แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 1 : เมืองหาง

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 1 : เมืองหาง

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เขตชายแดนเมืองหาง พุทธศักราช 2474

รถกระบะคันเก่าขับโคลงเคลงมาตามเส้นทางทุรกันดาร ก่อนจะไต่ระดับไปตามไหล่เขาที่คดเคี้ยวและสูงชัน ยิ่งรถขับขึ้นมาสูงเท่าไรก็ยิ่งได้กลิ่นชื้นของเม็ดฝนที่ลอยอยู่ในอากาศเท่านั้น และเมื่อมองออกไปนอกรถ ก็จะเห็นปุยเมฆสีขาวปกคลุมยอดเขาที่สลับทับซ้อนกันไปมาคล้ายหลังคา ทิวทัศน์ด้านบนนี้ไม่มีอะไรพิเศษ นอกเสียจากไร่ชาของชาวเขาที่ปลูกเป็นแนวแถวขั้นบันได ครอบคลุมเนื้อที่ดอยหลายม่อน และถนนฝุ่นฟุ้งสีแดงเพลิงที่ทอดตัวยาวอยู่ไกลๆ

หลังจากเดินทางมาได้สักพักใหญ่ๆ จากป่ารกทึบก็เริ่มมีชุมชนชาวบ้านปรากฏขึ้นให้เห็นตามรายทาง เรือนชานชุมชนทางนี้ส่วนใหญ่เป็น ‘ตูบ’ ซึ่งเป็นกระท่อมมุงหลังคาใบพลวงหรือใบตองตึงแห้ง ยกพื้นสูงจากพื้นพอประมาณ ล้อมด้วยผนังไม้ไผ่ขัดแตะทั้งสี่ด้านมีชานเรือนและครัวไฟในตัว ตูบแต่ละหลังปลูกห่างไกลกันมากโข กระจัดกระจายกันออกไปตามตีนเขาไหล่เขา

รถกระบะวิ่งไปตามถนนขรุขระที่มีอยู่เพียงเลนเดียว ระหว่างทางก็ขับสวนทางกับคาราวานพ่อค้าวัวต่างที่บรรทุกข้าวของค้าขายมาจากเมืองไกล สิ่งของที่นำมานั้นมีมากหลายจนแน่นพูนเต็มกระชุซึ่งเป็นภาชนะที่คล้ายตะกร้า กระชุใบยาวขนาดใหญ่ทำจากไม้ไผ่จักสาน วางพาดห้อยอยู่บนหลังวัว วัวหลายสิบตัวบรรทุกน้ำหนักจนเต็มอัตรา เดินเอียงเรียงเดี่ยวค่อยๆ กระยืดกระยาดไปตามไหล่ทางแคบๆ ที่เต็มไปด้วยโคลนตม

เมื่อได้ละสายตาจากพ่อค้าวัวต่างกลุ่มนั้น อ่องมินตูที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยคนขับก็หันมาบอกกับเจ้านายของเขาที่นั่งมาด้วยกันในรถ

“เราใกล้จะถึงกันแล้ว”

“ที่นี่หรือ เมืองหาง” เสียงแอลัน คาลเตอร์ถามแทรกขึ้นมาจากเบาะด้านหลังอย่างตื่นเต้น พลางทำสายตาสอดส่องออกไปมองทางนอกรถ

ด้วยไม่ได้รับอนุญาตให้พูดอะไรมาก อ่องมินตูจึงปล่อยให้คำถามไร้คำตอบอย่างเย็นชา แม้ว่าเขาจะเข้าใจความหมายของภาษาอังกฤษประโยคนั้นก็ตามที ว่าแล้วเจ้านายของเขาซึ่งนั่งคู่กันอยู่ที่เบาะด้านหน้าจึงหันไปตอบคำถามชายต่างชาติคนนั้นเสียเอง

“ใช่ ที่นี่แหละเมืองหาง…ยินดีต้อนรับสู่มอนติคาร์โลแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นะคุณคาลเตอร์”

“มอนติคาร์โลแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้? คุณหมายความว่ายังไง นิคโก้”

“คุณเห็นคนพวกนั้นหรือเปล่า…” ชายหนุ่มพเยิดหน้าไปทางคาราวานพ่อค้าอีกกลุ่มที่กำลังเดินสวนทางมา “ที่นี่เป็นเมืองผ่านและเป็นศูนย์กลางการค้าเขตชายแดนขนาดใหญ่ ยามที่พ่อค้าชาวพื้นเมืองพวกนั้นเดินทางมาค้าขายยังที่นี่ ก็มักจะเสาะหาเล่นการพนันขันต่ออยู่เป็นนิจ จากที่มีเจ้ามืออยู่เพียงไม่กี่คนก็กลับกลายเป็นว่ามีโรงบ่อนการพนันผุดขึ้นมามากมายในภายหลัง จนท้ายที่สุด เมืองหางก็กลายมาเป็นศูนย์กลางการพนันอีกแห่ง และได้ชื่อว่าเป็นมอนติคาร์โลขนาดย่อมๆ”

“พวกเขาขายสินค้าอะไร ทำไมถึงได้มีเงินเล่นการพนันขนาดนั้นได้”

“ก็…ของจำพวกน้ำมันก๊าด เกลือ ผ้าไหม น้ำผึ้ง สินค้าพวกนี้เป็นสินค้าชั้นดีและเป็นของหายาก แต่ก็มีบางอย่างที่ลักลอบนำข้ามชายแดนเข้ามา ทั้งพวกตะกั่ว ทองเหลือง ซากสัตว์ป่า…หรือแม้แต่ฝิ่น”

“แต่เท่าที่ทราบ รัฐบาลอังกฤษไม่อนุญาตให้ค้าขายฝิ่นกันเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการค้าของทางรัฐบาลกลาง แม้กระทั่งบรรดาเจ้าฟ้าของรัฐไทคำหลวงเอง ก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองหรือกักตุนฝิ่นไว้เพื่อการค้าขาย”

“อะไรกัน นี่คุณก็เป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของฝั่งรัฐบาลหรอกหรือ คุณดูจะทราบเรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดีทีเดียว หรือคุณเอง…ก็ทำงานให้กับรัฐบาลกลาง”

“อะไรนะ”

“ก็ก่อนหน้านี้ คุณเคยกล่าวอะไรทำนองนี้มาแล้วหลายหน จนบางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าคุณเป็นเพียงนักเดินทางอย่างที่บอก หรือเป็นใครกันแน่”

แอลัน คาลเตอร์ไม่ถึงกับหน้าเสีย หากแต่ก็ไปไม่เป็น เพิ่งรู้สึกว่าตนเองได้พูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป และยิ่งเป็นการพูดกับเลขาฯ หนุ่มลูกครึ่งของผู้ตรวจการรัฐคนนี้ด้วยแล้ว คาลเตอร์ก็เหมือนถูกหลอกให้เผยอะไรต่อมิอะไรออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่แปลกที่คุณจะสงสัยในตัวผมนะนิคโก้ ผมเป็นคนใต้การปกครองของธงยูเนียนแจ็ก ทั้งยังเดินทางเข้าออกพื้นที่บริติชอินเดียอยู่บ่อยๆ การที่ผมจะทราบข่าวจากทางรัฐบาลนั้นถือเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก หากว่าผมไม่ทราบอะไรเลยนี่สิ ถึงจะเป็นเรื่องแปลก คุณเองก็เป็นคนในอาณัติของอังกฤษเหมือนกัน น่าจะเข้าใจดี”

“โอเค้…”

ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วแสร้งทำกล่าวเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงท้องถิ่นอย่างยียวน ก่อนจะหันหน้าออกไปมองทางด้านนอกรถ พลางกล่าวแนะนำเมืองหน้าด่านที่พวกเขากำลังเดินทางมาถึง

“ถึงเมืองหางจะเป็นหัวเมืองขนาดเล็ก แต่ก็ทำรายได้ให้กับรัฐบาลไทคำหลวงของเราเป็นกอบเป็นกำ จากการเก็บภาษีโรงบ่อนและการค้า ถ้าจะให้ผมพูดตามความจริงละก็ ไม่มีใครสนอำนาจของรัฐบาลกลางที่กัลกัตตากันหรอก ที่นี่ ทุกคนสนใจแต่เรื่องการค้าขาย ใครขายได้มากก็รวยมาก คุณดูสิ วัวต่างยี่สิบตัว ราคาตัวหนึ่งก็ตั้งสิบห้าถึงสามสิบรูปี พ่อค้าบางคนมีวัวเป็นพันๆ ตัว คุณจินตนาการออกไหมว่าพวกเขาจะร่ำรวยขนาดไหน…บางทีคุณอาจจะเติมส่วนตรงนี้ลงไปในบทความของคุณ ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ”

แอลัน คาลเตอร์เป็นชาวอังกฤษ ที่บอกว่าตนเป็นอดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสำนักหนึ่งในเมืองยอร์คเชียร์ ก่อนจะตัดสินใจลาออกและผันตัวเองมาเป็นนักเขียนเชิงสารคดี โดยเชื่อว่าตนเองเป็นนักบุกเบิกแสวงหาดินแดนโลกใหม่ และครั้งนี้ ดินแดนเป้าหมายที่ว่านั่นคือ ‘รัฐไทคำหลวง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐอารักขาของจักรวรรดิอังกฤษ ที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนบนของสยามประเทศและมีเขตชายแดนติดต่อกัน

เขาอ้างว่าตนเองโดยสารมากับเรือสินค้าจากลอนดอน ก่อนจะมาขึ้นฝั่งที่เดลี ต่อเรืออีกทอดมาลงที่รางกูน จากนั้นก็บุกบั่นเดินทางทางบกมาเรื่อยๆ จนได้มาถึงรัฐไทคำหลวง เขาเสาะหาเส้นสายโดยการติดต่อเข้าหาบรรดาพวกข้าราชการชาวอังกฤษที่มีครอบครัวและตั้งรกรากอยู่ในไทคำหลวง ท้ายที่สุด ก็ได้มาพบปะคบหากับมิสเตอร์เลส ผู้มีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการประจำรัฐ

เมื่อขับต่อมาได้อีกสักพัก รถกระบะก็นำคนทั้งหมดมาถึงย่านตลาดกลางหรือ ‘เซนทรัล มาร์เก็ต’ อันเป็นย่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ที่นี่มีผู้คนทุกเชื้อชาติมากหน้าหลายตาเดินอยู่เต็มทุกตารางพื้นที่ อีกแผงลอยและร้านรวง รวมไปจนถึงโรงการพนันขนาดใหญ่หลายแห่ง สถานบันเทิงและโรงน้ำชาของชาวจีนฮ่อ สิ่งเหล่านี้ส่งให้บรรยากาศของเมืองดูคึกคักแม้ยังเป็นช่วงตะวันรอน และดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งกลางวันกลางคืนราวกับเมืองจะไม่หลับใหล

ขบวนวัวต่าง – ม้าต่างของพ่อค้าต่างแดนขบวนแล้วขบวนเล่า ต่างทยอยเดินทางเข้าเมืองมากันอย่างไม่ขาดสาย ใกล้กับศาลาริมทางที่สร้างไว้เพื่อพักขบวนสินค้า มีพวกผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มออกมายืนเรียงรายและตะโกนเรียกพวกผู้ชายที่เดินผ่านไปผ่านมา อดีตนักข่าววัยสี่สิบไม่รีรอที่จะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพระหว่างที่รถขับผ่าน เขาคิดรำพึงรำพัน… ไม่ว่าที่ใดก็ตาม หากว่ามีแหล่งอโคจรอย่างนี้อยู่แล้วละก็ ก็จำต้องมีผู้หญิงพวกนี้เสียทุกที่ราวกับเป็นของคู่กัน

แสงตะวันอำลาท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว หากแต่ยามราตรีของเมืองหางกำลังเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น บรรดาบ่อนการพนันทั่วทั้งเมืองต่างก็เริ่มเปิดไฟเรียกบรรดานักเสี่ยงโชคทั้งขาจรและขาประจำกันอย่างเต็มรูปแบบ

บ่อนการพนันที่คึกคักที่สุดในย่านนั้นเป็นของเจ้าเมืองหาง ลักษณะเป็นตึกแถวขนาดใหญ่สูงสามชั้นแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามส่วน ทั้งส่วนที่จัดให้เป็นโรงแรมที่พักอาศัย ห้องอาหาร และส่วนที่เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาเล่นการพนันได้ ที่นี่ยังมี ‘โรงสูบยา’ เอาไว้บริการพวกลูกค้าที่เข้ามาเล่นการพนัน ยานั้นคือ ‘ฝิ่น’ โรงสูบฝิ่นจะตั้งอยู่ในพื้นที่ลับตาคน ซึ่งอยู่ด้านในสุดของโรงบ่อน ลักษณะพื้นที่ซอยเป็นหลายๆ ห้อง แต่ละห้องมีบรรยากาศทึมๆ มืดๆ แคบๆ

‘เนย์วินไท่ก์’ หรือ ‘นิโคลัส’ กำลังมีความกังวลใจต่อชายชาวต่างชาติที่ติดตามคณะของเขามาจากเมืองหลวง ชายหนุ่มไม่ได้กังวลใจเพราะว่าเป็นห่วง หากแต่เป็นกังวลต่อความอยากรู้อยากเห็นของคาลเตอร์ที่มีมากจนเกินไป และกลัวว่าจะเกินแก่การควบคุมของเขา ซึ่งนั่นก็อาจจะส่งผลให้การเดินทางมาเจรจาธุรกิจครั้งนี้พังครืนเอาได้ง่ายๆ แถมหากว่าคาลเตอร์เป็นคนที่รัฐบาลอังกฤษส่งมาจริงๆ อย่างที่เคยสงสัย นั่นก็หมายถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกจับปรับโทษ

ไม่น่าเลยจริงๆ หากไม่ใช่เพราะคำร้องขอของเจ้านาย เนย์วินไท่ก์คงไม่มีวันปล่อยให้ชายผู้นี้เดินทางมากับเขาแน่ๆ…

ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ตัดใจจากเรื่องที่คาลเตอร์หายตัวไปจากโรงแรมตลอดทั้งบ่าย ก่อนจะกลับเข้ามานั่งลงตรงเก้าอี้ไม้สีเก่าในห้องรับรองดังเดิม พลางล้วงหยิบเอามีดสั้นและปืนพกที่ติดตัวออกมาเช็ดทำความสะอาด

หลังจากนั้นไม่นาน คนในความคำนึงก็พลันโผล่หัวกลับมา ร่างสูงชะลูดปราดเข้ามานั่งลงตรงโซฟาตัวยาวด้วยความเหนื่อยหอบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อฉาบอยู่บนกระแดดจางๆ อีกผมสีน้ำตาลทองแดงและผิวสีเผือก ช่างส่งให้รูปลักษณ์ของเขาดูแปลกแตกต่างจากคนที่นี่พอสมควร

“ผมรู้ว่าคุณกำลังจะตำหนิที่ผมกลับโรงแรมมาช้า…” แอลัน คาลเตอร์ชิงกล่าวตัดหน้า เพราะรู้ว่ากำลังจะถูกอีกฝ่ายค่อนแคะในอีกไม่กี่อึดใจ “…แต่โทษทีเถอะ ข้างนอกนั่นเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจไปซะทุกอย่าง แล้วไหนจะกาสิโนตรงด้านล่างโรงแรมนี้อีกล่ะ ผมก็เลยเดินมั่วซั่วไปหมดละสิทีนี้ เดินไปเดินมาก็เดินเลยเถิดเข้าไปจนถึงในป่าด้านหลังนู้น”

“คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปในป่าตรงนั้น คุณไม่ใช่ชาวเมืองนี้”

หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งกล่าวเสียงเรียบๆ ขณะเก็บมีดเสียบกลับเข้าใส่ไว้ในซองหนัง ดวงตาสีนิลคมดุพลันมองตวัดไปทางหน้าประตู เขาพูดเป็นภาษาถิ่นบางอย่างกับพวกลูกน้องที่ยืนอยู่ตรงนั้น มีคนขยับออกรับคำสั่ง แล้วจึงปลีกตัวออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ

“ไม่เอาน่า นิคโก้ อย่าระแวงผมมากนักเลย ผมเป็นแค่คนธรรมดา เป็นนักเขียนธรรมดาๆ คนหนึ่ง”

“ผมรู้ แต่คุณไม่สามารถเดินเข้าไปสำรวจตามอำเภอใจได้ หากคุณไม่ใช่คนที่นี่ กฎของเมืองนี้บอกเอาไว้อย่างนั้น และที่สำคัญ ที่นี่ไม่ได้ปลอดภัยเหมือนอย่างเมืองหลวง โดยเฉพาะในเขตป่า”

“แต่คุณเลสบอกกับผมว่า ผมสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้บนภูเขาลูกนี้”

“ก็ใช่ แต่คุณเลสคงจะลืมบอกคุณกระมัง ว่าที่นี่คือเขตอิทธิพลของกองกำลังชนกลุ่มน้อยติดอาวุธผู้เกลียดชังชาวตะวันตก แม้คุณจะเดินทางมากับผม ก็ไม่ได้รับประกันว่าคุณจะปลอดภัย”

“ผมรู้ตัวและก็ระวังตัวอยู่ตลอดเวลาน่า… ” คู่สนทนายังกล่าวต่อไปด้วยความรั้นและความมั่นใจ

“ผมแค่เพียงต้องการมาสำรวจภูมิประเทศของรัฐไทคำหลวงเท่านั้น มันจะเป็นส่วนหนึ่งของบทความที่ยิ่งใหญ่ บทความของผมจะถูกตีพิมพ์ไปทั่วอังกฤษ คิดดูสิ ชาวอังกฤษน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวที่นี่ แต่ผมอยู่นี่แล้วนิคโก้ และจะเป็นผู้แนะนำไทคำหลวงให้ชาวโลกได้รู้จัก”

“รวมถึงผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับ”

“เฮ้ มันคือผลประโยชน์ร่วมนะ…คุณทำงานกับคุณเลสมานานก็น่าจะเข้าใจพอยต์นี้ดี เราต่างก็ได้ประโยชน์จากมันกันทุกฝ่าย”

ร่างสูงโย่งในชุดเสื้อเชิ้ตลำลองและกางเกงสแล็คขายาวขยับลุกจากโซฟา เปลี่ยนมานั่งกระซิบอยู่ใกล้ๆ ดวงตาแวววาวมีนัยเจ้าเล่ห์ “คุณรู้ไหม ว่าผมเห็นอะไรในป่าลึกนั่น…ฝิ่น ผู้หญิง อาวุธสงคราม และเงินรูปีมากมาย”

“มันคงจะเป็นสิ่งแปลกตาที่คุณอยากจะเขียนลงไปในบทความของคุณจนตัวสั่น”

“ทุกอย่างที่นี่คือสิ่งแปลกตาสำหรับผมและผมชอบมัน ผมจะไม่สนใจกฎอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมต้องการ คือการได้เห็นทุกอย่างของที่นี่”

“แต่คุณต้องสน คุณคาลเตอร์…”

เนย์วินไท่ก์บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หากแต่หนักแน่นและตรงไปตรงมา เมื่อฟังดีๆ จะรู้ว่าวาจาของเขาเย็นชาและแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้เป็นมิตรมากมายนัก

“อย่างที่บอก ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง ไม่มีอะไรศิวิไลซ์ทั้งนั้นที่ขอบชายแดนแห่งนี้ คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ แต่แน่นอน คุณจะต้องทำตามขั้นตอนและจ่ายค่าธรรมเนียมเสียก่อน คุณบอกว่าต้องการเห็นกาสิโนและตลาดกลาง คุณอยู่ที่นี่แล้วไง แต่หากว่าคุณต้องการอะไรไปมากกว่านั้น ผมคงจะต้องติดต่อเจ้าเมืองเพื่อขอหนังสือผ่านแดนให้คุณ และหากคุณได้รับหนังสือผ่านแดนแล้ว นั่นแหละ คุณถึงจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ… อาจจะ”

แอลัน คาลเตอร์นิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ เมื่อสำนึกได้ถึงความเด็ดขาดและอำนาจที่ซ่อนอยู่ในวาจาที่กล่าวออกมาอย่างเชือดเฉือน เขาพินิจพิจารณาชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็แทบจะไม่อยากเชื่อในสัญชาตญาณของตนเองสักเท่าไร

ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของชายผู้นี้จะดูเป็นคนโผงผางและเอาแต่ใจ แถมยังดูเป็นคนไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือสักเท่าไร พิเคราะห์จากใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มที่ดูเหมือนจะมึนเมาตลอดเวลา อีกผมเผ้าที่ยาวยุ่งเหยิงกระเซิงก็ช่างไม่เข้าท่า แต่ทว่าวิธีการพูดของเขานี่สิ ช่างดูฉลาดทันคนอยู่ในที อีกแววตาที่เต็มไปด้วยแววหยิ่งทะนงและอวดดีคู่นั้นก็คุกคามคาลเตอร์ใช่ย่อย บางครั้งก็ทำให้รู้สึกครั่นคร้าม…ชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ

“คุณเป็นใครกันแน่นิโคลัส…คุณเปิดเผยว่าสามารถเข้าหาพวกเจ้าเมืองได้ง่ายๆ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วมันไม่ง่ายเลยนะที่พวกเขาจะยอมรับคุณ ยิ่งคุณเองทำงานให้กับฝั่งอังกฤษ เว้นเสียแต่ว่า… ”

“ผมมีสิ่งที่พวกเขาต้องการ” ชายหนุ่มตัดทอนการคาดเดาที่เสียเวลา “…นั่นก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะยอมรับผม สมัยนี้ทองคำอาจจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินรูปี แต่ผมมีมากกว่าทั้งรูปีหรือทองคำ แบ่งให้พวกเขาเพียงหยิบมือ พวกเขาจะดูแลผมเยี่ยงราชา นั่นแหละคือธรรมเนียม”

“เอาละๆ คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้” คาลเตอร์บอกปัด “มีคนเคยบอกกับผมไว้ว่า การเดินทางจะไร้ซึ่งรสชาติถ้าหากขาดสิ่งสามสิ่ง…การพนัน เหล้ายาและนารี ผมก็เพียงแค่อยากจะดื่มด่ำค่ำคืนที่เมืองหางให้อิ่มหนำสำราญ บางทีความตะกละตะกลามของผมอาจจะเผลอไปสร้างความกังวลใจให้คุณ แต่หากว่าคืนนี้ ผมได้สิ่งที่ว่าครบหมดทั้งสามอย่างแล้วละก็ มันก็อาจจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้บทความของผมสมบูรณ์”

เนย์วินไท่ก์เผลอหัวเราะออกมาแม้ไม่ได้รู้สึกขำ

“คุณจะได้มันอย่างแน่นอน คุณไปเตรียมตัวเถอะ เจ้าเมืองและคนอื่นๆ กำลังจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า สิ่งที่คุณจะได้รับในคืนนี้ ผมหวังว่ามันคงจะทำให้การเดินทางของคุณมีรสชาติขึ้นมาบ้าง นอกจากความอยากรู้อยากเห็น”

คนฟังพยักหน้าลงอย่างพอใจ โดยหารู้ไม่ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายตำหนิอย่างสุภาพ และเมื่อคาลเตอร์ออกจากห้องไปแล้ว อ่องมินตูก็ค่อยๆ ย่องย่างปรากฏกายออกมาจากที่ซ่อนหลังเสา

“มันเดินเข้าไปจนถึงโรงสูบยา มันเขียนบันทึกบางอย่างลงไปในสมุดของมัน”

“ให้คนแอบจับตาดูมันไว้เหมือนเดิม”

“ให้ฆ่ามันเลยไหม… ” คนร่างใหญ่ใบหน้ากร้านกรำแดดเสนอต่อผู้เป็นนายเสียงเย็น

“ฆ่าไม่ได้” ชายหนุ่มตอบทันที “มันเป็นคนของกองทัพอังกฤษ…แค่สงสัยน่ะ แกจับตาดูมันไว้ก็พอ”

“ครับ นายท่าน”

เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องคนสนิทออกไปได้ ก่อนจะหยิบมวนยาเส้นในตลับเงินสี่เหลี่ยมออกมาจุดไฟสูบจนไฟแดงวาบๆ ผุยพ่นควันบุหรี่สีขาวแกมเทาออกอย่างใจเย็น ริมฝีปากเจ้าเล่ห์ก่นยียวนแค่ยกมุมปากขึ้น พ่นจมูกดัง หึ อยู่ในลำคอ

 



Don`t copy text!