ชมรมคนอยากตาย บทที่ 2 : ชิ้นส่วนที่แตกสลาย
โดย : นทธี ศศิวิมล
ชมรมคนอยากตาย นวนิยายเนื้อหาฮีลใจที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ โดย นทธี ศศิวิมล เรื่องราวของชายหนุ่มที่สามารถมองเห็นสีออร่าของคนที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจทำบ้านให้กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยสุดท้ายของเหล่าผู้ที่อยากตาย ที่นี่คือพื้นที่ให้ทุกคนได้มาเยียวยากันและกันจนได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์พร้อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต
หลังวันวิปโยค คืนที่สองของการตั้งสวดอภิธรรมศพ มีเรื่องราว เหตุการณ์ และผู้คนมากมายเคลื่อนผ่านชีวิตของปราณ ทว่าดั่งเวลาก้าวเดินไปข้างหน้าเพียงชั่วพริบตาเดียว
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ยืนนิ่งอยู่หน้าภาพถ่ายหน้าโลงศพ มองทีละใบหน้า พ่อ แม่ ครีม
กระจกกรอบรูปแต่ละบานสะท้อนใบหน้าของตัวเขาเองออกมาด้วย ปราณจ้องมองลึกลงในเงาสะท้อน ดวงตาสีเทาอมฟ้าเหมือนเมฆฝน ดวงตาคู่นี้สินะ ที่หลายคนทักว่าเป็นดวงตาสวยแต่ดูเศร้า คล้ายมีเงาบางอย่างโอบล้อม ผู้ใหญ่ที่ถือสาต่างก็ปรามกันว่าอย่าไปทักให้มันกลายเป็นลางร้าย แต่ที่บ้านของปราณไม่มีใครเชื่อโชคลาง และทั้งพ่อและแม่จึงไม่ค่อยมีใครใส่ใจเรื่องนั้น
อีกทั้งพ่อกับแม่ยังมีเรื่องอื่นให้ต้องเอาใจใส่มากกว่า โดยเฉพาะช่วงที่ปราณยังเล็กๆ
ปราณเป็นเด็กที่มีลักษณะพิเศษ มีอาการมองเห็นสีที่เรียกกันว่า ซินเนสทีเซีย ทำให้ในช่วงแรกๆ ที่ต้องเข้าโรงเรียนไปใช้ชีวิตร่วมกับเด็กๆ คนอื่น มีปัญหาปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ยาก ถูกบางคนล้อเลียน ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเป็น ทั้งครูบางคนก็เป็นไปด้วย
แต่พ่อแม่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกแยกกับคนอื่นๆ พยายามศึกษา ปรับตัวเพื่อจะดูแลลูก พัฒนาจนปราณค่อยๆ มั่นใจในตัวเอง และเรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนสิ่งนี้เอาไว้หากทำให้ไม่สบายใจ จนในที่สุดทำให้เขาภูมิใจและมองว่าสิ่งนี้ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นพรอันประเสริฐ
แม่ว่าเพราะการเห็นสีในตัวอักษรและสีหน้าผู้คนทำให้เขาสามารถจดจำเนื้อหา สาระ เรื่องราว จากสิ่งที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยจินตภาพที่เกิดจากการมองตัวอักษรและข้อความแปรเปลี่ยนเป็นสีสันหลากหลายงดงามเกินจินตนาการอย่างที่ไม่อาจอธิบายให้ใครฟังได้
ครอบครัวที่เติมเต็มซึ่งกันและกันจนสมบูรณ์แบบ ทำให้ปราณแทบไม่เคยรับรู้เลยว่า ญาติพี่น้องของพ่อแม่คนอื่นๆ นอกจากบ้านอานั้นมีความเป็นอยู่กันอย่างไรบ้าง นอกจากงานรวมญาติปีละครั้งสองครั้งก็ไม่ได้พบปะพูดคุยอะไรกัน
บรรยากาศในงานสวดอภิธรรมศพคืนแรกสงบเงียบ ทุกอย่างสะอาด สวยงาม เป็นระเบียบ บรรดาแขกสวมชุดสีดำสุภาพ กิริยาอาการเรียบร้อย
ในสายตาคนปกติ อาจมองเห็นทุกคนฉาบสีหน้าหม่นหมองในเฉดเดียวกันราวกับสวมหน้ากาก
แต่ในการรับรู้พิเศษของปราณ กลับเต็มไปด้วยสีสันที่หลากหลายของผู้คนแปลกหน้าห่างไกล เหนื่อย เบื่อหน่าย ง่วง หงุดหงิด รำคาญ สงสัย หวาดระแวง ริษยา
บางคนสนุกสนาน บางคนก้มแชตโทรศัพท์อยู่ในกลุ่มออร่าสีชมพูสว่างสดใส อมยิ้ม กลั้นหัวเราะ หนุ่มสาวที่นั่งเบียดต้นแขนกันอยู่ด้านหลังถูกหุ้มด้วยรัศมีสีม่วงที่บ่งถึงกามราคะ บ้างสีเขียว บ้างสีฟ้า บ้างสีเหลืองทองสว่างสดใส
ปราณขยับเคลื่อนไหวร่างกายเหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิต ใครให้ไปไหนก็ไป ให้ทำอะไรก็ทำ ในอกมีช่องสมมติกลวงใหญ่ว่างโหวง
ขั้นตอนซับซ้อนต่างๆ ในงานศพ ที่พ่อเคยอธิบายว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้สูญเสียได้เตรียมตัวทำความเข้าใจต่อการจากไปของคนที่รัก ถูกดำเนินไปตามเวลาที่กำหนดไม่มีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ช่วงพระสวดยาวนานเหมือนฝันร้าย พิธีรีตองต่างๆ ควบคุมได้แค่ร่างกายของผู้ร่วมงาน แต่ความคิด จิตใจ อารมณ์ อะไรก็ไม่อาจปิดกั้นได้ท่ามกลางงานศพที่ผู้คนคลาคล่ำ ปราณกลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกว่าตนเองโชคร้ายที่เกิดมาพร้อมกับดวงตาเหนือกฎเกณฑ์ปกติแบบนี้
หลังพระสวด ตอนที่บรรดาญาติพี่น้องที่แทบไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากำลังเริ่มถกเถียงแย่งสิทธิ์ในการดูแลปราณ รวมทั้งทรัพย์สินที่พ่อแม่ของเขาทิ้งไว้ อ้างความสนิทสนม อ้างสายเลือด อ้างความชอบธรรมที่ไม่เคยมี
โทษปราณไม่ได้หรอกที่ลุกขึ้นมาอาละวาดตะโกนใส่หน้าทุกคนกลางงานศพ ว่าต่อไปนี้ชีวิตของเขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เขาจะไม่ย้ายไปอยู่กับใครทั้งนั้น จะอยู่บ้านเดิม และดูแลตัวเอง
แต่จะโทษคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ หลายคน ปรารถนาดี เป็นห่วงหลานชายที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวหลังการสูญเสีย แต่อีกหลายคนก็เพราะ รู้ดี ถึงพากันแย่งดูแลเขา
เท่าที่ทุกคนรู้คือในโชคร้ายครั้งนี้ยังมีเงินประกันอุบัติเหตุจำนวนมหาศาลพอที่ปราณจะอยู่สบายๆ ไปได้อีกหลายสิบปี หรืออาจตลอดชีวิต
อาต้อมน้องชายคนเดียวของพ่อ ปรากฏตัวขึ้นกลางดึกในงานศพคืนแรก สภาพซวนเซแทบทรงตัวไม่อยู่ ผมยุ่ง ใบหน้าและดวงตาแดงก่ำ ปราณมองเห็นสีแห่งความเศร้าเสียใจเป็นสีฟ้าอมเทาเหมือนเมฆฝน เข้มข้นลึกล้ำรุนแรง อาต้อมยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น และยิ่งมากขึ้นเมื่อได้เห็นหน้าปราณ
ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต ปราณรู้ดี แม้ไม่ได้เป็นสาเหตุ ไม่เกี่ยวข้อง แต่หากการตายของคนที่รักและใกล้ชิดจำนวนมากเกิดขึ้น นอกจากบาดแผลจากความสูญเสีย ความรู้สึกนี้จะบั่นทอนทำลายล้ำลึกยิ่งกว่า
ชายหนุ่มโผเข้ากอดอาต้อมแนบแน่น ยอมให้ตัวเองได้ร้องไห้ออกมาเต็มที่ในพื้นที่ปลอดภัยสุดท้ายของเขา โดยไม่สนใจสายตาของคนในงานอีกต่อไป
“ไปอยู่กับอาที่แม่สอดนะปราณ อยู่ที่นี่ไม่มีคนดูแล อาเป็นห่วง”
ปราณตอบปฏิเสธอย่างสุภาพที่สุด แม้จะรักอาต้อมไม่น้อยกว่าคนในครอบครัว เขาอ้างว่ายังมีภาระต้องเรียนต่อให้จบ และยังไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรมากไปกว่านี้อีก ทั้งที่เหตุผลแท้จริงคือไม่อยากเอาตัวเองไปเป็นภาระของใครอีกต่อไปแล้ว
วันเผาศพ เมื่อได้เห็นควันสีขาวล่องลอยออกจากปล่องเมรุ ไม่เหลือสีสันที่เป็นออร่าแสดงสัญญาณของการมีชีวิตอยู่ ปราณตระหนักว่าร่างกายสามร่างที่เคยเป็นดั่งชีวิตเดียวกันกับเขา ถูกเปลวไฟในเตาแผดเผามอดไหม้เป็นเถ้าธุลี และสูญสลายกลายเป็นหมอกควันลอยหายไปบนฟ้าสิ้นแล้ว
พลอย หญิงสาวที่เขาหลงรักข้างเดียวมาตลอดตั้งแต่ ม.ปลาย ในงานวันเผาศพ เธอรวบผมหางม้า เส้นผมสีน้ำตาลตกแต่งเป็นลอนขนดเหมือนคลื่นควัน ดูสวยงามเหมือนภาพวาดสายลมห้อมดาวใน Starry night ของแวนโก๊ะ พลอยสวมชุดเดรสสีดำสุภาพตัดกับผิวขาวซีด แขนยาวจั๊มพ์ที่ข้อมือ ผูกโบเล็กๆ สีขาวที่คอเสื้อ กระโปรงจีบยาวครึ่งแข้งดูไม่คุ้นตา สีหน้าเศร้าสร้อย ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนใสดั่งอำพันขนตางอนยาวแผ่หนาฉายออร่าหม่นหมองเธอมองหาปราณ เมื่อพบแล้วก็เดินตรงเข้ามาหา เสียงส้นรองเท้าส้นสูงสองนิ้วดังกระทบพื้นเข้ามาใกล้ เผยอริมฝีปากอิ่มสวยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างด้วย
หากเป็นในสถานการณ์ปกติก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ อกใจของปราณคงเต้นโครมครามด้วยความดีใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา ไม่ว่าจะด้วยความสงสาร เวทนา หรืออะไรก็ตาม
แต่การเผชิญหน้ากับเธอในสภาพนี้ ในเวลานี้ มันซับซ้อนและหนักหนาเกินไป ผู้คนในงาน พิธีรีตองทั้งทางศาสนาความเชื่อและธรรมเนียมทางบ้านของพ่อแม่ที่มีมากมายทำให้ระหว่างนั้นปราณไม่มีเวลาคิด และแทบไม่อยากรู้สึกอะไรอีกแล้ว
ปราณจึงได้แต่ยิ้มบางๆ เอ่ยขอบคุณที่เธอมาร่วมงานและขอตัวออกไปจากงานศพอย่างเงียบเชียบ เหมือนช่วงแรกของการบาดเจ็บรุนแรง อาการชาจะเข้ามาปกป้องเราให้มีเรี่ยวแรงพาตัวเองหนีไปในที่ปลอดภัย หรือพาตัวเองให้พ้นภาวะที่เสี่ยงต่อชีวิต
ของจริงอยู่หลังงานศพต่างหาก…
ประโยคนั้นปราณจำได้ว่าอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งแต่ก็จำไม่ได้ว่าเล่มไหน
ชายหนุ่มรับรู้ด้วยความเจ็บปวดว่าข้อความนั้นเป็นความจริง จริงแท้…
เมื่อกลับมาถึงบ้านที่มีแต่ความว่างเปล่า หลายคืนแรกที่นอนไม่หลับ
สะดุ้งตื่นกลางดึก หายใจถี่รัวเร็ว เหงื่อแตกเต็มตัว ใจสั่น หวาดกลัวเหมือนจะขาดใจตาย ปราณลุกขึ้นเดินร้องไห้สะอื้นตามหาพ่อแม่ในบ้านว่างเปล่า เงียบสงัดวังเวงเหมือนเดินในสุสาน
ช่วงกลางวันยิ่งร้ายกาจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยร่วมกันสี่คน พ่อ แม่ ลูก ที่ยังคงจัดวางเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ด้วยฝีมือของพ่อ แม่ และน้องก่อนที่จะออกไปวันนั้น ยิ่งตอกย้ำให้ปราณมองเห็นสิ่งที่ฉีกขาด หักพังในหัวใจตัวเองชัดเจนขึ้น
นกเอี้ยงที่มาทำรังกันหลังบ้านยังร้องในตอนเช้า เหมือนเช้าที่แม่ตื่นมาเตรียมของใส่บาตร ชวนให้ลูกๆนิ่งฟังข้อความเหล่านั้น เสียงพระสวดให้พร จรดความคิดและสติทั้งมวลอยู่กับหยาดน้ำจากแก้วขณะรินสู่โคนต้นไม้ใหญ่ ส่งความรัก เมตตาสู่ผู้ล่วงลับ สู่คนที่เรารัก และสรรพสัตว์ที่ร่วมวัฏสงสาร
หยาดน้ำค้างเกาะพราวอยู่บนใบหญ้าหน้าบ้านยังคงรออวดความสดใสสว่างวาวกับแสงแดดแรก พ่อเคยสอนให้ปราณตั้งค่า ISO และวัดแสง ปรับโฟกัสจับภาพเงาสะท้อนในหยดน้ำเหล่านั้น มือซ้ายประคองเลนส์ให้นิ่ง มือขวาคอยจังหวะ กลั้นหายใจ แล้วกดชัตเตอร์ ถ้ามือนิ่งและใจเย็นพอ เราอาจจับผีเสื้อสวยๆ ที่กำลังเต้นรำอยู่บนปลายกลีบดอกไม้ บางคราวแมลงปอเข็มตัวเล็กจิ๋ว ปีกบางแทบมองไม่เห็น เราก็ยังจับลวดลายที่สานกันเหมือนตาข่ายนั่นได้
หลายครั้งหลายหน ปราณเผลอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โทร.เข้าโทรศัพท์บ้าน ตัวเลขเรียงกันเป็นแถวที่ถูกสอนให้จำขึ้นใจตั้งแต่ยังอยู่ในวัยอนุบาล ชุดตัวเลขแห่งความรัก ความห่วงใย ที่ไม่มีวันลืม
วันนี้ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย ปราณอ้างว้างเกินกว่าจะยอมรับได้ว่า จะไม่มีวันที่ปลายสายรับโทรศัพท์อีกแล้ว บอกตัวเองว่าพ่อแม่และน้องคงท่องเที่ยว ทำงานเก็บข้อมูล ถ่ายรูป เขียนหนังสืออยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีสัญญาณ คงจะโทร.กลับมาเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนว่าปราณกำลังต้องการติดต่ออย่างมาก…
หลายวันเข้า ปราณเริ่มต้องการความช่วยเหลือจากยา ยาที่ช่วยให้หลับง่าย ยาแก้แพ้ ยาแก้เมารถ ได้ผลแค่ครั้งแรกๆ แต่ต่อจากนั้นร่างกายก็เริ่มชินยา ในที่สุดก็ต้องนอนลืมตามองเพดานห้องไปจนเช้าอีกวัน
ความน่ารำคาญขั้นสุดคือตอนที่ต้องกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยตามปกติ ในคลาสเพื่อนๆ พากันทำท่าเซื่องๆ หงอยๆ เวลาเข้ามาคุยกับเขา เพื่อนผู้หญิงบางคนซื้อขนมหรือน้ำหวานมาให้และปลอบใจ เพื่อนผู้ชายหลายคนทำท่าทางร่าเริงเกินกว่าเหตุ พยายามชวนเขาคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกมที่เล่นประจำ หนังเข้าใหม่ ร้านข้าวหน้าไก่ที่มาเปิดใหม่ในโรงอาหาร
ปราณไม่ปกปิดอาการซึม เบื่อหน่าย ไม่อยากสังคมกับใคร อย่างมากก็เออออพยักหน้าตามความจำเป็น ถึงเวลาเรียนก็เรียน อาจารย์พูดอะไรก็ไหลเข้าหูข้างหนึ่งออกไปทางหูอีกข้าง
ความประดักประเดิดชวนคลื่นเหียนเพิ่มเติมเข้ามาอีกตอนที่เพื่อนนักศึกษาหญิงจอมจุ้นจ้านเดินเอาการ์ดแสดงความเสียใจที่เพื่อนๆ ช่วยกันเขียน มายื่นให้และพูดว่า ขอให้เข้มแข็ง พวกเราจะเป็นกำลังใจให้
ชายหนุ่มรับมา เปิดอ่าน ตัวหนังสือในนั้นกลายเป็นสีสันสารพัดสี เคลื่อนไหวไต่ป่ายก่ายกันไปมา กลิ่นและรสชาติในปากกับจมูกเหมือนถังเศษอาหารเหลือที่ใครๆ พากันโกยทิ้ง
เขาวิ่งไปที่ถังขยะหลังห้อง โก่งคออาเจียนออกมาติดๆ กันจนหน้าซีด เหงื่อออกชุ่มทั้งตัว พื้นห้องบรรยายโยกโคลงเคลงไปมาเหมือนอยู่บนเรือลำน้อยกลางมหาสมุทร
ตลอดทั้งบ่ายที่เหลือ ปราณใช้เวลากลับมานอนนิ่งๆ อยู่ในห้องสมุดที่บ้าน
เก้าอี้นอนฝั่งติดกับหน้าต่าง ด้านนอกตรงกับต้นพิกุลใหญ่ที่กำลังติดดอก ดอกแก่ร่วงพราวนวลขาวเต็มพื้น โชยกลิ่นหอมหวาน สายลมอ่อนพัดเข้ามาในห้องหอบเอาอวลความชื่นฉ่ำเย็นสบายจากร่มไม้ยามบ่ายเข้ามาด้วย
พ่อของปราณชอบเอาเสื่อกกไปปูนอนที่โคนต้นชมพู่มะเหมี่ยวช่วงบ่ายๆ เกสรชมพู่สีชมพูสดที่ยังไม่หล่นโรยพื้นเหมือนผืนพรม ถูกแม่เก็บไปทำยำรสชาติจัดจ้าน ครีมรับหน้าที่นางชิม ที่ชิมอะไรก็อร่อยไปเสียทุกอย่าง
พ่อหลับคาหนังสือนิยายที่กางไว้เหมือนมุงหลังคาบนใบหน้า ปราณกับครีมหอบหนังสือการ์ตูนตามไปด้วยเสมอ อ่านได้ไม่ถึงครึ่งเล่มก็ผล็อยหลับไปเสียทุกครั้ง
วันที่คิดงานไม่ลื่นไหล แม่มักจะปิดโน้ตบุ๊ก เดินไปเปิดแผ่นเสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่า ฟังเพลงลูกกรุง เนื้อหาไพเราะอ่อนหวาน แล้วหยิบกระดาษวาดเขียนกับดินสอขึ้นมาวาดรูป แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่านลูกไม้สร้างลวดลายเงาบนแขนเสื้อของแม่ ผมดัดเป็นลอนคลื่นย้อนยุคสั้นแค่ต้นคอ เสียงดนตรีลูกกรุงทำให้แม่เหมือนหลุดออกมาจากโลกในช่วงเวลาอื่น
เสียงหัวเราะของครีมเหมือนยังดังสะท้อนในบ้าน เขานึกถึงฝ่าเท้าเล็กๆ ที่เคยวิ่งเตาะแตะไปมาบนพื้นบ้าน ไล่ตามเขาและทันเสมอ
แต่เมื่อเขาวิ่งไล่ตามน้องกลับไม่เคยวิ่งตามทัน เพราะเขาต้องการให้น้องชนะ
วันนั้นเขาน่าจะเปลี่ยนใจ น่าจะเก็บกระเป๋าลวกๆ เหมือนทุกทีที่ทำแล้ววิ่งตามรถออกไป พ่อคงหัวเราะ แม่อาจจะบ่นนิดหน่อย แต่ครีมคงล้อเลียนเขาไปตลอดทาง
เขาจะยอม ยอมทุกอย่าง แค่แลกกับช่วงเวลาที่เขาจะได้อยู่บนรถคันนั้น และไปด้วยกันกับทุกคน