สายแนน บทที่ 16 : ยามฟ้าสาง (จบบริบูรณ์)

สายแนน บทที่ 16 : ยามฟ้าสาง (จบบริบูรณ์)

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

แสงอรุณวันใหม่สาดส่องไปทั่วแผ่นฟ้า บรรยากาศในวัดแห่งนี้ยังร่มรื่นดังเช่นเคย ร่างเล็กของแม่เดือนเดินข้ามประตูวัดเข้ามาตั้งแต่เช้า เหตุเพราะบิดาให้มาเรียกชายหนุ่มแปลกหน้าไปกินข้าวที่เรือนด้วย แม้จะแปลกใจเหลือเกินว่าเหตุใดพ่อแม่เธอจึงถูกชะตากับชายหนุ่มผู้นี้นัก แต่สุดท้ายก็ยอมเข้ามาตามเขาถึงในวัดจนได้

เมื่อหลวงตาบอกว่านายขันนั่งไหว้พระอยู่ในโบสถ์ เดือนจึงชะเง้อมองตามไปก็เห็นก็เขานั่งก้มหน้าอยู่ข้างใน ร่างสูงนั่งพนมมือด้วยกิริยาสำรวม ใบหน้าคมก้มมองเทียนบูชาที่กำลังส่องแสง แต่ในแววตาก็ดูเซื่องซึมน่าแปลกนัก…หญิงสาวจึงนั่งรออยู่ข้างนอกเงียบๆ เพราะไม่อยากรบกวนเขา

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนานโข ก่อนจะก้มกราบพระด้านในโบสถ์ด้วยกิริยาอ่อนน้อม สายตาทอดมองเปลวเทียนที่กำลังพลิ้วไหวตามแรงลม

เมื่อเงยหน้าสบตาองค์พระประธาน…

พลันน้ำตาก็ไหลเอ่อออกมาด้วยความสับสน…

เพราะนอกจากสิ่งที่นายแสงคำดลบันดาลให้เห็นแล้ว เขายังเห็นภาพตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ กราบลงหน้าองค์พระแล้วกล่าวคำอุปสมบทอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ด้วย

เขาเห็นตนเองอยู่ที่นี่…เห็นตนเองเคยตั้งจิตอธิษฐานขออุทิศทั้งชีวิตเพื่อรับใช้พระศาสนา เพื่อหวังเพียงให้กุศลนี้แผ่ไปถึงดวงวิญญาณของแม่หญิงอันเป็นที่รัก

“อ้ายขัน”

นายขันเผลอสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อได้สติกลับคืนมา น้ำตาคลอเจียนจะไหลอาบแก้มด้วยความสับสน ร่างสูงค่อยๆ ลุกเดินออกมา ก่อนจะยืนนิ่งตรงหน้าโบสถ์อีกครั้ง

เดือนลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเขา…ก่อนจะบอกกล่าวว่าบิดาเชิญเขาไปที่เรือนอีกครั้ง หากจะออกเดินทางต่อในวันนี้ก็ให้ไปกินข้าวกินปลาที่เรือนเธอเสียก่อนแล้วจึงออกเดินทาง แต่คิ้วเรียวก็พลันขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย…เมื่อดูแล้วเขามิได้ฟังคำเธอสักนิด

“อ้ายขัน…อ้ายเป็นหยังไป”

“อ้ายขัน!” เดือนรีบปรี่เข้าไปหาเมื่อเห็นเขาทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น ร่างสูงไร้เรี่ยวแรงจนแทบทรงตัวไม่ได้ นัยน์ตาคมจ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า…พลันน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม

“อ้ายขัน! ได้ยินเสียงข้อยบ่”

เดือนพยายายามเขย่าไหล่เขาให้คืนสติ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ยินเสียงเธอเลยสักนิด เพราะด้านหลังแม่เดือนนั้น…เขาเห็นแม่หญิงอีกคนที่ใบหน้าละม้ายเธอนัก เพียงแต่ผิวกายซีดขาวจนมองออกว่าเป็นวิญญาณ กำลังก้มกราบเขา…ที่เพิ่งผ่านพิธีอุปสมบทใหม่ๆ

นายขันยกมือปาดน้ำตาเบาๆ เขารู้แล้วว่าภาพที่เห็นคืออดีตชาติ…

และรู้ว่าเราสองผูกพันกันมากมายเพียงใด…

 

“อ้ายขัน! อ้ายขันได้ยินข้อยบ่

เดือนเขย่าไหล่เรียกเขาอยู่นานกว่าจะคืนสติ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันกลับมามองเธออีกครั้ง แววตาเจือความคิดถึงจนแทบทนไม่ไหว

“เดือน…”

ชายหนุ่มกระซิบเสียงเศร้า อยู่ๆ ก็จะโผเข้ากอดเธอเสียอย่างนั้น เดือนจึงรีบถอยออกไปด้วยความตื่นตกใจ แต่ยังมิทันได้แตะต้องตัวเธอเขาก็ได้สติขึ้นมาเสียก่อน

“อ้ายขอโทษ…อ้ายขอโทษหลาย อ้ายบ่ได้ตั้งใจ”

แววตาจริงใจที่ส่งผ่านมาทำให้เดือนมิอาจโกรธเคืองได้ หญิงสาวจึงพยักหน้ารับก่อนจะพาเขาเดินกลับออกมาโดยเร็ว ท่าทีแปลกประหลาดของเขาทำให้เดือนนึกสงสัยมากขึ้นเป็นเท่าทวี แต่เพราะเขาไม่ยอมเล่าอะไรเธอจึงไม่กล้าถาม

สองหนุ่มสาวเดินเคียงกายมาจนถึงเรือนหลังน้อย หลังจากพูดคุยกินข้าวร่วมสำรับแล้ว ชายหนุ่มจึงนั่งสนทนากับทองและแม่ปิ่นสักพักใหญ่ แม้บัดนี้จะเป็นชายหนุ่มรุ่นลูกแล้ว แต่ยามสนทนากลับสนิทสนมกับบิดาเธอได้ง่ายดาย ไม่เหมือนคนเพิ่งเคยพบหน้าเลยสักนิด

ส่วนแม่เดือนหลังจากเก็บสำรับล้างถ้วยจานเรียบร้อยแล้ว เธอจึงกลับมานั่งเปลี่ยนใบหม่อนอยู่นอกชานเรือน พร้อมกับนั่งฟังชายหนุ่มสนทนากับบิดาเธอเงียบๆ

หญิงสาวเอากระด้งตัวไหมมาไว้บนตัก มือน้อยแก้ปมผ้าคลุมกระด้งแล้วเปิดออกอย่างเบามือ ด้านในเป็นตัวไหมสีขาวสะอาดกำลังแทะใบหม่อนที่เธอให้ไว้เมื่อวานนี้ ผ่านไปหนึ่งวัน จากใบหม่อนสีเขียวจึงเหลือเพียงก้านใบเท่านั้น

มือบางหยิบเอาเศษก้านใบหม่อนที่เหลือทิ้ง ก่อนจะหยิบใบหม่อนที่เพิ่งเก็บมาใหม่ๆ วางกระจายจนทั่ว ดึงผ้าคลุมกระด้งไว้ดังเดิมแล้วมัดให้แน่น จากนั้นจึงค่อยเสียบกระด้งกลับเข้าชั้นวางเดิมให้เรียบร้อย ทำเช่นนี้ซ้ำๆ จนครบ เพราะการเลี้ยงตัวไหมให้ได้ผ้าผืนหนึ่งจะต้องเลี้ยงปริมาณเกือบสิบกระด้งทีเดียว เมื่อเสร็จธุระของตนแล้วเดือนจึงหาบกระบุงเปล่าออกจากเรือนอีกครั้ง

“เดือน…ไปไหนลูก”

“ไปหาบน้ำจ้ะแม่”

เดือนเอ่ยตอบพลางยกหาบกระบุงเปล่าขึ้นพาดบ่า ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงอาสาตามไปทันที “อ้ายขอไปหาบน้ำให้ได้บ่…มาอาศัยเฮือนเจ้าอย่างนี้อ้ายเกรงใจหลาย หากมีหยังพอช่วยได้อ้ายก็อยากช่วย”

เมื่อเขากล่าวเช่นนั้นเดือนจึงหันไปหาบิดาของตน แต่ก็ยิ่งแปลกใจกว่าเก่าเมื่อบิดาพยักหน้าอนุญาต หญิงสาวจึงยื่นคานหาบและกระบุงให้เขาโดยดี…ก่อนจะเดินนำทางไปยังบ่อน้ำที่ชายป่า

 

เดือนกับนายขันเดินไปไกลแล้ว แต่คนเป็นพ่อแม่กลับยังแอบมองอยู่ระเบียงหน้าเรือน ชะเง้อมองตามสองหนุ่มสาวที่เดินเคียงกายกันไป…พลันใบหน้าก็เจือรอยยิ้มด้วยความสุข

ปิ่นหันกลับมาหาสามีก่อนจะกอดซบลงบนอกแกร่ง สายตายังจ้องมองทั้งสองอยู่อย่างนั้น

“อ้ายทอง…ข้อยคิดว่า…”

“อ้ายก็คิดเหมือนเจ้านั่นละ” ทองเอ่ยยิ้มๆ วงแขนแกร่งโอบร่างของเมียรักไว้แนบกาย ยิ่งมองสองหนุ่มสาวที่เริ่มเดินลับหายไปทุกที ใบหน้าคมของผู้เป็นพ่อยิ่งดูเป็นสุขนัก

“อ้ายทอง…แล้วเฮาควรบอกลูกบ่”

ทองส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเมื่อเมียรักกล่าวถาม “เรื่องราวที่ผ่านมามันมีแต่ความเจ็บปวด มีแต่ความทุกข์ทรมานที่ต้องพลัดพราก ต่อให้จำได้ขึ้นมามันก็บ่ได้เกิดประโยชน์อีหยัง อ้ายจึงอยากให้ลูกเฮาลืมสิ้นทุกอย่างแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่”

“แล้ว…แล้วเฮาสิเฮ็ดแนวได๋”

“บ่ต้องเฮ็ดหยังดอก” ทองเอ่ยพลางส่งยิ้มละมุน

“ทั้งสองคนเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว บ่ต้องบังคับลูก…บ่ต้องเร่งรัดจนเกินไป อ้ายสิรอจนกว่าลูกจะพร้อม รอจนกว่าลูกจะเอ่ยปากยอมให้เขามาสู่ขอ…วันนั้นอ้ายจึงจะยอมยกให้เขาไป…”

“แต่ข้อยกลัวลูกจะพลัดพรากเหมือนชาติก่อน…”

“บ่ต้องห่วงเรื่องนั้นดอก” ทองกอดเมียรักไว้แนบอก ก่อนจะจุมพิตเรือนผมงามนั้นอย่างทะนุถนอม“หากเป็นคู่สายแนน…เกี่ยวแขนคล้องกันมาแต่ก่อนเก่า ต่อให้ต้องพลัดพรากจากกันไกลปานใด สุดท้ายก็ต้องหวนกลับมาหา”

“อ้ายเองก็จะทำทุกวิถีทาง…บ่ให้ไผมาขวางทางรักของลูกเราเป็นอันขาด”

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!