให้เพื่อนสนิทของเธออย่างคุ้นเคย

“อ้าว คุณกังไสก็มาฟังเสวนาด้วยเหรอครับ”

“มาสิครับ อาจารย์ลงยา ดำเนินรายการทั้งที ใครพลาดก็เสียดายแย่ แต่ตอนนี้มีคนเขาอยากพบอาจารย์น่ะครับ นี่ครับเพื่อนผม น้ำทอง บุศยรักษ์ เป็นโปรดิวเซอร์รายการ อนุรักษ์ไทย ครับ” ชายหนุ่มหันมามองหน้าหญิงสาวที่ได้รับการแนะนำ น้ำทองรีบยัดกุญแจรถคืนใส่มือเขาทันที พร้อมกับที่ ดร.ลงยากล่าวคำทักทายเธออย่างเป็นทางการ

“สวัสดีครับคุณน้ำทอง บุศยรักษ์ ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณนะครับที่กรุณาจอดรถให้ ต้องขอประทานโทษด้วยพอดีเมื่อครู่นี้ผมรีบจริงๆ ครับ”

หญิงสาวยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างๆ หู

“จารย์ฮะ ขอโทษทีนะฮะ มาช้าไปหน่อย นี่ฮะกาแฟ”

ร่างบางในกางเกงสีซีด เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับแขนสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงดูทะมัดทะแมง วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดอยู่ตรงหน้า ดร.ลงยา พร้อมยื่นแก้วกาแฟเย็นแบรนด์ดังให้ ‘จารย์ฮะ’ ของหล่อน เจ้าของเสียงนั้นถ้าดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นสาวหล่อตามสมัยนิยมจากบุคลิกลักษณะการแต่งกาย หากแต่เรียวปากบางเฉียบคิ้วเข้ม ตาคมและส่วนโค้ง ส่วนเว้า และหน้าอกที่เรียกว่าตู้ม…ของเธอผู้นั้นบ่งบอกเพศสภาพของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

“เทียมจันทร์ ไม่ต้องวิ่งก็ได้ ผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันสอน” ดร.ลงยารับแก้วกาแฟจากลูกศิษย์คนสนิทแล้วหันมาขอตัวกับน้ำทองและกังไส พร้อมส่งกุญแจรถในมือให้เทียมจันทร์    

หญิงสาวหันมาเมาท์กับเพื่อนซี้อย่างอดใจไม่ไหว

“แกว่าเหมือนฉันว่าไหมไอ้กัง คุณดอกเตอร์ของแกเนี่ย เป็นสาว แล้วมีทอมมาคุมว่ะ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากๆ ไม่รู้จะจับลงประเภทไหนดีเลยนะแก” กังไสทำหน้าย่น เมื่อได้ฟังวาจาของเพื่อนสาวปากไม่มีหูรูด พร้อมตอบข้อสงสัย

“ใครว่าล่ะแก ดร.ลงยานี่แมนนะ ไม่ได้เป็นอย่างที่แกคิดหรอก แล้วไอ้เด็กเทียมจันทร์นี่ ท่าทางมันคงดูละครมากไปหน่อยเลยทำท่าทางเหมือนผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย สักวันถ้ามันติดหนวดมาด้วยฉันจะไม่แปลกใจเลย  ว่าแต่แกจะไปไหนต่อล่ะ แวะไปนั่งเล่นที่พิพิธภัณฑ์ฉันก่อนไหม”

กังไสชวนเพื่อนสาว เขาเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์เครื่องเรือนโบราณ กลางกรุง บรรพบุรุษของกังไสสืบสายตระกูลจีนโบราณที่เข้ามาค้าขายในเมืองไทยจนร่ำรวย เขาจึงได้ครอบครองตึกหลังใหญ่ย่านสาทร ประกอบอาชีพค้าขายโบราณวัตถุของตกแต่งบ้าน และเปิดพิพิธภัณฑ์เครื่องกระเบื้องให้ผู้ที่สนใจเข้าชมฟรี หนุ่มตี๋หน้าจืดนามกังไสผู้นี้ เป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันกับน้ำทอง จึงมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

“ไม่ละ พรุ่งนี้ต้องเตรียมทำข้อมูลไปถ่ายสารคดีดำน้ำหาของเก่าที่อยุธยา เอาเป็นว่าวันนี้ต่างคนต่างไป ทางใครทางมันนะเพื่อน”

พูดจบหญิงสาวก็เดินลงไปที่ลานจอดรถ ปล่อยให้กังไสยืนเกาหัวเก้ออยู่ตรงนั้น น้ำทองลงมาทันได้เห็นเทียมจันทร์ขับรถให้อาจารย์ของหล่อนด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

ชายหนุ่มหันมามองพอดี หญิงสาวเลิกคิ้วมองด้วยสายตาล้อเลียน แต่ดันไปประสานกับสายตาเอาเรื่องของเทียมจันทร์เข้าเลยต้องรีบหุบยิ้ม

“เด็กอะไร ตาดุเป็นบ้า” หญิงสาวบ่นกับตัวเองพร้อมขึ้นรถขับออกมาจากศูนย์ศิลปะ

 

กองถ่ายทำสารคดีเดินทางมาถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่ตีห้า คนทำโปรดักชั่นรู้กันดีว่าการออกกองแต่ละครั้งนั้นไม่มีวันที่จะได้ตื่นสาย เพราะแสงแรกยามอรุณนั้นเป็นแสงที่สวยงามเหมาะกับการเปิดซีนเป็นอย่างมาก และเวรกรรมอันนี้ก็จะตกไปอยู่กับคนต้นเรื่องที่ชาวคณะไปถ่ายทำ เพราะน้ำทองอยากได้ซีนเปิดที่นักประดาน้ำเตรียมตัวออกไปงมของเก่าแต่เช้ารับกับแสงเงินแสงทอง ขณะที่สมฤกษ์ ตากล้องหนุ่ม เตรียมอุปกรณ์ น้ำทองเดินพล่าน เพราะลุงบุญนำกับลูกชายยังไม่ยอมเปิดบ้านออกมาสักที

“เอาไงดีวะ ป่านนี้ลุงแกยังไม่ตื่นเลย  จะได้ถ่ายไหมเนี่ย เดี๋ยวสว่างกว่านี้แสงไม่สวยอีก สมเริกกกกกไปเก็บบรรยากาศริมแม่น้ำงามๆ ไว้ก่อน แต่ตอนนี้ฉันอยากได้ซิลลูเอทลุงออกจากบ้านเตรียมไปงมของ จะได้ไหม?”

น้ำทองหัวเสียแต่เช้า หล่อนแทบไม่ได้นอนเลยเมื่อคืนเพื่อจะเตรียมงานให้พร้อมที่สุด และอยากได้ภาพที่สวยที่สุดสำหรับเทปนี้ เอ้อ…ก็ทุกเทปนั่นแหละ หญิงสาวเชื่อว่าการถ่ายทอดเรื่องราวสารคดีที่ดีงามนั้น ต้องถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สวยจับตาจับใจ สคริปต์ที่คมและเข้าใจง่าย ดนตรีประกอบที่ไพเราะเข้ากับเนื้อหา หล่อนจะไม่ยอมให้งานหยาบๆ หลุดออกมาแน่นอน หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมมองไปที่ประตูบ้านเป้าหมาย เหล่าทีมงานสบตากัน แล้วร้องพร้อมกันว่า

“อย่านะเจ๊”

คนพวกนี้ต่างรู้ดีว่าเธอจะทำอะไร น้ำทองเดินไปที่หน้าบ้าน เงื้อมือจะทุบไปที่บานประตูหน้าถังที่ยังปิดอยู่  หากแต่ยังไม่ทันได้ทุบ ประตูก็เปิดออก ลุงบุญนำและลูกชายเดินตามกันออกมาในชุดเตรียมพร้อม ต่างหอบหิ้วอุปกรณ์หัวดำน้ำและสายสำหรับหายใจเอามาประกอบเพื่อเตรียมตัวจัดฉากออกทำมาหากินให้ได้อย่างใจน้ำทอง เมื่อทุกอย่างพร้อมการถ่ายทำก็เริ่มขึ้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี หญิงสาวได้ภาพที่ถูกใจทำให้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ช่วงพักกองเพื่อให้ทีมงานรับประทานอาหารกลางวัน ทุกคนต่างเอร็ดอร่อยกับก๋วยเตี๋ยวเรือที่พายมาขายตรงท่าน้ำบ้านลุงบุญนำ กินกันแทบหมดลำเรือ เรือกาแฟผ่านทีมงานก็โบกเรียกมาเหมาลำเรืออีกเป็นที่ครึกครื้น

หญิงสาวนั่งคุยกับลุงบุญนำเพื่อสร้างความสนิทสนม ลดความเก้อเขิน ก่อนที่จะต้องให้สัมภาษณ์ในส่วนของ VTR (video tape record) ที่จะนำมาตัดต่อแทรกบรรยายในบางช่วง เธอจึงพูดคุยถึงเรื่องราวอาถรรพ์ของวัตถุโบราณที่งมได้ คุยไปคุยมาเมื่อได้รู้ว่าน้ำทองสนใจอยากเห็นของโบราณที่มีอยู่ ลุงบุญนำจึงชวนหญิงสาวและทีมงานเข้าไปในตัวบ้าน น้ำทองตื่นตาตื่นใจกับบรรดาเหรียญกษาปณ์โบราณ ถ้วยชาม เครื่องใช้ไม้สอย ที่แม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก หากแต่คงคุณค่าทางประวัติศาสตร์  

น้ำทองสังเกตเห็นห่อผ้าสีมอๆ ห่อหนึ่งมีม้วนสายสิญจน์ทับอยู่ วางไว้ตรงสุดมุมห้อง จึงถามลุงบุญนำว่าห่อนั้นเป็นห่ออะไร ชายชราสบตากับบุญชิตผู้เป็นลูกด้วยความอึดอัด ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

“โถเบญจรงค์ครับ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ห่อเก็บเอาไว้นานแล้ว” ลุงบุญนำตอบอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งตรงข้ามกับท่าทีแปลกๆ ที่หญิงสาวสังเกตเห็น

“โถเบญจรงค์ ถ้างมได้แถวนี้ก็น่าจะเป็นของสมัยอยุธยาสิคะ สมัยนั้นกระเบื้องเคลือบส่วนมากมาจากเมืองจีนด้วย คงสวยน่าดู แต่ลวดลายจะยังชัดอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ อยากชมจังเลยค่ะ” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ห่อผ้าราวกับมีมนตร์สะกด

 ลุงบุญนำทำท่าจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว น้ำทองนั่งลงหยิบสายสิญจน์ออกจากห่อผ้าแล้ว แก้ห่อออกมา เธอได้พบโถเบญจรงค์ทรงแป้นเขียนเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านขด ด้านหน้าเป็นรูปเทพบุตรปั้นนูนสูงไว้อย่างงดงาม รูปเทพบุตรที่ปรากฏแก่สายตาของหญิงสาวช่างวิจิตรบรรจงราวกับมีชีวิตจริง เมื่อเปิดโถออกมาดูก็พบกับสัญลักษณ์อะไรสักอย่างจารึกไว้ที่ก้นโถ เมื่อหญิงสาวได้สัมผัสโถเบญจรงค์ใบงามนี้แล้ว เธอเกิดความรู้สึกอยากจะครอบครองเป็นอย่างมาก จึงเจรจาขอซื้อกับลุงบุญนำ บุญชิตรีบสะกิดพ่อให้ขายให้หญิงสาวไปในราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ เพียงหนึ่งพันบาทเท่านั้น

“อะไรนะหนึ่งพันบาท ลุงคะ ราคาไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ ค่ะ หนูไม่กล้าเอาเปรียบลุงหรอกนะคะ เอาอย่างนี้เพื่อความสบายใจหนูให้ลุงหมื่นนึงเลยนะคะ จริงๆ ราคาน่าจะเกินกว่านี้ด้วยค่ะ พอดีหนูมีเงินสดติดมาแค่นี้” หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์นับเงินให้ชายชรา

“ขอบคุณครับคุณหนู แต่แน่ใจนะครับว่าเอาแน่” ชายชรายกมือไหว้ท่วมหัว พลางถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ ลุงก็ห้ามเปลี่ยนใจด้วย โถสวยๆ อย่างนี้จะไปหาจากที่ไหนได้อีก ดูสิเทพบุตรที่จำหลักอยู่บนโถนี่งามเหมือนมีชีวิตราวกับจะพูดได้” น้ำทองลูบคลำโถเบญจรงค์ด้วยความปลาบปลื้ม โดยไม่สังหรณ์เลยสักนิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอในอนาคต

บ่ายวันนั้น การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น งานเสร็จอย่างรวดเร็วไม่มีฝนมาเป็นอุปสรรค น้ำทองและทีมงานลาลุงบุญนำและลูกชายอย่างสบายใจ หากแต่คนที่ไม่สบายใจคือลุงบุญนำเอง แกกำเงินหนึ่งหมื่นบาทของน้ำทองเอาไว้ พร้อมรำพึงกับตัวเองว่า…มันคงเป็นชะตากรรม…

 

รถมินิคูเปอร์สีขาวแล่นมาถึงหน้าบ้านเรือนไทยกลางสวน บานประตูไม้สักหนาหนักเปิดเองราวกับถูกบังคับด้วยกลไก น้ำทองหันไปยกมือไหว้ขอบคุณตามั่นกับตาคง รูปสลักบนบานประตูไม้ที่เปิดประตูให้เข้าบ้าน หญิงสาวหอบสัมภาระเข้าบ้าน และไม่ลืมที่จะหยิบห่อผ้าสีมอขึ้นบ้านมาด้วย  

บ้านของน้ำทองนั้นอยู่กันสามคน คือ ตัวเธอเอง ลุงตัน ป้ามาลี ที่ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านและแม่บ้าน บิดามารดาของหญิงสาวนั้นประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิต ขณะจะบินกลับมาร่วมงานรับปริญญาของลูกสาวคนเดียว ตั้งแต่นั้นมาหญิงสาวก็อยู่ในความดูแลของลุงตัน ป้ามาลี คนเก่าคนแก่ และนอกจากสามคนในบ้านแล้วยังมีวิญญาณอีกหลายดวงที่อยู่ร่วมบ้านกันเหมือนดั่งสมาชิกในครอบครัว บ้านของหญิงสาวเป็นเรือนไทยโบราณ เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษข้างบิดา มีของเก่า ของสะสมมากมาย ทุกสิ่งล้วนมีวิญญาณสิงสู่อยู่อย่างมีความสุข มีสิทธิ์มีเสียง สามารถปรากฏตัวได้ตามใจปรารถนา โดยไม่มีการระแวงหวาดกลัวซึ่งกันและกัน น้ำทอง ลุงตัน ป้ามาลีเองก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรที่จะมีเหล่าวิญญาณอยู่ร่วมชายคา แต่ที่น่าเสียดายที่สุดคือ ท่ามกลางวิญญาณเหล่านั้นกลับไร้วี่แววบิดา มารดาของเธอ หญิงสาวเคยถามเรื่องนี้กับหลวงตา พระที่เคารพนับถือ ท่านก็บอกว่าทั้งสองท่านจากไปโดยไม่มีอะไรต้องติดยึดอีก ผู้ที่เฝ้าผูกพันวนเวียน คือผู้ที่ตัดไม่ขาดชดใช้กรรมยังไม่หมดนั่นเอง น้ำทองจึงหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเหล่าวิญญาณที่อาศัยร่วมบ้าน เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้พ้นทุกข์และได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่เหมาะสม

ทุกวันที่น้ำทองกลับมาถึงเรือน เหล่าดวงวิญญาณจะออกมาทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบ หรือไม่ก็ปรากฏตัวตามที่ทางของตัวเอง วิญญาณทุกดวงมีหน้าที่ที่ทำเป็นกิจวัตร ใครชอบอะไรก็ทำไป อย่างแม่เมขลาชอบขูดมะพร้าว ถ้าวันไหนป้ามาลีจะแกงกะทิ หรือทำขนม ป้ามาลีก็จะบอกให้ลุงตันไปขึ้นมะพร้าวมาปอกแล้ววางไว้ข้างๆ กระต่ายขูดมะพร้าว สักพักแม่เมขลาก็จะห่มผ้าแถบนั่งระทวยกายขูดมะพร้าวด้วยลีลาอันแสนจะเซ็กซี่ จนได้มะพร้าวขูดขาวเต็มถาด แล้วเธอก็จะหายไป หรืออย่างแม่เอื้องคำ ช่างฟ้อน เธอมากับปลอกเล็บฟ้อนทองคำโบราณ ที่คุณปู่ของน้ำทองไปได้มาจากเชียงใหม่ เก็บไว้ในตู้มุก แม่เอื้องคำนั้นชอบออกมาเดินเล่นนอกตู้เป็นประจำ บางทีมืดๆ จะเห็นเหมือนมีแมงมุมสีทองตัวใหญ่วิ่งไปมาน่าเอ็นดูอยู่บนพื้นกระดานบ้าน

ถ้างานดอกไม้ร้อยมาลัยต้องยกให้พี่บัว เธออยู่ในกระถางบัวลายครามใบใหญ่  พี่บัวถูกจับกดน้ำขาดใจตายในกระถางนั้นตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทุกวันพระน้ำทองจะสวดมนต์ ที่หอพระ ป้ามาลีจะเก็บดอกมะลิกับกุหลาบใส่พานไปวางไว้ตรงกระถางบัวลายคราม พี่บัวก็จะปรากฏตัวออกมาในชุดผ้าจีบหน้านาง ห่มสไบสีกลีบบัวสวยมานั่งพับเพียบร้อยมาลัยใส่พานให้น้ำทองไปบูชาพระอย่างสวยงาม นี่คือส่วนหนึ่งของเหล่าวิญญาณที่คุ้นเคยในเรือนไทยกลางสวน ซึ่งนอกจากตามั่น ตาคง ที่เป็นทวารบาลอยู่หน้าเรือนแล้ว ในเรือนนี้ล้วนมีแต่ผีผู้หญิงล้วนๆ และการที่น้ำทองนำโถเบญจรงค์รูปเทพบุตรเข้ามา คงจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากแต่หญิงสาวยังไม่ทันรู้ตัว

วันนี้บ้านเงียบสงัด ไม่มีใครออกมาต้อนรับสักตน นี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ  นั่นไงชายสไบของพี่บัวไหวๆ อยู่ตรงนั้น หญิงสาววางของแล้วเดินไปตรงลานเชื่อมต่อระหว่างเรือนที่เห็นชายสไบของผีแม่บัว แต่กลับไม่เจอใครเลย

“วันนี้เป็นอะไรกันไปหมดจ๊ะ ไม่มีใครออกมารับน้ำทองเลยเดี๋ยวไม่รักนะ”

“ฮึ”  ผีขี้งอนส่งเสียงออกมาจากอ่างบัวลายคราม

“เป็นอะไรไปพี่บัว ออกมาคุยกันเถิด แม่แย้ม เมขลา วันนี้ไปไหนกันหมด แม่เอื้องคำช่างฟ้อน แม่พรายกระซิบ  ขอละมีอะไรออกมาคุยกันนะจ๊ะ บ้านเงียบอย่างนี้หนูกลัว” น้ำทองอ้อนวอนพวกผีๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

น้ำทองเรียกเหล่าผีในบ้านจนอ่อนใจ หันมาเจอป้ามาลีจึงแกะห่อผ้าออกส่งโถเบญจรงค์ให้นำไปทำความสะอาด

“ได้มาใหม่อีกแล้วเหรอคะคุณหนู โถนี่งามจริง รูปเทพบุตร ดูสิ ตาท่านคมกริบราวกับมีชีวิตทีเดียว เดี๋ยวป้าจะเอาไปล้างให้นะคะ จะให้เก็บไว้ที่หอพระไหมคะ” ป้ามาลีอุ้มโถเบญจรงค์เตรียมไปทำความสะอาดแล้วหันมาถามหญิงสาว

“เอาไว้ในครัวเลยค่ะป้า เดี๋ยวหนูจะริ้วมะปรางใส่โถแช่เย็นกิน คงจะชื่นใจน่าดู” น้ำทองตอบ เมื่อเหลือบเห็นตะกร้ามะปรางสุกที่ลุงตันคงเก็บมาจากในสวน

“เดี๋ยวป้าเตรียมมีดกับอ่างน้ำไว้ให้นะคะ” คนเก่าคนแก่ของเธอตอบมา

ป้ามาลีนั้นรู้ดีว่าน้ำทองชอบริ้วมะปรางมาก เรียกว่าเป็นงานอดิเรกคลายเครียดจากภารกิจประจำวันของเธอทีเดียว  แม่บ้านของน้ำทองนำโถเบญจรงค์มาล้างในอ่างล้างจาน แต่ไม่ได้สังเกตว่าขอบโถนั้นมีรอยบิ่นอยู่ พอมือไปโดนเข้าจึงโดนบาดเลือดไหลออกมา ที่น่าแปลกคือเลือดที่หยดลงไปในโถนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เสียงหมาหอนไล่กระชั้นมาชวนขนลุก แม้กระทั่งคนที่อยู่ร่วมชายคากับผีทั้งโขยงยังอดหวั่นไหวไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น พลันป้ามาลีก็รู้สึกเหมือนมีเสียงเย็นๆ มากระซิบข้างหู

“แม่หนูเอาผีผู้ชายเข้าบ้านระวังจะเกิดเรื่อง” เสียงของแม่พรายกระซิบนั่นเอง ป้ามาลีก้มมองหน้าของเทพบุตรที่โถแล้วใจหายวาบ เทพบุตรส่งยิ้มให้ทั้งๆ ที่มุมปากยังมีคราบเลือดติดอยู่ นี่มันอะไรกัน…รอยอักขระโบราณที่ก้นโถก็ดูจะชัดขึ้นราวกับจารด้วยเลือด หากแต่นางไม่กล้าทำอะไรมากกว่านั้น ได้แต่เช็ดโถแล้วรีบเอาไปวางรอไว้บนตั่ง เตรียมมะปราง มีดคว้าน มีดบาง อ่างน้ำ ไว้ให้คุณหนูอย่างเรียบร้อย แต่ก็แอบใจคอไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น

น้ำทองอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องเตรียมจะไปริ้วมะปราง หญิงสาวใส่เสื้อผ้าป่านสีนวล นุ่งซิ่นผ้าฝ้ายสีดำยาวกรอมเท้า เดินสวนกับป้ามาลีเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลน จึงถามคนเก่าคนแก่ด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้นคะป้า ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง

“เอ้อ…คุณหนูคะป้าไม่รู้จะพูดไงดี คือโถเบญจรงค์ที่เอามาป้าว่ามันแปลกๆ นะคะ เมื่อตะกี้พรายกระซิบก็มาบอกป้าว่า แม่หนูเอาผีผู้ชายเข้าบ้านระวังจะเกิดเรื่อง” ป้ามาลีเล่าปากคอสั่นด้วยความตกใจ นางลืมเล่าเรื่องเลือดที่หยดใส่โถเสียสนิท

“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า พวกผีสาวๆ คงไม่ชิน จริงๆ แล้วจะว่าไปบ้านเรามีผีหนุ่มๆ มาให้สาวๆ ครึ้มอกครึ้มใจเล่นบ้างก็ดีนะคะ” หญิงสาวตอบอย่างมองโลกในแง่ดี ป้ามาลีก็ได้แต่ถอนใจแล้วเดินจากไป น้ำทองนั่งลงบนตั่งเตรียมลงมือริ้วมะปราง แต่ก็ไปสบตาของเทพบุตรหน้าโถเข้าจึงพูดเย้าด้วยอารมณ์ขัน

“รูปงามอย่างนี้ อย่ามาทำให้ผีสาวๆ ในบ้านนี้หลงนะเจ้าคะ น้ำทองขี้เกียจตัดสินความเจ้าค่ะ” น้ำทองพูดไปอย่างนั้นเอง โดยไม่ทันสังเกตรอยยิ้มของเทพบุตรรูปหล่อ

หญิงสาวลงมือบรรจงริ้วมะปรางอย่างเพลิดเพลินจนเต็มโถ แล้วนำไปแช่ตู้เย็น จากนั้นจึงเดินเลยไปเคี่ยวน้ำเชื่อมในครัว เมื่อจัดการน้ำเชื่อมเสร็จ น้ำทองเดินไปเปิดตู้เย็นจะนำโถมาใส่น้ำเชื่อมทำลอยแก้ว แต่ปรากฏว่าในโถเบญจรงค์ใบแป้นที่มีมะปรางริ้วบรรจุอยู่เต็ม บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า มะปรางที่เธอบรรจงปอกริ้ว และคว้านเมล็ดออกหายไปอย่างไร้ร่องรอย นี่มันเกิดอะไรขึ้น! จะโทษป้ามาลี ลุงตันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้ใหญ่ทั้งสองอยู่กันมานานจนรู้นิสัยกันดี ไม่เคยมีการละลาบละล้วงอยู่แล้ว หรือจะเป็นพวกผีๆ ในบ้านของเธอเองที่แกล้งเรียกร้องความสนใจ หญิงสาวจึงถามออกไปด้วยเสียงนิ่มๆ ว่า

“พี่ๆ ไม่พอใจแล้วแกล้งน้ำทองกันหรือเปล่าจ๊ะ เอามะปรางริ้วไปลักซ่อนหรือเปล่า เอามาคืนเถอะนะจ๊ะ พรุ่งนี้จะได้ใส่บาตรไปให้กินกันให้ชุ่มฉ่ำ” หญิงสาวถามออกไปตามความคิด

“อย่ามาใส่ไคล้ พวกฉันไม่ใช่ผีตะกละ ไม่ยุ่งกับของของเธอดอกแม่หนู ถามเทพบุตรที่โถของเธอดูดีกว่าไหมยะ” พรายกระซิบมาส่งเสียงงอนๆ อยู่ข้างหูหญิงสาว

“จริงด้วย จริงด้วย พวกเราไม่ใช่ผีลักกินขโมยกิน” เสียงเซ็งแซ่ออกมารอบตัวน้ำทอง

“ขอโทษค่ะ พวกพี่ หนูขอโทษจริงๆ เห็นของหายไปนึกว่าพวกพี่ๆ จะเย้าหนูเล่น” หญิงสาวยกมือไหว้รอบทิศด้วยความสำนึกผิด เหล่าผีๆ ทั้งหลายก็ส่งเสียง “ชริ” “ฮึ” ด้วยความขัดเคืองแล้วก็เงียบไป

หญิงสาวอุ้มโถเบญจรงค์มาวางบนโต๊ะกินข้าว เธอพยายามมองหาความผิดปกติที่รูปเทพบุตรที่เคยดูมีชีวิตชีวาแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นรูปวาดบนเนื้อกระเบื้องที่เฉยเมยสงบนิ่ง ราวกับเธอตาฝาดไป

น้ำทองไลน์หากังไสเพื่อนรัก เพื่อเล่าเรื่องราวอันพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้นให้เพื่อนได้รับรู้ พร้อมถ่ายรูปโถเบญจรงค์ต้นเหตุแปะไปด้วย เมื่อกังไสได้เห็นรูปโถเบญจรงค์ก็โทร.หาน้ำทองทันที

“ฮัลโหล น้ำทอง แกไปเอาโถนั่นมาจากไหน” กังไสถามเพื่อนสาว

“ฉันไปได้มาจากบ้านที่ไปถ่ายสารคดีดำน้ำงมของเก่าอะแก เห็นสวยดี ลุงจะคิดฉันพันเดียว แกดูสิไอ้กัง โถนี่นะพันเดียว ฉันเลยให้แกไปหมื่นนึง คนอย่างฉันไม่เอาเปรียบใครอยู่แล้วแกก็รู้” น้ำทองตอบเพื่อนรัก

“ฉันว่าฉันเคยเห็นโถแบบเดียวกันนี่นะแก เหมือนฝาแฝดกันเลย โถอีกใบ เดี๋ยวนะ น่าจะที่บ้านดอกเตอร์ลงยาว่ะ เดี๋ยวฉันส่งรูปโถแกให้ดอกเตอร์ดูก่อนว่าใช่ไหม” กังไสบอกเพื่อนเสร็จเขาก็รีบแชร์รูปโถเบญจรงค์ของน้ำทองส่งทางไลน์ไปให้ดอกเตอร์ลงยาดู ปรากฏว่าดอกเตอร์หนุ่มก็ส่งรูปโถเบญจรงค์เทพธิดามาให้กังไสดูว่าเหมือนโถสองใบนี้เป็นโถแฝดกันจริงๆ  เพื่อนซี้ของน้ำทองจึงส่งรูปโถเทพธิดาของ ดร.ลงยามาให้น้ำทองดู

น้ำทองเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กังไสฟังอีกครั้งอย่างละเอียด และขอให้เพื่อนรักนัด ดร.ลงยาให้เพื่อที่จะได้พบและพูดคุยเกี่ยวกับโถทั้งสองใบ เธอตั้งใจจะเอาโถเบญจรงค์ที่ได้มาไปเทียบกับใบที่ ดร.หนุ่มมาดเนี้ยบผู้นั้นครอบครองอยู่ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรที่จะมีวิญญาณอีกดวงหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน หากแต่สิ่งที่เธอสัมผัสได้นั้น คือความไม่ปกติของโถนั่น แม้กระทั่งอักขระที่จารึกไว้ที่ก้นโถก็ดูมันไม่ธรรมดาเอาเสียเลย  หล่อนอยากดูให้เห็นกับตาว่าโถสองใบนี้มีอะไรเกี่ยวพันกันอยู่หรือไม่ แล้วโถอีกใบมีวิญญาณสิงสู่อยู่ เหมือนกับโถที่เธอได้มาครอบครองไหม คืนนั้นน้ำทองจึงตัดสินใจห่อโถเบญจรงค์ด้วยผ้าผืนเดิมแล้วนำไปไว้ในหอพระ

เมื่อเธอออกมาจากหอพระ พวกผีๆ ก็ออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะว่าปกติเลยก็ไม่ใช่ ผีทุกตนดูมีท่าทางหมางเมินและงอนหญิงสาวอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นกระดานห้องโถง แล้วยกมือไหว้พวกผีๆ เหล่านั้น พร้อมกล่าวขออภัย

“พี่ๆ เจ้าขา ให้อภัยน้ำทองด้วยนะเจ้าคะ ใครจะไปรู้ว่าพ่อเทพบุตรบนโถนั่นจะทำเรื่อง” หญิงสาวขอโทษบรรดาผีๆ เสียงอ่อน แม่เอื้องคำไต่เล็บฟ้อนของเจ้าหล่อนไปหยิบไอแพดมา แล้วบรรจงกรีดนิ้วจิ้มตัวอักษรตอบน้ำทอง

“พวกเราไม่ถือโทษแม่หนูดอก แต่อยากจะเตือนให้ระวังภัย โถเบญจรงค์ใบนี้มีวิญญาณแฝงมา เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาดีหรือมาร้าย แม่หนูควรระวัง” เมื่อน้ำทองอ่านจบแม่เอื้องคำก็หอบไอแพดจากไปราวกับจะขอยุติการสนทนากับหญิงสาวไว้เพียงเท่านี้ แม้เธอจะเรียกให้มาอยู่คุยกันต่อผีช่างฟ้อนก็ไม่สนใจกลับไต่นิ้วจากไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนผีอื่นๆ ก็หลบหน้าหลบตาไม่ยอมพูดด้วย แม้กระทั่งแม่พรายกระซิบจอมเจ้ากี้เจ้าการก็ไม่เยี่ยมกรายออกมา น้ำทองเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้วจึงไปหยิบมะปรางมาริ้วใหม่ เพื่อที่จะทำลอยแก้วใส่บาตรเป็นการไถ่โทษที่พูดไม่ดีกับพวกพี่ๆ ผีของเธอ

 

กังไสโทร.หาน้ำทองเพื่อนัดหมายกันไปพบ ดร.ลงยา ในวันที่หญิงสาวกำลังวุ่นวายกับการตัดต่อสารคดี

“ว่าไงไอ้กัง ฉันมีเวลาพูดกับแกแค่สองนาทีนะ ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องตัดต่อ” หญิงสาวกรอกเสียงลงโทรศัพท์เข้าหูเพื่อนรัก

“เออ ฉันจะบอกแกเรื่องนัด ดร.ลงยา แกจะฟังไหม ถ้าเวลาแกน้อยฉันจะได้วางแล้วโทรไปยกเลิกนัดซะ” กังไสตอบมาอย่างอารมณ์ดี

“ว่ามา แกนัดเขาเมื่อไหร่ เร็วๆ เข้าคุณกังไส ลูกคุณกายสิทธิ์” น้ำทองตอบเพื่อนอย่างสนุกปาก

“แหม…ไอ้นี่ล้อชื่อพ่อเลย  เอ้า ฟังนะแล้วจดไว้ด้วย ดร.ลงยาสะดวกให้ฉันพาแกเข้าไปพบตอนบ่ายโมงตรง วันพฤหัสบดีนี้ แกพอจะเจียดเวลาได้ไหม” กังไสบอกข้อมูลกับเพื่อนสาว

“โอเค แกมารับฉันนะ แค่นี้แหละขอบใจมาก ฉันจะไปตัดหนังต่อแล้ว” หญิงสาววางสายจากเพื่อนรักด้วยความสบายใจและมั่นใจว่า เรื่องที่รบกวนจิตใจของเธอจะได้หายไปเสียที อย่างน้อยก็จะได้รู้ที่มาที่ไปของโถเบญจรงค์ใบงาม  

น้ำทองตัดสินใจว่าก่อนที่จะไปพบ ดร.ลงยา เธอควรจะได้พูดคุยกับดวงวิญญาณในโถสักเล็กน้อย เพื่อหยั่งเชิง เพราะไม่รู้เลยว่าจะมาดีหรือมาร้าย เหล่าผีๆ ที่บ้านเธอนั้นก็ไม่ได้ยินดีต้อนรับ ผีน้องใหม่กันเลย  เรียกว่าแสดงความรังเกียจกันจนออกนอกหน้าก็ว่าได้ เมื่อกลับมาถึงเรือน หลังรับประทานอาหารและทักทายเหล่าผีสามัญประจำบ้านเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเดินเข้าไปในหอพระ นำพวงมาลัยดอกมะลิที่ร้อยอย่างประณีตฝีมือพี่บัวไปถวายพระ เธอจุดธูป จุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณบรรพบุรุษ   

เมื่อสวดมนต์เสร็จน้ำทองก็หยิบห่อผ้ามาแกะ นำโถออกมาตั้งตรงหน้าพระ หันด้านหน้าของเทพบุตรนั้นมาตรงหน้าเธอ พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานขอสื่อสารกับวิญญาณที่สิงอยู่ในโถเบญจรงค์ หญิงสาวพยายามสำรวมจิตทำสมาธิอยู่นานนับชั่วโมง หากแต่…

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากผีที่ท่านเรียก…ตู๊ดดด…” เสียงล้อเลียนจากพรายกระซิบแว่วมาเข้าหู ทำให้น้ำทองลืมตาออกจากสมาธิด้วยอารมณ์ฉิวแกมขัน

“อะไรกันพี่พรายกระซิบ จะไม่ให้โอกาสหนูได้ติดต่อกับวิญญาณในโถเลยหรือเจ้าคะ” น้ำทองถามด้วยความกังขา

“แล้วเขาคุยกับแม่หนูไหมล่ะ พี่เห็นแม่หนูพยายามต่อสายเรียกเข้าอยู่เป็นชั่วโมง เขาก็ไม่ตอบ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ทางที่ดีเอาไปถวายวัดเถอะ เก็บเอาไว้จะสร้างปัญหา ผีตะกละตะกลามเกิดมาไม่เคยพบ” พรายกระซิบทำเสียงเล็กเสียงน้อยแง่งอนไปตามเรื่อง

พรายกระซิบเป็นหญิงสาวสวยคมขำ หล่อนจะปรากฏตัวมาในชุดสไบกรองทอง นุ่งผ้ายกอย่างงาม ตอนที่ยังมีชีวิต หล่อนเป็นลูกผู้ดีมีสกุลหากแต่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ชอบยุแยงตะแคงรั่วจนเรื่องราวบานปลายใหญ่โต เมื่อตายไปเป็นวิญญาณเร่ร่อนมีแต่คนเกลียดชัง ไม่ทำบุญให้ เลยไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที วันดีคืนดีได้มารับกุศลที่น้ำทองแผ่ให้ วิญญาณเร่ร่อนเลยขออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน มีหน้าที่คอยกระซิบข่าว เตือนภัยให้กับคนในบ้าน

เมื่อการสื่อสารไม่ได้เรื่อง น้ำทองก็จำต้องอดทนรอให้ถึงวันที่กังไสนัดหมายกับ ดร.ลงยา จริงๆ แล้วน้ำทองเองไม่ได้อยากจะไปพบ ดร.หนุ่มมาดเนี้ยบคนนี้สักเท่าไหร่ เพราะการพบกันครั้งแรกของเขาและเธอนั้นมันไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ดูท่านช่างเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เห็นทุกคนเป็นดาวบริวารไปหมด  ดูสิจู่ๆ ก็ถือวิสาสะเอากุญแจรถมายัดใส่มือให้เธอไปถอยเข้าซองให้ นึกแล้วเจ็บใจ คงจะต้องหาทางเอาคืนตาดอกเตอร์เก้งนี่ให้ได้สักครั้งก็ยังดี หญิงสาวคิดอย่างหมายมาด



Don`t copy text!