มหกรรมมนุษย์ บทที่ 2 : เรื่องของชมนาด
โดย : สีตลา สัตตสุวรรณ
มหกรรมมนุษย์ โดย สีตลา สัตตสุวรรณ กับเรื่องราวของมนุษย์ทุกคนต่างเป็นตัวละครชีวิตที่โลดแล่นไปจนกว่าจะสิ้นสุดลมหายใจและ ‘ชมนาด’ ก็คือหนึ่งในตัวละครเหล่านั้น พบกับ มหกรรมมนุษย์ นวนิยายรางวัลดีเด่น จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓ ที่ชาวอ่านเอาภูมิใจนำเสนอ และอยากให้ทุกท่านได้อ่านออนไลน์บน anowl.co และ Fb Fanpage : anowldotco
การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของฉันดำเนินมาเมื่ออายุได้สิบเอ็ดขวบ ถึงวัยโกนจุกตามประเพณี มันเริ่มต้นจากเช้าตรู่วันนั้น เช้าวันปกติธรรมดาที่นางจวงเรียกหาแต่เช้าหลังตักบาตรพระตรงท่าน้ำอันเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำร่วมกันทั้งครอบครัว
เมื่อเยี่ยมหน้าเข้าไปจากประตูห้องที่เปิดไว้ นางจวงพับเพียบอยู่หน้าตั่ง รอบกายมีเครื่องทอง เพชรพลอยหลายชิ้นวางละลานตาบนหีบไม้บุผ้ากำมะหยี่ขนาดแตกต่างกัน
แม่เลี้ยงกำลังเพลิดเพลินกับการทาบสายสร้อยลายต่างๆ บนลำคอ พิศมองสร้อยข้อมือที่วางอยู่บนฝ่ามือ หรือทาบกับแขนอย่างมีความสุข ทันทีที่ฉันข้ามธรณีประตูเข้าไป เสียงไม้กระดานลั่นทำให้นางเงยหน้าขึ้น ดวงหน้ายิ้มแย้มต้อนรับ
“คุณน้าเรียกหาฉันหรือเจ้าคะ”
ฉันถามเป็นเชิงทักทายก่อนก้มตัวลงคลานเข้าไปหยุดใกล้ๆ ในท่าพับเพียบเรียบร้อย ทิ้งระยะห่างพอคุยกันโดยไม่ต้องกระซิบ หรือตะโกน
“ขยับเข้ามาใกล้น้าอีกนิดสิคุณชม”
เสียงที่บอกแช่มชื่น นางจวงตบเบาะข้างกายเชื้อเชิญจนเด็กหญิงต้องเขยิบตัวตาม หากไม่เรียกชื่อเต็ม นางจวงมักเรียกลูกติดสามีว่า ‘คุณชม’ และ ‘คุณแก้ว’ ตามอย่างที่พวกบ่าวเรียกกันจนติดปาก เช่นเดียวกับฉัน และพวงแก้วที่เรียกนางในฐานะน้าสาวตามที่พ่อสอนให้เรียก
“ไหนน้าขอมือคุณชมหน่อย”
นางไม่พูดเปล่า แต่คว้าข้อมือของฉันไปก่อนเลื่อนกำไลวงหนึ่งสวนเข้ามาจนทำให้ฉันหลุดปากอุทานอย่างลืมตัว
“งามจัง ของใครหรือเจ้าคะ” ฉันอดไม่ได้ที่จะยกของขวัญจากนางจวงขึ้นมาชื่นชมใกล้ๆ
กำไลข้อมือวงนั้นงดงามจริงอย่างปากว่า ตัวเรือนเป็นทองคำฉลุลายดอกพุดตานอวดกลีบบานบนเครือเถาวัลย์สลักเสลาชดช้อยด้วยฝีมือช่างทองอย่างประณีตบรรจง ปลายกลีบดอกยังอุตส่าห์ลงยาสีแดงสดรับกับสีเขียวมรกตของใบเถาวัลย์ ขนาดวงไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปสำหรับข้อมือเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดขวบ
“น้าให้ คุณโตเป็นสาวแล้วน่าจะมีของแต่งตัวเก็บไว้บ้าง ใครเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็นลูกคุณพ่อเสียเปล่า สร้อยสักเส้นกำไลสักวงยังไม่มีใส่”
ฉันไม่เคยครอบครองของมีค่ามาก่อน อย่างมากก็ทองหยองที่นางจวงประดับให้ชั่วคราวเวลาใส่ไปงานบุญ ของขวัญชิ้นแรกในชีวิตจึงมีค่าเกินวัยไปมาก
“ขอบพระคุณคุณน้าเจ้าค่ะ แต่คุณพ่อจะตำหนิลูกไหมว่าไม่ใช่ของเด็กใส่เล่นกัน”
ฉันถามอย่างไม่เดียงสา ใบหน้านางจวงที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้มอยู่แล้วดูเหมือนจะยิ่งเบ่งบานมากกว่าเดิม นางหัวเราะขันเด็กหญิงก่อนลากเสียงอธิบายด้วยความเอ็นดู
“ไม่ว่าหรอก ถ้าคุณไม่มีติดตัวบ้างสิ ชาวบ้านจะนินทาเอาได้”
ฉันก้มลงกราบบนตักนางจวงโดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดเลย ก่อนรับกล่องกำมะหยี่สีแดงจากแม่เลี้ยงไว้ใส่กำไลวงงามยามถอดออกจากตัวด้วยความตั้งใจที่จะเก็บรักษาไว้อย่างดี
ลำพังเครื่องประดับชิ้นเดียวคงไม่มีอิทธิพลจะเปลี่ยนแปลงชีวิตใครได้ ถ้ากำไลวงนั้นไม่จุดประกายให้เกิดความวุ่นวายมากมายต่างๆ ตามมา
ขึ้นชื่อว่าเครื่องประดับ แม้ยังไม่รู้คุณค่าดีนัก แต่ทองโตอุ่นซึ่งขณะนั้นอายุเพียงสี่ขวบก็ถึงกับตาวาวเมื่อเห็นของแปลกตาบนข้อมือพี่สาวต่างมารดา เมื่อเด็กน้อยให้ความสนใจ ฉันจึงได้ทียั่วให้อีกฝ่ายอิจฉาจนอาละวาดลั่นบ้านอย่างที่เด็กชายมักจะเป็น
“แม่ตัวให้เค้ามา สวยไหมล่ะ”
การเลี้ยงดูลูกคนแรกของบ้านไม่ต่างกัน ลูกสาวคนโตได้รับการประคบประหงมเอาใจอย่างไร ทองโตอุ่นผู้เป็นบุตรชายคนแรกก็ได้รับการดูแลอย่างนั้น อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นเด็กชายสมความตั้งใจประมุขของบ้าน เขาเมียงมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนเบ้ปากตอบ
“จริงหรือคุณชม ไม่ใช่ลักเอาของยี่เกมาใส่เล่นหรอกหรือ”
มหรสพใกล้ตัวเด็กสมัยนั้นหนีไม่พ้นโรงลิเกยกพื้นแสดงอยู่ข้างรั้ววัดตามงานบุญประเพณีนอกจากตอนพระเอกตีฟันกับผู้ร้ายที่ตรึงเด็กๆ ไว้ได้ค่อนคืนแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ชุดลิเกงามระยับห่มด้วยเครื่องประดับแวววาวไปทั้งตัวที่เป็นภาพจำของเด็กสมัยนั้น
“ของจริงน่ะสิ หรือตัวคิดว่าแม่ตัวให้ของปลอมเรามา” ฉันสวนทันควันด้วยคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า แต่กลับเข้าทางอีกฝ่ายได้ทีทับถม
“แม่เราเขาไม่ให้ตัวหรอก เพราะตัวไม่ใช่ลูกแม่ เคยได้ยินไหมลูกนกกาเหว่ากับแม่กาน่ะ”
แม้ฉันแก่กว่าน้องชายร่วมเจ็ดปี แต่ถ้อยคำเสียดแทงของทองโตอุ่นตามนิสัยเด็กช่างจดจำคำพูดผู้ใหญ่รอบตัวมาถ่ายทอดเป็นความจริงที่ฉันมองข้ามไปไม่ได้เลย เมื่อเห็นพี่สาวต่างมารดาหน้าถอดสี น้องชายได้ทีรุกไล่
“ในกำปั่นยังมีอีกหลายเส้น ฉันไปหยิบเอามาเล่นตอนนี้ยังได้” คำพูดและท่าทางขึงขังไม่ยอมลดละ มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังหันไปพยักพเยิดกับพวกลูกบ่าวซึ่งเป็นเพื่อนเล่นก๊วนเดียวกันว่า
“ไปวะ ไอ้เหน่ง ไอ้ฉุน ไปรื้อของในหีบมาแจกกัน”
ว่าแล้วไอ้เหน่งซึ่งเป็นเด็กชายร่างผอมเกร็งกับไอ้ฉุนซึ่งเป็นเด็กร่างท้วมสมบูรณ์ก็พากันกรูขึ้นเรือนตามหลังทองโตอุ่นไปเป็นขบวน
เด็กในบ้านพอได้ยินว่าจะมีของแจกก็สนับสนุนความคิดของทองโตอุ่น มิหนำซ้ำบ่าวของนางจวงที่อยู่ใกล้ๆ ยังเข้ามาขอจับกำไลวงงามทั้งที่อยู่ในมือของฉันพลิกไปมาแล้ววิจารณ์คะนองปาก
“อู๊ย…งามอย่างนี้ คงหลายสตางค์”
“สวยแบบนี้ ฉันไม่ยักเห็นคุณจวงเธอใส่เลย” อีกเสียงหนึ่งดังสอด
“จะใส่ทำไมก็เธอมีล้นตู้ออกอย่างนั้น ของทำเลียนแบบไว้ใส่เล่น เผื่อหายจะได้ไม่เสียดายอย่างไร”
เป็นครั้งแรกที่ฉันเก็บปากไม่เถียงสักคำ ความมั่นใจที่มีเริ่มสั่นคลอนว่ากำไลวงงามคงเป็นแค่เครื่องประดับราคาถูกไว้ใส่เล่น ไม่มีราคาค่างวดจริงดังพวกบ่าวว่า จากความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ หลงชื่นชมความงาม และเฝ้ารักษาไว้อย่างดี กลับแปรเปลี่ยนเป็นความอับอาย และเสียหน้าเท่าที่เด็กอายุสิบเอ็ดจะรู้สึกได้
“พอแล้ว ไม่ต้องดูละ” ฉันดึงมือกลับ สะบัดเสียงแล้วกระทืบเท้าปึงปังเข้าห้อง ปิดประตูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ก่อนทิ้งตัวปล่อยโฮด้วยความเจ็บใจ และอายที่ถูกนางจวงหลอก
ใจหนึ่งอยากถามจากแม่เลี้ยงให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็ยังกลัวความจริงอยู่ ฉันเก็บความขุ่นข้องหมองใจไว้ คิดหาทางเอาคืนแม่เลี้ยง ที่นึกออกได้อย่างแรกก็คือยกให้พวงแก้วไป เสียแต่ว่าน้องสาวรีบปฏิเสธทันควัน
“คุณน้าให้คุณชม ฉันเอามาใส่เอง คงไม่ดีละมั้ง”
“ตัวว่าไม่สวยหรือ” คนเป็นพี่พยายามคะยั้นคะยอ
“สวย แต่ถ้าคุณชมจะให้ใคร ต้องบอกคุณน้าก่อน ไม่อย่างนั้นเธอจะหาว่าขโมยมา”
น้องสาวพูดจาเกินวัย ฉันถอดกำไลทิ้งไว้หน้ากระจกอยู่เป็นสัปดาห์ จนเห็นนายดำกำลังช่วยพวกบ่าวยาเรืออยู่ตรงท่าน้ำ ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาทันควัน
ฉันรีบกลับเข้าห้อง เก็บกำไลใส่กล่องแล้วออกมาเรียกหลานนางจวงที่โตเป็นหนุ่มแรกรุ่นร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ก่อนส่งกล่องกำมะหยี่ให้พร้อมเอ่ยปากแกมบังคับว่า
“ฉันให้ อยากจะเอาไปใส่คอหมาแมวที่ไหนก็ตามใจ แล้วนายดำอย่าบอกใครล่ะว่าได้มาจากฉัน”
“ให้แล้วไม่เอาคืนนะ” นายดำที่ยังง่วนกับงานตรงหน้าไม่ทันเปิดกล่องว่าข้างในเป็นอะไร เขารับมาวางข้างตัวขณะที่คนให้วิ่งกลับขึ้นเรือนไป
อนิจจา ฉันคิดประสาเด็กว่านายดำจะนำกำไลไปทิ้งตามที่แนะนำ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่ากำไลทองวงนั้นยังมีคุณค่าในสายตาผู้อื่นอยู่ แม้จะด้อยราคาในสายตาตัวเองแล้วก็ตาม
นางจวงวุ่นวายตระเตรียมข้าวของสำหรับงานโกนจุกของลูกเลี้ยงทั้งที่ยังไม่ได้ฤกษ์
แม่เลี้ยงใจร้อนลงเรือเข้าเมืองหาซื้อผ้าใหม่ไว้ตัดชุดให้ลูกเลี้ยงใส่วันงาน ทันทีที่พ่อเข้าโรงสี หล่อนก็มีเรื่องออกบ้านไม่เว้นแต่ละวัน แม้บางทีจะมีอาการเวียนหน้า หรือคลื่นไส้เป็นของแถมจากการกรำแดดทั้งวันกลับมาด้วย
เมื่อนายไม่อยู่ บ่าวผู้หญิงก็มักจับกลุ่มอยู่กันแต่บนเรือน หยิบงานบ้านกระจุกกระจิกมาล้อมวงทำ อาศัยชายคาบ้านหลบไอร้อน พูดคุยให้คลายจากความง่วงหาว ทิ้งทั้งลูกนายลูกบ่าวให้เล่นกันอิสระพ้นจากสายตาผู้ใหญ่
เด็กบ้านนี้ถูกสั่งห้ามขาดไม่ให้ลงเล่นน้ำเหมือนลูกบ้านอื่น เว้นแต่จะมีผู้ใหญ่คอยดูแล แต่ใครเล่าจะยอมมาจับปูใส่กระด้งในเวลาที่พระอาทิตย์ตรงหัวอย่างนั้นโดยไม่ได้รับสั่งการจากนายผู้หญิงของบ้าน
ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นหัวโจกพาพวกลูกบ่าวหนีไปกระโดดน้ำจากท่าเพื่อนบ้านเพื่อไม่ให้มีเสียงดังโหวกเหวก ไม่ทันขึ้นจากน้ำดีก็เจอละเอียดถือไม้เรียวรอต้อนรับอยู่แล้ว โดนตีเจ็บครู่เดียวก็หาย แต่ถูกละเอียดบ่นยาวทำให้หายอยาก และหมดสนุกไปเอง แต่นั่นก็เป็นข้อห้ามเดียวที่เคร่งครัดจริงจัง
“เอียดบอกเป็นร้อยรอบแล้วใช่ไหมเจ้าคะว่าห้ามหนีไปเล่นน้ำเด็ดขาด เป็นอะไรขึ้นมากลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไม่รู้ด้วยนะ”
ผีเฝ้าน้ำแม่น้ำหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันมั่นใจว่าคนพูดคงไม่เคยเห็นแต่เป็นคำขู่ที่ผู้ใหญ่มักหยิบมาใช้เวลาต้องการห้ามนั่นห้ามนี่อย่างไม่มีเหตุผล ทว่าขอแค่ได้เถียงแม่เอียดบ้างก็เป็นสุขแล้ว
“ดีเสียอีก ไม่ร้อน แถมยังได้เล่นน้ำตลอดชีวิต ไม่ต้องโดนไม้”
ด้วยยังเยาว์ฉันจึงไม่เข้าใจว่าการพลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รักไปนั้น หาได้ดีตามปากว่าไม่ เพราะไม่มีความทุกข์ใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการสูญเสียบุคคลในครอบครัวแล้ว
ถึงไม่มีใครได้ลงน้ำแต่พวกเด็กๆ ก็ยังสรรหากิจกรรมมาเล่นแก้เบื่อจนได้ ความที่เป็นเรือนหลังใหญ่ มีห้องหับ และซอกหลืบมากมาย การละเล่นที่เหมาะสมหนีไม่พ้นวงโป้งแปะให้เด็กๆ ได้สนุกสนานจากการส่งเสียงกรีดร้องเมื่อตามหากันจนเจอ หรือไล่ค้นทั่วบ้านเมื่อยังไม่พบสมาชิกผู้ซ่อน
วงโป้งแปะวันนั้นมีพวงแก้วเป็นต้นเสียง เธอหันหลังเข้าฝาบ้านแล้วหลับตาปี๋ ส่งเสียงให้สัญญาณแก่กลุ่มผู้เล่นสี่ห้าคนซึ่งรวมทั้งฉัน และทองโตอุ่นเข้าไปด้วยกระจายตัวคนละทิศคนละทาง
“เอาหรือยัง…จะเอาละนะ พร้อมหรือยัง…จะไปละนะ”
ฉันหาที่ซ่อนเหมาะเจาะได้ก่อน ตู้เก็บถ้วยชามโบราณของสะสมของพ่อตั้งเว้นช่องว่างระหว่างเสาให้แทรกตัวเข้าไปหลบได้พอดี จึงมีโอกาสลอบมองผู้เล่นอื่นผลุบลงโอ่งมังกรที่ชานเรือน หรือเบียดตัวลงใต้ตั่งที่นั่งอย่างสนุกสนาน
หนึ่งในนั้นคือทองโตอุ่น เด็กชายยังหาที่ซ่อนถูกใจไม่ได้ พอเจอก็มีคนจับจองไว้ก่อนแล้วต้องรีบหาที่ซ่อนใหม่ หันรีหันขวางเห็นห้องมารดาแง้มประตูเปิดไว้อยู่ ร่างเล็กป้อมจึงกระโดดข้ามธรณีประตูหายเข้าไปในนั้นทันที
ห้องนอนของพ่อกับนางจวงเป็นห้องใหญ่สุดของเรือน แต่ตัวแม่เลี้ยงขนข้าวของเข้าไปไว้ในนั้นประสาคนไม่เคยมี พอมีก็บ้าสมบัติเก็บไม่ยอมทิ้งจนห้องกว้างเต็มไปด้วยตู้ไม้ และหีบใส่ของหลากหลายขนาดวางซ้อนเบียดเสียดทำให้ห้องแลดูแคบกว่าที่เป็นจริง
ฉันย่องตามน้องชายไปติดๆ มองผ่านช่องประตูเห็นทองโตอุ่นกำลังเปิดสำรวจหีบทีละใบ ส่วนใหญ่มีของเก็บไว้ข้างใน แต่ใบหนึ่งขนาดพอเหมาะยังคงว่างอยู่ พอใช้เป็นที่หลบได้ เด็กชายจึงสอดกายลงในหีบใบนั้น แง้มฝาไว้เล็กน้อยไว้สำหรับมองลอดมา
นึกกระหยิ่มในใจ ความคิดอยากเอาคืนน้องชายแวบเข้ามาทำให้ฉันไม่รอช้า ผลักประตูเปิดผางก่อนวิ่งเข้าไปเลื่อนหีบใบข้างกันซึ่งมีน้ำหนักไม่มากนักมาวางทับหีบใบที่เด็กชายซ่อนอยู่
ทองโตอุ่นซึ่งเห็นตั้งแต่พี่สาวโผล่เข้ามาในห้อง แต่ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าทำให้เขาถูกขังไว้ในนั้นโดยไม่อาจขัดขืน ได้แต่ทุบ และผลักฝาหีบให้เปิดออกก่อนแผดเสียงลั่น ส่วนฉันรีบหลบจากห้องเพื่อหนีความผิด ไม่ทันลงกลอนเอี้ยวตัวกลับ เสียงใสๆ ของพวงแก้วก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“โป้ง แก้วหาคุณชมเจอแล้ว เจอเป็นคนแรกด้วย”
คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว ไม่ได้เพราะถูกหาเจอ แต่เกิดจากความผิดที่เจ้าตัวเพิ่งก่อจนปิดสีหน้ามีพิรุธไว้ไม่มิด และกำลังฟ้องพวงแก้วว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่หลังประตู
“มีใครอยู่ในนั้น คุณอุ่นใช่ไหม คุณชมหลีกแก้ว แก้วจะโป้งคุณอุ่นด้วยอีกคน”
พวงแก้วยังคึก กระตือรือร้นผลักพี่สาวให้พ้นทาง เพราะเชื่อว่าคุณอุ่นขี้โกงใช้ห้องมารดาเป็นที่ซ่อน ด้วยรู้ดีว่าไม่มีใครกล้าตามเข้าไปหาถึงในห้อง
“ไม่มีใครทั้งนั้นแหละคุณแก้ว ฉันเพิ่งออกมา”
พูดไม่ทันจบ วัตถุอย่างหนึ่งหล่นกระแทกพื้นดังโครมจากในห้องตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักสองสามก้าวก่อนบานประตูด้านหลังเด็กทั้งสองเปิดผ่างออก ปะทะร่างของฉันซึ่งยืนขวางอยู่อย่างเต็มแรงจนล้มคะมำหน้าคว่ำกับพื้น ขณะที่พวงแก้วหลีกตัวหลบได้ทัน
ทองโตอุ่นนั่นเอง เด็กชายไม่ยอมแพ้ ปีนขึ้นคร่อมคนล้ม ทุบกำปั้นน้อยๆ เท่าที่มีกำลังลงกลางหลังอย่างไม่ออมแรง พวกบ่าวคงตกใจกับเสียงตึงตังรีบขึ้นมาดู แต่พอมาถึงนึกว่าลูกนายเล่นซนกันเลยไม่รีบห้ามจนใครสักคนเห็นหน้าบวมช้ำของฉัน มิหนำซ้ำยังมีเลือดกบปาก จึงรีบตามละเอียดขึ้นมาแยกคู่กรณีออกจากกันอย่างทุลักทุเล
“คุณชมแกล้งอุ่นก่อนทำไม จะขังเค้าไว้ในหีบ อยากให้เค้าตายใช่ไหม”
เด็กชายชี้หน้าต่อว่าขณะถูกอุ้มจนตัวลอย แต่พยายามดิ้นเปะปะให้หลุดจากการเกาะกุม
“คุณอุ่นว่าอย่างไร ใครจะฆ่าใครเจ้าคะ” นางบ่าวหูผึ่งเกิดได้ยินชัดขึ้นทันควันจนละเอียดต้องรีบขัดไม่ยอมให้พูดจนจบ
“เด็กเล่นกันจะให้ถึงกับฆ่าแกงกันเลยหรือ เห็นไหมว่าคุณชมเลือดไหล ไปเร็ว รีบหาหยูกยามาใส่ก่อน” แล้วหันไปเอ็ดพวกบ่าวที่ทิ้งงานขึ้นมามุงดูว่า
“แล้วนี่มาดูอะไรกัน ไป ไปทำงาน อย่าให้ข้าได้ยินนะว่าอ้ายอีตัวไหนคาบเรื่องไปฟ้องคุณท่าน พวกเอ็งจะโดนมิใช่น้อยว่าปล่อยให้พวกคุณๆ เล่นกันจนเจ็บ เผลอๆ โดนสั่งลงหวายกันทั้งหมด จะหาว่าข้าไม่เตือน”
รองลงมาจากพ่อและนางจวงก็มีละเอียดที่อาวุโสกว่าบ่าวทุกคน ไม่ว่าข้าเก่าของพ่อ หรือข้าใหม่ส่วนใหญ่ที่เป็นคนของนางจวงต่างให้ความเคารพ ไทยมุงจึงก้มหน้างุดแยกย้ายตามคำสั่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ละเอียดรู้ดีว่าบารมีของตัวเองไม่อาจเข้าถึงทองโตอุ่นได้ นางจึงว่า
“คุณอุ่นก็เหมือนกัน รู้ใช่ไหมเจ้าคะว่าถ้าคุณแม่รู้เข้า คุณอุ่นจะต้องถูกตีที่ทำคุณชมเจ็บ”
คนถูกขู่หน้าเจื่อน คำว่า ‘แม่’ มีผลโดยตรงกับหนูน้อย
“ก็คุณชมทำอุ่นก่อน” เด็กชายถือโอกาสแก้ตัว แต่ละเอียดยกมือห้าม
“พอแล้วเจ้าค่ะ ครั้งนี้เอียดยกโทษให้ แต่คุณอุ่นต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เล่นแรงๆ อย่างนี้อีก ถ้าคุณอุ่นรับปาก เอียดก็จะไม่บอกคุณแม่เหมือนกัน”
ละเอียดรู้นิสัยฉันดี หากไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกรังแกแน่ สายตาของหญิงวัยกลางคนมองมาคล้ายตำหนิว่า ‘คุณชมของบ่าวก็เป็นเสียอย่างนี้’ แต่ละเอียดก็ยังเป็นคนที่รักฉันสุดหัวใจ สิ่งที่นางแสร้งกำราบพวกบ่าวจึงเป็นไปเพื่อปกป้องนายน้อยของตัวเอง
การวิวาทกับน้องชายมิได้จบลงเท่านั้น นอกจากต้องทนความเจ็บทางกายที่ร้าวระบมแล้ว ความกลัวพวกบ่าวขี้ฟ้องจะเล่าเหตุทะเลาะเมื่อกลางวันให้พ่อและนางจวงฟังทำให้ฉันต้องอยู่โยงรอพ่อกลับเรือนจนดึก และคอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพ่อและนางจวงจากมุมมืดซึ่งแสงตะเกียงส่องไปไม่ถึง
ระหว่างนางจวงก้มเก็บสำรับก็บังเกิดสำแดงอาการคลื่นเหียนออกมา หล่อนเซเหมือนจะล้มจนพ่อต้องรีบประคองตัวไว้ มือหนึ่งถือกระโถนอีกมือช่วยลูบหลัง ก่อนสั่งบ่าวยกขันน้ำให้นางจวงบ้วนปาก ฉันไม่ได้ยินว่าแม่เลี้ยงโน้มตัวพูดอะไร แต่สีหน้าของพ่อมีรอยยิ้มผุดขึ้นในความมืด
“จริงหรือแม่จวง แม่จวงกำลังจะมีลูกให้ฉันอีกคนจริงหรือ” ฉันเห็นพ่อดึงนางจวงเข้ามากอดแน่น อีกฝ่ายไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับ
“สาธุ ขอให้เป็นลูกชายอีกคนนะแม่จวง คนดีของฉัน”
เสียงของพ่อชัดเจนเหมือนกำลังพูดอยู่ตรงหน้าทำให้เด็กหญิงลืมความเจ็บไปในบัดดล ความน้อยใจที่เกิดเป็นลูกผู้หญิงถูกเก็บกดไว้นาน และเป็นปมในใจที่เข้ามาแทนที่
ถึงพ่อไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ให้ลูกสาวทั้งสองระคายใจ แต่ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าหากตนเป็นลูกชายคนโตคนแรกของบ้าน พ่อจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่เพียงใด
จะด้วยความงุนงง หรือง่วงงันก็สุดแล้วแต่ ฉันคลานกลับห้องเงียบกริบ ล้มต้วลงนอนข้างพวงแก้ว แต่ไม่อาจเอาชนะความคิดวุ่นวายในหัวจนต้องลุกขึ้นพิงกายกับขอบหน้าต่าง ส่งสายตาฝ่าความมืดสนิทไปอย่างไร้จุดหมาย
ในคืนเดือนหงายที่แสงจันทร์ทาบทาสรรพสิ่งเบื้องล่างให้บังเกิดเงา แต่หูตาของฉันคงมืดบอดเกินกว่าจะได้ยินหรือเห็นสิ่งใด แม้มีเงาตะคุ่มของคนคู่หนึ่งตัดผ่านหน้าบ้านออกจากตัวเรือนไปยังสวนทึบ และหนึ่งคนในนั้น มีกำไลสีทองที่ฉันได้จากนางจวงประดับบนข้อมืออยู่
ข่าวนางจวงตั้งครรภ์เดินทางไปพร้อมคำเชิญร่วมงานโกนจุกลูกสาวเถ้าแก่โรงสีทำให้ในห้วงเวลานั้น หาได้มีชายใดในคุ้งน้ำจะมีความสุขเท่าพ่ออีกแล้ว แม้จะมีความขุ่นข้องในอารมณ์อยู่บ้างที่รบกวนจิตใจเจ้าภาพ
ประการแรก คือ อาการแพ้ท้องของนางจวงที่รุนแรงกว่าท้องแรก และทวีขึ้นตามอายุครรภ์ที่ล่วงผ่าน นายหญิงของบ้านรับอาหารได้น้อยลง แค่ข้าวต้มเปล่าไม่มีเนื้อสัตว์เจือยังบ่ายหน้าหนี น้ำข้าวต้ม หรือนมวัวก็ตกถึงท้องอย่างแมวดม พวกบ่าวที่ผ่านการมีบุตรแล้วช่วยปลอบว่าพ้นเดือนที่สองอาการแพ้ต่างๆ จะทุเลาเองตามธรรมชาติ แต่กลายเป็นช่วยเร่งวันคืนให้หลุดพ้นความทรมานซึ่งกระทบจิตใจเปราะบางของนางจวงให้ใกล้ขาดผึงเร็วขึ้น
น้อยคนจะไม่ถูกเอ็ด หรือโดนดุอย่างไร้เหตุผล ทองโตอุ่นเองที่เล่นซนตามปกติก็กลายเป็นสิ่งขัดตามารดาไปเสียจนเด็กน้อยต้องยึดเอาพี่เลี้ยงเป็นที่พึ่ง ตามติดกันแจไม่คลาดสายตา
เรื่องกวนใจอีกประการ คือ กำหนดจัดงานโกนจุกของฉัน แต่แรกพ่อขอให้ท่านสมภารซึ่งเชี่ยวชาญการผูกดวงชะตาฤกษ์พานาที กำหนดวันประกอบงานมงคลให้ แต่ขากลับจากพบท่านสมภาร นายดำพายเรือกลับเรือนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ฉันได้ยินนายดำขยายความของหลวงปู่ที่กวนใจพ่อให้พวกท้ายครัวฟัง หลังท่านก้มขีดเขียนบนกระดาษชนวนภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดก่อนบอกพ่อว่า
“โยมไม่ต้องจัดให้เอิกเกริกได้ไหม มีพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทไม่กี่คนพอ ลูกสาวโยมทศคนนี้ดวงอาภัพนัก อย่าว่าปีนี้หรือปีหน้าเลย อาตมาไม่เห็นว่ามีฤกษ์ยามไหนเหมาะจะประกอบการนี้ให้แก ถือว่าแก้เคล็ด ก็จัดพิธีให้ไกลจากชายคาบ้านเสีย ทำตามประเพณีเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ต้องบอกใครนอกจากญาติสนิทไม่กี่คน”
เมื่อประโยคเดียวกันนี้ได้รับการถ่ายทอดแก่นางจวงชนิดไม่ผิดคำพูดและความหมาย คนฟังที่อ่อนระโหยโรยแรงถึงกับฟาดพัดในมือลงข้างตัวฉาดใหญ่ ทำบ่าวสาวใจหายใจคว่ำตามๆ กัน
“ไม่ได้นะ ขืนทำแบบนั้น คนทั้งบางคงได้ตำหนิน้องว่าแอบจัดงานโกนจุกให้ลูกติดผัวเป็นแน่ ไม่ผิดคำที่พวกเขานินทาว่าแม่เลี้ยงกะลูกเลี้ยงน่ะ อย่างไรก็ไม่มีวันถูกเส้นกันได้ เป็นตายร้ายดีอย่างไร น้องจะโกนผมจุกให้คุณชมต้นเดือนหน้า ทำเสียให้เรียบร้อยก่อนท้องจะใหญ่กว่านี้จนเดินเหินลำบาก ใครหน้าไหนกล้ามาขวางให้มันรู้ไป”
เป็นดังคาดไม่มีใครกล้าขัดนางจวง แม้แต่ตัวพ่อเองซึ่งมีทีท่าคล้อยตามคำแนะนำของหลวงปู่ ละเอียดเองยังแอบบ่นลับหลังนายหญิง
“ประสาอะไรจิ้งจกร้องทักตัวเดียวยังหยุดฟัง แต่นี่หลวงปู่ท่านเตือนมา เธอยังทำหูทวนลมไปได้”
พ่อจึงไม่ได้นิมนต์พระจากวัดของท่านสมภารมาประกอบพิธีให้ แต่ไหว้วานคนรู้จักนิมนต์พระมาไกลจากเมืองพระปฐมฝั่งโน้น หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันงาน นายดำถือจดหมายเข้าพระนครเพื่อเรียนแจ้งงานบุญแก่ญาติผู้ใหญ่ฝั่งบ้านเดิมซึ่งบัดนี้เหลือ ‘คุณแม่ใหญ่’ เป็นประมุขของบ้าน ตัวพ่อเองก็วุ่นวายกับการตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้จนลืมสิ่งที่ถูกทักเสียสนิท