แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 3 : ลมหนาว

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 3 : ลมหนาว

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เมืองหมอกใหม่ ย่างเข้าฤดูหนาว

สาวน้อยนางหนึ่งกระชับผ้าตุ้มผืนอุ่นเข้าแนบกาย พลางมองลอดแสงไฟวูบวาบด้านนอกหน้าต่างออกไปทิศทางฟ้ากว้าง ผืนหมอกโปร่งบางลอยต่ำปกคลุมจนทั่วบริเวณเห็นเป็นฝ้าสีขาวๆ มองไปอีกที เรือนหลังใหญ่ของบรรดาเจ้านายนั้นดับตะเกียงไฟไปนานนักแล้ว หลงเหลือก็เพียงแต่เครื่องตามไฟของพวกทหารยามและข้ารับใช้บางส่วนเท่านั้นที่ยังคงติดอยู่

พนาไพรโดยรอบล้วนเงียบสงัดนัก แม้แต่บรรดาสรรพสัตว์ที่เคยส่งเสียงกู่ร้องลั่นดงในช่วงหัวค่ำก็มาสงบเงียบหายไป ราวกับว่ากำลังหลับใหลในยามค่ำคืนดั่งเช่นมนุษย์ ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งลงจัดจนคล้ายละอองฝน ยอดไม้ใบหญ้าล้วนถูกเกล็ดน้ำแช่แข็ง หรือคืนนี้จะหนาวแรงกว่าทุกคืนจริงๆ ไพรพงดงห้วย จึงมากระด้างตามกันไปเสียหมดถ้วน

แว่วยินเสียงพูดคุยกันงึมงำๆ ของพวกข้าเลี้ยงช้างที่นั่งสุมฟืนผิงกองไฟดังขึ้นมาเป็นพักๆ หากบางครั้ง ก็กลับได้ยินคล้ายจะเป็นเสียงภูตไพรที่กำลังกระซิบกระซาบกันออกมาจากในป่าเสียมากกว่า

“จันทร์หล้า…”

เสียงเรียกเบาๆ ดังแทรกความสงบในช่วงเวลาสงัด ส่งผลให้คนที่กำลังนั่งจับเจ่าอยู่เบื้องหน้าเปลวไฟตะเกียงขยับไหวกายเพียงนิด

คนเรียกเป็นหญิงร่างหนาที่พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งกลางฝูกที่นอนด้วยความงัวเงีย หล่อนหยีตามองคนกำลังนั่งเล่นไฟ

“หนาวพอจะตาย ไปนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น”

“ข้าลุกขึ้นมาเก็บของ ประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับเข้าไปนอนแล้ว” คนนั่งเดี่ยวกล่าวก่อนจะยิ้มจางๆ ว่าแล้วก็รีบหันกลับไปราวกับกำลังหลบซ่อนอะไรไว้บางอย่าง ชายผ้าตุ้มถูกยกขึ้นซับหยาดน้ำตาที่กำลังรื้นขอบ

“มานอนเอาเรี่ยวแรงไว้เสียเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดเน่อ”

“อีกสักเดี๋ยว…สูเองก็เถอะ สูรีบตื่นขึ้นมาทำไม ม่อนหอม”

“ตื่นขึ้นมาเพราะไฟมันแยงตาน่ะสิ”

“อ้อ ข้าขอสุมา” หญิงสาวรีบกล่าวขออภัยเพื่อน ก่อนจะรีบดับไฟลงด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“จันทร์หล้า ไยว่าสูร้องไห้อีกแล้ว หือ มานอน มา…มัวแต่นั่งกอดเข่าเจ้าทุกข์อยู่ได้”

“บ่ได้ร้องไห้เสียหน่อย ไยถึงว่าข้าร้อง”

“ก็ข้าแอบเห็นสูซับน้ำตามะกี้…”

ว่าแล้วม่อนหอมก็หยิบกล่องไม้ขีดมาตีไฟดังแชะๆ เพื่อจุดตะเกียงของตนเอง เปลวไฟสีเหลืองๆ นวลๆ สว่างวาบขึ้นทันใด แสงสว่างส่องให้เห็นคนหมู่หลายกำลังขดตัวซุกกายอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนอุ่น นอนกระจัดกระจายกันออกไปคนละซอกคนละมุมภายในเรือนหลังใหญ่หลังเดียวกัน

ร่างคนตุ้ยนุ้ยขยับลุกย้ายจากที่นอนมานั่งลงตรงเบื้องหน้าอีกคน มีผ้าห่มคลุมร่าง ใบหน้าที่เจือรอยประแป้งทานาคาสีเหลืองอ่อนมีแววสนเท่ห์

“ฮ่าย หนาวขนาดนี้ สูยังมีกะจิตกะใจมานั่งร่ำไห้อยู่อีกน้อ”

“ใครว่า น้ำตาข้าไหลเพราะขี้เขม่าเข้าตาต่างหาก”

“พอเถอะ สูบ่แม่นเด็กหน้อยหัดโกหกผู้ใหญ่นะ สูคิดถึงบ้านเมืองที่สูจากมา สูก็บอกข้าด้วยซื่อ”

ม่อนหอมยกมือขึ้นวางบนไหล่คนหงอยเศร้าเพื่อหวังปลอบใจ แล้วขยับมาอยู่ใกล้ๆ พูดลงเบาๆ จนคล้ายกระซิบ

“…ร้องห่มร้องไห้ตอนกลางคืนอย่างนี้มันบ่ดีนา ยิ่งเป็นคืนวันศีลหลวงด้วยแล้ว ท่านว่ามันบ่ดี ใครที่ไหนเขาร้องไห้คร่ำครวญวันพระกันล่ะ นอกจากผีเผต (ผีเปรต)”

“ข้าบ่แม่นเผตเสียหน่อย” หญิงหน้ามนตาโตด้วยความกลัว หันขวับกลับมาปฏิเสธ

“หากบ่แม่นผีเผตก็อย่าร้องไห้ซี”

“ข้ารู้ ข้าแค่…”

“ข้าเข้าใจสูนะจันทร์หล้า อากาศหนาว ใจมันก็ยิ่งหนาวเป็นหลายเท่าใช่ไหมล่ะ”

คนผมยาวเพียงบ่าลดสายตามองต่ำ “ข้าคิดถึงบ้าน ม่อนหอม…ข้าคิดถึงหน้าหนาวที่หมู่บ้านของข้า หน้าหนาวปีที่ผ่านมาข้าถักเสื้ออุ่นและเย็บสลีที่นอนให้พ่อแม่ ตกกลางคืนข้ามักนั่งเล่นผิงกองไฟ ข้ามักหากล้วย ข้าวหลาม หาหัวมันหวานมาจี่เผาไฟกิน มีความสุขนักสูเอย แต่ว่าหน้าหนาวปีนี้…”

น้ำเสียงที่กลืนก้อนเศร้าลงคอพลอยทำให้คนฟังรู้สึกสะท้านในใจไปด้วย

“อย่าว่าข้าเสือกเลยนะ ข้าขอถามแท้ๆ เถอะ สูบอกสูคิดถึงบ้าน แล้วไยสูบ่คิดกลับบ้าน”

“คิดสิ คิดอยู่เป็นวันละร้อยๆ ครั้ง แต่ถึงคิดอยากจะกลับไปอย่างไร ข้าก็กลับไปบ่ได้แล้ว”

“แปลก…แล้วพ่อแม่สูล่ะ จะบ่เป็นห่วงเป็นหาสูกันหรอกหรือ”

“พ่อแม่ข้าหรือ”

“อือ ทำไม ตายหมดแล้วหรือไง”

คนหน้าหมองไร้คำตอบไปพักใหญ่ๆ ว่าแล้วก็จึงหันไปเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก

“นี่ม่อนหอม ข้าเคยได้ยินเจ้าอามท่านกล่าวว่า ชีวิตครั้งหนึ่งของหมู่เฮา หากได้ยกยอสวยดอกขึ้นเหนือเกล้า ไหว้สานมัสการพระธาตุเวียงอินทร์ที่เมืองหมอกใหม่นี้สักครั้ง ตายไปแล้วดวงวิญญาณจะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้า แถมยังจะได้สั่งสมอานิสงส์ผลบุญ ให้ได้ไปเกิดร่วมยุคกับพระเมตไตรยะในโลกกาลสมัยหน้า…เป็นความจริงแท้หรือบ่แท้”

“แท้” ม่อนหอมตอบ พลางขยับปรับเปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ “…เวียงอินทร์ศรีธาตุแก้วนี้ ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหมอกใหม่มาช้านาน เล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นพระธาตุที่เคยตั้งอยู่บนอมราวดีเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ยามองค์อินทร์ท่านลงมาโปรดสัตว์โลกคราใด ท่านก็มักจะยกยืมเอาพระธาตุมาตั้งวางไว้บนดอย เพื่อให้มนุษย์อย่างเฮาได้กราบไหว้บูชาเหมือนคนแดนทิพย์ข้างบนนั้น ในช่วงวันพระ ผู้คนก็เลยมักจะแห่มากราบไหว้บูชาขอพรกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนสิบเอ็ดอย่างนี้ ชาวไทคำหลวงเฮามักบูชาองค์ธาตุด้วยดอกไม้และเครื่องหอม”

“แต่เจ้าอามท่านจะถวายผ้าห่อคัมภีร์ร้อยผืนเป็นทาน…ก่อนจะมาที่นี่ เจ้านางท่านให้เจ้าปลาเป็นผู้สอยเย็บขอบผ้าทุกผืนจนนิ้วปรุ ท่านว่า หนนี้เจ้าปลาบ่ได้เดินทางมาไหว้พระธาตุกับท่าน ก็ควรต้องทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการทดแทน ถึงจะได้ชื่อว่าร่วมบุญกินทานด้วยกัน”

“ใครๆ ก็อยากทำบุญกับพระธาตุเจ้ากันทุกคนแหละ สูเอ๊ย ใครเขาก็อยากไปเมืองเทวดากันทุกคน”

“แต่เจ้าปลาท่านว่า เมืองเทวบุตรเทวดาชั้นใดท่านก็บ่อยากเห็น ขอแค่บุญส่งให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ก็พอ”

“เจ้าปลาท่านเกิดมามีกรรม ไหว้พระทำบุญขอพรทุกปี โรคก็ยังบ่หายไป จนปีนี้ท่านโตเป็นสาวอายุได้สิบห้าเต็ม…จะว่าไป สูเองก็มีบุญนักเน้อ ที่ได้ตามมากราบพระธาตุเวียงอินทร์กับเจ้าอามท่านได้”

“ก็คงเป็นเพราะข้าได้อาศัยใบบุญท่านมาตั้งแต่ต้นนั่นแหละ ถึงได้มีบุญติดตามท่านมาคราวนี้”

“ว่าแต่ สูก็อยากขึ้นเมืองฟ้าเมืองเทวดากับเขาด้วยหรืออย่างไร ถึงได้ถามข้าเรื่องนี้”

ใบหน้าขาวซีดส่ายหน้า “ตัวข้านี้แท้บ่เคยใฝ่ฝันถึงหม้อนรกหรือเมืองผีเมืองคนอันใดดอก ข้าเพียงแค่อยากทำบุญเป็นทานให้คนที่ตายไปแล้วเท่านั้น”

“สูจะทำบุญให้ใคร”

คนถูกถามไม่ตอบทันที หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึกก่อนจะว่าไปต่อ…

“คนคนนั้นเป็นคนดีแต่อายุสั้น แถมตายไปแล้วก็บ่รู้ว่าญาติพี่น้องจะรู้ไหม ข้ากลัวว่าจะบ่มีใครทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ พอได้ยินเจ้าอามท่านกล่าวยกยอพระธาตุเวียงอินทร์ ข้าก็เลยอยากส่งบุญเป็นข้าวทิพย์น้ำทิพย์ให้กับเขา”

“อ๋อ ข้ารู้แล้ว สูก็เลยมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้สินะ”

คนมักหยอกเพื่อนเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ลงไปในบัดดลเมื่อสำนึกได้ว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดเย้าหยอก

“…เอาน่า สูสบายใจได้ ก็ลองว่าได้กราบไหว้พระธาตุท่านแล้วละก็ บ่ว่าจะเป็นคนก็ดี หรือจะเป็นผีก็ดี ก็ได้ขึ้นเมืองสวรรค์ทุกคนนั่นแหละ จะกราบไหว้แค่ครั้งเดียวหรือมากราบไหว้ทุกปีก็ได้บุญเท่ากัน”

“นั่นสินะ”

“แต่ที่แน่ๆ ก่อนที่สูจะได้กราบพระธาตุท่าน พรุ่งนี้หมู่เฮาต้องตามเจ้านายไปใส่บาตรแต่เช้ามืด หากมัวแต่มานั่งโต้ลมหนาวจนดึกดื่นอย่างนี้ ข้าว่าสูจะบ่มีแรงขนของเดินขึ้นขั้นบันไดไปจนถึงยอดดอยเอาหนา”

“พระธาตุท่านอยู่สูงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

“ทั้งไกลทั้งสูง” ม่อนหอมตอบแบบไม่ต้องคิด “อยู่สูงเทียมฟ้านู้น ที่สำคัญก็คือ สูต้องเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น…บันไดสามร้อยกว่าขั้นนะสูเอ๊ย กว่าจะพากันเดินขึ้นไปจนถึงข้างบนนู้นก็เหนื่อยจนขาลาก ข้ามาทุกปี เดินขึ้นดอยไปกราบพระธาตุทุกปี รู้ตัวอีกที ฝีน่องข้าปูดจนใหญ่เป็นเสาครกมองตำข้าว ดูสิ นี่ๆ… ”

สาวเจ้าพยายามถลกผ้าถุงขึ้นมาประกอบคำพูดให้อีกคนเห็นภาพ คนหน้างามกว่าจึงหลุดหัวเราะกิ๊กออกมา เผยให้เห็นรอยบุ๋มเล็กๆ ที่ตรงสองแก้มเป็นลักยิ้มเสน่ห์

“ท่านว่ายิ่งลำบาก ยิ่งได้บุญหนัก พรุ่งนี้ตอนเดินขึ้นดอยข้าจะทำใจตั้งมั่น เดินไปข้าก็จะตั้งจิตอธิษฐานไป พอไปถึงด้านบนนู้น พระเจ้าจะได้เห็นถึงความตั้งใจจริงของข้า”

เมื่อเห็นเพื่อนยิ้มได้ ม่อนหอมก็จึงยิ้มมากกว่า “นั่นแหละ เพราะอย่างนี้สูถึงบ่ดีโศกเศร้า คนเฮายามไปทำบุญต้องไปด้วยจิตใจที่ผ่องใส ศรัทธาอันแรงกล้าจะได้บังเกิดผล แถมอีกอย่าง ข้าบ่ชอบเห็นสูเศร้านาน ยามสูเศร้า ข้าก็พลอยเศร้าไปด้วย”

“โธ่ เห็นสูห่วงใยข้าขนาดนี้ พรุ่งนี้ข้าจะไหว้พระธาตุให้เป็นข้าวทิพย์น้ำทิพย์เผื่อสูด้วยเน้อ”

“ข้าจะไหว้เอาบุญใส่หัวเองดอก ข้ายังเป็นคน ยังบ่แม่นผี บ่ต้องมีผู้ใดมาไหว้แผ่บุญกุศลมาให้” สาวเอวหนาแหวใส่ จนผงแป้งทานาคาร่วงหล่นจากแก้มเป็นฝุ่นฝอย

“ข้าพูดหยอกสูเล่นดอกน่า”

ว่าแล้วหญิงวัยรุ่นทั้งสองก็พากันหัวเราะคิกคักเสียงเบา ระมัดระวังไม่ให้เสียงดังจนไปรบกวนคนอื่นที่เขากำลังนอนหลับฝันหวาน เสียงกรนผสมกันดังครืนๆ สนั่นโรงนอนดังราวกับโรงสีข้าวที่กำลังทำงาน

“พรุ่งนี้หากเสร็จการงานกับเจ้านายแล้ว ตอนค่ำเฮาเข้าเมืองไปเที่ยวงานปอยที่ตลาดกันดีไหม ข้าอยากพาสูไปดูม่านจ๊าด ที่ตลาดนั่นมีจ๊าดคณะดังเมืองม่านมาเล่นเป็นทานงานปอยทุกปี”

คนไม่เคยได้ยินการละเล่นแบบนั้นมาก่อนขมวดคิ้วสงสัย “ม่านจ๊าดหรือ…มันเป็นยังไง ข้าบ่รู้จัก”

“ม่านจ๊าดก็คล้ายจ๊าดไทของเฮา เป็นการแสดงที่จะมีคนออกมาร้องเล่นเต้นรำกับวงดนตรียังไงเล่า มีงานบุญที่ใดก็ต้องมีการแสดงจ๊าดที่นั่น ทางหมอกใหม่นี้ จ๊าดของชาวม่านเป็นที่นิยมนัก”

ม่อนหอมพยายามอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘จ๊าด’ หรือละครรำที่คล้ายการแสดงลิเก

“วันพรุ่งนี้ คณะของนางมยินท์มิ่นจะขึ้นร้องเล่น คณะดังของที่นี่เชียวนา มันร้องรำงาม ผู้คนจะแห่มาชมกันมากหลาย หากจะไปต้องรีบไปกันตั้งแต่หัวค่ำ หากไปดึกจะแทรกไปหน้าเวทีลำบาก”

“ข้าก็อยากไปอยู่หรอก แต่เจ้านายต้องอนุญาตเสียก่อน หากเจ้านายท่านยอมให้ไป ข้าถึงจะไปได้”

“สูบ่ต้องห่วงหรอก เจ้านายท่านรักสูจะตาย ยังไงท่านก็ให้สูไป”

“เอาเถอะ ไว้พรุ่งนี้ข้าจะลองขอท่านดู”

ลมหนาวพัดผ่านมาอีกระลอกตอนดึก แรงเสียจนเปลวไฟตะเกียงระส่าย เมื่อนั้นข้ารับใช้สาวทั้งสองจึงพากันดับไฟแล้วรีบเข้านอนหมอนอุ่น

หัวแตะหมอนไปได้ไม่นานนัก จันทร์หล้าก็ได้ยินเสียงกรนของม่อนหอมออกนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว หญิงสาวจึงลุกขึ้นมาตรวจดูผ้าผ่อนให้ดีๆ อีกครั้ง ให้มั่นใจว่าเพื่อนรักของนางจะไม่ได้นอนห่มลมหนาวไปจนถึงฟ้าสาง

ลงนอนอีกครั้ง คราวนี้จันทร์หล้าหลับตาพริ้ม พลางนึกถึงสิ่งที่เป็นภาระงานที่ตนต้องทำยามตื่นนอนไปเป็นอย่างๆ นึกอะไรเพลินๆ ได้ไม่ทันไร หูก็เผอิญไปได้ยินเสียงเอื้อนเย็นที่ลอยมาตามอากาศอีกแล้ว

คราวนี้ เป็นเสียงขับลำนำด้วยภาษาโบราณ ดังมาจากพวกข้าเลี้ยงช้างที่ผูกหลักตั้งช้างอยู่ในโรงเรือนไม่ไกลออกไป พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนผิวดำหยาบตัวสูงใหญ่ แต่มักขี้อายและพูดน้อย พระญาติของเจ้าอามท่านชุบเลี้ยงครอบครัวควาญช้างไว้หลายครอบครัว ควาญพวกนี้เกิดและโตมากับช้างอยู่ในป่า
จึงชำนาญเรื่องการดูแลและฝึกช้างให้อยู่อาศัยกับคนได้

‘เจ้าอาม’ เป็นนามเรียกลำลองของ ‘เจ้าสอาดองค์’ ผู้ซึ่งเป็นเจ้านายของตน ขบวนช้างนี้ก็เป็นขบวนช้างที่ท่านและพระญาติที่เมืองหมอกใหม่ ได้นำไพร่บริวารเดินทางมากราบไหว้นมัสการพระธาตุเวียงอินทร์เนื่องในวันออกพรรษา ตอนนี้ขบวนกำลังพักแรมอยู่บริเวณนอกประตูเมือง เพื่อเตรียมตัวออกไปทำบุญตักบาตรและฟังธรรมเทศนา ในประเพณีที่ชาวไทคำหลวงเรียกกันว่า ‘ปอยออกหว่า’ หรือ ‘ปอยเดือนสิบเอ็ด’

‘รัฐไทคำหลวง’ ยามนี้หนาวเย็นนัก ยามหนาวแล้วก็หนาวรุนแรง ด้วยบ้านเมืองตั้งอยู่บนหุบเขาสูง ปกคลุมอาณาบริเวณไว้ด้วยป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ ใต้ผืนแผ่นดินเต็มแน่นไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นแร่รัตนชาติที่มีมูลค่ามากมายเกินประมาณการ ในอดีต แคว้นจารีตโบราณกลางเทือกเขารายล้อมแห่งนี้ แผ่ขยายอาณาเขตไปไกลถึงแผ่นดินจีน ชายขอบอีกฝั่งเชื่อมต่อกับเขตล้านนาและเมืองม่านบุรีเป็นเมืองท่าค้าขายขนาดใหญ่

หากแต่ว่ารัฐไทคำหลวงในสมัยนี้นั้น ได้ตกอยู่ใต้อาณัติของมหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างจักรวรรดิอังกฤษบริเตนเสียแล้วทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกันกับทั้งอินเดียและอดีตเจ้าอาณัติเก่าของตนอย่างเมืองม่านบุรี อังกฤษรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นเขตการปกครองใหม่ที่เรียกว่า ‘บริติชอินเดีย’ หรือ ‘บริติชราช’ อันเป็นหนึ่งในเขตมณฑลการปกครองของเครือจักรภพ

… ล้านนาสมัยนี้ก็ถูกผนวกเข้ากับสยามไปหมดแล้ว เจ้าขันห้าใบในราชสำนักก็ถูกทางนู้นท่านยกเลิกไปแล้วเสียหมด ระบบระเบียบใดที่เป็นของสยาม ท่านก็นำมาใช้กับทางล้านนา แล้วท่านก็เปลี่ยนชื่อว่าเป็นมณฑลพายัพของสยามอย่างสมบูรณ์

เสียงใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกันนั้นร่างกายอันสูงโปร่งแปลกประหลาดก็ค่อยๆ ลอยปรากฏเฉิดฉายชัดขึ้นเป็นดั่งความฝัน ในภาพอันล่องลอยเลือนรางนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางรอนแรมเข้ามาในหมู่บ้านตัวคนเดียว โผล่มาจากทิศทางใดไม่มีใครรู้แน่ชัด สัมภาระที่ติดตัวมามีเพียงย่ามใบเก่าและหมวกกะโล่อีกใบ เขาสวมกางเกงขายาวและแต่งกายไม่เหมือนใครในถิ่นแถบนี้ ยามเขาเอ่ยสำเนียงออกมานั่นแหละ ชาวบ้านถึงได้รู้ว่าเขาเป็นคนสยามเมืองใต้

…กลิ่นแสงแดดในช่วงฤดูร้อนของหมู่บ้านหนองป่าซาง ที่ถูกกลืนเข้าไปในกลุ่มเมฆพายุฝนหลงฤดูยังคงติดจมูกนัก…ยามหน้าร้อนแล้วแดดมันก็ร้อนเผาไหม้ อยู่ตรงไหนก็หาความเป็นสุขไม่มี ผู้เป็นพ่อเคยบอกนางไว้ว่า หินผาดินทรายที่ดูดซับไอร้อนของแดดไว้เมื่อตอนกลางวัน ตกกลางคืนมันมักจะค่อยๆ คลายไออุ่นนั้นออกมาตามสายลมพัดโบก

เสียงเอื้อนลำนำของพวกควาญช้าง ยังคงดังขับกล่อมเป็นทำนองเอื่อยเฉื่อยด้วยภาษาโบราณที่ยากจะเข้าใจ ทันใดนั้นเอง จันทร์หล้ากลับได้ยินคล้ายกับเป็นเสียงกลองหลวงและฉาบฆ้อง พร้อมเครื่องประโคมอื่นๆ บรรเลงกระหึ่มขึ้นกลางหมอกเหมยที่เย็นยะเยือก ก่อนจะมีเสียงปี่แนแหลมสูงเป่านำเป็นทำนองคุ้นหู กระทบไปถูกเสียงกรนของม่อนหอมที่ดังแข่งอยู่ข้างๆ

…หล่อนคงไม่ได้ยินเสียงดนตรีเหมือนอย่างที่นางกำลังได้ยินอยู่กระมัง จันทร์หล้าคิด

หญิงสาวปรารถนาจะลืมตาขึ้นมองหาที่มาของเสียงดนตรี หากแต่ไม่ว่าจะพยายามลืมตาสักเท่าไรก็ลืมตาไม่ขึ้นสักที ด้วยอ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน ท้ายที่สุด จันทร์หล้าก็จึงยอมพ่ายให้เสียงดนตรีที่มาใหม่นั้น ขับกล่อมตนในห้วงแห่งความฝันอย่างยินดี และเมื่อเครื่องเครื่องดนตรีทั้งหมดผสานเข้าพร้อมกัน ก็ก่อเกิดเป็นภาพขบวนฟ้อนเล็บของช่างฟ้อนสาวทั้งเจ็ด ที่กำลังส่งยิ้มหวานให้กับพวกชาวบ้านที่มายืนมุงดูขบวนแห่ครัวทานเข้าวัด

เรือนร่างระหงกลมกลึงงามโดดเด่นยืนเป็นคู่หน้า ช่างฟ้อนสาวคนงามนุ่งผ้าซิ่นต่อตีนสีฟ้าลายขวาง สวมเสื้อสีขาวแขนกระบอกเข้ารูป และห่มผ้าสไบสีเหลืองที่รับกับสีของดอกเอื้องผึ้งที่เหน็บอยู่บนผมเกล้ามวย นั่นยิ่งช่วยขับให้ใบหน้ามนงามเด่นชัดเกินกว่าใคร ว่ากันว่าช่างฟ้อนหน้าขบวนแห่ครัวทานคู่แรก ส่วนใหญ่มักเป็นสาวงามประจำหมู่บ้านเสมอ สาวงามช่างฟ้อนในขบวนนี้เป็นคู่พี่น้อง

ดาวคำคนพี่งามเหมือนดาวกระจ่างฟ้า จันทร์หล้าคนน้องถูกยกยอว่างามเหมือนพระจันทร์คืนวันฟ้าเปิดในช่วงหน้าร้อน งามสมเสียงลือเสียงเล่าอ้างแท้แล้ว สมนามสาวงามประจำหมู่บ้าน งามจนขนาดมีบทร่ำร้องไว้เล่นๆ ว่า…

‘สองลูกสาวของอ้ายแก้วมา งามเด่นเหมือนลอยลงมาจากปล๋ายฟ้า งามหน้ามนคนน้องชื่อจันทร์หล้า งามแก่นต๋าชื่อดาวคำคนพี่ งามสองเครืองามผี้หลี้เหมือนเทวบุตรเทวดาแต่งเบ้า’

ทอดแขนกรีดเล็บ โค้งก่ายร่ายรำนำหน้าขบวนแห่เข้ามาจนถึงด้านในข่วงลานวัด และทันทีที่ขบวนสาวช่างฟ้อนเคลื่อนย้ายใกล้เข้ามา ไอ้หนุ่มบ้านเหนือบ้านใต้ต่างก็มุ่งมองตามกันเป็นตาเดียว รวมอยู่ในกลุ่มคน มีชายต่างถิ่นที่เพิ่งเดินทางเข้ามาสอนตำราให้คนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย

และทันใดนั้นเอง จันทร์หล้าก็ได้สบประสานตากับเขาด้วยความบังเอิญ…

 



Don`t copy text!