นิลนาคินทร์ บทที่ 2 : พิษนาคี
โดย : อลินา
นิลนาคินทร์ หนึ่งในนิยายชุด นวหิมพานต์ นิยายออนไลน์ แนวแฟนตาซีเหนือจริง ภายใต้นามปากกา อลินา เรื่องราวสุดจินตนาการที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์
—————————————————
หฤษรเทวีกำลังจะเข้าประชุมกับคณะแพทย์ เมื่อศพชายรูปร่างค่อนข้างใหญ่ผู้หนึ่งถูกส่งตัวจากทางพายัพมณฑลสู่โรงพยาบาลไกรลาสคีรี
แพทย์นิติเวชเปิดถุงห่อศพแล้วต้องนิ่งอึ้งไปอย่างมึนงง ผู้ตายมิอาจระบุเผ่าพันธุ์ได้อย่างชัดเจนนอนร่างหงิกงออย่างเจ็บปวดทรมาน เนื้อตัวนั้นดำเกรียมไปหมด แต่เป็นความดำที่แปลกประหลาด จะว่าถูกไฟคลอกก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก เพราะเสื้อผ้าแบบร่วมสมัยที่เขาสวมใส่อยู่ตอนพบร่างนั้นแทบไม่มีร่องรอยเผาไหม้ใดๆ เลย
มันราวกับว่าชายผู้นี้ถูกไฟเผาไหม้จากภายในจนเนื้อตัวเกรียมไปหมด
แพทย์ตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ ผลออกมาเพียงเนื้อเยื่อในร่างกายของเขาถูกความร้อนสูงเผาไหม้
“สงสัยจะถูกไฟฟ้าดูดจนละสังขาร” หนึ่งในสองแพทย์นิติเวชที่ช่วยกันพิสูจน์ศพ ประเมิณ
“ถ้าแค่ถูกไฟฟ้าดูดทางพายัพมณฑลคงไม่ส่งศพมาถึงนวหิมพานต์หรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” แพทย์คนที่สองส่ายหน้า
“งั้นอาจจะเป็นยาพิษ”
มีการเปิดเครื่องช่วยอัจฉริยะเพื่อดูจดหมายจากแพทย์ชันสูตรต้นทางศพ
“หมอทางโน้นแจ้งว่าไม่พบสารพิษตกค้างในกระเพาะของผู้ตาย”
“ไม่ใช่ไฟฟ้า ไม่ใช่สารพิษ หรือว่าจะพิษสัตว์ งู แมลงป่อง”
“ผมว่าจะต้องเป็นงูหรือแมลงป่องที่ตัวใหญ่มากๆ เชียวละถึงจะไหม้… อืม… ลูกครึ่งวิทยาธรรายนี้ได้”
“จนปัญญาจริง ผมว่าเชิญคุณหมอหฤษรเถอะ”
แพทย์ชันสูตรที่เป็นลูกครึ่งอสูรมองกันแล้วเห็นพ้อง
ดังนั้น เมื่อเลิกประชุม หฤษรจึงพบว่าตัวเองต้องลงมายังห้องเก็บศพเพื่อดูร่างกายที่ดำเกรียมแต่ผิวหนังภายนอกยังอยู่ครบของชายผู้หนึ่ง
แพทย์ทั้งสองช่วยกันรายงานเรื่องที่ไม่อาจหาสาเหตุการตายได้ อสุรีเทวีฟังอย่างสงบนิ่ง สีหน้าไม่มีเปลี่ยนก่อนถาม
“ศพนี้ถูกส่งมาจากพายัพมณฑลใช่ไหม”
“ครับคุณหมอ”
“รู้ไหมคะ ว่ามีช่วงหนึ่งสมัยเด็กฉันเคยไปพักกับญาติผู้ใหญ่ที่นั่น” หล่อนเอ่ยยามเมื่อสวมถุงมือยาง
“หรือครับ ได้ข่าวว่าที่นั่นสวยมาก แถมยังติดเขตแดนของหิมพานต์เก่าอีก”
“ค่ะ” พายัพมณฑลเป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบสุข ตอนที่หล่อนยังเด็กและต้องไปอาศัยอยู่ที่นั่นหลังจากการละสังขารของมารดานั้น หฤษรนึกว่าท่านลุงท่านป้าเลือกอาศัยอยู่ที่นั่นเพราะพอใจกับธรรมชาติ และชีวิตที่เรียบง่ายที่นั่น
กระทั่งเติบโตขึ้นหล่อนจึงเข้าใจ ท่านลุงท่านป้าถูกบรมอสูรองค์ก่อนขอร้องให้ช่วยไปเฝ้าดูเขตแดนแถบนั้น เพราะมีข่าวว่าในพายัพมณฑลมีกำแพงมนตร์ที่ยังค้นไม่พบอยู่ แต่ท่านลุงเฝ้าดูอยู่หลายปีกลับไม่พบอะไร จึงย้ายลงมาอยู่ในเมืองทางใต้ที่ใกล้กับนวหิมพานต์มากขึ้น เมืองที่เหมาะกับการเลี้ยงดูปาราวตีมากกว่าพายัพมณฑล
แต่น่าเสียดายตั้งแต่ย้ายออกมา อสุรีเทวีก็ไม่เคยได้กลับไปที่นั่นอีกเลย
“พบศพที่ไหนคะ”
“บึงมรกตครับ มีนักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำที่นั่นแล้วพบศพลอยน้ำมา ตอนแรกอสูรรักษาเมืองที่นั่นคิดว่าเป็นการละสังขารจากเหตุฟ้าผ่า เพราะสองวันก่อนหน้านั้นเกิดพายุฟ้าคะนอง แต่ดูสภาพแวดล้อมแล้วรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ เลยส่งร่างไปให้ทางนิติเวชตรวจสอบ นิติเวชที่นั่นหาข้อสรุปไม่ได้ เลยขอความร่วมมือจากทางเราส่งศพมาให้ช่วยพิสูจน์”
หฤษรกดนิ้วลงบนผิวที่แขนของศพตรงหน้า แปลกที่มีความยืดหยุ่นทั้งที่สภาพคล้ายถ่านไม้เพียงนั้น…
หล่อนหันไปทางอวัยวะภายในส่วนต่างๆ ที่นิติเวชทางนั้นใส่กล่องเก็บความเย็นมาให้ด้วย ทุกชิ้นยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ดำเกรียม
“รู้ชื่อและประวัติผู้ละสังขารไหมคะ”
“ไม่ครับ ทางนั้นหาญาติพี่น้องเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ คาดว่าอาจจะเป็นนักท่องเที่ยว…”
“หรือไม่ก็นักแสวงโชค” อสุรีสาวต่อประโยคให้
บึงมรกตนั้นกว้างใหญ่ น้ำเป็นสีเขียวใส…ใสจนเห็นกรวดหินดินทรายที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน น้ำเย็นอยู่ตลอดเวลา ริมบึงไม่ลึกนัก พอจะกันให้ชาวบ้านมาตักน้ำไปใช้ หรือให้ลงเล่นได้ แต่ตรงกลางบึงนั้นน้ำลึกจนสุดจะหยั่ง ลึกจนน้ำบริเวณนั้นเขียวเข้มจนเกือบกลายเป็นสีดำ
ตั้งแต่นวหิมพานต์ก่อกำเนิด มีข่าวลือหลายกระแส… บ้างก็ว่าก้นบึงเคยเป็นเมืองเก่าของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย บ้างก็ว่าก้นบึงคือกำแพงมนตร์ ที่มีประตูเชื่อมต่อไปยังหิมพานต์ แต่ที่ลือกันจนเป็นตำนานก็เห็นจะเป็นเรื่องวังพญานาค…
ว่ากันว่ายามที่โลกล่มสลาย หิมพานต์เจอมหาอัคคี พญานาคตนหนึ่งหนีออกจากหิมพานต์ได้ก่อนเทพและอสูรจะร่วมมือกันปิดทางเชื่อมของสองโลก พญานาคที่อายุหลายร้อยปีมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้า เมื่อละสังขารตามอายุขัยแล้วดวงตากลายเป็นทับทิมเม็ดเท่าไข่ไก่ เกล็ดเป็นมรกต หงอนเป็นนิลล้ำค่า ทุกวันนี้ที่น้ำในบึงเป็นสีเขียวมรกตก็เพราะเกล็ดของพญานาค
และเพราะมีข่าวลือเรื่องสมบัติมีค่าควรเมืองล่อใจ จึงไม่แปลกที่จะมนุษย์ อสูร และบรรดาวิทยาธรทั้งหลายพยายามจะดำดิ่งลงไปเพื่อสำรวจความลึกของสะดือบึงมรกต แต่ครึ่งหนึ่งทนไม่ไหวกับความเย็นของน้ำและความลึกสุดหยั่ง ส่วนอีกครึ่งลงไปแล้วไม่ได้กลับขึ้นมา หรือไม่ก็ลอยขึ้นมาในภายหลัง…
ดังนั้นตั้งแต่ ห.ศ. 596 ผู้ดูแลพายัพมณฑลก็ประกาศไม่ให้ผู้ใดลงไปสำรวจสะดือบึงอีก ทว่าทุกปียังมีวัยรุ่นของทุกเผ่าพันธุ์ฝ่าฝืนกฎ และอสูรรักษาเมืองก็ต้องคอยนำผู้ที่หนาวจนเลือดแทบจับตัวเป็นน้ำแข็งส่งโรงพยาบาล หรือไม่ก็ส่งศพไปให้ครอบครัวที่ไม่รู้เลยว่าบุตรหลานของตนหายจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อไร
ผู้ละสังขารรายนี้อาจจะใช่หรือไม่ใช่นักแสวงโชคที่ไล่ล่าข่าวลือแห่งบึงมรกต แต่แปลกตรงที่เขาตายเพราะฤทธิ์ร้อนไม่ใช่ฤทธิ์เย็นของน้ำ
หฤษรหยุดการชันสูตร อันที่จริงหล่อนรู้สาเหตุที่ผลาญลมหายใจของชายผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว ของบางอย่างที่ถูกฝังในตัวหล่อนตั้งแต่ยังเยาว์เหมือนสั่นสะเทือนอยู่ตรงลิ้นปี่ บ่งบอกให้รู้ว่ามีบางสิ่งของซากร่างนี้เกี่ยวข้องกับมัน
เพียงแต่อสุรีสาวแค่อยากตรวจสอบให้มั่นใจจริงๆ เท่านั้น
“คุณหมอพอจะทราบสาเหตุการละสังขารของชายผู้นี้ไหมครับ” หนึ่งในแพทย์นิติเวชถามอย่างนอบน้อม
แม้คุณหมอหฤษรจะไม่ได้เรียนมาด้านชันสูตรโดยตรง แต่หล่อนเป็นอสูรชั้นสูง หน้าตาของหล่อนถึงจะดูเหมือนเด็กสาวๆ งดงามจับตา ทว่าอสุรีเทวีอายุหกสิบปีแล้ว เป็นแพทย์ผู้ชำนาญการหลายสาขาและเป็นที่นับหน้าถือตาในนวหิมพานต์ ดังนั้น แพทย์ทั้งสองจึงค่อนข้างคาดหวังที่จะได้คำตอบที่น่าพอใจจากแพทย์เทวี
และไม่ผิดหวังเลยเมื่อหฤษรตอบเรียบๆ ว่า
“ฉันคิดว่า… ชายผู้นี้ละสังขารด้วยพิษของนาคี”
สองแพทย์นิติเวชสูดลมหายใจลึกด้วยความแปลกใจ
“นาคี แต่นวหิมพานต์ไม่มีนาค ไม่มีครุฑ…”
ในแบบเรียนชั้นประถมศึกษา เด็กน้อยชาวนวหิมพานต์จะต้องเรียนรู้ถึงสายพันธุ์ต่างๆ ของผู้ที่อยู่ร่วมกัน และตำราที่สั่งสมมายาวนานระบุชัด ในช่วงที่โลกล่มสลายและหิมพานต์ผจญกับมหาอัคคี เทพ อสูร รากษส คนธรรพ์ วิทยาธร กินรี และอีกสองสามเผ่าพันธุ์ หนีตายจากหิมพานต์มาสร้างโลกใหม่ได้สำเร็จ แต่ยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่งุ่มง่ามเชื่องช้า หรือไม่ก็ทะนงว่าหนีรอดจากอัคคีจึงไม่ยอมหนีออกมา
นาคคือหนึ่งในกลุ่มหลัง บรรดานาคีทั้งหลายคิดว่าตนนั้นสามารถซ่อนตัวในถ้ำหรือในน้ำลึก และจะสามารถรอดพ้นภัยจากมหาอัคคีได้ ดังนั้น แทนที่จะออกจากหิมพานต์ตามพวกเทพและอสูร บรรดานาคทั้งหมดกลับดำดิ่งสู่บาดาล
โชคร้ายที่มหาอัคคีนั้นโหมหนักจนสระอโนดาตเดือดราวถูกต้มบนกองเพลิง สรรพชีวิตส่วนใหญ่ดับสูญ บรรดานาคต่างๆ ล้วนถูกไฟบรรลัยกัลย์ผลาญจนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ที่คงเหลือรอดก็มีเพียงพญานาคชั้นสูง กับพวกที่โชคดีหลบอยู่ในถ้ำลึกสุดเท่านั้น
เมื่อสภาเทพอสูรถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อความอยู่รอด มีการสำรวจเผ่าพันธุ์ที่หนีรอดจากหิมพานต์อย่างละเอียด นาคไม่ได้มีรายชื่ออยู่ในนั้น… ดังนั้น ผู้คนในนวหิมพานต์จึงเชื่อว่านาคนั้นอาศัยอยู่แต่ในป่าหิมพานต์เท่านั้น
ยกเว้นคนจำนวนน้อยมากอาจจะแทบนับนิ้วมือถ้วนที่รู้ว่าในนวหิมพานต์มีนาคี และหล่อนก็เป็นหนึ่งในจำนวนผู้รู้เหล่านั้น…
“เอ หรือว่าจะมีนาคผ่านประตูมนตร์เข้ามาในนวหิมพานต์” แพทย์อีกรายว่า
“เราคงต้องแจ้งไปทางสภาเทพอสูร…”
หฤษรเทวียิ้มให้หมอลูกครึ่งอสูรทั้งสอง พยายามให้ทั้งคู่ไม่ตื่นเต้นร้อนรนจนเกินไปนัก
“ใจเย็นก่อนค่ะ อย่าเพิ่งด่วนสรุป นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของฉัน ยังไงรบกวนพวกคุณหมอห่อร่างนี้แล้วเก็บในช่องรักษาอุณหภูมิก่อน พรุ่งนี้ฉันจะให้พ่อหมอคนธรรพ์มายืนยันอีกครั้งเราจะได้ข้อสรุปที่แน่นอน”
“จริงด้วย พ่อหมอคนธรรพ์มาจากหิมพานต์ ถ้านี่เป็นการละสังขารจากพิษนาคีพ่อหมอต้องรู้แน่”
“งั้นก็ตกลงตามนี้นะคะ พรุ่งนี้ฉันจะเชิญพ่อหมอมาแต่เช้า ถ้าเป็นตามที่ฉันคาดเดา เราค่อยส่งเรื่องเข้าสภาเทพอสูรดีไหมคะ”
สองหนุ่มเห็นดีด้วยทันที อสุรีเทวีจึงเอ่ยขอตัวเพื่อแยกกลับไปยังห้องพักของตัวเอง และพอก้าวพ้นห้องดับจิต รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของหล่อนก็เลือนหายไป
หฤษรเทวีเชื่อว่าพรุ่งนี้พ่อหมอคนธรรพ์ต้องยืนยันคำตอบเดียวกับที่หล่อนให้ไว้แน่นอน
แต่พิษนั้นจะมาจากนาคีตนใด ตนเดิมที่หล่อนเคยรู้จัก หรือว่าเป็นนาคที่ผ่านรอยแตกของประตูมนตร์เข้ามา
โชคดีที่หมอสาวไม่ต้องคิดอะไรมากนัก เพราะไม่นานก็มีคนไข้ฉุกเฉินจากอุบัติเหตุทางรถเข้ามาพร้อมกันหลายราย อสุรีเทวีกับกลุ่มแพทย์ต้องผ่าตัดช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บวุ่นวาย
กว่าวิกฤตจะผ่านพ้นไปฟ้าก็มืดแล้ว โรงพยาบาลไกรลาสคีรีกลับสู่ความสงบอีกครั้ง และ หฤษรเทวีที่เหนื่อยอ่อนก็พร้อมจะกลับปราสาทอสูร
หากเทวีสาวเดินไปถึงรถแล้วกลับรู้สึกแปลก… กลางอกเหมือนมีสัญญาณเตือน…
อดไม่ได้ที่ยกมือสัมผัสที่ลิ้นปี่ของตัวเองอย่างเลื่อนลอย แม้จะสวมเสื้อค่อนข้างหนาแต่ความรู้สึกก้อนแข็งๆ ที่เล็กปลายก้อยยังคงอยู่ แถมตอนนี้มันยังคล้ายส่งสัญญาณบางอย่างออกมา ห้าสิบกว่าปีที่มันนอนสงบในร่างของหล่อน กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คุ้นเคย เป็นความลับที่หล่อนไม่เคยบอกใคร
หฤษรรู้ว่ามันมีลักษณะกลมรี เรียบลื่น และยึดติดกับกระดูกหล่อนโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่มันสีอะไรโปร่งใสหรือขุ่นเข้ม… หล่อนไม่รู้เลย
ตามปกติอสุรีเทวีมักจะลืมนึกถึงมัน เพราะมันเหมือนเป็นกระดูกชิ้นหนึ่งของหล่อน กระดูกที่ไม่อาจบอกผู้ใดได้ว่ามันอยู่ในร่างของหล่อนได้อย่างไร
แต่วันนี้มันผิดแปลกไป เหมือนมีคลื่นความร้อนอุ่นๆ แผ่ออกมาจางๆ
ไม่ได้สร้างความเจ็บปวด ไม่ได้สร้างความตระหนก
ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ…
หฤษรเทวีละมือจากที่จับประตูรถ หันหลังเดินไปยังห้องดับจิต
ในเวลานี้ถ้าไม่มีร่างใดๆ ถูกส่งเข้ามาอีก ห้องนั้นมักจะว่างเปล่า ผู้คนในนวหิมพานต์ให้ความเคารพแก่ผู้ละสังขาร นอกจากครอบครัว คนรัก แพทย์ผู้เกี่ยวข้องแล้วมักไม่มีใครแตะต้องซากร่างที่ไร้วิญญาณ
แต่วันนี้แตกต่างออกไป
ในห้องดับจิตที่ควรจะไร้ผู้คนกลับมีร่างสูงใหญ่ในชุดโบราณนิยมสีแดงเลือดนก ผมสีน้ำตาลแกมแดงหยิกยาวประบ่า ใบหน้าเขางดงาม ดวงตาเรียวยาวกระจ่างใส แก้วตาเขาสีอ่อนแต่ไม่ได้เป็นสีฟ้าอมเทาเหมือนพวกเทพ แต่เป็นสีอ่อนที่เหมือนสะท้อนทุกสีออกมาโดยเปลี่ยนขึ้นลงตามอารมณ์
หล่อนเคยเห็นดวงตาคู่นี้เปลี่ยนไปทั้งเป็นสีดำเข้มและแดงก่ำมาแล้ว…
ตรงหน้าเขาคือลิ้นชักที่ดึงออกมาจากช่องเก็บศพพร้อมร่างดำหงิกงอที่หล่อนชันสูตรไปเมื่อบ่าย
ท่าทีชายหนุ่มไม่ได้รังเกียจความน่าอเนจอนาถของร่างตรงหน้าแม้แต่น้อย
และไม่รังเกียจด้วยที่ยามเงยหน้าขึ้นสบตาดำสนิทของอสุรีผู้งดงาม
มุมปากของเขายกขึ้นสูงเป็นรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยอย่างประหลาด
แต่เป็นหฤษรเทวีที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“สายัณห์สวัสดิ์ ตัวดำ”